๑๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันอังคารที่ ๑๑ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
พสกนิกรชาวไทยและชาวต่างประเทศได้มาร่วมรวมกันประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความโทมนัสและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน พระองค์ทรงเป็นดั่งแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและพระปรีชาสามารถ ทรงอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระราชหฤทัยในการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อธำรงไว้ซึ่งความผาสุกและความมั่นคงแห่งชาติไทย เราประชาชนชาวไทยต้องร่วมใจสมัครสมานสามัคคีทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่ออุทิศบุญกุศลน้อมเกล้าถวาย เพื่อเสด็จสู่สวรรคาลัย เข้าสู่สวรรค์มรรคผลพระนิพพาน
การดำเนินชีวิตของมนุษย์ ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในการประพฤติในการปฏิบัติ ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยอาศัยหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่อเป็นปฏิปทาของเราทุก ๆ คน เพื่อให้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมไม่ให้เป็นนิติบุคคล ไม่ให้เป็นตัวเป็นตน
อดีตทั้งหมดที่ผ่านมาก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญแห่งชาติของการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันใจของเราถึงต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติการพัฒนาสติสัมปชัญญะที่เป็นปัจจุบันธรรมที่ยกเลิกนิติบุคคลตัวตนเป็นวาระสำคัญ
ให้เราทุกคนมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ เพื่อจะได้หยุดสัญชาตญาณด้วยหลักการเพื่อเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม
สติสัมปชัญญะนี้จะหยุดสัญชาตญาณของเราทุก ๆ คน สัญชาตญาณที่เป็นตัวเป็นตน เราทุกคนจะหยุดได้ด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ
เราเป็นผู้ที่มีปัญญามาก ๆ ให้เรารู้เข้าใจนะ เราก็ต้องมีความสงบมาก ๆ ให้เราเข้าใจอย่างนี้นะ เมื่อเรามีความสงบมาก ๆ เราก็ต้องเสียสละมาก ๆ ให้เราเข้าใจอย่างนี้นะ ให้เข้าใจว่าความสงบและปัญญาเป็นธรรมะที่หยุดสัญชาตญาณ หยุดวัฏฏสงสาร วัฏฏสงสารที่เป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตน ที่มีความยึดมั่นถือมั่น มีความสำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตน
ธรรมะจะหยุดสภาวธรรมที่กำลังเวียนว่ายตายเกิด ต้องอาศัยหลักการของศีลสมาธิปัญญา ด้วยการพัฒนาจิตใจกับทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นวัตถุด้วยความรู้ความเข้าใจ ที่เราต้องเจริญสติสัมปชัญญะ ที่เป็นธรรมะที่มีคุณมีประโยชน์ ที่มีอุปการะมาก
ธรรมะที่จะทำให้เราหยุดสัญชาตญาณต้องเป็นสติสัมปชัญญะที่เป็นปัจจุบันธรรม ธรรมะที่จะทำให้เราเวียนว่ายตายเกิดก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้นะ ธรรมะที่จะทำให้เราหยุดเวียนว่ายตายเกิดมันก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้ เมื่อเรารู้ว่ามันอยู่ที่ปัจจุบัน เราทั้งหลายที่เป็นมนุษย์ก็ต้องพากันรู้ว่าปัจจุบันนี้เป็นวาระสำคัญของเราทุกคนในการประพฤติการปฏิบัติ
ให้หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายตั้งใจตั้งเจตนา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ให้พวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจให้มันง่าย ๆ อย่างนี้นะ
เราต้องรู้เรื่องการประพฤติการปฏิบัติ รู้เรื่องของกรรม รู้เรื่องกฎแห่งกรรม เข้าใจในผลของกรรม ใจของเราต้องมีปัญญา ให้พากันตั้งใจตั้งเจตนา กายวาจากิริยามารยาทอาชีพให้เรารู้ว่าเป็นเพียงอุปกรณ์ของใจ
เรารู้จักเรื่องของกรรมอย่างนี้ กรรมนั้นที่จะเกิดได้ต้องมาจากเจตนาคือจากความตั้งใจ เมื่อเรามีสติมีสัมปชัญญะ กรรมทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ กรรมนั้นก็ย่อมเกิดไม่ได้
เพราะเหตุผลว่า ใจของเรามีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ปัญญาสัมมาทิฏฐินี้ที่เป็นความดีเป็นกรรมดีที่ประกอบด้วยปัญญา กรรมทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพจะก้าวไปด้วยสติสัมปชัญญะ
เมื่อปัจจุบันเรามีสติมีสัมปชัญญะ เราทั้งหลายก็จะได้เข้าสู่หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ สติสัมปชัญญะถึงเป็นหลักการในการประพฤติการปฏิบัติของเรา
ธรรมะนั้นคือหน้าที่ หน้าที่นั้นคือธรรมะ การประพฤติปฏิบัติธรรมคือการทำหน้าที่ หน้าที่ของเราคือความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่อพัฒนาทั้งใจและวัตถุ เพื่อทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ไม่ให้ขาดไม่ให้ด่างไม่ให้พร้อยไม่ให้เศร้าหมอง ด้วยความปิติ โสมทัส ด้วยความยินดี เป็นผู้ปฏิบัตดี เป็นผู้ปฏิบัติชอบ เป็นผู้ปฏิบัติตรง เห็นภัยในความไม่ถูกต้อง ด้วยปิติด้วยความสุขเอกัคคตาความเป็นหนึ่ง สติสัมปชัญญะถึงเป็นสภาวธรรมที่เป็นความพอดีเป็นความเพียงพอ อยู่ในทางสายกลาง เป็นสภาวธรรมที่มีความสงบและปัญญา
ปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในการประพฤติในการปฏิบัติ ในการทำหน้าที่ เพื่อในปัจจุบันของเราทั้งหลายจะไม่ได้มีความทุกข์อะไร จะได้มีแต่ปิติสุขเอกัคคตา เป็นวิหารธรรม มีความสดชื่น รู้ตื่นเบิกบาน มีความรู้ความเข้าใจ พร้อมทั้งมีปิติมีความสุขในการการประพฤติในการปฏิบัติ ที่ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เพื่อทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ เพื่อเข้าถึงความเต็ม เต็ม เต็ม เพราะอันนี้มันจะเป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ที่เป็นความเต็ม เต็ม เต็ม ที่เป็นปฏิปทาของเราที่รู้เรื่องของกรรม เรื่องกฎแห่งกรรม ผลของกรรม ที่เราจะก้าวไปด้วยความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้ก้าวไปสู่ความพอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป อันหนึ่งคือความสงบ อันหนึ่งคือปัญญา สองอย่างนี้คือสติคือสัมปชัญญะ ความสงบและปัญญาที่รวมกันเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา
เราพากันนอนพากันพักผ่อนให้เพียงพอ คำว่านอนหมายถึงความสงบนั่นแหละ เมื่อเรามีความสงบหรือมีการนอนการพักผ่อน เราทั้งหลายก็ต้องมีปัญญาเพื่อเสียสละ เราจะไม่ได้ติดในนิติบุคคลตัวตน นิติบุคคลตัวตนให้เรารู้เข้าใจ ความสงบนั้นเรียกว่าการพักผ่อนมันเป็นแต่นิติบุคคลตัวตน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่ามันเป็นเพียงสมาธิเป็นเพียงสมาบัติ ด้วยเหตุผลนี้ผู้มีความสงบมากต้องเสียสละให้มาก เพื่อไม่ให้มากเกินไปไม่น้อยเกินไป
เราต้องรู้จักอาหารกายอาหารใจ เราต้องรู้จักความพอเพียงเพียงพอ
พากันทานอาหารให้เพียงพอ ไม่ให้น้อยเกินไปไม่ให้มากเกินไป เมื่อเรานอนพักผ่อนเพียงพอ หมายถึงความสงบของเราเพียงพอ ธาตุขันธ์อายตนะของเราก็ดี เมื่อธาตุขันธ์อายตนะของเราดี เราทั้งหลายก็ต้องพากันมาเสียสละ เราต้องรู้จักอาหารกายอาหารใจ เพื่อจะได้ก้าวไปด้วยความดีและปัญญา ปัญญาและความดี เพื่อเป็นมรรคเป็นอริยมรรค กายของเรามันก็จะดี ใจของเรามันก็จะดี เพราะเราเอาธรรมนำชีวิต เรายกเลิกสัญชาตญาณที่เป็นตัวเป็นตน ด้วยรู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เอาสติสัมปชัญญะด้วยความตั้งใจตั้งเจตนานำชีวิตของการประพฤติการปฏิบัติ
เราเป็นมนุษย์เป็นผู้ที่ประเสริฐเราต้องรู้ต้องเข้าใจ ในการประพฤติในการปฏิบัตินะ ให้รู้ให้เข้าใจ ว่าร่างกายของเราก็ส่วนหนึ่ง ร่างกายนี้คือรูปธรรมที่เกิดแก่เจ็บตายพลัดพราก นี้มันก็เป็นส่วนของส่วนหนึ่งนะ ใจของเราที่เป็นนามธรรม ให้เรารู้เข้าใจนะ ใจของรานี้ไม่ได้แก่ไม่ได้เจ็บไม่ได้ตายไม่ได้พลัดพรากนะ ที่มันแก่เจ็บตายพลัดพรากนั้นมันเป็นเรื่อของกายนะ ให้เรารู้เข้าใจอย่าง สองอย่างนี้มันไม่ใช่อย่างเดียวกัน มันเป็นคนละอย่างกันนะ เราต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ให้เข้าใจเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเข้าใจแล้วก็บอกเรา เราเอาสองอย่างนี้มารวมกันเป็นอันหนึ่งไม่ได้นะ ให้เข้าใจว่ากายกับใจนี้มันคนละอย่าง
เราจะเอาธาตุเอาขันธ์อายตนะมารวมกันกับใจไม่ได้นะ เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้จบลงที่ความรู้ความเข้าใจ เรื่องนี้มันจะจบได้ก็ต้องมีสติมีสัมปชัญญะ จะได้จบลงที่ปัจจุบัน จะได้จบลงที่ผัสสะ จะได้เป็นความสงบเป็นปัญญา เราทั้งหลายต้องพากันรู้ว่า กายกับใจมันคนละอย่างกัน เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้พากันหยุดลงที่ปัจจุบันนี้ เราจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี ไม่มากเกินไม่น้อยเกิน
ความสุขความทุกข์ ความไม่สุขไม่ทุกข์นั้นให้เป็นเรื่องของส่วนทางร่างกาย ใจของเราทุกคนต้องมีสติมีสัมปชัญญะมีปัญญา
ทุกข์ทางกายนั้นมันเป็นสิ่งที่มีอยู่นะ ถ้าเรารู้เข้าใจ ทุกข์ทางใจนั้นย่อมไม่มีนะ
เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ให้มันมีทุกข์ได้เฉพาะเรื่องของทางร่างกายก็เพียงพอ เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ว่างด้วยความรู้ความเข้าใจ เพื่อเข้าถึงหลักการ อุดมการณ์อุดมธรรมในการประพฤติการปฏิบัติ
เราอย่าให้มีความทุกข์ทางจิตทางใจ เรื่องความทุกข์นั้นให้เป็นเพียงร่างกาย การ
การพัฒนามนุษย์เค้าต้องพัฒนาทั้ง ๒ อย่าง พัฒนาวัตถุด้วยอาศัยหลักการทางวิทยาศาสตร์เพื่อความสะดวกความสบายทางร่างกาย เพื่อเอาร่างกายมาสร้างความดีมาสร้างบารมี
พัฒนาวิทยาศาสตร์เพื่อให้ร่างกายสบาย พัฒนาจิตใจเพื่อให้ใจจะได้มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เอา ๒ อย่างนี้มาพัฒนาไปพร้อม ๆ กันเพื่อให้เป็นปัจจุบันธรรม เพื่อก้าวไปทางวิทยาศาสตร์ด้วยความก้าวหน้าไม่ล้าหลัง ก้าวไปด้วยปัญญาเพื่อยกเลิกอวิชชา ยกเลิกความหลง เพื่อจะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เอาทั้งวิทยาศาสตร์ เอาทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน ด้วยมามีสติมีสัมปชัญญะ จะได้จบลงในปัจจุบัน ถือว่าที่เราได้เกิดมา เรามารู้กรรมเก่าของเราทั้งหลาย ที่เราได้มีความเกิดความแก่ความตายความพลัดพรากนี้ให้เรารู้จักว่า นี้มันเป็นกรรมเก่า กรรมเก่าที่เราต้องมารู้มาเข้าใจเรื่องกรรมเก่า ความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากนี้มันคือกรรมเก่า กรรมเก่าเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ ความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากเป็นสภาวธรรมที่แก้ไขไม่ได้ เพราะอันนี้มันเป็นส่วนทางร่างกาย เป็นส่วนทางวัตถุ มันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
เราทั้งหลายต้องรู้กรรมเก่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้รู้กรรมเก่า ให้เรายอมชดใช้หนี้ ชดใช้กรรมเก่า เราจะหยุดกรรมเก่าได้ก็ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยการมีสติสัมปชัญญะ เราต้องรู้เข้าใจ เราทุกคนจะหนีกรรมเก่าไปไม่ได้ ผู้ที่เกิดมา ความเกิดนั้นมันมาจากกรรม กรรมที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจ ทำให้เราเป็นกรรมเป็นเวรเป็นภัย กรรมเก่านั้นเราต้องใช้หนี้กรรม ธาตุขันธ์อายตะนี้มันเป็นกรรมเก่า เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราจะหยุดกรรมเก่าได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยยอมชดใช้กรรม
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจึงให้เราเจริญปัญญา เรื่องของกรรมที่เราได้รับผลของกรรมก็ให้มันจบลงเป็นส่วนทางวัตถุ ให้จบลงทางกาย ใจของเรากับกายนั้นมันคนะอ่ย่างกัน ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะ ความทุกข์ทางจิตใจของเราก็ไม่มี ความทุกข์นั้นคือความปรุงแต่งนะ ถ้าเราไม่มีความปรุงแต่งเราก็ไม่มีทุกข์ เราจะหยุดความปรุงแต่งได้ด้วยการมีสติมีสัมปชัญญะ ใจของเราต้องมีสติมีสัมปชัญญะ เมื่อเรามีสติมีสัมปชัญญะ ความปรุงแต่งนั้นก็เกิดขึ้นไม่ได้ ความปรุงแต่งจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะเราไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ ธรรมะที่จะให้หยุดวัฏฏสงสารก็ต้องสติต้องสัมปชัญญะ
เราทั้งหลายต้องรู้ต้องเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ เราจะได้ว่างจากกรรมเก่าที่มีอยู่ด้วยการเจริญสติสัมปชัญญะ การประพฤติการปฏิบัติถึงเน้นที่ปัจจุบัน เพื่อให้ความดีและปัญญาก้าวไปในปัจจุบัน ทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้เป็นการบำเพ็ญบารมี ที่เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ด้วยการหยุดกรรมเก่าด้วยสติสัมปชัญญะ
เรารู้เข้าใจ กรรมใหม่เราก็หยุด กรรมใหม่เราก็ยกเลิก จะยกเลิกกรรมใหม่ได้อย่างไร ยกเลิกด้วยสติสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะนี้จะหยุดได้ทั้งกรรมเก่ากรรมใหม่ ให้เรารู้เข้าใจนะ ตั้งแต่นี้ต่อไปกรรมเก่าเราก็ยกเลิก เรากรรมใหม่เราก็ไม่สร้างด้วยการเจริญสติสัมปชัญญะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านรู้ท่านเข้าใจ ท่านเอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อหยุดกรรมเก่า ไม่สร้างกรรมใหม่ ที่ว่าตรัสรู้ หมายถึงเอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติที่เป็นสติเป็นสัมปชัญญะ
ให้เรารู้เข้าใจในเรื่องกรรมเก่า ให้เรารู้เข้าใจอย่าไปสร้างกรรมใหม่ ด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะหยุดกรรมเก่าได้ก็ด้วยการเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ เพื่อความสงบและปัญญา เราจะหยุดความปรุงแต่งได้ต้องอาศัยพระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ที่เป็นเบรกเป็นเซฟตี้เป็นอุปกรณ์ในการประพฤติการปฏิบัติ
พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ถึงเป็นเบรกเป็นเซฟตี้ที่เป็นอุปกรณ์ในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายต้องพากันเข้าใจ จะไม่ได้พากันลังเลสงสัยในข้อวัตรในข้อปฏิบัติ เราทั้งหลายต้องพากันรู้คุณรู้ประโยชน์ว่าพระธรรมพระวินัยคือคุณคือประโยชน์ มีแต่คุณมีแต่ประโยชน์หาโทษมิได้เลย เราทั้งหลายต้องรักพระธรรมรักพระวินัย เพราะเหตุผลว่าพระธรรมพระวินัยเป็นอุปกรณ์ในการประพฤติในการปฏิบัติ
สติสัมปชัญญะนี้ถึงเป็นสภาวธรรมที่เป็นพระธรรมเป็นพระวินัยที่จะมาหยุดความปรุงแต่ง ที่เป็นสติสัมปชัญญะ เราต้องมีปิติมีความสุขที่เอาสมมติสัจจะ ที่เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย เอามาใช้ด้วยปิติด้วยความสุขด้วยเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ สติสัมปชัญญะเป็นธรรมะที่เป็นสภาวธรรมที่เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้หยุดความปรุงแต่งได้ เราต้องหยุดกรรมเก่าในปัจจุบัน เราจะให้มันจบลงที่ปัจจุบัน ให้เรารักพระธรรมรักพระวินัย รักข้อวัตรกิจวัตร ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา มีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ ในเจตนาในความตั้งใจ ใจของเราจะได้ก้าวไปด้วยความเป็นประภัสสร
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราพากันเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้นะ ทำอย่างอื่นปฏิบัติอย่างอื่นมันไม่ได้ เพราะการพัฒนามนุษย์เค้าต้องพัฒนาวัตถุด้วยการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ แล้วก็พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน ทำอย่างนี้ถึงจะไปได้ เพื่อให้การปฏิบัติของเราเป็นไปในทางสายกลาง เพื่อให้การประพฤติการปฏิบัตินั้นเป็นทางสายกลาง เพื่อยกเลิกความไม่ถูกต้อง ความไม่ถูกต้องคือความผิด ความผิดนี้คือการทุจริต ทุจริตคือความผิด การแก้ปัญหาของเราคือมาแก้ปัญหาเรื่องทุจริต การพัฒนาโลกพัฒนาธรรม คือเรามายกเลิกความไม่ถูกต้อง มายกเลิกทุจริต เราทุกคนต้องมายกเลิกตัวตน คือมายกเลิกทุจริต ที่กายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจ มารวมลงที่เจตนา มายกเลิกทุจริต เราถึงจะพากันแก้ปัญหาได้ เราถึงจะไปตามหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ด้วยเหตุผลนี้ความสงบและปัญญาถึงต้องก้าวไปพร้อม ๆ กัน จะยิ่งหย่อนกว่ากันไปไม่ได้
การประพฤติการปฏิบัติมันเป็นความรู้ความเข้าใจ ไม่ใช่เรื่องที่จะไปตัดออก ไม่ใช่เรื่องที่จะไปเพิ่ม เป็นเรื่องของความสงบและปัญญา มันเป็นเรื่องรู้อริยสัจสี่ รู้เรื่องเหตุเรื่องผล รู้เรื่องกรรม รู้เรื่องกฎของกรรม ความรู้ความเข้าใจนี้มันจะจบลงที่ปัจจุบันด้วยไม่ต้องไปตัดออก ไม่ต้องไปเพิ่ม ให้มนุษย์ทั้งหลายพากันรู้พากันเข้าใจ
เราทั้งหลาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เรารู้กรรมเก่าอย่างนี้ ให้หยุดกรรมเก่าด้วยความรู้ความเข้าใจ ให้หยุดกรรมใหม่ด้วยความรู้ความเข้าใจ เพราะธรรมะนั้นไม่ได้เอามาเพิ่ม ไม่ได้ตัดออก มันเป็นความพอเพียงเพียงพอ มันเป็นความพอดี มันเป็นความสงบและปัญญา ให้เราทั้งหลายพากันเจริญสติสัมปชัญญะ ให้มีสติมีสัมปชัญญะในปัจจุบัน ให้ตั้งใจตั้งเจตนา ให้มีปัญญา เราทั้งหลายจะได้หยุดกรรมเก่า ไม่สร้างกรรมใหม่ เราทั้งหลายจะได้จบลงที่ปัจจุบันนี้แหละ ศีลก็จะได้เป็นพระนิพพาน สมาธิก็จะได้เป็นพระนิพพาน ปัญญาก็จะได้เป็นพระนิพพาน เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงให้เรารู้เข้าใจ ไม่ใช่เอามาเพิ่ม ไม่ใช่เอามาตัด
นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายก็ต้องเข้าใจ ผู้ที่พัฒนาจิตใจทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ธรรมะนั้นมันสากลนะ ความเกิดความแก่ความเจ็บความตามความพลัดพรากมันเป็นสากล ความทุกข์กายมันเป็นสากล ความทุกข์ใจมันก็ป็นสากล
มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วก็ต้องมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติด้วยเอาสติเอาสัมปชัญญะนำการประพฤติการปฏิบัติ ความทุกข์มันจะมาจากไหน เมื่อมันผ่านไปแล้วมันเกษียณแล้วมันก็ปล่อยก็วาง เพราะมันผ่านไปแล้วมันเกษียณแล้วมันเอากลับคืนมาไม่ได้
ให้รู้เข้าใจ เรื่องชาติ เรื่องศาสนา เรื่องพระมหากษัตริย์ที่เป็นรูปธรรมนามธรรม ที่สมมติทั้งหลายที่เค้าแต่งตั้งอะไรให้ปฏิบัติต่อสมมตินั้น ๆ ให้มีความสุข อย่าไปคิดว่าเรียนหนังสือก็เพราะจำเป็น ทำงานก็เพราะจำเป็น เป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองก็เพราะจำเป็น เป็นนักบวชก็เพราะจำเป็น ไปคิดอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ไม่ได้ มันเป็นโรคซึมเศร้า เราต้องพากันมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเราจะได้ก้าวไปด้วยปิติด้วยความสุขเอกัคคตา
อานาปานสตินี้ดีมากนะ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เอาหลักการเพื่อเราจะได้มีสติมีสัมปชัญญะ ให้เราอยู่กับอานาปานสติ อานาปานสติที่ยกเลิกตัวตน เป็นสภาพที่บริสุทธิยกเลิกตัวตน หายใจเข้าก็ให้เรามีความสุขในการหายใจเข้า หายใจออกก็ให้มีความสุขในการหายใจออก หายใจเข้าก็ให้เราสบาย หายใจออกก็ให้เราสบาย หายใจเข้าก็ให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจออกก็ให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้าหายใจออกก็ให้รู้ว่ามันไม่แน่ไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันเป็นเพียงอาคันตุกะสัญจรไปมาชั่วครู่ชั่วยาม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราพากันทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ให้มีความสุขในการทำหน้าที่ เพราะหน้าที่นั้นคือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ ถ้าใจไม่สงบก็ให้หยุดลมหายใจของตัวเองไว้ ใจมันขาดลมหายใจ ใจมันจะขาดเดี๋ยวมันก็จะสงบ เราทำอย่างนี้หลาย ๆ ครั้งมันก็จะสงบได้
อดีตที่ผ่านมามันมีกับเราทุก ๆ คน เราจะหยุดอดีตได้ก็ด้วยรู้เข้าใจ เราต้องรู้เข้าใจว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันไม่จบหรอก เมื่อเรามีตารูปมันก็ต้องมีอย่างนี้แหละ เมื่อเรามีหูก็มีเสียงอย่างนี้แหล เมื่อเรามีจมูกเราก็มีกลิ่นอย่างนี้แหละ เมื่อเรามีลิ้นเราก็มีรสอย่างนี้แหละ เมื่อเรามีกายก็มีสัมผัสอย่างนี้แหละ เมื่อเรามีใจเราก็มีความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้แหละ เราต้องจบที่ความรู้ควมเข้าใจ ด้วยการมีสติสัมปชัญญะรู้เข้าใจ เห็นภัยในเรื่องกรรมเก่า เข้าใจในเรื่องกรรมใหม่
เราทั้งหลายอย่ากันตั้งอยู่ในความประมาท เพราะความประมาทมันคือความผิดพลาดมันคือความเสียหายมันเป็นการพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึกสตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย ตึกไหน ๆ เค้าก็ไม่พังทลายพังตึกเดียวคือตึกสตง.อยู่ที่กรุงเทพมหานคร แผ่นดินไหวอยู่ตั้งไกลอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ประเทศพม่า เราต้องหยุดด้วยสติสัมปชัญญะอย่างนี้มันจะไม่ได้เสียหาย มันจะได้จบลงที่ปัจจุบันด้วยเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ด้วยรู้เข้าใจ ไม่ตั้งอยู่ในความหลงอีกต่อไป พอกันทีวัฏฏสงสารที่ท่องเที่ยวมานาน ถึงมันจะอร่อยจะหรอยจะแซบจะนัวก็ช่างหัวเผือกช่างหัวมัน เหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชท่านตรัสว่า เราต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เราจะได้หยุดด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะไปมีความทุกข์ไปทำไม เราอยากได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่าเท่าเดิม เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่าเท่าเดิม เราทั้งหลายต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เห็นภัยในทุกข์ เพราะตัวตนมันมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนี้แหละ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจเห็นภัยในวัฏฏสงสาร
ให้ระลึกถึงปัจฉิมโอวาทของพระบรมศาสนาดาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าให้เราทั้งหลายรู้อริยสัจสี่ เราอย่าไปหลงไปเพลิดเพลินในวัฏฏสงสารอย่าพากันประมาท เราจะได้จบลงในปัจจุบัน ปัจฉิมโอวาทตรัสว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร
ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรมมาประพฤติมาปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง
ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น
------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันอังคารที่ ๑๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา