๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

เช้าวันนี้พสกนิกรชาวไทยและชาวต่างประเทศได้มาร่วมรวมกันประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความโทมนัสและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน พระองค์ทรงเป็นดั่งแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและพระปรีชาสามารถ ทรงอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระราชหฤทัยในการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อธำรงไว้ซึ่งความผาสุกและความมั่นคงแห่งชาติไทย เราประชาชนชาวไทยต้องร่วมใจสมัครสมานสามัคคีทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่ออุทิศบุญกุศลน้อมเกล้าถวาย เพื่อเสด็จสู่สวรรคาลัย เข้าสู่สวรรค์มรรคผลพระนิพพาน

 

วันนี้เป็นวันพุธที่ ๕ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ เป็นวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำของเดือน ๑๒ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้พระอยู่จำพรรษาหน้าฝน ตั้งแต่วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำเดือน ๘ ให้ไปออกพรรษาวันเพ็ญ ๑๕ เดือน ๑๑ ออกพรรษาแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้พระพากันทำจีวร ทำกาลจีวร ให้เวลาทำงาน ๑ เดือนตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ไปถึงวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้พระที่อยู่ร่วมรวมกันครบ ๕ รูปขึ้นไป ให้มีความสมัครสมานสามัคคีพากันทำกาลจีวร ให้ทอด้วยด้ายเพื่อให้เป็นผ้า แล้วตัดเย็บย้อมให้เป็นผ้าสบงจีวรสังฆาฏิ ให้ใช้เวลา ๑ เดือนในการทำงาน ให้มีความสมัครสมานสามัคคีกัน ถึงได้มีประเพณีการทอดกฐินตั้งแต่ครั้งพุทธกาลมาจนถึงปัจจุบัน ถึงเป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย วันนี้ก็ครบเวลา ๑ เดือนแล้ว วันนี้เป็นวันสิ้นสุดในการทำกาลจีวร ในการทำกฐิน

 

ประเทศไทยเราตั้งอยู่ในดินแดนแห่งสุวรรณภูมิ มีเนื้อที่ ๕๑๓,๑๒๐ ตร.กม. มีประชากรที่ขึ้นทะเบียน ๖๕,๙๓๒,๑๐๕ คน นับถือศาสนาหลาย ๆ ศาสนา เราต้องพากันมารู้พากันมาเข้าใจในเรื่องชาติ ศาสน์ กษัตริย์...

 

ชาติ ศาสน์ กษัตริย์นี้เป็นหลักการ เป็นอุดมการณ์อุดมธรรม เป็นการเอาทางสายกลางนำชีวิต พัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจ พัฒนาเรื่องวัตถุไปพร้อม ๆ กัน ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ถึงเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมของเราทุก ๆ คน เราทุกคนต้องพากันรู้พากันเข้าใจ เราต้องเข้าใจเรื่องชาติ เรื่องศาสน์ เรื่องกษัตริย์

 

ชาติก็หมายถึงความเกิด ศาสน์ก็หมายถึงพระศาสนา พระมหากษัตริย์หมายถึงตัวปัญญา

 

มนุษย์เราต้องก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ พร้อมทั้งการประพฤติการปฏิบัติที่เป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อให้เป็นทางสายกลางที่เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาที่ประกอบไปด้วยความดี จะได้เป็นความพอเพียงเพียงพอ ไม่มากเกินไม่น้อยเกิน เปรียบเสมือนสายพิณสายกีต้าร์ ถ้าตึงเกินไปสายพิณนั้นก็จะขาด ถ้าหย่อนเกินไปเสียงก็ไม่ไพเราะ ต้องเข้าถึงความพอดีความพอเพียงเพียงพอ มนุษย์เราทุกคนทุก ๆ ชาติ ทุกศาสนา ก็ใช้หลักการอันเดียวกันนี้หมด เพราะหลักนี้มันเป็นหลักสากล ไม่มีใครยกเว้น ในโลกนี้มีประชากรของโลกอยู่แปดพันกว่าล้านคน มีประเทศทั้งหมดน้อยใหญ่ปัจจุบันนี้ ๑๙๕ ประเทศ ใช้หลักการอุดมการณ์อุดมธรรมอย่างเดียวกันนี้หมด

 

มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจ เมื่อรู้เมื่อเข้าใจเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เน้นที่ปัจจุบัน เพราะอดีตก็มารวมกันกันแล้วที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มารวมกันที่ปัจจุบัน ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญของการประพฤติการปฏิบัติ ด้วยเหตุผลนี้เราถึงมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเข้าถึงคำว่าชาติ

 

เราทั้งหลายรู้เข้าใจ จะได้เอาความรู้ไม่ได้เอาความหลง ไม่ได้เอาความผิด เข้าถึงความดับทุกข์ตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องถามว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร อนาคตก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้แหละ ปัจจุบันถึงต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ให้ถือว่าจิตสุดท้ายนี้อยู่ที่ปัจจุบันนี้ จิตที่เป็นรุ่งอรุณที่จะอยู่ข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้ ความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติให้เราทั้งหลายรู้เข้าใจ จะได้มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เมื่อมันผ่านไปแล้วเราก็ปล่อยก็วาง เพราะมันผ่านไปแล้วมันเกษียณแล้ว เราจะเอากลับคืนมาไม่ได้ ปัจจุบันนี้ถึงเป็นวาระสำคัญในการประพฤติการปฏิบัติ เราทุกคนต้องรู้เข้าใจ ต้องมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ให้เข้าใจว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ

 

เราทั้งหลายรู้เข้าใจ ว่าปัจจุบันนี้เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ สมมติสัจจะทั้งหลายให้เรารู้เข้าใจ เราต้องเอาสมมติสัจจะมาใช้มาปฏิบัติให้มีความสุข ให้มีปิติมีความสุขในการปฏิบัติต่อสมมติสัจจะให้ดี ๆ เราทั้งหลายต้องมีปัญญานะ เพราะเหตุผลว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เธอทั้งหลายจงพากันประพฤติพรหมจรรย์เถิด พรหมจรรย์นั้นหมายถึงสมมติสัจจะนี้แหละ เราจะได้ทำหน้าที่ของเราสมบูรณ์ เราจะได้เข้าถึงความสงบ เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องเข้าถึงความสงบ เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เราอยากได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่า เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่า

 

เราทั้งหลายต้องรู้ความจริง รู้อริยสัจสี่ เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติหน้าที่ เราเอาปัจจุบันนี้เป็นการประพฤติการปฏิบัติของเรา เมื่อเรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายก็จะเข้าถึงความสงบ เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอในตัวของมันเอง เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะการประพฤติการปฏิบัติไม่มีใครปฏิบัติแทนใครได้ ความคิดคำพูดการกระทำกิริยามารยาทอาชีพ บุคคลนั้นต้องประพฤติต้องปฏิบัติเอาเอง

 

เราต้องรู้หลักในการประพฤติการปฏิบัติของเราเอง ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสวา เราทั้งหลายอย่าพากันประมาทนะ ปัจจุบันให้ถือว่าเป็นวาระสำคัญของการประพฤติการปฏิบัติ อย่าไปประมาท เพราะความประมาทคือความผิดพลาด มันคือความเสียหาย มันเป็นการพังทลายเหมือนตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย ตึกไหน ๆ เค้าก็ไม่พัง ไปพังตึกเดียวเฉพาะตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน

 

ด้วยเหตุผลนี้ เราทุกคนถึงพากันเจริญสติ เจริญสัมปชัญญะ ให้มีปิติให้มีความสุขให้มีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราจะได้ก้าวไปด้วยปัญญาและการปฏิบัติ เราต้องยกเลิกสัญชาตญาณที่เป็นตัวเป็นตน ที่เราทุกคนได้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร เราต้องยกเลิกเราต้องหยุด เราจะหยุดได้อย่างไร เราจะหยุดได้ด้วยการมีสติมีสัมปชัญญะ เราทุกคนถึงต้องเจริญสติสัมปชัญญะ ให้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการทำหน้าที่ เพราะหน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่

 

ให้เรารู้เข้าใจ พระธรรมพระวินัยทั้งหมดแปดหมื่นพันพระธรรมขันธ์ เป็นคุณเป็นประโยชน์ เป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมเพื่อมาหยุดมายกเลิก สมมติสัจจะที่เป็นพระธรรมพระวินัย เราต้องเข้าใจ เป็นอุปกรณ์เพื่อเป็นหลักการอุดมการณ์ในการประพฤติการปฏิบัติ ให้เรารู้เข้าใจ เบื้องต้นใจมันไม่สงบไม่เป็นไรให้กายวาจากิริยามารยาทให้อาชีพมันสงบ ความสงบกับความเคารพคืออันหนึ่งอันเดียวกัน ให้เราเข้าใจนะ ถ้าเรามีความสงบเราก็มีความเคารพ คารวธรรมจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เราถึงเจริญสติสัมปชัญญะ

 

พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ให้เรารู้ให้เข้าใจ เราทั้งหลายอย่าพากันประมาท ความอร่อยความเพลิดเพลินของความติดความหลงนี้มันไม่จบ เราต้องรู้เข้าใจ ต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราต้องรู้เข้าใจ เพราะไม่มีอะไรมากไปกว่าความทุกข์ได้เกิดขึ้น ความทุกข์ได้ตั้งอยู่ ความทุกข์ได้ดับไป มันเป็นความเก่าไป เป็นความใหม่มา มันเป็นวัฏฏสงสาร เราต้องรู้เข้าใจในเรื่องความเกิด ถึงจะอร่อยมันก็เป็นไวรัสนะ ถึงจะสวยมันก็เป็นไวรัสนะ ถึงจะหล่อมันก็เป็นไวรัสนะ มันเป็นการหมุนไปไม่หยุด เราต้องหยุดด้วยรู้เข้าใจ มีสติมีสัมปชัญญะ

 

เราเข้าใจนะ ความสวยนั้นคือไวรัส ความหล่อนั้นคือไวรัส เสียงเพราะ ๆ นั้นคือไวรัส ความอร่อยนั้นคือไวรัส ความสุขคือไวรัสนะ เสียงเค้าสรรเสริญเยินยอนั้นคือไวรัสนะ ให้เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้จบลงในปัจจุบัน จบลงในผัสสะนั้น

 

ให้เรารู้เข้าใจว่าสิ่งต่าง ๆ นั้นมันไม่มีอะไรนอกจากทุกข์เกิดทุกข์ ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ตั้งไม่มีเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสบอกพวกเราทั้งหลาย เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็จะไปของมันเรื่อย ๆ ความไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็จะเป็นไปเพื่อการประกอบทุกข์ เราพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ก็เพื่ออำนวยความสะดวกความสบายในส่วนร่างกาย เพื่อให้ทุกคนได้สร้างความดีสร้างบารมีไม่ใช่เพื่อความหลง เพื่อความสะดวกความสบาย เราทุกคนต้องพากันมีสติสัมปชัญญะนะ เห็นภัยในวัฏฏสงสารด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

เราเป็นมนุษย์ก็ต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นเทวดาก็ต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นพระพรหมก็ต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ให้เราทุกคนรู้เข้าใจ จะได้เจริญสติสัมปชัญญะ ผู้มีปัญญามาก ๆ ก็ต้องสงบมาก ๆ ให้เข้าใจอย่างนี้นะ ผู้มีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ เราทุกคนต้องเข้าใจอย่างนี้ ถึงจะเข้าถึงความพอดี ความพอเพียงเพียงพอ

 

เราทั้งหลายต้องเข้าใจคำว่าไว้ทุกข์ คำว่าไว้ทุกข์ ทุกข์นี้ให้เอาไว้ ไม่ต้องเอาติดตามตัวไป ให้เอาทุกข์วางไว้ ไม่ต้องเอาติดตัวไป เพราะเรื่องอดีตก็ให้เป็นอดีตไป เราไม่ต้องเอาอดีตไป อดีตมันเป็นความทุกข์นะ ให้อดีตนั้นมันจบลงที่ปัจจุบัน ให้เอาทุกข์วางไว้ก่อน ไม่ต้องเอาทุกข์ติดตัวเราไป ประเพณีไว้ทุกข์ ดีแล้วถูกต้องแล้ว ที่ไม่ต้องเอาทุกข์ติดตัวไป ต้องยกเลิกทุกข์ ต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในปัจจุบัน ต้องยกเลิกทุกข์เสียด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ ไม่ต้องเอาทุกข์ติดตัวไป ให้เอาทุกข์วางลงที่นั่นแหละ เพื่อให้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เรื่องความทุกข์ของกายก็ให้เป็นทุกข์ของกายไป ให้เรารู้เข้าใจนะ กายก็ส่วนหนึ่ง ใจก็ส่วนหนึ่งนะ ต้องรู้เข้าใจ จะไม่ได้ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ เรื่องความเกิดความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากมันเป็นเรื่องของกายนะ กายก็ส่วนหนึ่ง ใจก็ส่วนหนึ่งมันคนละอย่างนะ

 

เราคิดดูดี ๆ สิ ใจของเราทุกคนเป็นประภัสสร ไม่มีแก่ไม่มีเจ็บไม่มีตายไม่มีพลัดพรากเป็นประภัสสร ใจของเราเป็นประภัสสร ที่มันสัญจรไปมามันเป็นร่างกายนะ ไม่ใช่ใจ เราทั้งหลายต้องพากันรู้ความเป็นประภัสสร สิ่งที่สัญจรไปมามันเป็นเรื่องของกาย ไม่ใช่เรื่องของใจนะ มันเป็นอาคันตุกะที่สัญจรไปมาชั่วครู่ชั่วยาม

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้หยุดที่ปัจจุบัน หรือว่าหยุดลงที่ผัสสะ เราจะไม่ได้เอาความหลงนำชีวิต จะไม่ได้เอาความผิดนำชีวิต ด้วยเหตุผลนี้ เราถึงต้องพากันรู้พากันเข้าใจ แล้วพากันประพฤติพากันปฏิบัติเพื่อเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาที่ประกอบด้วยความดี แล้วพากันมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราคิดดูดี ๆ นะ เรามีเพื่อนคนหนึ่งหรือว่าหลายคนเติบโตมาด้วยกัน เราจากกันไปหลายปี วันนี้มาเจอกัน เห็นเพื่อนเราแก่เฒ่าชรา แต่ใจของเรานั้นก็ยังเป็นเหมือนเก่า มันคือความว่าง ว่างจากเขาจากเรา ใจของเรามันคือความว่างเปล่านะ สิ่งที่สัญจรไปมาที่เรามองเห็นเป็นอาคันตุกะ ท่านจึงให้เราเจริญวิปัสสนา ให้เห็นกายภายนอก เห็นกายคนอื่นแล้วก็กลับมามองกายภายในตัวเรา อันนี้เรามาระลึกถึงว่าอันนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่เขา อันนี้มันคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม ด้วยเหตุผลนี้เราต้องรู้ความจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันเป็นเพียงเหตุเพียงปัจจัย เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้หยุดตัวเองได้ในปัจจุบัน ปัจจุบันเราถึงเจริญสติสัมปชัญญะ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่า ผู้มีปัญญามาก ๆ ถึงต้องสงบมาก ๆ นะ ผู้มีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละ เพื่อรู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติของตัวเอง ชีวิตของเราต้องก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ให้ทุกท่านทุกคนพากันประพฤติปฏิบัติของเราด้วยการเจริญสติสัมปชัญญะ เราจะไปปล่อยไปลอย ๆ ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจเค้าเรียกว่าลอยไปลอยมา ลอยหน้าลอยตาไม่รู้เรื่องการประพฤติการปฏิบัติอะไรเลย เราทุกคนต้องรู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เราพากันนอนพากันพักผ่อนให้เพียงพอ วันหนึ่งคืนหนึ่งเราพากันนอนพักผ่อนสำหรับนักบวชก็นอนพักผ่อน ๕ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมง สำหรับผู้ไม่ได้บวชก็นอน ๖-๘ ชั่วโมง ปัจจุบันเราก็ทำหน้าที่ทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพอย่างมีความสุข ยกเลิกตัวตน มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติเราก็มีความสุขแล้วดับทุกข์แล้ว มนุษย์เราถ้าเรารู้เข้าใจ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราก็ต้องสบายทั้งภายนอกสบายทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน ธรรมะถึงเป็นปัจจุบัน ปัจจุบันถึงเป็นอริยมรรค อริยมรรคตั้งแต่สัมมาทิฏฐิจนถึงสัมมาสมาธิ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะเหตุผลว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่ของธรรมะ  

 

เราทุกคนต้องยกเลิกตัวตน ถ้าไม่ยกเลิกตัวตนแล้ว ให้เข้าใจนะ ถ้าเราไม่ยกเลิกตัวตนเราจะมีศีลมีสมาธิมีปัญญาไปไม่ได้ เรายกเลิกตัวตนแล้วเราถึงจะมีศีลมีสมาธิมีปัญญา เราต้องตั้งอกตั้งใจเข้าสู่ภาคปฏิบัติภาคบำบัด ต้องทวนกระแสไม่ไปตามกระแส ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมาอุบัติเพื่อมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมาจุติในพระครรภ์ของพระมารดาก็วันพระจันทร์วันเพ็ญ ทรงประสูติก็วันพระจันทร์วันเพ็ญ ทรงตรัสรู้ก็วันพระจันทร์วันเพ็ญ ทรงแสดงธัมมจักกัปวัตนสูตรที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันก็วันพระจันทร์วันเพ็ญ ทรงตรัสบอกว่าอีก ๓ เดือนข้างหน้าพระตถาคตเจ้าจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันพระจันทร์วันเพ็ญ ทรงจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันพระจันทร์วันเพ็ญ

 

เราทั้งหลายต้องพากันเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความเต็ม ด้วยการเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ เพราะทุกคนต้องหยุดตัวเอง ปฏิบัติตัวเองด้วยความรู้ควาเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้พากันเอาปัจจุบันเป็นวาระสำคัญของการประพฤติของการปฏิบัติ การประพฤติการปฏิบัตินี้มันเป็นเรื่องสากล ทุกคนพากันทำได้ปฏิบัติได้เหมือนกันหมดทุกคน ไม่มีใครยกเว้น

 

ทุกชาติทุกศาสนาก็ต้องใช้หลักการอุดมการณ์อย่างเดียวกันนี้หมด ความสุขก็เป็นสากล  ความดับทุกข์นี้เป็นสากล ความทุกข์ก็เป็นสากล ทุกข์กายทุกข์ใจมันเป็นสากล ทุกชาติทุกศาสนาต้องพากันรู้เข้าใจ เราจะได้เอาความรู้ความเข้าใจมาใช้มาปฏิบัติ ปัจจุบันนี้แหละเราต้องยกเลิกความไม่ถูกต้อง หยุดในปัจจุบันนี้แหละ หยุดด้วยความรู้คู่กับการประพฤติคู่กับการปฏิบัติ ใจของเราจะไม่ได้เกิดแก่เจ็บตายพลัดพราก ให้เป็นตั้งแต่เรื่องของกาย เราทั้งหลายจะได้มีความสงบและปัญญา มีปัญญาและความสงบ เราทั้งหลายจะก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราพากันเอาศีลเอาสมาธิมาใช้มาปฏิบัติเพื่อเป็นหลักความดี เป็นหลักบารมี เพื่อจะเข้าถึงความดี เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ

 

เราทั้งหลาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เรามาใช้หลักการเจริญสติสัมปชัญญะ อานาปานสติเป็นหลักการเจริญสติสัมปชัญญะ มนุษย์เราที่มีอายุขัยก็ต้องมีลมปราณ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราใช้หลักการคือให้เจริญสติสัมปชัญญะด้วยการเจริญอานาปานสติ พากันหายใจเข้าก็หายใจเข้าให้สบาย หายใจออกก็หายใจออกให้สบาย หายใจเข้ามีสติรู้ตัวทั่วพร้อมว่าหายใจเข้า หายใจออกให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมในการหายใจออก หายใจเข้าก็ให้รู้ว่ามันไม่แน่ไม่เที่ยง หายใจออกก็ให้รู้ว่ามันไม่แน่ไม่เที่ยง หายใจเข้าก็ให้รู้ว่าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน หายใจออก็ให้รู้ว่าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นเพียงอาคันตุกะชั่วครู่ชั่วยาม หลักการอานาปานสตินี้ให้เราเอาไปใช้ทุก ๆ อิริยาบถได้ ไม่ใช่ใช้เฉพาะเวลาเวลานั่งสมาธินะ อันนี้เป็นหลักการที่ดีมาก ๆ  มนุษย์เราถ้ามีสติมีสัมปชัญญะเราก็จะไม่มีความทุกข์อะไร ที่เรามีความทุกข์ก็เพราะเราไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ

 

ประเทศไทยเราหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านให้เจริญสติสัมปชัญญะด้วยอานาปานสติ ท่านให้มีคำกำกับภาวนาว่า หายใจเข้าให้ภาวนาว่าพุทธ หายใจออกภาวนาว่าโธ ให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หลักการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ตรัสกับพวกเราทั้งหลายว่า เอาอานาปานสติอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องพิจารณาร่างกายเพื่อพัฒนาใจของเรา เพื่อเราจะได้ยกเลิกตัวตน

 

ให้มนุษย์เราทุกคนพิจารณาสรีระร่างกาย แยกออกเป็นชิ้นเป็นส่วน ร่างกายของเรามีอุปกรณ์อยู่ทั้งหมด ๓๒ ชิ้นส่วน ให้แยกออกเป็นชิ้นเป็นส่วน แยกหมดแล้วก็มาประกอบกันเข้าใหม่เพื่อเป็นสรีระร่างกาย เราทั้งหลายจะได้ละสักกายทิฏฐิ ท่านให้เราทำอย่างนี้ สำหรับนักบวชนี้ให้ถือเอาการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้เป็นธุรกิจหน้าที่การงาน ผู้ที่ไปบวชในพระศาสนาหรือว่ามาบวชในพระศาสนา พระอุปัชฌาย์ผู้ที่พระกรรมวาจาจารย์ถึงให้กรรมฐาน เพื่อให้ผู้ประพฤติปฏิบัติไปประพฤติปฏิบัติให้เป็นธุรกิจหน้าที่การงาน

 

ผู้ที่จะบวชก่อนที่จะครองผ้ากาสาวพัสตร์ถึงให้กรรมฐานว่า เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกศา เพื่อให้ผู้ที่มาบวชเอาไปทำงานเอาไปปฏิบัติ เพราะเจริญสติสัมปชัญญะเฉพาะอานาปานสติไม่พอไม่เพียงพอ ต้องพากันไปพิจารณาร่างกายแยกออกเป็นชิ้นเป็นส่วนจนครบอาการ ๓๒ แล้วก็เอามาประกอบกันเข้าให้หมดครบอาการ ๓๒ ถ้าเราติดต่อต่อเนื่องไม่นานก็จะยกเลิกนิติบุคคลตัวตนได้ด้วยหลักการในการประพฤติในการปฏิบัติอย่างนี้

 

พิจารณาสรีระร่างกายยังไม่เพียงพอ ต้องพิจารณาเรื่องอาหารด้วย อาหารที่เราบริโภค องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราพิจารณา อาหารที่เราบริโภคก่อนที่จะเข้าไปให้พิจารณาเสียก่อน พิจารณาอาหารใหม่ที่ยังไม่ได้เข้าไป อาหารใหม่ที่กำลังเข้าไปแล้ว พิจารณาอาหารเก่า ให้พิจารณาร่างกายของเรา เพราะร่างกายของเราทุกคนไม่สะอาด มีแต่สิ่งที่ปฏิกูลทั้งหมดเลย ต้องอาศัยการซักล้าง อาศัยการทำความสะอาด ถ้าไม่ซักล้างไม่ทำความสะอาด ร่างกายของเราทุกคนนี้จะมีกลิ่นเหม็นมาก เพราะร่างกายของเรานี้สกปรก ถ้าหมดลมหายใจแล้วไม่กี่ชั่วโมงก็ขึ้นอืด เหม็น เหม็นสรีระร่างกายมนุษย์เหม็นไกลกว่าสัตว์ทั้งหลายนะ

 

เรามองดูคนสวย ๆ หล่อ ๆ มีแต่สกปรกทั้งนั้น มีแต่เหม็นทั้งนั้น เราต้องรู้เข้าใจว่าสรีระร่างกายของเรานี้ไม่จีรังยั่งยืน มันมีภาระทำให้คนไม่รู้เข้าใจเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร เราไม่รู้ไม่เข้าใจ มันเสียหาย มันพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน เราไม่รู้ไม่เข้าใจ เห็ฯรูปสวย ๆ ก็ร้องโอย ๆ ในใจ เห็นรูปหล่อ ๆ ก็ร้องโอย ๆ ในใจ เสียงเพราะ ๆ อาหารอร่อย ๆ ก็ร้องโอย ๆ ไปเรื่อย ทุกวันก็มีแต่โอยกับโอยไปเรื่อย เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้มีสติมีสัมปชัญญะ เราทั้งหลายจะได้มีความสงบมีปัญญา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เราเอาที่ปัจจุบันนี้แหละ ให้จบลงที่ปัจจุบัน ให้จบลงที่ผัสสะด้วยความรู้ความเข้าใจ ใจของเราจะได้ไม่ต้องไปมีความทุกข์อีก ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเราต้องรู้เข้าใจ ให้เข้าถึงความเต็มเต็มเต็ม เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ พากันยกเลิกความไม่ถูกต้อง

 

ให้เราทั้งหลายรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นเราต้องจบลงด้วยความรู้ความเข้าใจ ให้เราระลึกถึงโอวาทของพระบรมศาสดาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ตรัสปัจฉิมโอวาทครั้งสุดท้ายไว้ว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร

 

ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรมมาประพฤติมาปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง

 

 ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น

----------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันพุธที่ ๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

 

(มหาอนุชนก็หาที่ลงนะ มีหัวข้อดี ๆ ที่ให้ธรรมะสมบูรณ์ก็เอามาเพิ่มเติม)

Visitors: 104,510