๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๒ ของเดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
พสกนิกรชาวไทยชาวต่างประเทศได้ร่วมใจสมัครสมานสามัคคี ทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่อบำเพ็ญพระราชกุศลน้อมอุทิศถวายแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระองค์ทรงเป็นดั่งแสงแห่งความดีงามที่ส่องนำใจปวงชนชาวไทยและชาวโลก
แม้การเสด็จสวรรคตของพระองค์จะเป็นความสูญเสียอันใหญ่หลวง แต่พระราชจริยวัตรอันงดงาม และพระราชกรณียกิจอันทรงคุณค่าจะยังคงสถิตอยู่ในใจของปวงปวงชนชาวไทยและชาวโลกตลอดกาลนาน ปวงข้าพระพุทธเจ้าขอถวายความอาลัยอย่างสุดซึ้ง ขอน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ ผองพสกนิกรชาวไทยน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณตราบนิจนิรันดร์
ให้ทุกท่านทุกคนพากันนั่งให้สบาย มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้าก็ให้สบาย หายใจออกให้สบาย หายใจเข้าก็ให้มีความสุข หายใจออกก็ให้มีความสุข ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้ใจของเราสงบ ให้ใจของเราว่างจากความปรุงแต่ง หยุดความปรุงแต่ง มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม ให้เราทุกคนรู้เข้าใจ ความดับทุกข์ของเราทุกคนนั้นอยู่ที่จิตใจสงบ อยู่ที่เราทุกคนมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หยุดในเรื่องอดีตที่ผ่านมา อนาคตที่ยังมาไม่ถึงก็ไม่วิตกกังวล ให้อยู่ปัจจุบันที่เราว่างจากตัวตน ว่างจากความปรุงแต่ง หยุดความปรุงแต่ง อยู่กับความสงบ อยู่กับสมถะ เอาปัญญาที่ว่างจากตัวตน ให้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม
เราทุกคนต้องพากันรู้พากันเข้าใจ ความดับทุกข์นั้นอยู่ที่เรามีสติมีสัมปชัญญะ เราทุกคนถ้าใครมีสติมีสัมปชัญญะ คนนั้นก็จะไม่มีความทุกข์ เรามีความทุกข์ก็เพราะเราไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะนั้นถึงเป็นธรรมะที่มีคุณมีอุปการะมาก เราทุกคนต้องรู้คุณรู้ประโยชน์ในสติสัมปชัญญะ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เธอทั้งหลายจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด พรหมจรรย์นั้นได้แก่สติและสัมปชัญญะ ด้วยเหตุนี้ผู้มีปัญญามากก็ต้องมีความสงบมาก ผู้มีความสงบมากถึงต้องเสียสละมาก ๆ ถ้าเรามีปัญญามากก็เปรียบเสมือนเครื่องจักรเครื่องยนต์ที่มีความแรงสูง ความแรงมาก แต่เครื่องยนต์นั้นไม่มีเบรก ก็ต้องเกิดอุบัติเหตุ ผู้มีปัญญามากก็ต้องมีความสงบมาก ๆ ปัญญากับสมาธิถึงต้องเดินคู่กันไป ถ้าปัญญามากไม่มีสมาธิ มันก็เป็นทุกข์ มันก็ฟุ้งซ่าน ถ้าสมาธิมากสงบมากไม่เสียสละ มันก็เป็นเพียงสมาธิ เป็นเพียงสมาบัติ มันไม่ใช่ทางสายกลาง ความสงบและปัญญาต้องไปพร้อม ๆ กัน เค้ามีศัพท์รวม ๆ กันว่าสมถะวิปัสสนา ความสงบและปัญญาถึงต้องเดินไปพร้อม ๆ กัน การพัฒนาวิทยาศาสตร์ก็ต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน ถึงจะเป็นทางสายกลาง อดีตที่ผ่านมาก็มาอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้ามันก็อยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันถึงเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ
ให้เราทั้งหลายพากันรู้พากันเข้าใจว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราทุกคนพากันบำเพ็ญความดี บำเพ็ญบารมี เอาความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เอาปัญญาที่ประกอบด้วยความดีที่เป็นหลักการ เอาปัญญาที่เป็นหลักการ เพื่อยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ผู้มีปัญญามากก็ต้องมีความสงบมาก ผู้มีความสงบมากก็ต้องเสียสละมาก เราจะได้เข้าถึงความพอดี ความพอเพียง เราทุกคนจะได้ยกเลิกตัวตน จะได้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ให้เข้าใจว่าถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะแล้ว เราทุกคนก็จะไม่มีความทุกข์ เรามีความทุกข์เพราะเราไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ
เรามีปิติมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติของเราให้เต็มที่ เพื่อทำหน้าที่ของเราทุก ๆ คน ให้ทุกท่านทุกคนตั้งใจตั้งเจตนา ให้รู้ให้เข้าใจว่ากายวาจากิริยามารยาทอาชีพเป็นเพียงอุปกรณ์ของใจ เราต้องเอากายวาจากิริยามารยาทอาชีพมาประพฤติมาปฏิบัติให้เกิดความดี เพื่อเป็นบารมี เพื่อจะได้เกิดเป็นคุณธรรม เพราะทุกอย่างนั้นมันเกิดจากการกระทำทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ เราทุกคนต้องตั้งใจตั้งเจตนา เพื่อทำหน้าที่ของเราให้เต็มที่ ให้เข้าใจว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราทุกคนต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ สมมติทั้งหลายเราต้องเอามาใช้เอามาปฏิบัติ ให้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการปฏิบัติต่อสมมตินั้น ๆ เราปฏิบัติต่อสมมตินั้นด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ
การฝึกใจเราทั้งหลายต้องพากันฝึกอย่างนี้ ใจมันยังไม่สงบไม่เป็นไร ให้กายวาจากิริยามารยาทอาชีพของเราสงบก่อน เพราะใจของเราทุกคนมันเป็นนามธรรม ต้องอาศัยสมมติสัจจะนี้แหละมาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติ เราอย่าไปปล่อยวางหน้าที่ เราอย่าไปปล่อยวางสมมติ เราต้องรู้เข้าใจ รู้จักที่ต่ำ รู้จักที่สูง เรามีปัญญามากเราก็ต้องสงบมาก ๆ เรามีความสงบมาก ๆ เราก็อย่าลืมตัว เราก็ต้องเสียสละ เพื่อให้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี เพื่อให้เป็นทางสายกลางระหว่างการพัฒนาวิทยาศาสตร์พัฒนาทั้งใจให้ไปพร้อม ๆ กัน เพราะความฉลาดกับการปฏิบัติต้องเอามาใช้ในปัจจุบัน
นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายพากันเข้าใจนะ ความฉลาดกับความดีต้องเอามาใช้พร้อมกันในปัจจุบัน เพราะธรรมะนั้นมันเป็นเรื่องปัจจุบัน เพราะอดีตมันก็มาอยู่ที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราไม่เอาความดีกับปัญญามาใช้ เราจะไปปฏิบัติที่ไหนตอนไหน เดี๋ยวมันจะช้าเกินไปนะ เราทุกคนพากันขี้เกียจขี้คร้านไม่ได้นะ รู้มั๊ยว่าความขี้เกียจขี้คร้านนี้มันคือสัญชาตญาณแห่งความเป็นนิติบุคคลตัวตน เราทุกคนต้องข้ามพ้นสัญชาตญาณด้วยความรู้ความเข้าใจ เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราทั้งหลายถึงต้องหยุดสัญชาตญาณ
เราทุกคนต้องหยุดขี้เกียจขี้คร้าน เพราะความขี้เกียจขี้คร้านนั้นมันเป็นตัวเป็นตน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตรัสว่า ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความเกียจคร้านไม่ใช่พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เราทั้งหลายต้องรู้ต้องเข้าใจ เราต้องรู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายอย่าได้พากันขี้เกียจขี้คร้านนะ คนรุ่นใหม่สมัยใหม่ได้ พัฒนาวิทยาศาสตร์ พัฒนาเทคโนโลยี ไปในสิ่งที่อำนวยความสะดวกความสบายทางวิทยาศาสตร์ทางวัตถุ พากันไปติดในความสุข กลายเป็นคนที่ขี้เกียจขี้คร้าน การพัฒนาเลยไปได้แต่เพียงวิทยาศาสตร์ ไม่ได้พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันเพราะเราไปติดในความสุขความสะดวกความสบาย สิ่งที่อำนวยความสะดวก คนรุ่นใหม่สมัยใหม่ที่มีปัญญามาก ๆ แต่ก็พากันมาติดอยู่ในความสุขมาก ๆ นะ หลงอยู่ติดอยู่ในความสุขอย่างมาก ๆ เลย ถึงมีความอดทนกันน้อยมาก
เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เอาตามหลักการ แล้วพัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์พัฒนาทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน อย่าไปติดอยู่ในความสุข เพื่อความสุขนั้นจะได้มีแต่คุณ ไม่มีโทษ ให้เป็นความสุขที่มีคุณ ความสุขไม่มีโทษ
ให้เป็นทางสายกลางของมนุษย์ทั้งหลาย มนุษย์เราทั้งหลายจะไม่ได้ติดอยู่ที่ความสุขความสะดวกความสบายด้วยความหลงงมงาย นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายให้พากันเข้าใจนะ ถึงมีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์ พัฒนาทั้งใจสองอย่างนี้ต้องไปพร้อม ๆ กัน มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจเห็นภัยในการที่เราไปติดในความสุขความสะดวกความสบาย ต้องพากันเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เทวดาก็เช่นเดียวกันกัน เทวดาต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร พระพรหม พรหมวิหารทั้ง ๔ ก็ต้องรู้เข้าใจ พากันเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะได้เพียงสมาธิเพียงสมาบัติ จะไม่ได้เข้าถึงสติสัมปชัญญะ ไม่เข้าถึงความสงบไม่เข้าถึงปัญญา จะไม่รู้จักว่าทุกอย่างนั้นมันเป็นเพียงเหตุเพียงปัจจัย ไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน เราทุกคนต้องมีสติมีสัมปชัญญะ เพื่อพัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กัน ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เพื่อเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม
วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำงานกับเป็นวันปฏิบัติธรรมไปพร้อม ๆ กันเพื่อให้การทำงานเป็นการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมเป็นการทำงานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อเอาธุรกิจหน้าที่การงานที่เป็นกายวาจากิริยามารยาทอาชีพให้เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา จะได้ทั้งวัตถุได้ทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน ด้วยความรู้ความเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เป็นคุณเป็นประโยชน์ เห็นภัยในวัฏฏสงสารเพื่อยกเลิกทำอะไรตามอัธยาศัย ยกเลิกความขี้เกียจขี้คร้าน เพราะธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความขี้เกียจขี้คร้าน นั้นไม่ใช่พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นตัวเป็นตน เป็นภพเป็นชาติเป็นการเวียนว่ายตายเกิด
เราทั้งหลายต้องพากันรู้พากันเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้หยุดลงที่ปัจจุบันนี้ ต้องตั้งใจตั้งเจตนา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบันนี้ ให้ถือว่าปัจจุบันเป็นวาระสำคัญของเราทุก ๆ คน วันเสาร์วันอาทิตย์ถึงเป็นวันหยุดทำธุรกิจหน้าที่การงาน พากันมายกเลิกตัวยกเลิกตน มาเจริญสติสัมปชัญญะ สตินั้นได้แก่ความสงบ สัมปชัญญะคือตัวปัญญา ให้ความสงบและปัญญามันก้าวไปพร้อม ๆ กัน มนุษย์เราทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ก็ใช้หลักการเดียวกันนี้แหละ เพราะธรรมะนั้นเป็นสากล ความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากนั้นมันเป็นสากล
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจว่าธรรมะนั้นมันเป็นเรื่องของสากล ให้รู้เข้าใจ ใครเป็นทุกข์ก็เป็นทุกข์ทางใจนี้แหละ ใครเป็นทุกข์ก็ทุกข์ทางกาย ทุกข์ทางกายนั้นมันแก้ไขไม่ได้เพียงแต่บรรเทาทุกข์เท่านั้น แต่ทุกข์ทางใจนั้นแก้ไขได้นะ
เราทุกคนต้องรู้อริยสัจสี่ เพื่อยกเลิกเรา เพื่อยกเลิกตัวตน ยกเลิกตัวกูของกู จิตใจของเราทุกคนเราคิดดูดี ๆ นะ มันว่างเปล่านะ เป็นประภัสสรนะ สิ่งที่มันเป็นตัวเป็นตนมันคือส่วนร่างกายนะ ถ้าเราว่างจากตัวตน เราจะไม่มีความรู้สึกว่าแก่เจ็บตายพลัดพรากนะ ด้วยเหตุนี้ ท่านถึงให้เราเจริญสติสัมปชัญญะ สติและสัมปชัญญะนั้นแหละจะทำให้เราหยุดตัวหยุดตน ยกเลิกตัว ยกเลิกตน
ให้ทุกคนเข้าใจ ศีลสมาธิปัญญาที่ยกเลิกตัวตน ให้เรารู้เข้าใจ ศีลสมาธิปัญญาถึงเป็นยานที่จะนำเราออกจากความทุกข์ออกจากวัฏฏสงสารด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยเหตุผลนี้เราถึงต้องเจริญสติสัมปชัญญะ พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ถึงมีคุณมีประโยชน์ต่อเราทุก ๆ คน เราทุกคนต้องเอาสมมติสัจจะมาประพฤติมาปฏิบัติ ให้เข้าถึงคำว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราทั้งหลายจะได้เป็นมนุษย์ผู้เข้าใจ ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร รู้จักเรื่องในการประพฤติการปฏิบัติ รู้จักหน้าที่ธุรกิจหน้าที่การงานในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อให้เข้าถึงความพอดี ความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียง
เราทั้งหลายให้พากันรู้พากันเข้าใจ ถ้าไม่รู้เข้าใจมันก็ทำไม่ได้ ปฏิบัติไม่ได้ มนุษย์เราถึงมีหลักการเรียนการศึกษาทั้งฝ่ายวัตถุฝ่ายวิทยาศาสตร์ เค้าเรียนศึกษาตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอก ทางฝ่ายธรรมะก็เรียนศึกษาตั้งแต่นักธรรมตรีจนถึงเปรียญธรรม ๙ ประโยค เพราะความรู้ความเข้าใจเป็นสิ่งที่สำคัญ เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายถึงจะพากันทำได้ปฏิบัติได้ ทำถูกปฏิบัติถูก ชีวิตของเราต้องก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทุกคนถึงจะไม่ต้องเสียสละ จะไม่ได้พังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย ตึกไหน ๆ เค้าก็ไม่พังไม่มีพัง พังตึกเดียวเฉพาะตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจในเรื่องเหตุเรื่องผลเรื่องวิทยาศาสตร์ ทางวัตถุทางวิทยาศาสตร์ทางกายก็ส่วนหนึ่ง ทางวัตถุทางวิทยาศาสตร์แก้ปัญหาได้เพียงบรรเทาทุกข์ สิ่งที่ดับทุกข์ได้จริง ๆ ก็คือเรื่องจิตเรื่องใจ สิ่งภายนอกที่เป็นวิทยาศาสตร์เป็นวัตถุแก้ไขไม่ได้เราก็แก้ที่ใจ เข้าถึงความสงบเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เหมือนคติธรรมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดช ให้พวกเราทั้งหลายพากันรู้เข้าใจเรื่องวิทยาศาสตร์และเรื่องจิตใจไปพร้อม ๆ กันเราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจในธรรมในสภาวธรรม เราอยากได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่าเท่าเดิม เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่าเท่าเดิม เราทั้งหลายรู้เข้าใจจะได้เจริญสติสัมปชัญญะ จะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เราต้องเข้าถึงความดับทุกข์ไม่มีทุกข์ในปัจจุบัน เราจะได้จบลงที่ปัจจุบัน
เราทั้งหลายพากันเสียสละ มนุษย์เราผู้ที่รู้เข้าใจ เมื่อรู้เข้าใจแล้วมาเสียสละ มายกเลิกความขี้เกียจขี้คร้าน เป็นผู้ให้คนอื่น เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านยกเลิกตัวตน ท่านเป็นผู้เสียสละเป็นผู้ให้ ให้แก่สรีระสังขารร่างกาย บรรทมพักผ่อนวันละ ๔ ชั่วโมง ให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลายอย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณวันละ ๒๐ ชั่วโมง วันหนึ่งคืนหนึ่งเป็นผู้ให้ เป็นผู้ที่เสียสละ
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจนะ ทุกคนต้องพากันมาเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละให้เข้าใจนะ การไม่เสียสละนั้นคือเป็นบุคคลที่ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา มันเป็นอัตตาเป็นตัวตน
เราต้องมาเป็นผู้ให้ มาเป็นผู้เสียสละ เพื่อเราจะได้มีหลักการในการประพฤติการปฏิบัติในเรื่องยกเลิกตัวตน ให้รู้เข้าใจว่าตัวตนคือความทุกข์ เรามายกเลิกความทุกข์ก็คือมายกเลิกตัวตน
การไว้ทุกข์หมายถึงเอาความทุกข์ไว้ ไม่ต้องเอาความทุกข์ติดตัว ไม่เอาความทุกข์ติดตัวไป ไม่นำเอาความทุกข์พาไป เพราะความทุกข์นั้นมันคือตัวคือตนคือภพคือชาติ เราทั้งหลายถึงมีประเพณีไว้ทุกข์ ไว้ทุกข์ ไม่เอาทุกข์แล้ว เค้าเรียกว่าเอาไว้ทุกข์ ไม่เอาทุกข์ติดตามตัวไป ให้เอาทุกข์ไว้ มันเป็นเรื่องปัญญา เรื่องสัมมาทิฏฐิ มันเป็นเรื่องเข้าใจ เรื่องภพเรื่องชาติ ที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ
เราไม่อยากให้มันแก่มันก็ต้องแก่ เราไม่อยากให้เจ็บมันก็ต้องเจ็บ เราไม่อยากให้ตายมันก็ต้องตาย ไม่อยากให้มันพลัดพรากมันก็ต้องพลัดพราก อันนี้เป็นธรรมเป็นสภาวธรรม มันเป็นกฎของธรรมะของธรรมชาติ เราทั้งหลายถึงพากันไว้ทุกข์ ไม่เอาทุกข์แล้ว เรื่องความทุกข์ให้มันเป็นเรื่องเกษียณจากใจของเราไป เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ความรู้ความเข้าใจอย่างนี้เค้าเรียกว่ารู้อริยสัจสี่ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์
เราไม่รู้ไม่เข้าใจ เรากำลังละเมิดสิทธิเสรีภาพของความเกิดแก่เจ็บตายพลัดพรากนะ เพราะสิ่งเหล่านี้แหละเค้าเป็นธรรมเป็นสภาวธรรมเค้าเป็นประภัสสร เราไม่รู้ไม่เข้าใจเราเลยพากันไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ด้วยเหตุผลนี้เราถึงมีประเพณีเอาทุกข์ไว้ ไม่ต้องเอาความทุกข์ติดตามไป เพื่อปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องด้วยความรู้ความเข้าใจ เพื่อให้ปฏิปทาติดต่อต่อเนื่อง ก้าวไปด้วยสติสัมปชัญญะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าให้รู้เข้าใจนะ ให้ยกเลิกความทุกข์นะ ให้ยกเลิกตัวตนนะ อย่าเอาความทุกข์ติดตามเราไป ให้มันทุกข์ทางกายก็พอ เราอย่าให้มันทุกข์ทางจ เราต้องยกเลิกความทุกข์ทางใจด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ ให้ยกเลิกทุกข์ ต้องเอาทุกข์หยุดไว้ก่อน ไม่ให้ทุกข์ตามเราไป
ให้เราทั้งหลายนั้นมีสติมีสัมปชัญญะ ยกเลิกตัวตน ยกเลิกทุกข์เรื่องกิจกรรมที่เป็นทุกข์ ให้เข้าใจนะคำว่าไว้ทุกข์อย่างนี้ หมายถึงไม่เอาทุกข์ติดตัวไป เรื่องอดีตก็ให้เป็นเรื่องอดีต ให้มันเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ให้หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติในการปฏิบัติหน้าที่ เพราะธรรมะคือหน้าที่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เรามีหลักการในการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้ เมื่อมีใครตายญาติพี่น้องเพื่อนฝูงญาติวงศ์ตระกูลพลัดพรากจากไปตายไป สิ่งที่ถูกต้องคือเราต้องมาแก้ไขที่ใจของเรา ไม่ให้ใจของเรามีทุกข์ ใจของเราจะไม่มีทุกข์เราก็ต้องมีสติมีสัมปชัญญะ
ทุกข์มีที่ใจเราเพราะเราไม่มีสติสัมปชัญญะนะ เราต้องมีสติสัมปชัญญะเพื่อให้ทุกข์มันหยุดลงในอดีต ปัจจุบันเราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา ไม่เอาทุกข์ติดตามไป ยกเลิกความทุกข์ ไม่ต้องโศรกเศร้าโสกาพิลัยรำพัน เพราะสิ่งที่มันผ่านไปแล้วเกษียณแล้วมันเอากลับคืนมาไม่ได้ อย่าให้เรื่องอดีตมันมาปรุงแต่งเราได้ ถึงจะสุขทุกข์มันก็เป็นเรื่องอดีตไปแล้วเกษียณแล้ว เราไม่ต้องเอาความทุกข์ติดตามเราไป เอาความทุกข์ไว้ในอดีตนั้นแหละ ปัจจุบันเราต้องมีสติมีสัมปชัญญะไม่มีความทุกข์อะไร มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ให้ทำเหมือนพระพุทธเจ้า ให้ทำเหมือนพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านอยู่กับสติสัมปชัญญะ ไม่ได้ติดอยู่กับเรื่องอดีต ถ้าท่านจะรู้เรื่องอดีตท่านก็เข้าสมาธิระลึกเรื่องหนหลังว่าชาติที่ผ่านมาเคยเกิดเป็นอะไร พระอรหันต์ก็อย่างเดียวกัน ท่านจะอยู่กับปัจจุบันยกเลิกตัวตน
ให้ทุกคนรู้เข้าใจ จะไม่ได้เอาทุกข์ติดตามเรามา ให้วางเสีย ปล่อยวางเสียเรื่องอดีต ถ้าเราไม่ปล่อยไม่วางเราก็ย่อมมีหนี้มีสิน เราต้องเข้าใจเรื่องหนี้เรื่องสินเรื่องกรรมเก่า เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเอาความหลงนำชีวิตเอาความผิดนำชีวิต เราต้องรู้เข้าใจ ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายะตนทั้ง ๖ มันเป็นเรื่องกรรมเก่าให้เรารู้เข้าใจ มันเป็นเรื่องกรรมที่เราแก่เจ็บตายพลัดพรากนี้มันเป็นเรื่องกรรมเก่า เราทั้งหลายต้องรู้กรรมเก่า รู้เข้าใจแล้วเราจะได้ปล่อยได้วางเรื่องกรรมเก่า มันจะแก่จะเจ็บจะตายก็พลัดพรากก็ให้ภาวนาในใจว่านี้มันเป็นเรื่องธรรมดา เรื่องปกติ เราต้องปล่อยต้องวาง มีคติธรรมเหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลเดช ท่านตรัสว่าช่างหัวเผือกช่างหัวมัน
เราทั้งหลายต้องรู้ เพราะความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากมันแก้ปัญหาไม่ได้ เราทั้งหลายต้องยอมรับ การยอมรับคือปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราต้องใช้หนี้กรรม เราจะได้เข้าถึงความสงบเข้าถึงความเคารพคารวะ เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความสงบ ถึงความเคารพ เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเป็นธรรมะที่เป็นคารวธรรม การดำเนินชีวิตของเราในปัจจุบันในชีวิตประจำวัน พวกเราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ปฏิบัติได้อยู่ทุกหนทุกแห่ง ที่เรามาวัดที่เป็นที่อยู่ของนักบวช เพื่อจะมาสมัครสมานสามัคคีร่วมรวมกันทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ทำปัญญาที่ประกอบด้วยความดี
วัดที่แท้จริงนั้นอยู่ที่เรารู้เข้าใจในการประพฤติในการปฏิบัติ เพราะการปฏิบัติการปฏิบัตินั้นมันเป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิที่จะให้เราได้ประพฤติได้ปฏิบัติในเรื่องความคิดคำพูด การกระทำกิริยามารยาทอาชีพ มันเป็นเรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องคนอื่น อันนี้เป็นข้อวัตรข้อปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจในข้อวัตรข้อปฏิบัติ วัตรภายนอกนี้มันเป็นศูนย์รวมที่เรามารวมกันเพื่อมาทำความดีเป็นทีมใหญ่ทีมเวิร์ค เช่นวันเสาร์วันอาทิตย์นี้พากันมาประพฤติพากันมาปฏิบัติไปในทางเดียวกัน เพื่อเป็นทีมใหญ่ทีมเวิร์ค แต่ข้อวัตรปฏิบัตินั้นอยู่ทุกเราทุกหนทุกแห่ง การประพฤติการปฏิบัตินั้นถึงไม่เลือกกาลไม่เลือกเวลาสถานที่ เราอยู่ที่ไหนเราก็ปฏิบัติที่นั่น เพราะธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ หน้าที่ทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจเพื่อให้เราพัฒนาวิทยาศาสตร์พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันด้วยปัญญาด้วยปฏิปทา
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราจะไม่ได้ไปตามผัสสะ เพราะเราทุกคนมีผัสสะทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราทั้งหลายจะได้รู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายถึงจะได้จบเรื่องจบราวที่ปัจจุบัน เพื่อเอาสรีระร่างกายที่มีอายุขัย ที่อยู่ได้ร่วม ๆ ร้อยปีหรือศตวรรษหนึ่งนี้แหละ เพื่อให้เป็นทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุ เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราทั้งหลายอย่าพากันขี้เกียจขี้คร้าน ต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องรู้เข้าใจเพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันไม่จบหรอก เราต้องรู้เข้าใจว่าสิ่งทั้งหลายนั้นมันไม่จบ เราต้องจบด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ ด้วยการประพฤติการปฏิบัติ อย่าไปใจอ่อน เค้าจะเลิกสิ่งเสพติด เลิกเหล้าเลิกเบียร์เลิกการพนัน เลิกสิ่งที่เราติดเราชอบ ต้องเข้าถึงภาคบำบัด อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาติดต่อต่อเนื่องกันเป็น ๓ อาทิตย์ขึ้นไปถึงจะแก้ปัญหาได้
เราต้องรู้เข้าใจว่าทำไมพระธรรมพระวินัยถึงมากมายตั้งแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ เพราะเหตุผลว่า เราจะได้เอาพระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่เอามาใช้เป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เพื่อยกเลิกไม่ให้เราทั้งหลายไปตามผัสสะไปตามสิ่งแวดล้อม เราจะจบลงได้ด้วยพระธรรมพระวินัย ถึงตรัสว่าสติสัมปชัญญะวินัยเพื่อเป็นพื้นเป็นฐาน เราทั้งหลายไม่ได้ไปตามผัสสะ เพราะปัจจุบันนี้เราคิดอะไรได้ทีละอย่าง เราพูดอะไรได้ทีละอย่าง กิริยามารยาทอาชีพมันทำได้ทีละอย่าง ถ้าปัจจุบันเรามีสติสัมปชัญญะ ปัญญาทุกอย่างมันก็จะหยุดได้ที่ปัจจุบัน
เราต้องรู้เข้าใจ รู้จักเปรียบเทียบ อย่างรายการดี ๆ เค้าออกอากาศทางโทรทัศน์ก็ย่อมมีรายการโฆษณาสรรพสินค้าต่าง ๆ ฉันใดก็ฉันนั้น เรามีตาหูจมูกลิ้นกายใจก็เปรียบเสมือนเค้าโฆษณาสรรพสินค้า ค้าขายอย่างนั้นแหละ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามผัสสะ เพราะผัสสะต่าง ๆ นั้นให้เรารู้เข้าใจเป็นเพียงอาคันตุกะสัญจรไปมาเท่านั้นมันเป็นข้อสอบให้เราได้ตอบ มันเป็นสิ่งที่เราจะได้ทำความดีสร้างบารมีที่ประกอบด้วยปัญญา ปัญญาประอบด้วยบารมี เราทั้งหลายต้องพากันรู้พากันเข้าใจ เราทั้งหลายระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีแต่คุณมีแต่ประโยชน์หาโทษมิได้เลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงไม่ให้เราประมาท ให้เราระลึกถึงปัจฉิมโอวาท พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานท่านได้ตรัสโอวาทสำคัญครั้งสุดท้ายไว้ว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร
ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรมมาประพฤติมาปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง
ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น
การบรรยายพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ประกอบด้วยบริสุทธิคุณที่เป็นอริยมรรคเป็นหนทางประพฤติปฏิบัติที่ประเสริฐของเราทุกคนในเช้าของวันอาทิตย์ที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ ก็เห็นสมควรแก่เวลา ขอสมมติยุติการบรรยายไว้เพียงเท่านี้ เอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้
-----------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันอาทิตย์ที่ ๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา