๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันอังคารที่ ๔ ของเดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
พสกนิกรชาวไทยชาวต่างประเทศได้ร่วมใจสมัครสมานสามัคคี ทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่อบำเพ็ญพระราชกุศลน้อมอุทิศถวายแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระองค์ทรงเป็นดั่งแสงแห่งความดีงามที่ส่องนำใจปวงชนชาวไทยและชาวโลก
แม้การเสด็จสวรรคตของพระองค์จะเป็นความสูญเสียอันใหญ่หลวง แต่พระราชจริยวัตรอันงดงาม และพระราชกรณียกิจอันทรงคุณค่าจะยังคงสถิตอยู่ในใจของปวงปวงชนชาวไทยและชาวโลกตลอดกาลนาน ปวงข้าพระพุทธเจ้าขอถวายความอาลัยอย่างสุดซึ้ง ขอน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ ผองพสกนิกรชาวไทยน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณตราบนิจนิรันดร์
ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราทั้งหลายพากันมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติเพื่อทำหน้าที่ของเราทุก ๆ คน มาเอาสมมติสัจจะที่หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายได้แต่งตั้งไว้ได้บัญญัติไว้เพื่อเอามาใช้เอามาประพฤติปฏิบัติ เพื่อเอามาทำหน้าที่ ให้เข้าใจนะว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ สมมติสัจจะนั้นจะได้เป็นคุณเป็นประโยชน์ จะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เอาสมมติที่เราเข้าใจมาประพฤติมาปฏิบัติเพื่อให้มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อจะก้าวไปด้วยทางสายกลาง เรื่องจิตเรื่องใจเรื่องวัตถุสองอย่างนี้ต้องไปพร้อมกัน
ให้เรารู้เข้าใจในเรื่องของชาติ ชาตินั้นได้แก่การเวียนว่ายตายเกิด ให้รู้เข้าใจเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด การเวียนว่ายตายเกิดมันมาจากเหตุจากปัจจัย มันเป็นกระบวนการของกรรม ทุกอย่างนั้นมันคือกรรมคือกฎแห่งกรรมแล้วก็จะได้รับผลของกรรม เราทั้งหลายถึงต้องมารู้เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด มาเข้าใจเรื่องชาต เรื่องความเกิด เพื่อเราจะได้เข้าสู่หลักการอุดมการณ์ อุดมธรรม เพื่อจะได้ก้าวไประหว่างวัตถุที่ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ เป็นหลักการในการประพฤติการปฏิบัติพร้อมการพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กันให้เป็นทางสายกลาง
เราทุกคนต้องพากันรู้พากันเข้าใจอย่างนี้ เข้าสู่ระบบความคิด คำพูด การกระทำ กิริยามารยาทอาชีพ เราต้องเข้าสู่ความรู้พร้อมกับการประพฤติการปฏิบัติ ความรู้ของเรากับการประพฤติการปฏิบัติต้องไปพร้อม ๆ กันจะแยกจากกันไม่ได้ ความรู้กับการประพฤติการปฏิบัติต้องไปพร้อม ๆกัน ความรู้ต้องเป็นพื้นฐาน การปฏิบัติต้องเป็นพื้นฐานเป็นความสงบและปัญญา สองอย่างนี้ต้องมารวมกันเรียกว่าสติปัฏฐาน
เราทุกคนต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อทำหน้าที่ เพราะหน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ เราทั้งหลายถึงจะไม่มีความทุกข์ ถ้าเราไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ เราทุกคนก็ต้องมีความทุกข์ ด้วยเหตุผลนี้เราทุกคนต้องมีสติมีสัมปชัญญะ
เราทั้งหลายถึงจะไม่เป็นโรคซึมเศร้า มนุษย์เราถ้ารู้เข้าใจแล้วพากันมีสติมีสัมปชัญญะ มนุษย์เราจะไม่มีความทุกข์หรือว่าไม่เป็นโรคซึมเศร้า
มนุษย์เราถึงต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ความทุกข์จะไม่ได้มีกับเรา โรคซึมเศร้าจะไม่ได้มีกับเรา เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเปรียบให้รู้เข้าใจว่าเหมือนกับสายพิณนี้แหละ ถ้าสายพิณนั้นตึงเกินไปสายพิณนั้นก็จะขาด เพราะว่ามันตึงเกินไป ถ้ามันหย่อนเกินไปสายพิณนั้นก็จะไม่เพราะ ถ้าหย่อนมากสายพิณนั้นก็จะไม่ได้ยินเสียงเลย เพราะว่ามันหย่อนมากเกินไป มันต้องพอดี ไม่น้อย สติสัมปชัญญะถึงเป็นธรรมะที่ให้เราเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี เหมือนคติธรรมที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ ๙ ท่านตรัสกับพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกให้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ให้เอาความสงบและปัญญาเอามาใช้เอามาปฏิบัติ มนุษย์เราทั้งหลายถึงจะแก้ปัญหาได้ ถึงจะดับทุกข์ได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ สิ่งทั้งหลายนั้นจะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราต้องเข้าใจคำว่าชาติอย่างนี้ ชาติคือความเกิด ความเกิดนั้นมันมาจากเหตุจากปัจจัย เราต้องรู้เหตุรู้ปัจจัย เราทั้งหลายจะได้รู้การประพฤติการปฏิบัติของเราในปัจจุบัน ปัจจุบันนี้เราต้องรู้ รู้แล้วยังไม่พอ เราต้องประพฤติต้องปฏิบัติเพื่อจะให้ความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ถึงจะไม่มีปัญหา เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ถึงจะหยุดปัญหาไม่มีปัญหา เรื่องปัญหาในอดีตก็หมดไป ปัญหาในอนาคตก็ไม่มี สิ่งทั้งหลายทั้งปวงจะหยุดลงที่ปัจจุบันหยุดลงที่ผัสสะ
คำว่าพระศาสนานี้ให้เราทั้งหลายพากันเข้าใจ พระศาสนานี้ก็หมายถึงความรู้ความเข้าใจ เมื่อรู้เข้าใจแล้วเอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อหยุดปัญหาในอดีตที่ผ่านมา ไม่สร้างปัญหาใหม่ให้เกิดขึ้น เราจะหยุดปัญหาได้ก็เพราะเรารู้เข้าใจ เรารู้เข้าใจแล้วเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ความสงบและปัญญาถึงจะหยุดปัญหาได้ ความสงบและปัญญานั้นจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี
จิ๊กซอว์ที่มันเป็นกระบวนของกระแสปฏิจจสมุปบาทที่ติดต่อต่อเนื่องมันจะจบลงที่ความรู้ความเข้าใจ จบลงที่ความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ การประพฤติการปฏิบัตินี้ปริยัติกับการปฏิบัติถึงแยกกันไม่ได้ ถ้าแยกกันเมื่อไหร่ก็จะเสียหายก็จะพังทลายเหมือนตึก สตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย
เราต้องรู้จักคำว่าหลักการของการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อรู้แล้วไม่เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติมันก็ไม่ได้ มันเสียหายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. การพัฒนาต้องพัฒนาให้ติดต่อต่อเนื่องเพื่อให้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ที่เราติดสิ่งเสพติด ติดรูปสวย ๆ เสียงเพราะ ๆ กลิ่นหอม ๆ อาหารอร่อย สิ่งที่สัมผัสที่พอดี อ่อนนุ่ม เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ ต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราต้องเข้าสู่ภาคปฏิบัติ ภาคบำบัด เพื่อเข้าสู่หลักการอุดมการณ์อุดมธรรม
เราพัฒนาทั้งทางวัตถุที่มันเป็นวิทยาศาสตร์เพื่อให้วิทยาศาสตร์ของเราก้าวหน้าไม่ล้าหลัง เราต้องพากันเสียสละในการพากันพัฒนาวิทยาศาสตร์เพื่อไม่ให้ล้าหลัง พร้อมทั้งพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน เพราะสองอย่างนี้ต้องไปพร้อม ๆ กันเพื่อให้ชาติคือความเกิด เพื่อให้เป็นพระศาสนา จะได้มีความสงบมีปัญญาไปพร้อม ๆ กัน
ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ๓ อย่างนี้ต้องไปพร้อม ๆ กันด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะได้ยกเลิกสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน เราจะได้เข้าถึงคำว่าชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เราทั้งหลายจะเข้าถึงความดับทุกข์ในปัจจุบัน เป็นประโยชน์ทั้งในปัจจุบันและอนาคต หมายถึงเอาทั้งวิทยาศาสตร์ เอาทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน ไม่ต้องไปคิด ไม่ต้องลังเลสงสัยในชาตินี้ชาติหน้า หมู่มวลมนุษย์เราถ้าเรารู้เข้าใจ ยกเลิกสัญชาตญาณ ยกเลิกนิติบุคคลตัวตน หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายก็จะมีความสงบและปัญญา เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เราจะได้เข้าถึงกระบวนการของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ ทางรูปธรรมเราก็พัฒนาทางวิทยาศาสตร์ ทางนามธรรมเราก็พัฒนาทางปัญญา รูปธรรมกับนามธรรมนี้มันคนละอย่างนะ ความเกิดความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากนี้มันคือรูปธรรมนะ ส่วนนามธรรมนั้นมันเป็นเรื่องจิตเรื่องใจนะ ถ้าใจของเรามีปัญญา ใจของเรามีสัมมาทิฏฐิ ยกเลิกตัวเราของเรา หรือว่ายกเลิกตัวกูของกู ของเราของเขา จิตของเราก็จะเข้าถึงความว่าง จิตใจของเราก็จะไม่มีความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก จิตใจของเราก็จะเป็นประภัสสร จิตใจของเราก็จะมีพระศาสนา
พระศาสนาคือธรรมะ ธรรมะคือพระศาสนา พระศาสนานี้หมายถึงเรารู้จักสภาวธรรม รู้อย่างไร... รู้ว่าธาตุทั้ง ๔ ดินน้ำลมไฟ มันเป็นส่วนของวัตถุเป็นส่วนของกายไม่ใช่ส่วนของใจ อันนี้มันเป็นรูปธรรมเป็นธรรมชาติที่เกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัยเกิดจากกระบวน เมื่อเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เรายังมีอวิชชามีความหลง ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ นั้นก็ย่อมมีที่เป็นรูปธรรม เมื่อเรารู้เข้าใจเราก็หยุดมันไว้ที่ปัจจุบัน รูปธรรมก็ให้เป็นรูปธรรม ให้เข้าใจว่า ๒ อย่างนี้มันคนละอย่าง ไม่ใช่สิ่งเดียวกันนะ เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ยกเลิกความเห็นผิดเข้าใจผิดที่มีความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นเราเป็นของเรา เราต้องเข้าสู่ภาคปฏิบัติภาคบำบัด เพื่อจะได้เกิดสติเกิดสัมปชัญญะในภาคปฏิบัติภาคบำบัด เพื่อไม่ให้มันตึงเกินไปที่มันหย่อนเกินไป ไม่ให้ตึงเครียดเกินไป เพราะตัวตนนั้นมีแต่ความเครียดนะ ตัวตนมีแต่ความทุกข์นะ ตัวตนมีแต่ความเครียดนะ เราต้องยกเลิกตัวตน ต้องยกเลิกความเครียด ความเครียดคือความทุกข์นะ เราจะหยุดความเครียดความทุกข์ได้ ก็ต้องเจริญสติสัมปชัญญะ เราอย่าไปปล่อยวางความดี ถ้าเราปล่อยวางความดีเราก็ไม่มีการประพฤติการปฏิบัติ เดี๋ยวชีวิตของเรามันจะหย่อนเกินไป ไม่ใช่ทางสายกลาง ไม่ใช่ความพอดี ความพอเพียงเพียงพอ เราต้องรู้เข้าใจ เราอย่าไปปล่อยวางข้อวัตรกิจวัตรที่เป็นข้อวัตรข้อปฏิบัติของเรา ให้เข้าใจว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราจะไม่ได้เคร่งเกินคำสอน เราจะไม่ได้หย่อนตามความหลง เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี สิ่งทั้งหลายทั้งปวงให้เราเข้าใจนะ เราอย่าไปตัดออก เราอย่าไปเพิ่ม
เราทั้งหลายพากันตั้งใจตั้งเจตนา ความตั้งใจตั้งเจตนานี้สำคัญ เป็นหลักการ เป็นอุดมการณ์อุดมธรรม ทุกต้องตั้งใจตั้งเจตนา ต้องมีความสุขมีปิติที่เป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติของเราทุก ๆ คน ให้ทุกคนพากันมีสติมีสัมปชัญญะ มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ให้พากันรู้พากันเข้าใจนะ อดีตที่ผ่านมาทั้งหมดก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบันนี้แล้ว อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มาอยู่ที่ปัจจุบันนี้เอง ปัจจุบันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นวาระสำคัญ ถือว่าเป็นวาระแห่งชาติของการประพฤติการปฏิบัติของเรา เราจะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราจะได้เอาหลักของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เพื่อพัฒนาเป็นทางสายกลาง เราจะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราจะได้เอาหลัก ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ที่เป็นหลักการของศีลสมาธิปัญญา เพื่อเอามาใช้เอามาพัฒนาระหว่างใจกับวัตถุเพื่อเป็นทางสายกลาง เพื่อให้เป็นทางสายกลาง
ทางสายกลางนี้เราต้องยกเลิกตัวตน การยกเลิกนี้ก็หมายถึงยกเลิกความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากนะ เพราะตัวตนมันคือบุคคลไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ บุคคลไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะนั้นถึงบุคคลที่เป็นตัวเป็นตน เราต้องยกเลิกตัวยกเลิกตน เราถึงจะเป็นคนที่มีชาติมีศาสนา เราทั้งหลายต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิอย่างนี้ ต้องรู้เรื่องของชาติ ศาสน์ กษัตริย์อย่างนี้ เราอย่าไปรู้ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ที่เป็นความยึดมั่นถือมั่นที่เป็นตัวเป็นตน เราอย่าไปรู้ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ที่ให้เกิดเป็นตัวเป็นตน ความยึดมั่นถือมั่นที่เป็นตัวเป็นตนให้เรารู้เข้าใจ เป็นการเวียนว่ายตายเกิด เราต้องรู้เข้าใจ เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราต้องรู้รูปธรรม เราจะหยุดกรรม หยุดกฎแห่งกรรม หยุดผลของกรรม เราจะหยุดที่ปัจจุบัน เราต้องยกเลิกในปัจจุบันนี้ เราจะได้มีสติมีสัมปชัญญะ จะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ไม่ตึงเกินไปไม่หย่อนเกินไป
เป็นทางสายกลางเป็นความสงบและปัญญามนุษย์เราทุกคนต้องพากันรู้พากันเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติของเราเอง เพราะการประพฤติการปฏิบัตินั้น เราทุกคนจะต้องประพฤติต้องปฏิบัติเอาเอง ไม่มีใครประพฤติปฏิบัติแทนกันได้ หลักการของมนุษย์ต้องปฏิบัติให้เป็นทางสายกลาง เราต้องเข้าใจนะ สมถะกับวิปัสสนาต้องสลับกันไป ผู้ที่มีปัญญาก็ต้องมีความสงบ ผู้มีความสงบก็ต้องเสียสละ ความรู้กับการปฏิบัติควบคู่กันไป เข้าถึงความพอเพียงเพียงพออย่างนี้แหละ เราปฏิบัติอย่างนี้ก็จะเกิดความมั่นคงของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เราเอาความไม่ถูกต้องนำชีวิตมันคือการทำลายความมั่นคงของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เราต้องรู้เข้าใจ ความไม่รู้ไม่เข้าใจนั้นมันจะระเบิดตัวของมันเองด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ ความรู้ความเข้าใจเราเอามาใช้เอามาปฏิบัติมันจะก้าวไปทั้งรูปธรรมนามธรรมไปในตัว เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้เป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ให้เราทุกคนพากันเข้าใจนะ ทุกคนต้องพากันรู้เข้าใจ เราจะได้เข้าถึงความมั่นคงของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ทุกคนก็จะพากันเป็นพระได้ คำว่าพระนั้นคือผู้ที่ยกเลิกเรายกเลิกเขา ไม่มีเราไม่มีเขา มีแต่ความสงบและปัญญา ความเป็นพระต้องเป็นได้อย่างนี้
