๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๙ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
พสกนิกรชาวไทยและชาวต่างประเทศได้มาร่วมรวมกันประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความโทมนัสและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน พระองค์ทรงเป็นดั่งแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและพระปรีชาสามารถ ทรงอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระราชหฤทัยในการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อธำรงไว้ซึ่งความผาสุกและความมั่นคงแห่งชาติไทย เราประชาชนชาวไทยต้องร่วมใจสมัครสมานสามัคคีทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่ออุทิศบุญกุศลน้อมเกล้าถวาย เพื่อเสด็จสู่สวรรคาลัย เข้าสู่สวรรค์มรรคผลพระนิพพาน
มนุษย์เราทุกคนต้องเดินทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตใจกับวัตถุไปพร้อม ๆ กัน ด้วยความรู้ความเข้าใจ เพื่อสร้างเหตุสร้างปัจจัย เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นเกิดจากเหตุ เกิดจากปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี เป็นอริยมรรค เป็นหนทางของทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ มนุษย์เราต้องมีหลักการ มีอุดมการณ์อุดมธรรมนำชีวิต พากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เน้นที่ตัวของมนุษย์นั้นเองไม่มีใครประพฤติปฏิบัติแทนกันได้ เป็นเรื่องเฉพาะตน เพื่อให้เข้าถึงความพอดี ความพอเพียงเพียงพอ อดีตทั้งหลายทั้งปวงก็มารวมกันที่ปัจจุบันนี้แล้ว อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้เอง ปัจจุบันถึงเป็นวาระแห่งชาติของการประพฤติการปฏิบัติ
มนุษย์ต้องรู้เรื่องกรรม รู้เรื่องกฎแห่งกรรม และรู้เรื่องผลของกรรม แล้วจะได้หยุดกรรม จะได้หยุดลงที่ปัจจุบัน สิ่งที่เก่าที่ผ่านมาก็ให้หยุดลงที่ปัจจุบัน สิ่งที่ใหม่เรารู้เข้าใจ เราก็ยกเลิก สติคือความสงบ ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยการยกเลิก สัมปชัญญะคือตัวปัญญาที่รู้กรรม รู้กฎแห่งกรรม รู้ผลของกรรม รู้เข้าใจเห็นภัยในเรื่องกรรม เรื่องกฎแห่งกรรมและผลของกรรม เป็นผู้มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป หยุดตรึกในกาม หยุดตรึกในพยาบาท เห็นคุณเห็นประโยชน์ ปรับปรุงปฏิปทา กิริยามารยาท อาชีพ เพื่อยกเลิกตัวตน หรือว่ายกเลิกความไม่ถูกต้อง
เมื่อเรารู้เข้าใจ หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ความทุกข์นั้นก็จะไม่มี รู้เข้าใจ หยุดวัฏฏสงสารของตัวเอง มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ มีความรู้ความเข้าใจ เห็นคุณเห็นประโยชน์ในการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ปล่อยให้ตัวเองตั้งอยู่ในความหลง ในความเพลิดเพลิน ในความประมาท ไม่ให้ตัวเองเสีย ไม่ให้พังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย ตึกไหน ๆ เค้าก็ไม่พัง ไปพังเฉพาะเจาะจง เฉพาะตึก สตง. ทั้ง ๆ ที่ตึกอื่นมีอยู่มากมายหลายตึก สูงกว่าใหญ่กว่าก็มี
ด้วยเหตุผลนี้มีความรู้ความเข้าใจ ได้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อยกเลิกกิจกรรมธุรกิจหน้าที่การงานในการเวียนว่ายตายเกิด รู้เรื่องชาติคือความเกิด ทำหน้าที่หยุดความเกิดด้วยความรู้ความเข้าใจ มีสติมีสัมปชัญญะ ประพฤติปฏิบัติตั้งอยู่ในความไม่ประมาทในปัจจุบันธรรม มนุษย์เราต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติในปัจจุบันให้ดี ๆ ที่ประกอบด้วยปัญญา ผู้มีปัญญามาก ๆ ก็ต้องมีความสงบมาก ๆ มีความสงบมาก ๆ ต้องเสียสละมาก ๆ เพื่อให้เกิดความสงบ เกิดปัญญา เพื่อให้เกิดสติเกิดสัมปชัญญะ
มนุษย์เรามีหลักการ วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำงานกับการปฏิบัติธรรมไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้ได้ทั้งธุรกิจหน้าที่การงานพร้อมทั้งได้ประพฤติได้ปฏิบัติธรรมไปพร้อม ๆ กัน เพื่อทำอย่างเดียวให้ได้ทั้ง ๒ อย่าง ได้ทั้งเรื่องจิตเรื่องใจ ได้ทั้งเรื่องวัตถุไปพร้อม ๆ กัน ทางวัตถุก็สะดวกก็สบาย ทางจิตทางใจก็มีสติมีปัญญาไม่หลง กายวาจากิริยามารยาทก็จะได้มีแต่คุณ ไม่มีโทษ ด้วยมีสติมีสัมปชัญญะที่ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท
วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำธุรกิจหน้าที่การงาน ให้เน้นเรื่องจิตเรื่องใจ พากันไปเจริญสติสัมปชัญญะ ผู้ที่ถือศาสนาอะไรก็ไปยังศาสนานั้น ๆ เพื่อไปรักษาศีลประพฤติปฏิบัติธรรมไปฟังธรรม เพื่อไปเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ ไปเจริญสมถะเจริญวิปัสสนา เพื่อให้ใจเกิดความสงบเกิดปัญญา เพื่อจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ จะไม่ได้หลงในความสุขความสะดวกความสบายที่หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายได้พัฒนาวิทยาศาสตร์ขึ้นมา เพื่อจะได้เข้าถึงสติสัมปชัญญะ
ศาสนาทุกศาสนามีความหมายอันเดียวกัน คือยกเลิกตัวยกเลิกตน ยกเลิกธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ เพื่อมีสติมีสัมปชัญญะ ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เอาปัจจุบันเป็นวาระสำคัญที่ยกเลิกอวิชชา ยกเลิกความหลง เพื่อให้ใจกับวัตถุก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ศาสนาทุกศาสนาก็มีความหมายอย่างเดียวกันนี้แหละ เพราะว่าชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นสากล มีความหมายอันเดียวกัน เช่น ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากเป็นสากล มีความทุกข์กาย มีความทุกข์ใจเป็นสากล ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ถึงมีความหมายอันเดียวกัน
เราเป็นมนุษย์ทั้งหลายพากันรู้นะ พากันมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราจะได้ทำหน้าที่กันทุก ๆ คน เพราะเหตุผลว่า ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ วันเสาร์วันอาทิตย์ถึงเป็นวันหยุดกิจกรรมหรือธุรกิจหน้าที่การงาน พากันไปบำเพ็ญบุญกุศลที่ศาสนาของตัวมนุษย์ของผู้ที่นับถือศาสนา
เราต้องรู้เข้าใจเรื่องศาสนา ศาสนานั้นไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน ศาสนาคือหลักการ หลักวิชาการ คืออุดมการณ์อุดมธรรม เพื่อให้หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายยกเลิกตัวตน ศาสนามีความหมายว่าให้หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายพากันยกเลิกตัวตน ยกเลิกตัวตนทั้งความคิดคำพูดการกระทำกิริยามารยาทอาชีพ เพื่อหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายจะได้มีความสงบจะได้มีปัญญา จะได้พัฒนาทั้งทางวัตถุที่ค้นคว้าไปตามหลักเหตุผลไปตามหลักวิทยาศาสตร์ และพัฒนาในเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้ชีวิตนี้มีความสงบมีปัญญาในปัจจุบัน ความรู้ความเข้าใจนี้จะเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาที่ประกอบไปด้วยความดี ปัญหาที่มีความทุกข์กับมนุษย์เราทั้งหลายอยู่ที่ความไม่รู้ไม่เข้าใจ
มนุษย์เราต้องรู้ต้องเข้าใจในเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย ในเรื่องกรรม กฎแห่งกรรม ผลของกรรม เราทั้งหลายจะได้หยุดอยู่ที่ปัจจุบัน ให้มันจบลงที่ปัจจุบัน เราทั้งหลายต้องรู้ต้องเข้าใจ เห็นภัยในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด หลักการที่จะหยุดกรรม หยุดเวรหยุดภัย หยุดกฎแห่งกรรม ถึงต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เข้าสู่ภาคบำบัด พระธรรมพระวินัยเป็นภาคปฏิบัติภาคบำบัด
มนุษย์เราต้องอาศัยหลักการอุดมการณ์ การประพฤติการปฏิบัติก็ต้องตั้งใจเอง ตั้งเจตนาเอง การประพฤติการปฏิบัติก็ต้องให้ติดต่อต่อเนื่อง เพื่อมนุษย์ทั้งหลายจะได้หยุดตัวเอง หยุดทั้งความคิด คำพูด การกระทำ กิริยามารยาททั้งอาชีพ ต้องหยุดต้องยกเลิก ต้องใช้เวลาประพฤติปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องเป็นเวลาหลายเดือน หลายวัน หลายปี เหมือนไก่ฟักไข่ ไก่ฟักไข่ก็ต้องใช้เวลา ๓ อาทิตย์ขึ้นไป ถึงจะออกมาเป็นลูกไก่ จะฟักด้วยไฟฟ้า หรือฟักด้วยแม่ของไก่ก็ต้องใช้เวลา ๓ อาทิตย์ขึ้นไป
มนุษย์เรามันติด มันหลง ต้องอาศัยกาลอาศัยเวลา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงให้เราเห็นคุณเห็นประโยชน์ในพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ว่าพระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่นั้นไม่มีข้อไหนเลย ไม่มีคุณไม่มีประโยชน์ พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่มีแต่คุณมีแต่ประโยชน์หาโทษมิได้ เราทั้งหลายถึงเข้าสู่หลักการอุดมการณ์อุดมธรรม พากันมีสติมีสัมปชัญญะ ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะ เราก็จะหยุดกรรมเก่า ไม่สร้างกรรมใหม่ เข้าถึงความดับทุกข์ ไม่มีทุกข์ เข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้าในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ คำนี้มันไม่ใช่ปัจจุบันธรรม มันอยู่เบื้องหน้าโน้นเทอญ มันอยู่ไกลเหลือเกิน
เราทั้งหลายต้องเข้าถึงความเป็นมนุษย์ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ความเป็นเทวดาผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นพระพรหมผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เพื่อเข้าถึงพระนิพพานด้วยความรู้ความเข้าใจในปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า เพราะเหตุผลว่าอดีตก็มารวมกันที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มาอยู่ที่ปัจจุบันนี้เอง ด้วยเหตุผลนี้เราถึงมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน
ปัจจุบันวันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันที่เราทำงานกับปฏิบัติธรรมที่ได้ทั้งสองอย่างไปพร้อม ๆ กัน วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันที่เราเจริญสติสัมปชัญญะ เน้นเรื่องจิตเรื่องใจ เพื่อใจของเราจะเข้าถึงธรรมถึงปัจจุบันธรรม พระศาสนาเป็นธรรมะที่ยกเลิกความทุกข์ หรือว่ายกเลิกตัวตน พระศาสนาถึงเป็นเรื่องขลังศักดิ์สิทธิ์ เราคิดดี ๆ ที่ยกเลิกตัวตนมันก็ขลังศักดิ์สิทธิ์นะ เราพูดดี ๆ ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะยกเลิกตัวตน มันถึงขลังศักดิ์สิทธิ์ กิริยามารยาทดี ๆ ประพฤติปฏิบัติเพื่อยกเลิกตัวตนมันถึงขลังศักดิ์สิทธิ์ อาชีพดี ๆ ที่ยกเลิกตัวตนมันถึงขลังศักดิ์สิทธิ์ พระศาสนาถึงเป็นเรื่องขลังศักสิทธิ์ เราเอาตัวเอาตนนำชีวิตมันจะขลังศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร เราต้องเข้าใจนะ ตัวตนมันไม่ขลังศักดิ์สิทธิ์ ตัวตนมันมีแต่ความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากนะ
เราต้องรู้เข้าใจเราจะไม่ได้เอาพระศาสนามาเป็นตัวมาเป็นตน ปัจจุบันนี้ประชากรของโลกเอาพระศาสนามาเป็นตัวมาเป็นตน มันเสียหาย มันจะพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทยนะ
หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ ให้เรามีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบันที่เป็นกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ เพื่อเราจะไม่มีความทุกข์ เราจะได้มีความสุขในปัจจุบัน ถ้าเรามีความสุขในการทำงานอย่างนี้แหละ เราก็ได้รับผลประโยชน์ทางวัตถุและทางใจไปพร้อมกันในปัจจุบัน ความดับทุกข์มันมีได้มันหาได้อยู่ที่ปัจจุบันนี้นะ หาได้อยู่ที่เรารู้เข้าใจ เรามีปิติมีความสุขในการทำหน้าที่ที่เราไม่ประมาท ไม่มองข้ามสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ถึงมีคำที่กล่าวว่า ผู้มีปัญญามาก ๆ ก็ต้องมีความสงบมาก ๆ ผู้มีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ เพื่อเราจะได้ก้าวไปด้วยความสงบและปัญญาที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เพราะธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราต้องทำหน้าที่ของเรา
อานาปานสติคือลมหายใจเข้าหายใจออกของเรานี้เป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ที่เราทุกคนต้องเอามาใช้เอามาประพฤติมาปฏิบัติ เพื่อมาเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ เพื่อเราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามผัสสะ จะไม่ได้ไปตามสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้อง เราจะได้อยู่กับธรรมอยู่กับปัจจุบันธรรม อยู่กับความสงบและปัญญา อานาปานสติ ลมหายใจเข้าหายใจออกนี้เป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมอย่างดียิ่ง
พวกเราทั้งหลายต้องใช้ลมหายใจของเรานี้แหละมาฝึกสติฝึกสัมปชัญญะ เราทุกคนฝึกหายใจเข้าก็ให้เราหายใจเข้าสบาย หายใจออกก็ให้เราหายใจออกให้สบาย หายใจเข้าก็ให้เรามีความสุขในการหายใจเข้า หายใจออกก็ให้มีความสุขในการหายใจออก หายใจเข้าก็ให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจออกก็ให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้าก็รู้ว่ามันไม่แน่ไม่เที่ยง มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน หายใจออกก็ให้รู้ว่าไม่แน่ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันผ่านไปผ่านมาชั่วครู่ชั่วยาม หาใช่นิติบุคคลตัวตน เราจะได้เจริญทั้งสมถะเจริญทั้งวิปัสสนา ลมหายใจนี้ใช้ได้เป็นหลักการอย่างดีนะ ไม่ใช่เฉพาะเรานั่งสมาธินะ ใช้ได้ทุก ๆ อิริยาบถ นี้เป็นหลักการของการฝึกนะ
ประเทศไทยเรานี้ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านให้เราใช้อานาปานสติ หายใจเข้าให้สบาย หายใจออกให้สบาย หายใจเข้าก็ท่องกำกับในใจว่าพุทธะ หายใจออกท่องในใจว่าโธ
เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจ เราจะปล่อยให้ตัวเองเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารนั้นไม่ได้นะ เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้รู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เพราะทุกอย่างรู้เข้าใจแล้วทำหน้าที่ของตัวเองให้ถูกต้อง เพราะธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ให้รู้เข้าใจ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่เราไปตัดมันออก ไม่ใช่เรามาเพิ่ม เพียงแต่เราทำหน้าที่ของเราให้ดีให้ถูกต้องให้สมบูรณ์
อย่างเราเรียนหนังสืออย่างนี้ เรารู้เข้าใจว่าถ้าเราไม่เรียนเราก็ไม่รู้ เราก็ปฏิบัติไม่ได้ เราไปเรียนหนังสือเรามีความสุขในการเรียนหนังสือเราก็ได้ทั้งความรู้ได้ทั้งใจดีใจสบาย ความทุกข์ของเรามันก็ไม่มี อย่างเราไปทำงานเราก็มีความสุขในการทำงาน ก็ได้ทั้งธุรกิจหน้าที่การงานได้ทั้งใจดีใจสบาย
เราคิดดูดี ๆ นะ ไม่ได้ตัดออกไม่ได้เพิ่ม มันเป็นความสงบเป็นความพอเพียงเพียงพอ เราไม่รู้เข้าใจ เราก็จะเป็นแต่ผู้เอา ไปเรียนหนังสือก็เพื่อจะเอา ไปทำงานก็เพื่อจะเอา เป็นข้าราชการนักการเมืองเป็นนักบวชก็เพื่อจะเอา เราไม่ใช่เป็นผู้จะเอา เราเป็นผู้ที่มีความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ ด้วยปิติด้วยความสุขด้วยเอกัคคตา ธรรมะมันคือความพอเพียงเพียงพอนะ
ให้รู้เข้าใจ สมมติสัจจะทั้งหลายให้เรารู้เข้าใจ ให้เอามาใช้เอามาประพฤติปฏิบัติให้เกิดปิติสุขเอกัคคตาในปัจจุบัน สมมติสัจจะทั้งหลายน่ะ เราไปคิดเหมือนแต่ก่อนไม่ได้นะ ไปเรียนหนังสือเพราะความจำเป็น ทำงานเพราะความจำเป็น เป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวชก็เพราะความจำเป็น อันนี้ไม่ได้
เราต้องรู้สมมติสัจจะ เอาสมมติสัจจะมาใช้มาปฏิบัติให้เกิดปิติเกิดสุขเกิดเอกัคคตาในหน้าที่นั้น ๆ เราจะได้เข้าถึงความสงบและปัญญา เราไม่รู้ไม่เข้าใจว่าสมมติสัจจะที่ได้รับการแต่งตั้งให้เราเป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวช เสียหายมาก เอาสมมติมาเป็นตัวเป็นตน รู้มั๊ยว่าตัวตนนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่ามีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มีเลย เปรียบเสมือนทะเลมหาสมุทรที่ไม่อิ่มด้วยน้ำ เปรียบเสมือนไฟทั้งหลายไม่อิ่มด้วยเชื้อของเพลิง มีความบกพร่อง ไม่อิ่มไม่พอไม่เต็ม เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจในเรื่องสมมติสัจจะ เพื่อเราจะได้ทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา
เมื่อครั้งหลวงปู่ชา สุภัทโท เดินทางไปส่งท่านพระอาจารย์สุเมโธที่ประเทศอังกฤษ ท่านพระอาจารย์สุเมโธท่านเป็นพระฝรั่ง เกิดที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ท่านได้พัฒนาทางวิทยาศาสตร์ทางวัตถุมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ทางวัตถุแต่มันก็ไปไม่ได้เพราะว่าไปพัฒนาตั้งแต่วิทยาศาสตร์พัฒนาตั้งแต่วัตถุไม่ได้พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน
ท่านถึงระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจึงได้ไปที่ประเทศอินเดีย เนปาล ศรีลังกา ประเทศพม่า แล้วมาที่เมืองไทย มาบรรพชาอุปสมบทที่เมืองไทยประเทศไทย เมื่อบวชแล้วท่านถึงได้ถามหาว่าปัจจุบันนี้แหละ มีครูบาอาจารย์ท่านไหนบ้างเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ได้รับคำตอบว่า ให้ไปหาหลวงปู่ชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี
หลวงปู่ชา สุภัทโท ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายพระกรรมฐานของเมืองไทยประเทศไทย
พระอาจารย์สุเมโธ ท่านถึงไปที่นั่นนะ ท่านก็ไปฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ชา เมื่อสมัยหกสิบกว่าปีก่อนโน้นนะ ท่านไปอยู่กับหลวงปู่ชาก็ไม่ได้รับความสะดวกความสบายทางวัตถุ ท่านก็มีแต่ความทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์นั้นไม่มีเลย
หลวงปู่ชาท่านรู้เข้าใจ ท่านถึงพูดกับท่านอาจารย์สุเมโธว่า วัดหนองป่าพงเป็นทุกข์ หรือว่าพระสุเมโธเป็นทุกข์ ท่านหลวงปู่ชาท่านบอกว่า มนุษย์เราต้องเดินทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับเรื่องวัตถุเพื่อเข้าถึงความสงบและปัญญา เพื่อหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายจะได้มีสติคือความสงบ มีสัมปชัญญะคือตัวปัญญา ความสงบและปัญญา ๒ อย่างนี้จะเป็นความดับทุกข์ของมนุษย์ เป็นการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เป็นการพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน พระอาจารย์สุเมโธรู้เข้าใจ มีการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง หยุดด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ใช้เวลายาวนานเป็นเวลา ๑๐ ปี ๑๐ พรรษา หัวใจหรือว่าจิตใจของท่านอาจารย์สุเมโธถึงเป็นหัวใจติดแอร์คอนดิชั่น
หลวงปู่ชา ท่านถึงส่งท่านพระอาจารย์สุเมโธไปเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ชาวยุโรปได้รู้เข้าใจ เพราะเหตุผลว่ามนุษย์เราเอาธรรมนำชีวิต ต้องเดินทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุ ต้องเอาสองอย่างไปพร้อม ๆ กัน เอาทั้งวิทยาศาสตร์ด้วยการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเอาจิตเอาใจไปพร้อม ๆ กัน จะเอาแต่วัตถุเอาแต่วิทยาศาสตร์นั้นไม่ได้ ต้องเอาใจไปพร้อม ๆ กัน ถึงจะไปได้ ถึงจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ
หลวงปู่ชาท่านไปส่ง คนประเทศอังกฤษเค้าก็ดีใจ เพราะเป็นการทั้งทางวิทยาศาสตร์ พัฒนาทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน เพื่อจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดีก็พอใจลงใจ คนประเทศอังกฤษได้สนทนากับหลวงปู่ชาว่า การที่ประพฤติปฏิบัติธรรมเอาทั้งทางวิทยาศาสตร์เอาทั้งใจไปพร้อม ๆ กันมันดีมาก เค้าบอกว่าดีมากมันดับทุกข์ได้จริง อยากถามความรู้ความเข้าใจกับท่านอาจารย์ชาว่า ถ้าเราปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นพระอรหันต์กับการที่เป็นพระพุทธเจ้าอันไหนมันดีกว่ากัน ในความรู้ความเข้าใจของหลวงปู่ชา เพราะการปฏิบัติเป็นพระอรหันต์ใช้เวลาน้อย ถ้าเป็นพระพุทธเจ้านั้นใช้เวลานาน
ท่านหลวงปู่ชาท่านได้ให้ความรู้ความเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติธรรมะ เราต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติธรรมะนะ การประพฤติการปฏิบัติธรรมะนั้น เราอย่าไปเอาอะไรเลยนะ เราอย่าไปมีอย่าไปเป็นอะไรเลยนะ เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะธรรมะนั้นไม่ได้เพิ่มไม่ได้ตัด มันเป็นความพอดีเป็นความพอเพียงเพียงพอ มันเป็นความสงบเป็นปัญญา มันเป็นสติเป็นสัมปชัญญะ มันเป็นสภาวธรรมที่หยุดความปรุงแต่ง เป็นธรรมเป็นสภาวธรรมอยู่นอกเหตุเหนือผล มันเป็นสภาวธรรมที่ยกเลิกตัวตน
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราอย่าไปเอาอะไร เราอย่าไปเป็นอะไร พระพุทธเจ้าเราก็อย่าไปเป็น พระอรหันต์เราก็อย่าไปเป็นเพราะเหตุผลว่ามันเป็นความปรุงแต่ง ธรรมะคือสติสัมปชัญญะนะ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ พระธรรมวินัยมันอยู่นอกเหตุเหนือผล มันไม่มีความปรุงแต่ง
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจว่าพระธรรมพระวินัยมันอยู่นอกเหตุเหนือผล มันหยุดความปรุงแต่ง ถ้ามีความปรุงแต่งมันก็มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มีเลย ด้วยเหตุผลนี้เราต้องพากันรู้อริยสัจสี่ เราทั้งหลายจะได้มีปิติมีความสุขในการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ด้วยการเสียสละ พร้อมทั้งพัฒนาจิตใจด้วยการเสียสละ เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความสงบ เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ จิตใจของเราถึงจะเป็นหนึ่ง จิตใจของเราถึงจะเข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ศีลสมาธิปัญญาถึงจะเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ความหมายของท่านหลวงปู่ชา ที่ท่านสนทนากับประชาชนคนประเทศอังกฤษอย่างนี้ เป็นคติธรรม เป็นหลักการประพฤติการปฏิบัติ เป็นหลักเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ
เราทั้งหลายเป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐ เราต้องเข้าใจในทางสายกลางระหว่างเรื่องวัตถุกับเรื่องจิตเรื่องใจนะ การปฏิบัติของเราไม่เลือกกาลไม่เลือกเวลาไม่เลือกสถานที่ อยู่ที่ไหนที่เรามีกายวาจากิริยามารยาทมีอาชีพที่นั่นคือการประพฤติการปฏิบัติ เพราะการปฏิบัติมันเป็นเรื่องธรรมเรื่องปัจจุบันธรรม เพื่อให้ทางวัตถุที่เป็นวิทยาศาสตร์ก้าวไปในปัจจุบัน เพื่อให้เรื่องจิตเรื่องใจที่ก้าวไปด้วยปัญญา เพื่อมนุษย์ทั้งหลายจะได้เข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบัน เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ว่างจากสิ่งที่ไม่มี เราต้องรู้เข้าใจ เพื่อเราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่มันจะมีประโยชน์อะไร มันต้องว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ต้องให้พระธรรมให้พระวินัย ศีลสมาธิและปัญญาต้องเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมอย่างนี้ เราทั้งหลายจะได้พากันจบลงในปัจจุบัน จบลงที่ผัสสะ เราเป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เอาหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมอย่างนี้
เราทั้งหลายมาระลึกถึงปัจฉิมโอวาท พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านได้เมตตาประทานไว้ครั้งสุดท้ายไว้ว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร
ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดมการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรมมาประพฤติมาปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง
ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น
การบรรยายพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นบริสุทธิคุณ เพื่อให้เราเข้าถึงภาคประพฤติภาคปฏิบัติทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจ ที่เข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบัน ในเช้าวันอาทิตย์ที่ ๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ก็สมควรแก่เวลาในการบรรยาย ขอสมมติยุติในการบรรยายไว้เพียงเท่านี้
------------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันอาทิตย์ที่ ๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา