๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นเช้าของวันพฤหัสบดีที่ ๖ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
พสกนิกรชาวไทยและชาวต่างประเทศได้มาร่วมรวมกันประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความโทมนัสและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน พระองค์ทรงเป็นดั่งแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและพระปรีชาสามารถ ทรงอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระราชหฤทัยในการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อธำรงไว้ซึ่งความผาสุกและความมั่นคงแห่งชาติไทย เราประชาชนชาวไทยต้องร่วมใจสมัครสมานสามัคคีทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่ออุทิศบุญกุศลน้อมเกล้าถวาย เพื่อเสด็จสู่สวรรคาลัย เข้าสู่สวรรค์มรรคผลพระนิพพาน
ให้ทุกท่านทุกคนพากันนั่งให้สบาย ให้ทุกท่านทุกคนมีความสุขในการนั่งให้สบาย หายใจเข้าหายใจออกให้สบาย มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมในปัจจุบัน ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญของเราทุกคน เพราะเหตุผลว่า สิ่งที่เป็นอดีตก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญทั้งกายวาจากิริยามารยาทมารวมลงที่ใจในปัจจุบัน
ปัจจุบันเราต้องมีสติมีสัมปชัญญะ เราจะได้เอาความสงบและปัญญาก้าวไปพร้อม ๆ กัน เราทุกคนจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป สติและสัมปชัญญะที่เป็นธรรมะที่มีคุณมีอุปการะมาก
การเจริญสติสัมปชัญญะ ถึงเป็นหลักการอานาปานสติ ใช้หลักการหายใจเข้าก็ให้สบาย หายใจออกก็ให้สบาย หายใจเข้าก็ให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจออกก็ให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้าก็ให้มีความสุขในการหายใจเข้า หายใจออกก็ให้มีความสุขในการหายใจออก ให้เรามีความสุขในการหายใจเข้าหายใจออก
อานาปานสตินี้ใช้งานได้ทุก ๆ อิริยาบถนะ เช่น เรายืนอยู่ก็หายใจเข้าหายใจออกให้สบาย เรานั่งก็หายใจเข้าหายใจออกให้สบาย หรือจะให้เกิดปัญญาพัฒนาปัญญา เราก็ระลึกในใจว่า หายใจเข้ามันก็ไม่แน่ไม่เที่ยง มันเข้าไปเลี้ยงสรีระร่างกายแล้วก็ออกมา เอาของเสียเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา มันไม่แน่ไม่เที่ยงเลย มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนเลย มันก็เข้าเดี๋ยวมันก็ออก มันไม่แน่ไม่เที่ยงเลย หรือเราจะภาวนาพิจารณาว่าหายใจเข้าก็ไมใช่ตัวไม่ใช่ตนเลย หายใจออกก็ไมใช่ตัวไม่ใช่ตนเลย มันเข้ามันออก หาใช่นิติบุคคลตัวตนไม่ มันเป็นเพียงเหตุเพียงปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนเลย เราจะภาวนาอย่างนี้ก็ได้ อานาปานสตินี้ใช้ได้ทุก ๆ อิริยาบถนะ ไม่ใช่เฉพาะตอนนั่งสมาธิ ใช้ได้ทุกอิริยาบถ เพราะอันนี้เป็นหลักการของการเจริญสติสัมปชัญญะ
มนุษย์เรานี้ต้องรู้ต้องเข้าใจในหลักการของการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเราจะประพฤติปฏิบัติที่เป็นปกติ เป็นปัจจุบัน ปัจจุบันเรามีกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจ เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ เพราะการประพฤติการปฏิบัติมันเป็นอริยมรรค เป็นมรรคทางกาย มรรคทางวาจา มรรคทางกิริยามารยาท เป็นมรรคทางอาชีพมารวมลงที่ใจ มารวมลงที่เจตนา
การประพฤติการปฏิบัติมันเป็นอริยมรรค มันเป็นเรื่องปัจจุบัน ปัจจุบันคือการปฏิบัติของเราทุกคนนะ ปัจจุบันเราสัมผัสกับอะไร เราก็ปฏิบัติกับสัมผัสนั้น ๆ
เราต้องรู้ดีรู้ชั่ว รู้ผิดรู้ถูก ความรู้ถึงเป็นคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ รู้แล้วไม่ปฏิบัติไม่ได้ รู้แล้วต้องปฏิบัติ สติกับสัมปชัญญะถึงต้องปฏิบัติในปัจจุบัน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราประพฤติปฏิบัติในปัจจุบัน ถ้าเราไม่ปฏิบัติในปัจจุบันก็ไม่มีการประพฤติการปฏิบัติ ด้วยเหตุผลนี้ความรู้ต้องเป็นคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ
ให้เราทั้งหลายมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ให้เราทั้งหลายรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏฺบัติถึงความดับทุกข์ ปัจจุบันเป็นการประพฤติการปฏิบัติของเรา ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเธอทั้งหลายอย่าพากันประมาทนะ ต้องพากันประพฤติปฏิบัติในปัจจุบัน เพราะปัจจุบันเป็นวาระสำคัญของเราทุก ๆ คน อย่าปล่อยให้มันผ่านไปด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ ไม่พากันปฏิบัติ
เราต้องประพฤติเราต้องปฏิบัติในปัจจุบัน ให้รู้จักข้อสอบข้อตอบ ข้อสอบก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้แล้ว ข้อตอบก็อยู่ที่ปัจจุบันให้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ให้เข้าใจว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ
เราทั้งหลายพากันรู้พากันเข้าใจ อย่าปล่อยให้มันผ่านไปด้วยไม่มีการประพฤติการปฏิบัติ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงจะได้จบลงที่ปัจจุบัน จบลงที่ผัสสะ ความสงบและปัญญาเป็นสิ่งที่พอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี
ให้เข้าใจนะ ศีลสมาธิปัญญาเป็นหลักการของการประพฤติการปฏิบัติที่เป็นอุปกรณ์ในการประพฤติการปฏิบัติ ถือว่าอุปกรณ์เป็นสิ่งที่สำคัญ
วินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญ เราอย่าไปคิดว่าพระวินัยสิกขาบทเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ไม่สำคัญ สำคัญแต่สิกขาบทใหญ่ ๆ เช่น อาบัติปาราชิก อาบัติสังฆาทิเสสอะไรอย่างนี้ ให้เข้าใจว่า “เล็ก น้อย ใหญ่” ก็มีความสำคัญพอ ๆ กัน
เราทั้งหลายต้องเห็นภัยในความไม่ถูกต้อง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงให้เราละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปจะเป็นเบรกเป็นเซฟตี้
ให้เราเข้าใจนะ พระวินัยคือเบรกคือเซฟตี้นะ เราต้องเอาเบรกคือพระวินัยเพื่อจะเซฟตี้ตัวเองไว้ ไม่ให้เราทำอะไรตามใจตามความรู้สึก เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงไม่ให้ตรึกในกามตรึกในพยาบาท เรื่องความตรึกนึกคิดนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ เราอย่าไปตรึกในกาม อย่าไปตรึกในพยาบาท เราต้องตั้งใจตั้งเจตนา เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป
อานาปานสตินี้ที่เราเอามาใช้ ที่มีความสุขในการหายใจเข้าหายใจออก เพื่อจะเป็นเบรกเป็นเซฟตี้ เพราะใจของเรามันคิดได้ทีละอย่าง มันตรึกในได้ทีละอย่าง เมื่อเรามีความสุขในการหายใจเข้าหายใจออก หายใจเข้าหายใจออกให้มีความสุขชัดเจน ก็จะได้หยุดในเรื่องตรึกในกามตรึกในพยาบาท ถ้าทำอย่างนี้มันก็ยังไม่หยุด ก็ใช้ข่มด้วยหลักการของการทำสมาธิ ให้หยุดลมหายใจของตัวเองเลย สต๊อปลมหายใจเลย กลั้นลมหายใจไว้ก่อน เพื่อจะได้ชะลอความปรุงแต่งด้วยหยุดลมหายใจของตัวเอง เดี๋ยวสมองมันขาดออกซิเจนความปรุงแต่งนั้นมันก็จะหยุดลง เพราะเหตุผลว่ามันขาดอากาศขาดลมหายใจ ให้เราทั้งหลายพากันทำอย่างนี้ก็ได้นะ
หลักการประพฤติปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราอยู่กับเนื้อกับตัว อยู่กับปัจจุบัน เพราะปัจจุบันเป็นวาระสำคัญในการปฏิบัติ เราทำการทำงานอะไรก็ให้มีสติมีสัมปชัญญะ มีความสุขในการกระทำนั้น ๆ ให้เข้าใจว่า ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ให้เอาการเอางานเอาหน้าที่มันเกี่ยวข้องกับกายวาจากิริยามารยาทเกี่ยวกับหน้าที่ ให้มารวมลงกับการประพฤติการปฏิบัติด้วยเรามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ด้วยการมีสติสัมปชัญญะ เพื่อเราทั้งหลายจะได้ประพฤติปฏิบัติหน้าที่
ให้เรารู้ให้เข้าใจ ว่าธรรมะนั้นคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราต้องรู้จักหลักการในการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้ เราทำอย่างนี้แหละ ความปรุงแต่งของเรามันจะได้น้อยลง ความฟุ้งซ่านของเราจะน้อยลง ถ้าเราไม่ฝึกอย่างนี้ไม่ทำอย่างนี้ ไม่ได้นะ เราต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้
เราทุกคนต้องรู้หลักในการประพฤติในการปฏิบัติ ปัจจุบันเราต้องมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติหน้าที่ เพราะธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ที่ไหนมีสติมีสัมปชัญญะ ที่นั้นมันก็สงบ ที่นั้นก็ไม่มีความทุกข์นะ เพราะความสุขความดับทุกข์นั้นอยู่ที่เรามีสติมีสัมปชัญญะ
เราทั้งหลายต้องพากันรู้พากันเข้าใจ ความดับทุกข์ไม่ใช่มีอยู่ที่เรารวย มีทรัพย์สมบัติมาก มีคนนับหน้าถือตามาก มีอำนาจมีเกียรติยศสูง ไม่ใช่อย่างนั้น ความดับทุกข์ของหมู่มวลมนุษย์อยู่ที่ความพอเพียงเพียงพอ อยู่ที่ความพอดี อยู่ที่สติและสัมปชัญญะที่รวมกันเป็นหนึ่ง ที่เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ
ให้เราทั้งหลายให้รู้เข้าใจนะ ความดับทุกข์ของมนุษย์อยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง หยุดตัวเองด้วยความรู้ความเข้าใจ เมื่อรู้เข้าใจแล้วก็หยุดตัวเองด้วยสติคือความสงบ ด้วยสัมปชัญญะคือปัญญา เพื่อเราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี มนุษย์เรามีการพัฒนาวัตถุด้วยหลักเหตุผล หลักวิทยาศาสตร์ และพัฒนาจิตใจไปพร้อม ๆ กัน ใจจะไม่ได้หลงในวัตถุ ไม่ได้หลงในเหตุในผล ไม่ให้เราหลงในวิทยาศาสตร์นะ ใจของเราจะได้ไม่มีปัญหา
ใจของเราจะได้มีปัญญา ให้พวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจนะ ว่ากายของเรานี้ก็เป็นส่วนหนึ่งนะ ใจของเราก็อีกส่วนหนึ่งนะ ไม่ใช่อย่างเดียวกันนะ กายของเรามันเกิดแก่เจ็บตายพลัดพราก แต่ใจของเราเป็นนามธรรม ไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายไม่พลัดพราก เป็นประภัสสร เราทุกคนถึงต้องมาพัฒนาปัญญา เพื่อมาแยกรูปแยกนาม รูปก็คือกาย นามก็คือใจ รูปก็ส่วนหนึ่ง นามก็ส่วนหนึ่งนะ มันคนละอย่าง ถ้าเราฝึกประพฤติปฏิบัติ ให้มีสติให้มีสัมปชัญญะ เราถึงจะรู้เรื่องรู้เรื่องนามนะ
เราทุกคนต้องเห็นความสำคัญในการเจริญสติ เจริญสัมปชัญญะนะ การฝึกสติสัมปชัญญะถึงเป็นการประพฤติการปฏิบัติธรรม เพื่อที่จะได้ยกเลิกตัวตนด้วยการเจริญสติสัมปชัญญะ เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการเจริญสติสัมปชัญญะ ธรรมะถึงเป็นหน้าที่ หน้าที่ถึงเป็นธรรมะ จะความพอดี ความพอเพียงเพียงพอ เราทุกคนต้องมีความสุขในการทำงาน ในการปฏิบัติธรรม เพราะการทำงานกับการปฏิบัติธรรมมันคือสิ่งเดียวกัน
ให้เราทั้งหลายพากันรู้นะ การทำงานกับการปฏิบัติธรรมมันคืออันเดียวกัน ด้วยเหตุผลนี้ เราถึงมีความสุขในการทำงาน มนุษย์เราถึงรู้เข้าใจ ต้องมีความสุขในการรักษาศีล ในการทำสมาธิ ในการทำงาน ในการปฏิบัติธรรม เราจะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ สมมติสัจจะทั้งหลายที่หมู่มวลมนุษย์ได้สมมติไว้หลายล้านสมมติ เราต้องเอาสมมตินั้นมาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติให้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติต่อสมมติ เราถึงมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเราจะได้ทำหน้าที่
เราทุกคนต้องมีสติมีสัมปชัญญะ มีปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติต่อสมมติ ธรรมะถึงเป็นความสงบ ธรรมะถึงเป็นความเคารพ ธรรมะถึงเป็นความพอเพียงเพียงพอ ธรรมะถึงเป็นความพอดี ธรรมะถึงเป็นความกตัญญูกตเวที ธรรมะคือคุณสมบัติของผู้ดีของคนดี
ให้เรารู้ให้เข้าใจนะ เราทุกคนพากันรับผิดชอบ พากันขวนขวายในการทำความเพียร เพื่อให้ความดีและปัญญาได้ก้าวไป นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายผู้ที่ทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญาก็ต้องเอาความสงบไปพร้อม ๆ กัน ผู้มีความสงบด้วยการเจริญสติสัมปชัญญะ ผู้มีความสงบนั้นก็ต้องเสียสละไปพร้อม ๆ กัน ถ้าเราไม่เสียสละ ปัญญาเราก็จะไม่เกิด เราก็จะได้เพียงสมาธิ ได้เพียงสมาบัติ เพื่อให้การที่พัฒนาปัญญากับทางวิทยาศาสตร์จะได้ไปพร้อม ๆกัน เพื่อให้ทั้งสองอย่างนี้มันก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจ ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยการเสียสละ นี้เป็นหลักการของหมู่มวลมนุษย์ เป็นทั้งความดีเป็นทั้งปัญญา พัฒนาทั้งสองอย่างนี้ควบคู่กันไป เป็นธรรมเป็นพระวินัย จะได้สว่างไสว ว้าว ว้าว ทางวัตถุและทางจิตใจไปพร้อม ๆ กัน
ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ
เราทั้งหลายต้องเข้าใจในเรื่องการประพฤติในเรื่องการปฏิบัติ เพื่อให้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นให้เราเข้าใจ ไม่ใช่จะไปตัดออก ไม่ใช่จะเอาไปเพิ่ม อยู่ที่รู้เข้าใจ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติเพื่อทำหน้าที่ เพื่อให้ส่วนที่เป็นวิทยาศาตร์เป็นวัตถุก็ให้เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์เรื่องของวัตถุ เพื่อให้ใจก็เป็นเรื่องของใจ เพราะสองอย่างนี้มันคนละอย่าง เพื่อเราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันมีอยู่ ไม่ใช่ไม่มี เรารู้เข้าใจ สิ่งเหล่านั้นมันก็เป็นคนละอย่าง วัตถุก็เป็นวัตถุ ใจก็เป็นใจ
ให้เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ มันของสองอย่าง อันหนึ่งรูปอันหนึ่งนาม อันหนึ่งกายอันหนึ่งใจ ถ้าเรารู้เข้าใจด้วยปัญญา รู้ว่าเมื่อเรามีตามันก็มีรูป ถ้าเราไม่มีตารูปจะมีได้อย่างไร เมื่อเรามีหูมันก็มีเสียง ถ้าเราไม่มีหูเสียงจะมีได้อย่างไร เรามีจมูกเราก็มีกลิ่น ถ้าเราไม่มีจมูกกลิ่นจะมีได้อย่างไร เรามีลิ้นเราถึงมีรส ถ้าไม่มีลิ้นรสจะมีได้อย่างไร เรามีกายถึงมีสัมผัส ถ้าเราไม่มีกายสัมผัสจะมีได้อย่างไร เรามีใจมันก็มีความรู้สึกนึกคิด ถ้าเราไม่มีใจความรู้สึกนึกคิดจะมีได้อย่างไร เพราะเมื่อมันมีเหตุมีปัจจัย สิ่งต่อไปมันถึงมี เมื่อเรายกเลิกตัวตนด้วยความรู้ความเข้าใจ สติสัมปชัญญะนั้นเป็นสภาวธรรมที่มายกเลิกตัวตน
เราทั้งหลายต้องรู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เราทุกคนจะได้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการเจริญสติสัมปชัญญะด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยการเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ มันก็จะเป็นไปของมันเหมือน ๆ ที่ผ่านมา มันไม่จบ เราต้องจบด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยเหตุภัยในวัฏฏสงสาร เราต้องรู้เข้าใจนะ ต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสารนะ ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะเสียหาย มันจะพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทยนะ ตึกไหน ๆ เค้าก็ไม่พัง พังเฉพาะเจาะจงเฉพาะตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย แผ่นดินไหวอยู่ตั้งไกล อยู่ที่ประเทศพม่า อยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ ห่างไกลจากกรุงเทพมหานครร่วม ๆ พันกิโล
เราต้องรู้เข้าใจเพื่อเห็นภัยในความไม่ถูกต้อง เราเป็นมนุษย์ เราได้ทรัพยากรแห่งความเป็นมนุษย์ มนุษย์เราคือผู้ที่ประเสริฐ การดำเนินชีวิตของมนุษย์ เราต้องรู้เข้าใจ เห็นภัยในความไม่ถูกต้อง เพื่อเราทุกคนจะเข้าถึงความดับทุกข์ตั้งแต่ปัจจุบัน ปัจจุบันก็ต้องทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่อเข้าถึงธรรมะแห่งความเป็นมนุษย์ ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร
เราต้องเข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า เพราะเหตุผลว่า อดีตก็มารวมที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้เอง เราต้องเอาทรัพยากรที่เป็นมนุษย์มาบำเพ็ญความดีบำเพ็ญบารมีในเบื้องต้นท่ามกลางถึงที่สุด ปัจจุบันนี้เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันให้เป็นวาระสำคัญเพื่อเราจะได้เข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบัน ให้เข้าใจว่า ปัจจุบันมันไม่ได้พระนิพพาน อนาคตมันจะได้อย่างไร
การประพฤติการปฏิบัติทั้งทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพเราต้องเข้าใจ ต้องเข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบัน ให้ศีลให้สมาธิให้ปัญญา มันเข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบันนี้นะ เพื่อจะหยุดสัญชาตญาณ เพื่อยกเลิกตัวตน ให้เรารู้ให้เข้าใจนะ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจ เดี๋ยวมันจะพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึกสตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทยนะ
เราต้องยกเลิกเรื่องอดีตอนาคต ปัจจุบันนี้เราทุกท่านทุกคนต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา มีสติมีสัมปชัญญะสว่างไสวทั้งทางวิทยาศาสตร์ทั้งทางจิตใจไปพร้อม ๆ กันด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ ที่ไหนมีสติมีสัมปชัญญะที่นั่นก็ไม่มีทุกข์ ที่ไหนไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะที่นั่นมีทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มีเลย
ให้เข้าใจว่า ที่ไหนไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ ที่นั่นมีแต่ความทุกข์นะ ธรรมะที่มีคุณมีอุปการคุณถึงได้แก่สติสัมปชัญญะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านให้เราพิจาณาร่างกายเพื่อคลายความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นนิติบุคคล ว่าเป็นตัวเป็นตนนะ ปกติร่างกายของหมู่มวลมนุษย์มีชิ้นส่วนทางร่างกายที่ประกอบกันเป็นมนุษย์มีอยู่ ๓๒ ชิ้นส่วน
อาการ ๓๒ หมายถึงอะไร
ส่วนประกอบเป็นร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔ ชนิด ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ
บรรดาธาตุทั้ง ๔ ธาตุดินกับธาตุน้ำ จัดว่าเป็นธาตุที่เกิดขึ้นก่อนเป็น “ธาตุเจ้าเรือน” คนไทยจึงถือว่าธาตุดินและธาตุน้ำต้องมีความครบถ้วนบริบูรณ์อยู่ก่อนสุขภาพอนามัยจึงจะปกติดี ดังที่เรียกกันว่า มีอาการครบ ๓๒
อาการครบ ๓๒ จึงประกอบด้วยธาตุดิน ๒๐ ประการ รวมกับธาตุน้ำ ๑๒ ประการ ดังนี้
ธาตุดิน มีคุณสมบัติอยู่กับที่ นิ่ง คงตัว หมายถึงองค์ประกอบในส่วนที่เป็นโครงสร้างที่ทำให้ทั้งระบบคงรูปร่างอยู่ได้ ในระบบการแพทย์ไทยจำแนกอวัยวะที่ประกอบกันเป็นร่างกายไว้เป็นธาตุดิน ๒๐ ประการ ได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เส้นและเอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ ผังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า และมันสมอง
ธาตุน้ำ มีคุณสมบัติที่ซึมซาบทำให้อ่อนตัว เป็นตัวกลางที่ทำให้สิ่งต่างๆ ไหลเวียนไป หมายถึง องค์ประกอบส่วนที่เป็นของเหลว การแพทย์ไทยจำแนกเป็นธาตุน้ำ ๑๒ ประการ ได้แก่ น้ำดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น มันเหลว น้ำตา น้ำ น้ำมูก ไขข้อ และน้ำปัสสาวะ
เมื่อมีธาตุดินและธาตุน้ำครบถ้วน จึงมีสำนวนที่ว่า มีอาการครบ ๓๒ หมายถึงการมีอวัยวะต่างๆ ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่มีความพิกลพิการ ส่วนธาตุลมและธาตุไฟมาอาศัย ซึ่งธาตุทั้งสองมีรายละเอียด ดังนี้
ธาตุลม หมายถึง พลังขับดันภายในระบบร่างกายที่มีการเคลื่อนไหวหมุนเวียน จำแนกเป็นธาตุลม ๖ ประการ ได้แก่ ลมสำหรับพัดตั้งแต่ปลายเท้าตลอดศีรษะ ลมสำหรับพัดตั้งแต่ศีรษะตลอดปลายเท้า ลมสำหรับพัดอยู่ในท้องแต่นอกลำไส้ ลมสำหรับพัดในลำไส้และในกระเพาะ ลมสำหรับพัดทั่วร่างกาย และลมสำหรับหายใจเข้าออก
ธาตุไฟ หมายถึง พลังงานที่ให้ความอบอุ่น ความร้อน และเผาไหม้ จำแนกไว้ ๔ ประการ คือ ไฟสำหรับอุ่นกาย ไฟสำหรับระส่ำระสาย ไฟสำหรับเผาให้แก่คร่ำคร่า และไฟสำหรับย่อยอาหาร
ผู้บำเพ็ญความดีเพื่อสร้างบารมี เพื่อพัฒนาวิทยาศาสตร์ พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน ก็ต้องมีหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ ผู้ที่สละเพศฆราวาสออกบรรพชาอุปสมบท ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ ผู้ให้การบวชถึงได้บอกกรรมฐาน กรรมฐานก็ได้แก่หน้าที่การงานของผู้มาบรรพชาอุปสมบทพึงประพฤติพึงปฏิบัติ เพื่อเป็นหลักการ เพื่อเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม
พระอุปัชฌาย์จึงได้บอกกรรมฐานแก่ผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบทว่า เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกศา เพื่อให้ผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบทได้ฝึกภาวนา วิปัสสนา
ให้แยกสรีระร่างกายออกเป็นชิ้นเป็นส่วน ออกทีละชิ้นทีละชิ้นจนหมดครบ ๓๒ แล้วค่อยประกอบกันใหม่ เพื่อผู้ประพฤติผู้ปฏิบัติจะได้คลายความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นนิติบุคคลตัวตน เพื่อจะได้เข้าถึงความสงบความพอเพียงเพียงพอ
ถ้าเจริญสติสัมปชัญญะอย่างเดียวถือว่าเป็นการเจริญสติสัมปชัญญะเพื่อเอาความสงบและปัญญาไปพร้อม ๆ กัน ยังไม่เพียงพอสำหรับผู้ที่เป็นเสขบุคคล บุคคลที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ ยังไม่ใช่พระอริยเจ้า ต้องมีหลักการในการประพฤติการปฏิบัติด้วยการทำวิปัสนาคือการสาธยายสรีระร่างกายให้ครบชิ้นส่วนอาการ ๓๒ แล้วก็ประกอบกันทำกลับไปกลับมา เพื่อพัฒนาตัวเองด้วยการภาวนาวิปัสสนา อาศัยหลักการอย่างนี้ในการประพฤติการปฏิบัติ
ปกติแล้วเราทุกคนจะปล่อยตัวเองไปตามสัญชาตญาณ ไม่อยากเจริญสติสัมปชัญญะ แม้แต่เจริญสติสัมปชัญญะแล้วก็มันก็ยังเป็นเสขะบุคคลอยู่ ยังเป็นบุคคลที่ยังไม่หมดกิเลสสิ้นอาสวะ มีความจำเป็นต้องเจริญวิปัสสนาด้วยการพิจารณาร่างกาย อาการ ๓๒ เพื่อรู้เข้าใจ เพื่อคลายความยึดมั่นถือมั่น
การพิจารณาร่างกาย การทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้เป็นหลักการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าอดีตก็เป็นลูกหลานของศาสนาพราหมณ์ พราหมณ์ก็มีหลักการเอาความสงบตั้งมั่นอยู่ในสมาธิในสมาบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมาพัฒนาติดต่อต่อเนื่องให้เป็นอริยมรรคมีองค์แปด เพื่อให้ครบวงจรทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจ ใจนั้นถึงต้องพัฒนาเพื่อให้เกิดปัญญา เกิดวิปัสสนา เพื่อเอาความสงบและปัญญา ก้าวไปพร้อม ๆ กันทั้งทางวัตถุทั้งทางจิตใจ ที่เป็นพระรัตนตรัย คือได้แก่พุทธะ ธัมมะ สังฆะ เป็นความสงบ เป็นความพอดี เป็นความเพียงพอ
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นต้องจบลงที่ความรู้ความเข้าใจ ที่เป็นความสงบและปัญญา เป็นพระนิพพานที่เป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ให้เราทั้งหลายที่เป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐให้รู้เข้าใจ ว่าเราเป็นผู้ที่ประเสริฐ เราทุกคนเกิดมาได้พบพระพุทธศาสนา ให้มาทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ทั้งกายวาจากิริยามารยาทมารวมลงที่ใจ ให้ใจมีพระนิพพานคือบ้านของเรา
ให้ระลึกถึงปัจฉิมโอวาทของพระบรมศาสดาที่ท่านได้ตรัสไว้ว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร
ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน
ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรมมาประพฤติมาปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง
ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น
การบรรยายธรรมวินัยพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นบริสุทธิคุณ เป็นอริยมรรคในการประพฤติการปฏิบัติของหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายของเช้าวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ ก็สมควรแก่เวลา จึงขอสมมติยุติการบรรยายไว้เพียงเท่านี้ เอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้
---------------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันพฤหัสบดีที่ ๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา