๑๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ ๑๐ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

 

พสกนิกรชาวไทยและชาวต่างประเทศได้มาร่วมรวมกันประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความโทมนัสและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน พระองค์ทรงเป็นดั่งแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและพระปรีชาสามารถ ทรงอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระราชหฤทัยในการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อธำรงไว้ซึ่งความผาสุกและความมั่นคงแห่งชาติไทย เราประชาชนชาวไทยต้องร่วมใจสมัครสมานสามัคคีทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่ออุทิศบุญกุศลน้อมเกล้าถวาย เพื่อเสด็จสู่สวรรคาลัย เข้าสู่สวรรค์มรรคผลพระนิพพาน

 

ให้เราทุกคนพากันรู้จักหน้าที่ของตนเอง หน้าที่ของเราคือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ เราทุกคนต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ไม่ขาดตกบกพร่อง ให้รับผิดชอบในปัจจุบัน ปัจจุบันนี้เป็นวาระสำคัญ เพราะอดีตก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มารวมกันที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องตั้งใจตั้งเจตนาในการประพฤติในการปฏิบัติ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เข้าสู่หลักการ เข้าสู่อุดมการณ์อุดมธรรม

 

การประพฤติการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นอริยมรรคเป็นหนทางในการประพฤติในการปฏิบัติ เพื่อให้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เป็นสติคือความสงบ เป็นสัมปชัญญะคือปัญญา เพื่อจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป สติสัมปชัญญะนี้ถึงเป็นธรรมะที่มีคุณมีอุปการะมาก ปัจจุบันเราต้องก้าวไปด้วยความสงบและปัญญา เพื่อเป็นปฏิปทาที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นทางสายกลางระหว่างวัตถุกับจิตใจไปพร้อม ๆ กัน ผู้มีปัญญามากก็ต้องมีความสงบมาก ๆ ผู้มีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ เราต้องเข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ด้วยความรู้ความเข้าใจ พร้อมทั้งมีการประพฤติมีการปฏิบัติ ให้เรารู้ให้เข้าใจ กายวาจากิริยามารยาทอาชีพให้เรารู้ว่านี้เป็นเพียงอุปกรณ์ของใจเท่านั้น เราต้องรู้ต้องเข้าใจว่ากายวาจากิริยามารยาทเป็นเพียงอุปกรณ์ของใจ ด้วยเหตุผลนี้ เราถึงต้องตั้งใจตั้งเจตนา

 

 เราต้องตั้งใจตั้งเจตนา ให้ใจของเรามีความสงบและมีปัญญาด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา เราต้องมีทั้งสมถะคือความสงบ ต้องมีทั้งวิปัสสนาคือตัวปัญญาไปพร้อม ๆ กัน

 

วันหนึ่งคืนหนึ่งนั้นมี ๒๔ ชั่วโมง ใน ๒๔ ชั่วโมงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราทั้งหลายอย่าพากันตั้งอยู่ในความประมาท เราทั้งหลายต้องไม่พากันตั้งอยู่ในความประมาท ให้ถือว่าปัจจุบันนี้เป็นวาระสำคัญ เราทุกคนต้องมีความตั้งใจตั้งเจตนา พากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพ ต้องตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ให้ถือว่าปัจจุบันนี้เป็นวาระสำคัญของเราทุก ๆ คนการประพฤติการปฏิบัติ

 

วันหนึ่งคืนหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง นักบวชของเรานอนพักผ่อน ๕ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมงก็พอเพียงเพียงพอ สำหรับประชาชนที่เป็นฆราวาสนอนพักผ่อน ๖,๗,๘ ชั่วโมงก็พอเพียงเพียงพอ ปัจจุบันที่เราตื่นอยู่ เราต้องมีปิติมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติในหน้าที่ เพราะธรรมะนั้นคือหน้าที่ หน้าที่นั้นคือธรรมะ เราต้องเอาใจใส่ ต้องรับผิดชอบในการประพฤติในการปฏิบัติของตัวเอง ไม่ให้การประพฤติการปฏิบัตินั้นขาดตกบกพร่อง ไม่ให้ขาดไม่ให้ด่างไม่ให้พร้อยไม่ให้เศร้าหมอง ต้องพากันตั้งใจตั้งเจตนา เอาใจใส่รับผิดชอบด้วยความตั้งใจตั้งเจตนาในความไม่ประมาท ต้องเอาใจใส่รับผิดชอบ ความประมาทคือความผิดพลาด เป็นความเสียหายเป็นความพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึกสตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย

 

เราต้องเอาความรู้คู่กับความดี สิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ให้เราปล่อยเราวาง สิ่งที่ยังมาไม่ถึงไม่ต้องวิตกกังวล ให้เอาปัจจุบันที่เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาที่ประกอบด้วยความดี เราทั้งหลายต้องหยุดสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตน  นิติบุคคลตัวตนต้องให้หยุดที่ปัจจุบัน เราจะหยุดตัวตนได้ก็เพราะเหตุผลว่า เราต้องมีสติมีสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะนั้นเป็นธรรมะที่หยุดวัฏฏสงสาร หยุดการเวียนว่ายตายเกิดด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ

 

ด้วยเหตุผลนี้เราถึงต้องเจริญสติสัมปชัญญะเพื่อหยุดตัวหยุดตน เพื่อยกเลิกตัวยกเลิกตน ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา เพื่อให้ศีลสมาธิปัญญาได้ทำงาน ด้วยการเจริญสติสัมปชัญญะ เพื่อจะได้เป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมของเราทุก ๆ คน

 

เราทุกคนต้องเข้าถึงสติสัมปชัญญะ คือความพอเพียงเพียงพอ คือความเต็ม เต็ม เต็ม เต็ม เต็ม เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมาจุติก็วันพระจันทร์วันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง ท่านมาประสูติก็วันพระจันทร์วันเพ็ญ ท่านมาตรัสรู้ก็วันพระจันทร์วันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง ท่านแสดงธัมมจักกัปวัตตนสูตร ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวันก็วันพระจันทร์วันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง ท่านตรัสบอกมหาชนว่าอีก ๓ เดือนข้างหน้าพระตถาคตเจ้าจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันพระจันทร์วันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง ท่านเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันพระจันทร์วันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง

 

ปัจจุบันเราต้องเข้าถึงความเต็ม ความพอเพียงเพียงพอ เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนพระอรหันต์ขีณาสพท่านเข้าถึงความเต็ม เต็ม เต็ม ด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ

 

ผู้ประพฤติผู้ปฏิบัติธรรมตามพระธรรมพระวินัย ตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราต้องรู้เราต้องเข้าใจว่าพระธรรมพระวินัยนั้นคือหลักการที่จะเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม จะเป็นกฏแห่งกรรม จะเป็นผลของกรรม พระธรรมพระวินัยจะเป็นความสงบและปัญญา เป็นปัญญาและความสงบ ความสงบและปัญญาจะรวมกันเป็นหนึ่ง ความเป็นหนึ่งนั้นจะเป็นสติเป็นสัมปชัญญะ

 

หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ ผู้มีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ ผู้มีปัญญามาก ๆ ก็ต้องให้ใจมีความสงบมาก ๆ เพื่อเราจะได้พัฒนาใจได้พัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กัน มนุษย์เราทั้งหลายต้องรู้ต้องเข้าใจ จะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ไม่ใช่ว่างจากสิ่งที่ไม่มี ต้องว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่จะถือว่าเป็นความว่างนั้นได้อย่างไร เราทั้งหลายต้องเข้าถึงความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ด้วยความรู้ความเข้าใจ ที่เรามีตัวมีตนก็เพราะเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราทั้งหลายเลยไปเอาความว่างจากสิ่งที่ไม่มี เราคิดดูดี ๆ นะ เมื่อเรามีตามันก็ต้องมีรูป มีตานั้นไม่ให้รูปได้อย่างไร มีตาก็ต้องมีรูป เรามีหูมันก็ต้องมีเสียง ถ้าไม่มีหูมันจะมีเสียงได้อย่างไร เรามีจมูกมันก็ถึงมีกลิ่น ถ้าไม่มีจมูกมันจะมีกลิ่นได้อย่างไร เรามีลิ้นมันถึงมีรส ถ้าไม่มีลิ้นมันจะมีรสได้อย่างไร เรามีกายมันถึงมีสัมผัส ถ้าไม่มีกายมันจะมีสัมผัสได้อย่างไร เรามีใจเรายังไม่ตายเราก็ต้องมีความรู้สึกนึกคิด ถ้าคนเราตายแล้วมันก็ต้องไม่คิดอะไร เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มันมีอยู่นี้ ไปว่างจากสิ่งที่ไม่มีมันจะมีประโยชน์อะไร

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พวกเรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้จบลงในปัจจุบันนี้ จบลงที่ผัสสะนี้ พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ เพื่อเป็นอุปกรณ์ที่เราจะเอามาใช้เอามาปฏิบัติ เป็นสมมติสัจจะที่ดีมีประโยชน์ ธรรมวินัยถึงมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ ท่านถึงเรียกพูดว่าพุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ สมมติสัจจะทั้งหลายดีมาก มีคุณมีประโยชน์มาก เราต้องเอาสมมติสัจจะนั้นมาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบัน ปัจจุบันเราถึงมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติในการปฏิบัติ เราต้องยกเลิกความคิดเห็นผิดเข้าใจผิดปฏิบัติผิด เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ว่างจากสิ่งที่ไม่มี

 

ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราทุกคนก็ไม่มีความทุกข์อะไร มันเป็นการทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ในปัจจุบัน ศีล สมาธิ ปัญญา นั้นก็จะเป็นความสงบและปัญญา เป็นพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า เหมือนที่เค้ากล่าวกันไว้ว่า พระนิพพานอยู่อนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ ฟังดูแล้วมันไกลเหลือเกิน มันไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่ปัจจุบันธรรม ไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญา มันไม่จบ เราต้องจบที่ความสงบ จบที่ปัญญาลงที่ปัจจุบันนี้เดี๋ยวนี้ ด้วยเหตุผลนี้ผู้มีปัญญามากก็ต้องสงบมาก ผู้มีความสงบมากต้องเสียสละมาก

 

เราเอาปัจจุบันให้เป็นความดับทุกข์ ไม่ต้องเอาความดับทุกข์อยู่ในเบื้องหน้าโน้นเทอญ มันไกลเหลือเกินนะ ต้องเอาความดับทุกข์ในปัจจุบัน มีผู้ไปทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าตายแล้วเกิดหรือว่าตายแล้วสูญ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ให้เอาปัจจุบัน อย่าไปเอาอนาคตให้เอาปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องคิดดี ๆ ยกเลิกตัวตน กิริยามารยาทดี ๆ ยกเลิกตัวตน พูดจาดี ๆ ยกเลิกตัวตน อาชีพดี ๆ ยกเลิกตัวตน เพื่อปัจจุบันนี้เราไม่มีความทุกข์ เพราะเหตุผลว่า อดีตก็มารวมที่ปัจจุบันอยู่นี้แล้ว อนาคตที่จะไปข้างหน้ามันก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้เอง ให้เราเอาปัจจุบัน ไม่ต้องเอาชาติหน้า อย่าตามความหลง ต้องให้หยุดความคิดอย่างนี้ หยุดความเข้าใจอย่างนี้ ให้พากันตั้งใจตั้งเจตนา มีปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เราจะเข้าถึงพระนิพพานบ้านของเราทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาททั้งอาชีพมารวมกันที่ใจที่เจตนาด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

เราทั้งหลายมาเอาความทุกข์ไม่มีความทุกข์ด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยความตั้งใจตั้งเจตนาในปัจจุบัน เราต้องหยุดตัวเอง ต้องยกเลิกตัวเอง ต้องหยุดสัญชาตญาณของเราทุกคนที่เราทุกคนเวียนว่ายตายเกิด ที่มันเป็นสัญชาตญาณ ที่มันเป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรม เป็นผลของกรรม เราต้องหยุดตัวเอง วาระต่าง ๆ นั้นทำหน้าที่เป็นวาระในปัจจุบัน เมื่อเรารู้เข้าใจ เราต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ตั้งใจตั้งเจตนา ให้ปฏิปทาได้ติดต่อต่อเนื่อง เพื่อเป็นขบวนการเพื่อไม่ให้หยุดขบวนการในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราต้องรู้ขบวนการในการประพฤติในการปฏิบัตินะ เราต้องรู้จักกายวาจากิริยามารยาทอาชีพนี้ มันเป็นขบวนการ ขบวนการนั้นต้องเป็นความดีและปัญญา เป็นความสงบและปัญญา ให้ก้าวไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา เพื่อไม่ให้ขบวนการนั้นหยุด ความไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องขบวนการทางตาหูจมูกลิ้นกายใจมันทำให้ขบวนการในการประพฤติการปฏิบัติของเราไม่รู้หลักการในการประพฤติในการปฏิบัติ เราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราทั้งหลายไม่รู้เรื่องในการประพฤติการปฏิบัติ มันเป็นเหตุเป็นผลให้หลักการนั้นมันไปไม่ได้ ทำให้หลักการนั้นมันเสียหาย ทำให้หลักการนั้นพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึกสตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ด้วยเหตุผลนี้เราถึงต้องเอาพระธรรมเอาพระวินัยเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เพื่อเราทั้งหลายจะไม่ได้หลงผัสสะที่มันเกิดกับเราทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้หลงผัสสะ

 

เราคิดดูดี ๆ นะ อย่างรายการดี ๆ ทางวิทยุโทรทัศน์ที่เค้าออกอากาศ ก็ย่อมมีการโฆษณานะ เค้าโฆษณาเพื่อค้าเพื่อขายเพื่อทำธุรกิจ ที่ตาหูจมูกลิ้นกายใจที่เราสัมผัสนั้นแหละคือรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์เค้ากำลังโฆษณาในรายการต่าง ๆ ของเค้านะ เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้มีความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามผัสสะ ไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม เราทั้งหลายจะได้จบลงที่ปัจจุบันนี้แหละ จบลงที่ผัสสะ

 

เราทั้งหลายต้องรู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะรายการต่าง ๆ ให้เรารู้เข้าใจนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่านี้เป็นเพียงอาคันตุกะที่สัญจรไปมาทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เป็นเพียงอาคันตุกะสัญจรไปมาชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้นนะ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ว่างจากสิ่งที่ไม่มี สัมมาสมาธิที่เป็นความสงบและปัญญาต้องควบคู่กันไป เมื่อเรามีปัญญาหรือว่ามีความรู้มากเราก็ต้องมีความสงบมาก ๆ เมื่อเรามีความสงบมาก ๆ เราก็ต้องเสียสละมาก ๆ เพื่อเอาความสงบและปัญญามาใช้มาทำงาน เพื่อเข้าถึงความพอดี ความพอเพียงเพียงพอ ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป

 

หลักการของมนุษย์ที่ดำเนินชีวิตที่ประเสริฐที่มีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงให้ถือหลักการในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ด้วยปิติด้วยสุขด้วยเอกัคคตาในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ และให้พัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจเป็นทางสายกลางเพื่อไม่ให้สุดโต่ง เพื่อให้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ถึงจะแก้ปัญหาได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญความดีบารมี เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ต้องใช้เวลานานมากนะ ใช้เวลาหลายล้านชาติหลายล้านปี เราทั้งหลายถึงต้องมารู้คุณรู้ประโยชน์ในความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์ในความรู้ทางจิตใจ ต้องเอามาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบัน เพื่อจะได้เป็มนุษย์สมัยใหม่ที่ทันโลกทันสมัย มนุษย์ที่มีสัมมาทิฏฐิ มนุษย์ที่ยกเลิกตัวตน เอาทั้งทางวิทยาศาสตร์เอาทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน เราจะได้สว่างไสวทั้งทางวิทยาศาสตร์ และทางจิตใจไปพร้อม ๆ จะได้เข้าถึงความว้าว ว้าว ทั้งภายนอกภายในด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เราพัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์พัฒนาทั้งใจไปพร้อม ๆ กันเพื่อเป็นทางสายกลาง วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำธุรกิจหน้าที่การงานภายนอกเพื่อมาพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจ เพื่อให้ใจมีความสงบมีปัญญา

 

ธรรมะนี้ให้เข้าใจมันเป็นสากลนะ ความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากมันเป็นสากล ความทุกข์กายทุกข์ใจก็เป็นสากล มนุษย์เราทุกคนก็ต้องใช้หลักการอุดมการณ์อุดมธรรมอย่างเดียวกันนี้แหละ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ มีปิติมีความสุขในการทำหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ อย่าให้ขาดตกบกพร่อง ธรรมะคือหน้าที่ เน้นการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องยกเลิกอดีต ปัจจุบันเราต้องยกเลิกอนาคต ปัจจุบันเราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะได้ทำหน้าที่ของเราในปัจจุบัน ด้วยเหตุผลนี้ธรรมวินัยเป็นเรื่องจิตเรื่องใจ เป็นธรรมะอยู่นอกเหตุเหนือผล เป็นสภาวธรรม เป็นความรู้ความเข้าใจ เป็นการหยุดความปรุงแต่ง ไม่ได้เพิ่มไม่ได้ตัด เป็นความสงบเป็นความพอเพียงเพียงพอ

 

ธรรมวินัยเราต้องรู้เราต้องเข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจก็จะเป็นเหมือนพระวินัยธรผู้เรียนพระวินัย ถ้าไม่เข้าใจก็จะเป็นเหมือนธรรมกถึกผู้เรียนธรรมะ ความไม่รู้ไม่เข้าใจเป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้เกิดความไม่สงบ เพราะเราไม่เข้าใจเรื่องความว่าง ไม่เข้าใจเรื่องพระนิพาน ถึงได้ทะเลาะกัน พระธรรมพระวินัยให้เรารู้เข้าใจ ให้เราเอาสมมติสัจจะนั้นมาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติ มีปิติมีความสุขในการทำหน้าที่ เพราะธรรมวินัยนั้นอยู่นอกเหตุเหนือผล เป็นธรรมวินัยที่ยกเลิกตัวตน ให้เราเข้าใจนะว่าอันนี้มันเรื่องจิตเรื่องใจ อย่าให้เป็นตัวเป็นตน มีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ เพื่อสมาธิกับปัญญาจะได้เสมอกัน เพื่อวินัยธรกับธรรมกถึกจะได้ยกเลิกตัวตน จะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ

 

หลักอานาปานสติ การเจริญสติสัมปชัญญะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เอาหลักการด้วยการเจริญอานาปานสติ ให้เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการเจริญอานาปานสติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านหมดกิเลสสิ้นอาสวะ ท่านก็ใช้หลักการอานาปานสติ พระอรหันต์ขีณาสพผู้ที่ได้ฟังพระธรรมคำสั่งสอนได้ประพฤติปฏิบัติ ท่านก็ใช้หลักการอานาปานสตินี้แหละ อานาปานสตินี้ใช้ได้กับสามัญชนทั่วไป ใช้ได้กับพระอริยเจ้าพระอรหันต์ หลักอานาปานสติคือหลักหายใจเข้าก็ให้สบาย หายใจออกก็ให้สบาย เราต้องเอามาใช้ทุก ๆ อิริยาบถ อิริยาบถหลัก ยืนเดินนั่งนอน เราต้องเอามาใช้ทุกอิริยาบถ ไม่ใช่เอามาใช้เฉพาะตอนนั้นสมาธินะ นี้เป็นหลักการอย่างดีเลยนะ หายใจเข้าก็ให้สบาย หายใจออกก็ให้สบาย หายใจเข้าก็ให้มีความสุขหายใจออกก็ให้มีความสุข ให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมในการหายใจเข้าหายใจออก ถ้าเราจะเจริญสติปัญญา เราก็ภาวนาว่าหายใจเข้ามันก็ไม่แน่ไม่เที่ยง มันเข้าไปแล้วก็ออกมา ออกมาแล้วก็เข้าไป มันสัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะชั่วครู่ชั่วยามมันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราใช้หลักการอย่างนี้ก็ได้ ให้ถือว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราต้องทำหน้าที่ เพราะหน้าที่นั้นคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรมนะ

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้จบลงที่ปัจจุบัน เพื่อจะได้ทำหน้าที่เพื่อความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ เราทำอย่างนี้แหละปฏิบัติอย่างนี้แหละ เพื่อทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ มนุษย์เราถ้ามีสติมีสัมปชัญญะที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ มนุษย์เราก็จะมีความสงบมีปัญญา รู้เรื่องหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ ความทุกข์ทั้งหลายก็จะไม่มี ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะความทุกข์นั้นไม่มีนะ เราให้รู้เข้าใจนะ เรามันไปคิดเองเออเอง มันหาเรื่องหาราวให้กับตัวเอง อยากได้มากก็ว่าสิ่งนั้นมันน้อย อยากได้น้อยมันก็ว่าสิ่งนั้นมันมากเกิน เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เราต้องรู้หลักในการประพฤติการปฏิบัติ เน้นการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน ปัจจุบันถือว่าเป็นวาระแห่งชาติของการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราระลึกถึงปัจฉิมโอวาทของพระบรมศาสดาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่จะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานท่านได้ตรัสโอวาทสำคัญครั้งสุดท้ายไว้ว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

 

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร

 

ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรมมาประพฤติมาปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง

 

 ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น

 

การบรรยายพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นบริสุทธิคุณ ที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมในการประพฤติการปฏิบัติก็เห็นสมควรแก่เวลา ขอสมมติยุติไว้ ณ โอกาสนี้

 

........................................

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันจันทร์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

 

 

 

Visitors: 104,506