ทุกคนก็พากันเป็นพระได้พอ ๆ กันนะ เป็นพระได้กันหมดทุก ๆ คน ไม่มีใครเป็นพระไม่ได้ ถ้ามีลมปราณมีลมหายใจอยู่ทุกคนเป็นพระได้ทุกชาติทุกศาสนาเป็นพระได้หมด นอกจากคนบ้า คนบ้าคนวิกลจริตคนสมองเสียเป็นพระไม่ได้ เพราะสมองเสียแล้ว เขาถึงไม่เอาเรื่องเอาราวกับคนบ้า เราเอาตัวเอาตนนำชีวิต เราทุกคนก็เป็นคนมีเชื้อบ้านะ ตัวตนนั้นถ้าจะกล่าวให้ตรงมากที่สุด ตัวตนคือคนผีบ้า บักผีบ้า อีผีบ้า คนบ้าก็จะไปกล่าวหาแต่คนอื่น
การพัฒนาวิทยาศาสตร์เค้าถึงพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ถ้าไม่พัฒนาสองอย่าง ถึงเราจะรวยก็แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะมันเป็นความไม่พอเพียงเพียงพอ รวยเท่าไหร่ก็ไม่พอ ที่มีความจนเพราะไม่รู้จักพอ จนไม่รู้จักพอนี้ก็พอน่าสงสารมากกว่าจนเพราะไม่มีนะ ปัญหาต่าง ๆ อยู่ในโลกปัจจุบันนี้มีความจนเพราะไม่รู้จักพอ ผู้ที่เรียนมากรู้มากคือบุคคลที่สร้างปัญหามาก ผู้ที่รวยมาก มีชื่อเสียงเกียรติยศมากที่ไม่รู้จักพอนี้สร้างปัญหามาก สร้างปัญหามากกว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก สัตว์เดรัจฉานทั้งหลายเค้าไม่ฉลาดเค้าไม่มีปัญญา เค้าไม่รวย ไม่มีบารมี เค้าก็ยังไม่สร้างปัญหาเท่ากับผู้ที่มีปัญญามาก ผู้ที่รวยมาก ผู้ที่มีบารมีมาก สัตว์ทั้งหลายถ้าเค้ามีอาหารพอ เค้านอนหลับดีนะ เค้าไม่ได้กินยานอนไม่หลับน่ะ
ด้วยเหตุผลนี้แหละ เรามีปัญญามากเราถึงต้องมีความสงบมาก ๆ ถ้าเรามีปัญญามาก ๆ เราไม่เสียสละมาก ๆ มันก็ย่อมเสียหาย มันก็ย่อมพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. ฉันใดก็ฉันนั้น
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้มีปิติมีความสุขในการทำงานเราจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เราขยันเพื่อตัวเพื่อตน ไม่ใช่ขยันเพื่อเสียสละ มันเป็นการเรียนการศึกษาเพื่อทำลายความถูกต้องนะ มันเป็นการทำงานเพื่อทำลายความเห็นถูกต้อง มันเป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวชเพื่อทำลายความเห็นถูกต้อง เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราจะได้เข้าถึงทางสายกลาง เมื่อมีปัญญามาก ๆ แล้วก็ต้องสงบมาก ๆ เมื่อมีความสงบมาก ๆ เราจะมาติดความสงบทำไม เราก็ต้องเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละเราก็เข้าถึงได้ตั้งแต่สมถะ วิปัสสนาเราก็ไม่เกิด เราจะมีได้เป็นได้แต่เพียงสมาธิแต่เพียงสมาบัติ
ด้วยเหตุผลนี้เราต้องเสียสละ เสียสละให้มาก ๆ เราคิดดูดี ๆ นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านหมดกิเลสสิ้นอาสวะทั้งก็ยิ่งเสียสละ วันหนึ่งคืนหนึ่งท่านทรงบรรทมพักผ่อนให้สรีระร่างกายนั้น ๔ ชั่วโมง ทำงานเพื่อหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายสรรพสัตว์ทั้งหลาย ๒๐ ชั่วโมง วันหนึ่งคืนหนึ่งมีแต่เสียสละตลอด ๒๔ ชั่วโมงเลย มนุษย์เราทั้งหลายต้องเข้าใจนะ เราอย่าเห็นแก่ตัว เราอย่ามีโลกส่วนตัว
เราต้องเสียสละ... มนุษย์เรานี้คือเป็นผู้ให้เป็นผู้เข้าใจเป็นผู้เสียสละ เราไม่เสียสละนั้นเป็นบุคคลไม่รู้เข้าใจนะ ไม่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เอาความสุขจากความหลง ความหลงคือความไม่ถูกต้อง มันเป็นสิ่งที่ไม่ดีนะ เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เราไม่มีคุณสมบัติของผู้ดี เป็นคุณสมบัติของคนพาล พาลหาเรื่องหาราว ไม่มีเรื่องก็ไปสร้างเรื่อง ไม่มีราวก็ไปสร้างราว สร้างปัญหาให้กับตัวเองให้มีความทุกข์ สร้างปัญหาให้คนอื่นเป็นทุกข์ ศัพท์ที่ว่าตัณหานี้คือศัพท์ที่หาเรื่องหาราวให้กับทั้งตัวเราเองและคนอื่น
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเปรียบให้รู้เข้าใจว่า อันนี้ไม่ได้นะ มันมีแต่ทุกข์เกิดขึ้นทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไปนอกจากทุกข์นี้ไม่มีเลยนะ เปรียบเสมือนทะเลมหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำ เปรียบเสมือนไฟทั้งหลายไม่อิ่มด้วยเชื้อของเพลิง เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เราจะได้ยกเลิกตัวตน เราทั้งหลายจะได้พากันเป็นพระได้ทุก ๆ คนนะ
เราคิดดี ๆ ยกเลิกตัวตน เราพูดดี ๆ ยกเลิกตัวตน เรากิริยามารยาทดี ๆ ยกเลิกตัวตน อาชีพดี ๆ ยกเลิกตัวตน ให้เข้าใจอย่างนี้ทุกคนก็พากันเป็นพระได้ ที่เค้าแต่งตั้งให้เราเป็นโน่นเป็นนี่เราต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีด้วยปิติด้วยสุขเอกัคคตาเพื่อเอาสมมติสัจจะไปประพฤติปฏิบัติให้เกิดความสงบเกิดความพอเพียงเพียงพอ เราทุกคนจะได้พากันเป็นพระได้ เราเอาตัวตนนำชีวิต เอาความผิดนำชีวิตเราทุกคนจะเป็นพระได้อย่างไร คำว่าพระนี้รู้เข้าใจ เราจะได้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติหน้าที่ เพราะเหตุผลว่า ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ปัจจุบันเราจะได้มีความสุขไม่ต้องมีความทุกข์ เหตุทั้งหลายทั้งปวงนั้นจะได้จบลงในปัจจุบันนี้ จบลงที่ผัสสะนี้
เราต้องรู้จักหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ ต้องพากันประพฤติปฏิบัติในปัจจุบัน ให้รู้จักข้อสอบที่มันอยู่ในปัจจุบันนี้ เราก็ตอบที่ปัจจุบันนี้แหละ เราทุกคนจะได้พากันเป็นพระ พระนี้ให้เรารู้เข้าใจ คือผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ให้รู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามผัสสะ จะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม ให้รู้เข้าใจ ต้องพากันเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ เพราะสติสัมปชัญญะมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ ต้องให้เป็นคุณ คิดให้เป็นคุณ พูดให้เป็นคุณ กิริยามารยาทเป็นคุณ อาชีพเป็นคุณ เราทั้งหลายไม่ต้องไปคิดเหมือนแต่ก่อน แต่ก่อนจะไปแก้แต่ภายนอก แต่ก่อนจะไปแก้ไขตั้งแต่สิ่งภายนอก สิ่งภายนอกเราก็ต้องแก้ไข ตัวเราก็ต้องแก้ไขเพื่อให้เป็นทางสายกลางระหว่างวัตถุกับจิตใจไปพร้อม ๆ กัน ให้เข้าใจว่าเราต้องแก้ทั้งภายนอก แก้ทั้งภายใน เพื่อให้ครบวงจรของการประพฤติการปฏิบัติที่เป็นอริยมรรคในการประพฤติการปฏิบัติ
คนอื่นก็ให้เค้าแก้ของเค้าเอง เรามีหน้าที่ของเรา เราต้องแก้ที่เรา ตัวเราแก้ทั้งหมด แก้ทั้งกายวาจากิริยามารยาทมารวมที่ใจที่เจตนา ให้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
เราต้องเข้าสู่ระบบความคิดคำพูดการกระทำกิริยามารยาทอาชีพ ยกเลิกตัวตน เพราะธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราพยายามมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราทุกคนอย่าเอาตัวตนนำชีวิต
เราอย่าไปคนหลงมาก อย่าไปคนมีโลกส่วนตัว มันไม่ใช่ไม่ถูกต้อง โลกส่วนตัวคือโลกที่มันเป็นตัวเป็นตน มันไม่ถูกต้องนะ มันเสียหายมาก เราต้องยกเลิกโลกส่วนตัว ยกเลิกตัวยกเลิกตน เพราะโลกส่วนตัวนี้เราจะเอาแต่ตัวเอาแต่ตนเอาแต่ความสงบ รู้มั๊ยเข้าใจมั๊ย เมื่อเรามีความสงบแล้วเราก็ต้องเสียสละ เราไม่เสียสละนั้นคือปัญหานะ เราทุกคนต้องเสียสละ อย่าพากันมีโลกส่วนตัว อย่ามีโลกตัวกูของกู แล้วก็มีโลกคนอื่น โลกส่วนตัวนี้เป็นโลกที่น่าเกลียดนะ
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนท่านตรัสว่า ตัวตนนี้ไม่ได้นะ ตัวตนนี้มันเสียหาย เราจะเอาตัวตนเอาโลกส่วนตัวไม่ได้ เราต้องยกเลิกตัวตน เราถึงจะมีศีลมีสมาธิมีปัญญา เมื่อเรามีความสงบมาก ๆ เราก็ต้องเสียสละมาก ๆ ธรรมะถึงจะเกิดได้ เรามีตัวมีตนธรรมะที่ไหนจะเกิดได้ เพราะตัวตนนี้มันเสียหายนะ ตัวตนมันดีแต่ฟอร์มนอก ข้างในมันเน่าในเปียกแฉะ ข้างในนี้มันเหม็นะ ไม่ใช่เหม็นธรรมดา เหม็นตั้งหลายแดนโลกธาตุ เหม็นสามแดนโลกธาตุเลยนะ
เราทั้งหลายต้องยกเลิกโลกส่วนตัว นั้นไม่ใช่คนรักความสงบนะ คนนั้นมีตัวมีตนมาก มีอีโก้มากมีความหลงมากต่างหาก คือบุคคลมีปมด้อย ไม่รู้จักการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบันที่ปัจจุบัน ไม่รู้เรื่องรู้ราวในการประพฤติการปฏิบัติ ปล่อยให้เวลามันผ่านไปเสียหาย ด้วยเอาสมาธิเอาสมาบัตินึกว่าเป็นพระนิพพาน นึกว่าตัวเองชอบความสงบ ที่ไหนได้ล่ะกำลังหลงนะ
ที่เราเอาความรู้สึก เอาความสงบเป็นเรา เอาความชอบไม่ชอบเป็นเรา นี้คือบุคคลยังไม่รู้เรื่องการประพฤติการปฏิบัตินะ เราอย่าไปคิดว่าตัวเองชอบความสงบ ไม่ใช่ความสงบนะ อันนั้นเป็นตัวตน เราทุกคนต้องให้มีปัญญาวิปัสสนานะ อย่าให้มีปัญญาวิปัสสนูนะ เรามีความสงบแล้วเราก็ต้องเสียสละ ถ้าเรายกเลิกตัวตนความสงบก็ย่อมอยู่ทุกหนทุกแห่ง ที่ไหนมีสติมีสัมปชัญญะ ที่นั่นก็ต้องมีความสงบและปัญญา มีสมถะวิปัสสนาอยู่ทุกหนทุกแห่ง เราทั้งหลายอย่าพากันเอาพระนิพพานที่มันเป็นตัวเป็นตนนะ เราต้องรู้เข้าใจเรื่องพระนิพพาน พระนิพพานต้องว่างจากสัญชาตญาณที่เป็นตัวกูของกูตัวคนอื่น ต้องเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นความหมายที่ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่มันจะมีประโยชน์อะไร มันต้องว่างจากสิ่งที่มีอยู่มันถึงจะมีประโยชน์ถึงจะเข้าถึงธรรมถึงปัจจุบันธรรมในปัจจุบัน ศีลถึงจะเป็นพระนิพพาน สมาธิถึงจะเป็นพระนิพพาน ปัญญาถึงจะเป็นพระนิพพาน ถึงจะเข้าถึงความสงบความพอเพียงเพียงพอ ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไปดับทุกข์ได้แก้ปัญหาได้
ผู้ที่มีโลกส่วนตัวมาก ๆ ต้องพากันไปพิจารณาตัวเองนะ เพื่อแก้ไขตัวเองให้เข้าถึงธรรมถึงปัจจุบัน อย่าอยู่ในมุขเก่า เอาแต่มุขเก่า อย่าพากันบริโภคความหลง บริโภคของเก่า เพื่อเราจะได้พัฒนาวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันที่เป็นวัตถุที่เราได้พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันเพื่อเข้าถึงพระนิพพานที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา
ให้เราระลึกนึกถึงปัจฉิมโอวาทของพระบรมศาสดาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่จะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานท่านได้ตรัสโอวาทสำคัญครั้งสุดท้ายไว้ว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร
ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรมมาประพฤติมาปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง
ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น
-----------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันอังคารที่ ๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา