๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๘ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ เป็นวันที่หยุดทำงานของข้าราชการ
พสกนิกรชาวไทยและต่างประเทศ ได้มาร่วมรวมกันประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความโทมนัสและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน พระองค์ทรงเป็นดั่งแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและพระปรีชาสามารถ ทรงอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระราชหฤทัยในการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อธำรงไว้ซึ่งความผาสุกและความมั่นคงแห่งชาติไทย เราประชาชนชาวไทยต้องร่วมใจสมัครสมานสามัคคีทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่ออุทิศบุญกุศลน้อมเกล้าถวาย เพื่อเสด็จสู่สวรรคาลัย เข้าสู่สวรรค์มรรคผลพระนิพพาน
มนุษย์เราทั้งหลายต้องพากันเข้าใจในการดำเนินชีวิต การดำเนินชีวิตนี้ต้องเอาทางสายกลาวระหว่างจิตใจกับวัตถุต้องไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้เกิดความสมดุลเพื่อจะให้เป็นความสงบและปัญญา ปัญญาและความสงบ
เราทั้งหลายต้องพากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เน้นการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบันเป็นสำคัญ เพราะเหตุผลว่าอดีตทั้งหลายก็มารวมกันที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้านั้นก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้เอง ปัจจุบันถึงเป็นการประพฤติถึงเป็นการปฏิบัติของเราทุก ๆ คน ทุกคนต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อให้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เพื่อจะได้ยกเลิกทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย เพื่อจะให้เกิดความสงบและปัญญา เกิดปัญญาและความสงบ ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจที่เป็นปฏิปทาทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพให้มารวมลงที่ปัจจุบัน
ให้ตั้งใจตั้งเจตนา ให้เข้าใจว่ากายวาจากิริยามารยาทอาชีพเป็นเพียงอุปกรณ์ของจิตของใจ เราทั้งหลายต้องตั้งใจตั้งเจตนา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมเป็นปฏิปทาของเราทุก ๆ คน สติสัมปชัญญะเป็นธรรมะที่มีคุณมีอุปการะมาก ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะพร้อมทั้งมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราก็จะเข้าถึงความดับทุกข์ความไม่มีทุกข์ในปัจจุบัน มันจะเป็นความสงบเป็นความพอเพียงเพียงพอเป็นความพอดี
เราทุกคนต้องพากันตั้งอกตั้งใจเพราะไม่มีใครมาประพฤติมาปฏิบัติให้เราได้แทนเราได้ เราทุกคนต้องพากันปฏิบัติเอาเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราประมาท ไม่ให้ตั้งอยู่ในความประมาท เพราะความประมาทนั้นคือความผิดพลาด ความประมาทคือความเสียหาย เดี๋ยวมันจะพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย มันเป็นอย่างนั้นเองเช่นนั้นเอง
เรื่องความคิด คำพูด การกระทำ กิริยามารยาทอาชีพ เราทั้งหลายจะพากันประมาทไม่ได้ ต้องรู้ต้องเข้าใจ ต้องเห็นภัยในความประมาท เห็นภัยในความไม่ถูกต้อง เราทุกคนต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท
หลักการเจริญสติสัมปชัญญะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เอาหลักการง่าย ๆ เอาหลักการลมหายใจเข้าลมหายใจออก เพื่อฝึกตัวเองปฏิบัติตัวเอง ลมหายใจเข้าหายใจออกจะอยู่กับเราทุกหนทุกแห่ง เราเอาหลักการเจริญอานาปานสติเพื่อเป็นหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อมที่ปรากฏทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราอาศัยหลักการคืออานาปานสตินี้เพื่อไม่ให้เราทั้งหลายไปตามสิ่งต่าง ๆ ให้ใจของเราอยู่กับเนื้ออยู่กับตัว อยู่กับอานาปานสติ เราหายใจเข้าให้สบาย ให้มีความสบายใจการหายใจเข้า เราหายใจออกก็สบายในการหายใจออก หายใจเข้าก็มีความรู้สึกรู้ตัวทั่วพร้อมให้ชัดเจน หายใจออกก็ให้มีความรู้สึกรู้ตัวทั่วพร้อมให้ชัดเจน หายใจเข้าก็ให้รู้ให้ชัดเจน หายใจออกก็ให้รู้ให้ชัดเจน เมื่อเรารู้ลมเข้าชัดเจน รู้ลมออกชัดเจน เราก็จะยกเลิกสิ่งที่ผัสสะ สิ่งผัสสะนั้นเป็นสิ่งภายนอก
เราอยู่กับลมหายใจเข้าหายใจออกให้ชัดเจน เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ การทำงานอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้เราใช้ได้ทุก ๆ อิริยาบถ ไม่ใช่ใช้เฉพาะตอนนั้นสมาธินะ เราเอาไปใช้ได้ทุกอิริยาบถ เราต้องมีเครื่องอยู่ด้วยอานาปานสติ ทุกคนมีเครื่องอยู่ ส่วนใหญ่ก็จะไปอยู่กับสิ่งแวดล้อม อยู่กับผัสสะ จะไปอยู่กับสิ่งภายนอก ไม่ได้อยู่กับสติ ไม่ได้อยู่กับสัมปชัญญะ จะไปอยู่กับเรื่องของกาม ยินดีในเรื่องของกาม จะไปอยู่กับเรื่องของพยาบาท ความทุกข์ใจความไม่สบายใจ จะอยู่กับกามอยู่กับพยาบาทอย่างนี้ จะไปอยู่กับโทรศัพท์มือถือ เล่นโทรศัพท์มือถือ จะอยู่กับความหลงความเพลิดเพลิน ไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ จะไปอยู่กับเรื่องกามเรื่องพยาบาทเป็นส่วนใหญ่เป็นส่วนมาก จะไปอยู่กับรู้เรื่องของคนอื่น นี้มันเสียหายมากนะ ไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะกันเลยนะ ไม่รู้เรื่องของตัวเอง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้หลักการในการเจริญสติสัมปชัญญะ เพื่อเราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามผัสสะ ไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม ด้วยการเจริญอานาปานสติ การเจริญอานาปานสติเพื่อเจริญสติสัมปชัญญะ เพื่อเป็นหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อจะได้เอาออกซิเจนดี ๆ เข้าสู่ร่างกาย เราหายใจเข้าเพื่อเอาออกซิเจนดี ๆ เข้าสู่ร่างกาย เราหายใจออกเพื่อจะเอาของเสียเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป เพื่อเราจะได้หยุดอยู่กับสติอยู่กับสัมปชัญญะ สตินี้คือทำให้ใจของเรามีที่อยู่ เมื่ออยู่กับลมหายใจเข้าหายใจออกสัมปชัญญะไม่ไปตามผัสสะไม่ไปตามอารมณ์ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม เราจะได้จบลงที่ปัจจุบัน จบลงที่ผัสสะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงให้เรายกลมหายใจของเราเข้าสู่พระไตรลักษณ์ ให้ระลึกในใจว่าหายใจเข้ามันก็ไม่แน่ไม่เที่ยง มันเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกายแล้วมันก็ออกมา มันไม่แน่ไม่เที่ยงเลย เข้าไปแล้วก็ออกมา แล้วทุกอย่างก็เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นเพียงสัญจรไปมา เปรียบเสมือนอาคันตุกะสัญจรไปมาชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น ทุกอย่างไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป
เราต้องรู้เราต้องเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ความรู้ความเข้าใจอย่างนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่ารู้เรื่องทุกข์ เราทั้งหลายจะได้จบลงที่ปัจจุบัน จบลงที่ผัสสะ ความรู้ถึงเป็นคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายถึงมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เข้าถึงความดับทุกข์ตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า เอาที่ปัจจุบันนี้แหละ ปัจจุบันต้องเป็นพื้นเป็นฐานของการประพฤติการปฏิบัติ เป็นประโยชน์ทั้งปัจจุบันและอนาคต
เราทุกคนพยายามบำเพ็ญบารมีคือความดีของตัวเราเองด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราทุกคนต้องมีความสงบให้เพียงพอ อันหนึ่งความสงบอันหนึ่งปัญญา อันหนึ่งสมถะ อันหนึ่งวิปัสสนา เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดีที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ปัจจุบันเป็นวาระแห่งชาติของการประพฤติการปฏิบัติของเราทุกคน จิตวาระสุดท้ายก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบัน จิตที่จะไปข้างหน้าก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบัน ให้ศีลให้สมาธิให้ปัญญาให้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ความสงบได้แก่สติสัมปชัญญะ เป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรมในการประพฤติการปฏิบัติของเรา
มนุษย์เรามีการนอนการพักผ่อนประมาณ ๖ ชั่วโมง ในชีวิตประจำวันถ้าเรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติต่ออริยมรรคมีองค์แปด ที่มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตานั้น การนอนการพักผ่อนของเรา ๖ ชั่วโมงก็เป็นเวลาที่พอเพียงเพียงพอ เพราะเหตุผลว่าปิติสุขเอกัคคตานั้นจะเป็นธรรมหล่อเลี้ยงกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ จะเป็นความดับทุกข์ความไม่มีทุกข์ไปในตัว เพราะเหตุผลว่าการทำธุรกิจหน้าที่การงานนั้นคือการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมคือการทำงาน ๒ อย่างนี้ได้ทั้งฝ่ายวัตถุที่เราพัฒนาวิทยาศาสตร์ ได้ทั้งจิตใจไปพร้อม ๆ กันไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเป็นทางสายกลาง เปรียบเสมือนสายพิณไม่ตึงเกินไปไม่หย่อนเกินไป เป็นความพอเพียงเพียงพอ มันพอดี ไม่ได้เพิ่มไม่ได้ตัด มันเป็นสติเป็นสัมปชัญญะ
หลักการของเราทุกคนถึงได้มีหลักการไว้ว่า ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ชาติก็หมายถึงความเกิด ศาสน์ก็หมายถึงการประพฤติการปฏิบัติ กษัตริย์ก็หมายถึงตัวปัญญา ๓ อย่างนี้รวมกันเป็นหนึ่งเพื่อให้เกิดความสงบเกิดปัญญา เพื่อให้เป็นปฏิปทาของเราทุกคนได้ก้าวไปทั้งรูปธรรมนามธรรม รูปธรรมก็หมายถึงวัตถุที่พัฒนาวิทยาศาสตร์ นามธรรมก็หมายถึงจิตใจที่รู้เข้าใจในเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย เราทั้งหลายจะได้เอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน การดำเนินชีวิตของเราถึงเป็นอริยมรรคมีองค์แปด
มนุษย์เราทุกคนต้องใช้หลักการเดียวกันนี้หมดทุกชาติทุกศาสนาก็ต้องใช้หลักการอุดมการณ์อุดมธรรมอย่างเดียวกันนี้หมด ไม่มีใครยกเว้น เพราะอันนี้เป็นหลักสากล เช่นความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากเป็นสากล ความทุกข์กายความทุกข์ใจก็เป็นสากล ถ้าใครมีความทุกข์กายก็เหมือนกันนั่นแหละ เพราะมันเป็นสากล ถ้าใครมีความทุกข์ใจก็เหมือนกันนั่นแหละ เพราะมันเป็นสากล นรก สวรรค์ ความสงบ นิพพานถึงเป็นสากล ให้พวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจอย่างนี้นะ
สติสัมปชัญญะนั้นถึงเป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี เราทั้งหลายจะได้มีความสงบและปัญญา ด้วยเหตุผลนี้แหละ เราถึงต้องทำหน้าที่ของเราให้ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราต้องมีปิติมีความสุข มีเอกัคคตาในการปฏิบัติในการทำหน้าที่ วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์ถึงเป็นวันทำงานพร้อมกับการปฏิบัติธรรมไปในตัว เป็นการทำธุรกิจพร้อมกับการปฏิบัติธรรมไปในตัว เพื่อให้เป็นความสบและปัญญาไปพร้อม ๆ กัน
เราทั้งหลายถึงไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยไม่ได้ เพราะต้องให้เดินทางสายกลางระหว่างการพัฒนาวัตถุให้เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันให้เป็นทางสายกลาง ให้ธุรกิจหน้าที่การงานเป็นการปฏิบัติธรรม ด้วยเหตุผลนี้ ผู้มีปัญญามากก็ต้องมีความสงบมาก ๆ ผู้มีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ เพื่อจะได้เป็นทางสายกลาง เราทุก ๆ คนมีความทุกข์เพราะไม่ได้เดินทางสายกลาง ไม่เอาวัตถุ ไม่เอาใจไปพร้อม ๆ กัน มนุษย์เราถึงมีความทุกข์ ปัญหาตัวเรา ปัญหาบุคคลอื่นอยู่ที่เราเอาความผิดนำชีวิต ความผิดก็คือการทุจริต เราเอาแต่ทางวิทยาศาสตร์ ไม่ได้เอาใจไปพร้อม ๆ กัน คือทุจริตนะ เราเอาแต่เรื่องจิตเรื่องใจ ไม่ได้เอาทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นวัตถุไปพร้อม ๆ กันนี้คือทุจริตนะ
ทำไมล่ะ... เพราะเราเอาแต่เรื่องจิตเรื่องใจเราก็ได้แต่เพียงสมาธิได้แต่เพียงสมาบัติ เราทุกคนต้องรู้เข้าใจ เมื่อเรามีลมปราณเราก็ต้องใช้ปัจจัย ๔ ทั้งทางวิทยาศาสตร์ทางจิตใจถึงต้องไปพร้อม ๆ กันไม่ให้ยิ่งหย่อนกว่ากัน การที่จะแก้ไขเรา แก้ไขคนอื่น ต้องมาแก้ไขเรื่องทุจริต ประเทศไทยเราเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรต่าง ๆ ที่เรามีปัญหาก็ไม่ใช่อื่นไกลมันมาจากทุจริต เอาแต่ตัวเอาแต่ตนเอาแต่ทางวิทยาศาสตร์ การเรียนการศึกษาก็เพื่อตัวเพื่อตน การทำงานก็เพื่อตัวเพื่อตน การเป็นข้าราชการก็เพื่อตัวเพื่อตน การที่เป็นนักการเมืองก็เพื่อตัวเพื่อตน การที่เป็นนักบวชก็เพื่อตัวเพื่อตน ให้เข้าใจนะ ว่าตัวตนนั้นแหละคือทุจริต ประเทศไทยของเรานี้เราต้องรู้ปัญหานะ ปัญหามันก็คือเรื่องทุจริต ทุจริตนั้นคือความไม่สงบ คือความไม่เคารพ คือความไม่รู้จักคำว่าความพอเพียงเพียงพอ เปรียบเสมือนทะเลมหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำ เปรียบเสมือนไฟที่ไม่อิ่มด้วยเชื้อของเพลิงมันบกพร่องอยู่เป็นนิจ เราจะยกทุจริตได้อย่างไร เราจะยกเลิกทุจริตได้ด้วยการมีสติสัมปชัญญะ ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะ เราจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี
เราคิดดูดี ๆ นะ ถ้าเรามีมากเราไม่รู้จักพอ มันก็มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป เรามีความคิดเห็นผิดเข้าใจผิดเราไม่เสียสละ เราไม่เสียสละมันก็ไม่มีเหตุมีปัจจัยที่จะได้มาซึ่งวัตถุ มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจว่า มนุษย์เราทั้งหลายต้องพากันมาเสียสละ พากันมามีความสุขในการทำงาน มามีความสุขในการพูดจากิริยามารยาท อาชีพดี ๆ ที่ยกเลิกตัวตน เมื่อเราเสียสละเราก็ได้ทั้งวัตถุได้ทั้งจิตใจไปพร้อม ๆ กันเราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี
มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจ ต้องข้ามสัญชาตญาณ ไม่เอาความรู้สึกนำชีวิต ไม่เอาความชอบความชังนำชีวิต มีปิติมีความสุขในการเจริญสติสัมปชัญญะ มีความสุขในการทำหน้าที่ เพราะหน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่
มนุษย์เราคือผู้ที่เสียสละ
เราดูตัวอย่างแบบอย่างขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่ด้วยการเสียสละ เสียสละตลอด ๒๔ ชั่วโมง เสียสละให้สรีระร่างกายได้บรรทมพักผ่อนวันละ ๔ ชั่วโมง เสียสละให้หมู่มวลมนุษย์เทพเทวาสรรพสัตว์ทั้งหลายวันละ ๒๐ ชั่วโมง ตลอด ๒๔ ชั่วโมงมีแต่เสียสละ เราทุกคนต้องเสียสละนะ ถ้าไม่เสียสละเราก็ไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ ถ้าเราไม่เสียสละเราก็ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา เราเกิดมาต้องมีสติมีสัมปชัญญะ ต้องพากันมาเสียสละ เราจะได้เข้าถึงธรรมถึงปัจจุบันธรรม ชีวิตของเราจะไม่ได้เสียหาย จะไม่ได้พังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย ตึกไหน ๆ ก็ไม่พังไปตั้งตึกเดียวเฉพาะตึกสตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย ความไม่ถูกต้องก็ต้องพังทลายอย่างนั้น
เราต้องพากันรู้เข้าใจว่าสติสัมปชัญญะเป็นธรรมะที่มีคุณมีประโยชน์ต่อเราทุก ๆ คน เราทุกคนจะได้ยกเลิกคำว่าคน คำว่าคนนี้ก็หมายถึงมันไปไหนไม่ได้ มันวกวนอยู่ที่เก่าเป็นวัฏฏสงสารเดินไปข้างหน้าแล้วก็ถอยหลังกลับมาอยู่ที่เก่าเขาถึงมีศัพท์ว่าคน มนุษย์คือผู้รู้เข้าใจ เห็นภัยในความไม่ถูกต้อง เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ก้าวไปด้วยอริยมรรคทั้งกายวาจากิริยามายาททั้งใจด้วยความตั้งตั้งใจตั้งเจตนาก้าวไปด้วยปฏิปทาด้วยการรู้อริยสัจสี่มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน
มนุษย์คือผู้รู้เข้าใจเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เทวดาผู้พัฒนาทางหลักเหตุหลักผลทางวิทยาศาสตร์ก็ต้องรู้เข้าใจ เห็นภัยในวัฏฏสงสาร พระพรหมคือผู้ที่สงบก็ต้องรู้เข้าใจเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ถ้าไม่เข้าใจเราก็จะไปหลงอยู่แค่สมาธิแค่สมาบัติ เดี๋ยวจะเอาสมาธิเอาสมาบัติเป็นพระนิพพาน อันนี้ยังไม่ใช่ ไม่ใช่ความสงบและปัญญา ด้วยเหตุผลนี้แหละผู้มีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ เพื่อให้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา พระธรรมพระวินัยแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์เป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรมที่มีแต่คุณมีแต่ประโยชน์
เราต้องเอาสมมติสัจจะ เอามาใช้เอามาปฏิบัติ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติต่อสมมติสัจจะนั้น เพราะพระธรรมพระวินัยมันเป็นกฎของจิตของใจ เป็นกฎของมนุษย์ ของเทวดา ของพรหม เพื่อพัฒนาตัวเองเข้าสู่ความเป็นพระธรรมพระวินัยหรือว่าความเป็นพระอริยเจ้า ด้วยเหตุผลนี้เราต้องเห็นคุณค่าในพระธรรมพระวินัย ไม่ละเมิดสิกขาบทน้อยใหญ่ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านวางหลักการอุดมการณ์เพื่อให้เข้าสู่อุดมธรรมที่เป็นหลักการที่ยกเลิกตัวตน มันเป็นเรื่องจิตเรื่องใจไม่ใช่เรื่องวัตถุ เน้นที่ใจเน้นที่เจตนา ด้วยยกเลิกอัตตาตัวตน การที่เห็นภัยในวัฏฏสงสารเป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ
การประพฤติการปฏิบัติถึงเริ่มต้นที่สัมมาทิฏฐิ ไม่ตรึกในกามไม่ตรึกในพยาบาท ถ้าเราไปตรึกในกามตรึกในพยาบาท มันก็ไม่ต่างอะไรกับคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน บวชแต่กายไม่ได้บวชที่ใจ หัวใจก็ยังมีลูกมีเมียมีผัว การที่เราไปตรึกในกามตรึกในพยาบาทให้เข้าใจนะ คือหัวใจที่มันมีลูกมีผัวมีเมีย ถ้าเราไม่มีเบรกไม่มีเซฟตี้ ไม่มีความละอายต่อบาปไม่เกรงกลัวต่อบาป ถึงเป็นพระแต่ทางกาย ใจไม่ได้เป็นพระ หัวใจมีลูกมีเมียหรือว่ามีผัว ที่เค้ามีศัพท์ว่าสมีโน่น สมีนี่ หมายถึงสามีไม่ได้จดทะเบียน หมายถึงภรรยาไม่ได้จดทะเบียนนะ
เราทั้งหลายมาบวชมาปฏิบัติถึงไปคิดในเรื่องกามตรึกในเรื่องกามเรื่องพยาบาทไม่ได้ เราต้องเบรกตัวเองเซฟตี้ตัวเองด้วยการเป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป พระธรรมพระวินัยถึงเป็นคุณเป็นประโยชน์ ให้เราเน้นความบริสุทธิที่ใจ เราอย่ารักษาพระวินัยหรือว่ารักษาศีลเพื่อโลกธรรม เรารักษาศีลรักษาพระธรรมพระวินัยเพื่อยกเลิกตัวตนเพื่อให้เกิดความสงบและปัญญา เราทั้งหลายจะได้หยุดตรึกในกามหยุดตรึกในพยาบาท
การประพฤติการปฏิบัติถึงต้องอาศัยสติสัมปชัญญะที่ปัจจุบัน ด้วยเหตุผลนี้เราทุกคนต้องเข้าสู่สติสัมปชัญญะ เข้าสู่ความสงบความวิเวก ต้องเอาพระธรรมเอาพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติให้เกิดความสงบเกิดความวิเวก เพื่อเราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ศาสนาพุทธนี้เป็นสิ่งที่ประเสริฐสุด
ให้หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายรู้เข้าใจ จะได้เอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ว่างจากสิ่งไม่มีอยู่มันจะมีประโยชน์อะไร เราต้องว่างจากสิ่งที่มีอยู่ด้วยรู้เข้าใจ เรามีสติสัมปชัญญะ เรายกเลิกสัญชาตญาณ ยกเลิกตัวตน ด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยอาศัยพระธรรมพระวินัยอาศัยสมมติสัจจะ มาปฏิบัติต่อสมมติสัจจะ เราก็จะเข้าถึงความสงบเข้าถึงความเคารพ เข้าถึงความกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดีของผู้ดี พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ถึงจะเป็นคุณธรรมของผู้ดีเป็นสมบัติของผู้ดี นิติบุคคลตัวตนที่ไปตรึกในกามตรึกในพยาบาทเป็นสมมติของคนพาลเป็นสมบัติของคนไม่ดีนะ
เราทั้งหลายพากันกระตือรือร้นในการประพฤติการปฏิบัติ คนดีก็ต้องขวนขวายพยาบาทประพฤติพยายามปฏิบัติตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เพราะคนดีก็ต้องมีปัญญา คนดีถ้าไม่มีปัญญาก็เปรียบเสมือนเนื้อสด ถ้าไม่เอาแช่ในตู้เย็นมันก็ต้องเน่า เปรียบเสมือนเนื้อสดถ้าไม่ใช้เกลือมาถนอมมันก็เน่า คนดีมาก ๆ ก็ต้องมีปัญญามาก ๆ คนมีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ คนฉลาดมาก ๆ ก็ต้องมีความสงบมาก ๆ อย่างนี้
ให้เราเข้าถึงปัจจุบัน เพราะปัจจุบันเป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ ศีลนั้นถึงจะเป็นพระนิพพาน สมาธินั้นถึงจะเป็นพระนิพพาน ปัญญานั้นถึงจะเป็นพระนิพพาน นิพพานที่เป็นความสงบและปัญญา เป็นความพอดีความพอเพียงเพียงพอเป็นธรรมเป็นปัจจุบัน ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นการอบรมบ่มอินทรีย์ของเราทุกคน
ให้เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความเต็ม ๆ ๆ เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอในปัจจุบัน เราคิดดูดี ๆ นะ เราต้องจับหลักจับประเด็นในการประพฤติการปฏิบัติของเรา เพื่อให้เราเข้าถึงความพอดีความพอเพียงเพียงพอ เราต้องมีความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องถึงจะแก้ปัญหาได้ ปัญหาอยู่ที่ไม่ถูกต้อง ปัญหาอยู่ที่ทุจริต
ประเทศไทยเราแก้ปัญหาเรื่องโกงกินคอร์รัปชั่น ยกเลิกการโกงกินคอร์รัปชั่นของข้าราชนักการเมืองของนักบวช ประเทศไทยก็จะเจริญ ไม่ต้องไปแก้ปัญหาอะไร ไปยกเลิกการโกงกินคอร์รัปชั่น ความสุขนั้นเรามีได้เป็นได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เราต้องรู้เข้าใจทุกอย่างนั้นอยู่ที่เรามีสติมีสัมปชัญญะนะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชท่านถึงให้เราเข้าถึงความพอเพียงเพยงพอเข้าถึงเศรษฐฏิจพอเพียง เราคิดดูดี ๆ นะ เราอยากได้มากมันก็มันไม่มากมันก็เท่าเก่าเท่าเดิม เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่าเท่าเดิม
เรารู้เข้าใจเราก็มาปรับที่ใจของเรา เราจะได้เป็นข้าราชการเป็นนักเมืองเป็นนักบวชที่ความสงบมีปัญญา การพัฒนาของเราก็จะก้าวไปด้วยการยกเลิกทุจริต ถ้าเราไม่ยกเลิกเรื่องทุจริตโกงกินคอร์รัปชั่นปัญหานั้นย่อมไม่จบ เราทั้งหลายต้องพากันรู้ปัญหา ปัญหาต่าง ๆ นั้นเราทุกคนไม่ต้องไปแก้ที่ใคร ต้องมาแก้ที่เรานี้แหละ แก้ที่ความคิดของเราคำพูดการกระทำกิริยามารยาทของเรา ยกเลิกตัวยกเลิกตน คือยกเลิกทุจริต เพราะตัวตนนั้นคือทุจริต สติสัมปชัญญะนั้นจะหยุดปัญหาทุจริตได้นะ เราต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เราไปแก้ปัญหาที่ปลายเหตุไม่ได้ ต้นเหตุนั้นมันอยู่ที่เรานะ ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ เราก็หยุดที่ปัจจุบัน เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เราต้องรู้เข้าใจว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นไม่จบนะ เราต้องจบด้วยรู้เข้าใจ เราทั้งหลายอย่าไปหลงอย่าไปเพลิดเพลินอย่าไปประมาท
เรามาระลึกถึงปัจฉิมโอวาของพระบรมศาสดาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านตรัสโอวาทครั้งสุดท้ายไว้ว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร
ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรมมาประพฤติมาปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง
ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น
---------------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันเสาร์ที่ ๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา