๑๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันพุธที่ ๑๒ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
พสกนิกรชาวไทยและชาวต่างประเทศได้มาร่วมรวมกันประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความโทมนัสและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน พระองค์ทรงเป็นดั่งแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและพระปรีชาสามารถ ทรงอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระราชหฤทัยในการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อธำรงไว้ซึ่งความผาสุกและความมั่นคงแห่งชาติไทย เราประชาชนชาวไทยต้องร่วมใจสมัครสมานสามัคคีทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่ออุทิศบุญกุศลน้อมเกล้าถวาย เพื่อเสด็จสู่สวรรคาลัย เข้าสู่สวรรค์มรรคผลพระนิพพาน
การดำเนินชีวิตของเราต้องเอาความรู้ความเข้าใจ เพื่อเอามาใช้เอามาประพฤติเอามาปฏิบัติเพื่อเป็นอริยมรรคที่แสดงออกทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจที่เจตนา ให้เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เพราะอดีตทั้งหลายนั้นก็มารวมกันที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้เอง ให้เรารู้เข้าใจนะว่าสติสัมปชัญญะคือความสงบและปัญญา สติและสัมปชัญญะนี้ได้เป็นปฏิปทาที่เราจะก้าวไปเป็นมรรคเป็นอริยมรรค ในการเดินทางทั้งทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ มารวมลงที่ใจ มารวมลงที่เราตั้งใจตั้งเจตนา สติสัมปชัญญะถึงเป็นธรรมะที่มีคุณมีประโยชน์มาก เป็นธรรมะที่มีอุปการะมาก
ความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นเบรกเป็นเซฟตี้ ถ้าเราไม่มีความละอายต่อบาปไม่มีความเกรงกลัวต่อบาป เราจะเป็นคนไม่มีเบรกไม่มีเซฟตี้ให้กับตัวเองเลยนะ เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ ไม่มีใครใหญ่เหนือกรรม เหนือกฎแห่งกรรม เหนือผลของกรรมนะ
เราต้องก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป
คำว่าพระคือผู้ที่รู้เข้าใจ ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ยกเลิกตัวตน ไม่มีตัวมีตน เป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เอาพระธรรมเอาพระวินัยมาใช้มาปฏิบัติ เพราะเหตุผลว่าพระธรรมเอาพระวินัยที่เป็นกรรมดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาที่ประกอบด้วยกรรมดี เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ยกเลิกตัวตน เพื่อหยุดสัญชาตญาณ หยุดกรรม หยุดกฎแห่งกรรม ด้วยเอาพระธรรมเอาพระวินัย เอาข้อวัตรกิจวัตร เอาความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่อเป็นปฏิปทาในปัจจุบัน
กฎแห่งกรรมของการประพฤติของการปฏิบัติ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัยถึงจะมีคุณมีประโยชน์ที่มีอุปการคุณ เราอาศัยหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้บำเพ็ญพุทธบารมีที่เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ท่านใช้เวลาบำเพ็ญพุทธบารมีตั้งหลายล้านชาติหลายล้านปี ในการค้นคว้าในการปฏิบัติ เอาทางวิทยาศาสตร์กับทางจิตใจ เอามาใช้เอามาปฏิบัติเป็นทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุ ทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้หมู่มวลมนุษย์ถึงจะไม่มีความทุกข์ ความรู้ความเข้าใจเอามาใช้เอามาปฏิบัติ เพื่อให้เป็นปฏิปทาในปัจจุบัน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านประพฤติท่านปฏิบัติอย่างนี้ เราอาศัยพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านได้ตรัสรู้
เรามาเอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ที่เป็นคำสั่งและคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นฝ่ายวัตถุให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เรามาพัฒนาฝ่ายทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพรวมทั้งจิตใจให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อเราจะไม่ได้เสียเวลาในการดำเนินชีวิตที่เป็นทางสายกลาง
การเกี่ยวข้องการคบค้าสมาคมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ การเกี่ยวข้องกับพระอรหันต์ขีณาสพ ผู้ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติจึงเป็นมงคลของชีวิต เพื่อเราจะไม่ได้คิดผิดทำผิด ด้วยมีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม จะไม่ได้เอาความหลงนำชีวิต จะไม่ได้เอาความผิดนำชีวิต ต้องเอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เราทุกคนต้องพากันมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ
มนุษย์เราต้องรู้เหตุรู้ปัจจัย ได้แก่ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราทั้งหลายต้องไม่สร้างเหตุให้เกิดทุกข์ เรามีแต่สร้างความสุข มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราถึงรู้ความดีความถูกต้อง ชีวิตของเราจะไม่ได้เสียหาย ชีวิของเราจะไม่ได้พังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับ ตึกสตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย ตึกไหน ๆ เค้าก็ไม่พังทลายมันไป พังเฉพาะเจาะจงแต่ตึก สตง. ชีวิตที่เอาความผิดเอาทุจริตนำชีวิต ชีวิตนี้ก็ต้องเสียหายก็ต้องพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย
เราทุกคนต้องพากันรู้พากันเข้าใจ ทุกคนนั้นพากันทำได้ปฏิบัติได้ ไม่มีใครทำไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้ คนที่ทำไม่ได้ก็มีแต่คนบ้า คนที่สมองเสีย เค้าถึงไม่เอาเรื่องเอาราวกับคนบ้าคนสมองเสีย เมื่อเรารู้เข้าใจ เราก็เดินทางสายกลาง ยกเลิกสัญชาตญาณที่มีความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเราเป็นของของเรา เราทั้งหลายต้องหยุดสัญชาตญาณอย่างนี้ของตัวเอง ให้เรารู้เรื่องของธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ ให้เรารู้เรื่องของกรรม กฎแห่งกรรม ผลของกรรม ให้เรารู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราจะเอาธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ มาเป็นเรามาเป็นคนอื่น เราจะได้รู้เรื่องของกาย ร่างกายก็ส่วนหนึ่งใจก็ส่วนหนึ่งมันคนละอย่างกัน อันหนึ่งรูปธรรม รูปธรรมก็ได้แก่ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ นี้เป็นรูปธรรม มันคนละอย่างกันนะ กายกับใจมันคนละอย่าง เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้จบลงที่ปัจจุบัน เพราะใจของเรา ให้พวกเรารู้นะ ใจของเราทุกคนจะไม่มีแก่ไม่มีเจ็บไม่มีตายไม่มีพลัดพราก ใจของเราเป็นประภัสสร สิ่งที่สัญจรไปมา มันเป็นเรื่องธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ต่างหากล่ะ เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้จบลงที่ปัจจุบัน จบลงที่ผัสสะนี้ ด้วยเหตุผลนี้ เราทุกคนถึงต้องมีสติมีสัมปชัญญะ เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามผัสสะ ไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม
เราทุก ๆ คนถึงต้องมาเอาใจใส่ในเรื่องปัจจุบัน ในเรื่องปฏิปทา เพราะปฏิปทานั้นคือตัวกรรม ตัวกฎแห่งกรรม ตัวผลของกรรม ผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ ผู้ที่จะเป็นพระอรหันต์ได้ ถึงต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตรัสว่า สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ นี้อยู่ที่รู้เข้าใจ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติอยู่ที่ปัจจุบัน เพราะปัจจุบันที่เรารู้เข้าใจ เอามาใช้เอามาปฏิบัติ เพราะปัจจุบันเป็นวาระสำคัญของเราทุก ๆ คน เพราะทุกอย่างนั้นมันคือสากล ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากอันนี้เป็นสากล ความทุกข์ทางใจก็สากล ความทุกข์ทางกายก็สากล
เมื่อเรารู้เข้าใจ เราก็มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อปฏิปทาของเราจะได้ก้าวไปด้วยความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ธรรมะถึงเป็นสากลอย่างนี้
ความเป็นพระอริยเจ้า ความเป็นชาติเป็นศาสนานั้นมีอยู่กับเราทุก ๆ คน ความทุกข์ถึงมีอยู่ทุกชาติทุกศาสนา ให้เรารู้ให้เข้าใจ เราจะได้เอามาใช้เอามาปฏิบัติ เพราะเหตุผลว่าธรรมะนั้นคือหน้าที่ หน้าที่นั้นคือธรรมะ เรามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อพัฒนาวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน เพื่อพัฒนาใจในปัจจุบัน การที่เป็นมนุษย์เป็นเทวดาเป็นพระพรหมเป็นพระอริยเจ้ามันเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ใช่รู้แล้วไม่มีการประพฤติไม่มีการปฏิบัติ ความรู้ต้องคู่การประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน ความเสื่อมถึงอยู่ที่ปฏิปทานะ ความเสื่อมมันอยู่ที่ปฏิปทา เราต้องพัฒนาปฏิปทาของเราให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เราต้องมีปิติมีความสุข มองเห็นความสำคัญในสมมติบัญญัติ จะเป็นสิกขาบทน้อยใหญ่เราก็มองเห็นความสำคัญหมดน่ะ เราต้องรักเคารพคารวะ พระธรรมพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตร เป็นคุณสมบัติของความดีหรือว่าของผู้ดี ผู้ดีที่ประกอบด้วยปัญญา ปฏิปทาทั้งกายวาจากิริยามารยาทที่ยกเลิกตัวตน
ให้เรารู้เข้าใจ นี้เป็นคุณธรรมของผู้ดี เป็นคุณสมบัติของผู้ดี เป็นความกตัญญูกตเวที เป็นความสงบ เป็นความเคารพ เป็นสิ่งที่ไม่ได้ตัดออก ไม่ได้เพิ่ม เป็นความพอดี ด้วยเหตุผลนี้ ผู้มีปัญญามาก ๆ ก็ต้องมีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ เพื่อให้เป็นทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตใจ เพื่อสองอย่างนี้จะได้ก้าวไป
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ จะได้ไม่เอาความหลงนำชีวิต จะไม่ได้เอาความผิดนำชีวิต จะไม่ได้ตั้งอยู่ในความประมาท รักพระธรรมพระวินัย รู้เข้าใจว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญพุทธบารมีตั้งหลายล้านชาติหลายล้านปี เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องกตัญญูกตเวที เราทั้งหลายพากันเอาแบรนด์เนม เช่นปลงผม นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ อาศัยแบรนเนมด์ เพราะเหตุผลว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเป็นผู้บริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพที่ใจบริสุทธิ ท่านยกเลิกตัวตน ทุกคนเห็นด้วย ทุกคนโอเค
เราทุกคนต้องเอาสมมติสัจจะที่เราได้รับแต่งตั้งเป็นสมณะชีพราหมณ์ เอามาใช้เอามาประพฤติเอามาปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ว่าอะไร เราจะเป็นคนจนคนรวย จะมาเชื้อชาติตระกูลไหนท่านไม่ว่า ให้เรามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ทุกคนก็จะเข้าถึงความดับทุกข์ได้ เพราะความดับทุกข์นั้นอยู่ที่เรารู้เข้าใจ เห็นภัยในความไม่ถูกต้อง เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป มีความสุขในการคิดดี ๆ กิริยามารยาทดี ๆ อาชีพดี ๆ ยกเลิกตัวตน ทุกคนก็ดับทุกข์ได้ ไม่มีทุกข์อะไร เพราะพระธรรมพระวินัยเป็นการมาทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ
เราจะเป็นคนจนคนรวยเรามายกเลิกตัวตน เรามามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ทุกคนก็เข้าถึงความดับทุกข์ได้ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้าในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ เราต้องเข้าถึงความดับทุกข์ด้วยความดีด้วยบารมี ด้วยพระธรรมพระวินัย ข้อวัตรปฏิบัติ
เราเอาสมมติสัจจะมาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติให้มีความสุข เราอย่ามาเอาพระศาสนาหาอยู่หาหลงหาเลี้ยงชีพ เราต้องเอาพระศาสนามาใช้มาปฏิบัติ เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์ด้วยความกตัญญูกตเวที เราทั้งหลายต้องพากันรักพระธรรมรักพระวินัย รักข้อวัตรข้อปฏิบัติ ต้องเข้าใจว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราทั้งหลายให้พากันรู้หลักการรู้อุดมการณ์อุดมธรรม เราทั้งหลายต้องเข้าใจประเด็นอย่าไปหลงประเด็น เราทั้งหลายต้องทำหน้าที่ของเราดี ๆ ที่ประกอบด้วยปัญญา เราต้องทำให้ได้ต้องปฏิบัติให้ได้ เพราะเราทุกคนกำลังใช้ทรัพยากรแห่งความเป็นมนุษย์นะ
มนุษย์คือผู้ที่ประเสริฐ มนุษย์เราคือผู้ที่รู้เข้าใจ ไม่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ไม่เอาความหลงนำชีวิต ไม่เอาความผิดนำชีวิต มีปิติมีสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เพราะอดีตมารวมกันอยู่ที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบัน เรากำลังใช้ทรัพยากรของมนุษย์อยู่นะ เราทั้งหลายจะไม่ได้เอาความหลงนำชีวิต เอาความหลงนำชีวิตเราทั้งหลายจะไม่ได้เป็นมนุษย์นะ จะเป็นได้แต่เพียงคน คนหมายถึงไปไหนไม่ได้มันวกวนอยู่ที่เก่าเดินไปข้างหน้าแล้วก็ถอยกลับมาอยู่ที่เดิม เค้าถึงมีศัพท์ว่าคนโน้นคนนี้
เราต้องรู้เข้าใจในความเป็นมนุษย์ เราอย่าไปเอาทรัพยากรนี้ไปคิดไม่ดีไปพูดไม่ดี กิริยามารยาทไม่ดี เราต้องเอาทรัพยากรของมนุษย์ไปใช้ดี ๆ ที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่อเราจะได้ใช้ชีวิตของมนุษย์ให้คุ้มค่า การที่เราเป็นมนุษย์เราต้องใช้หลักการอย่างนี้ เป็นข้าราชการเป็นนักการเมือง เป็นพระมหากษัตริย์เป็นนักบวชก็นำหลักการแห่งความเป็นมนุษย์มาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติ
เราต้องรู้เข้าใจว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ของข้าราชการนักการเมือง ของนักบวชนั้นมาจากภาษีอากรของประชาชนทุก ๆ คน การบริหารประเทศได้เอาหลักการ อุดมการณ์อุดมธรรม ด้วยความสมัครสมานสามัคคีที่เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ด้วยการบริหารจากภาษีอากรของประชาชนทุก ๆ คน ไม่มีใครยกเว้น ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ต้องเสียภาษีอากร เพื่อให้ความดีและปัญญาก้าวไปด้วยความสงบและปัญญา หรือว่าด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ ธรรมะนั้นถึงเป็นหน้าที่ หน้าที่ถึงเป็นธรรมะ
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ต้องเห็นภัยในความไม่ถูกต้อง เห็นภัยในวัฏฏสงสาร มามีความสุขในการทำงาน มามีความสุขในการเสียสละ เพื่อให้ปฏิปทาก้าวไปทั้งวิทยาศาสตร์ทั้งจิตใจไปพร้อม ๆ กันที่เป็นความสงบและปัญญา เราทุกคนต้องรู้เหตุรู้ปัจจัย ต้องรู้กรรมรู้ผลของกรรม เพื่อเราจะได้รู้เข้าใจ จะได้มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติหน้าที่ เพราะธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราต้องมามีปิติมีสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเอาความดีและปัญญาเป็นปฏิปทา เราทั้งหลายจะได้เป็นมนุษย์ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร จะได้เป็นเทวดาผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร จะได้เป็นพระพรหมผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร
มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจนะ เพราะสติสัมปชัญญะที่เกิดจากปัญญาสัมมาทิฏฐิ ความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติเพื่อยกเลิกความไม่ถูกต้องนี้เป็นความดับทุกข์ของหมู่มวลมนุษย์ เทวดา พรหม ผู้รู้ผู้เข้าใจผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราทั้งหลายจะหยุดความทุกข์ได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยเรามีปิติมีความสุขในการคิดที่ถูกต้อง พูดที่ถูกต้อง กิริยามารยาทที่ถูกต้อง อาชีพที่ถูกต้อง มีความสงบและปัญญา สมาธิกับปัญญา มันต้องเสมอกัน อันหนึ่งก็คือความสงบ อันหนึ่งก็ปัญญาที่จะต้องเป็นปฏิปทาที่ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ
เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจ นี้คือหลักการ นี้คืออุดมการณ์อุดมธรรม ผู้เป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวช ๓ สถาบันหลักนี้ต้องเข้าสู่หลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ให้ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ เพราะธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
เราทั้งหลายต้องยกเลิกตัวยกเลิกตน ให้ทุกคนรู้เข้าใจ รู้มั๊ยว่าตัวตนนั่นแหละมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น มีแต่ทุกข์ตั้งอยู่ มีแต่ทุกข์ดับไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าอย่างนั้น เราเข้าใจตามพระพุทธเจ้าเราก็เป็นอย่างนั้นเอง เราต้องรู้เข้าใจ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเราไม่ใช่เอามาเพิ่ม ไม่ใช่ไปตัดออก เรารู้เข้าใจ มีปิติมีความสุขในการปฏิบัติในการทำหน้าที่ เพื่อให้ศีลนี้เป็นพระนิพพาน เพื่อให้สมาธินี้เป็นพระนิพพาน เพื่อให้เป็นปัญญาเป็นพระนิพพาน เราไม่ต้องไปมีความสงสัยในเรื่องอนาคต เอาปัจจุบันนี้แหละเป็นความดับทุกข์ เมื่อปัจจุบันมันดับทุกข์ไม่ได้ อนาคตจะดับทุกข์ได้อย่างไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราเข้าใจอย่างนี้นะ เราเกิดมาเพื่อมารู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราทั้งหลายจะไปมีทุกข์มันไปทำไม ให้เรารู้เข้าใจ
พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ที่ท่านตรัสไว้นั้นดีมาก เป็นอมตะมาก ที่ท่านตรัสว่า เราต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี เข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียง ท่านตรัสว่าเราต้องเข้าใจ เราอยากได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่าเท่าเดิม เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่าเท่าเดิม เราต้องเข้าใจ เพราะความไม่มีทุกข์นั้นอยู่ที่เรารู้เข้าใจ รู้เข้าใจแล้วเราก็ไม่ต้องไปเพิ่มไปตัด เพราะทุกอย่างมันคือความพอดีอยู่แล้ว เราอย่าไปเอาความหลงนำชีวิต อย่าไปเอาความผิดนำชีวิต อย่าไปเอาความปรุงแต่งนำชีวิต เอาความปรุงแต่งนำชีวิตมันจะสงบได้อย่างไร
เราต้องรู้เรื่องของกรรมนะ รู้เรื่องกฎแห่งกรรม รู้เรื่องผลของกรรมนะ เราต้องเอาสติสัมปชัญญะ เอาสติและปัญญา ที่เป็นธรรมะที่มีคุณมีประโยชน์มากที่เรารู้เข้าใจมาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติ
เราคิดดูดี ๆ นะ รวยเท่าไหร่มันก็แก้ปัญหาไม่ได้ มีอำนาจมากเท่าไหร่ก็แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะมันไม่สงบมันปรุงมันแต่ง มันไม่พอ ไม่รู้จักพอ ให้เรารู้นะ นั่นมันคือความทุกข์มันเกิดขึ้น ความทุกข์มันตั้งอยู่ ความทุกข์มันดับไป เพราะความไม่พอไม่รู้จักพอ มันบกพร่องอยู่เป็นนิจ พร่องอยู่ตลอดกาล
เพราะความไม่รู้จักพอนั่นแหละคือความทุกข์ รวยเท่าไหร่ก็ยังไม่พอ มีอำนาจเท่าไหร่ก็ยังไม่พอ ความดับทุกข์ถึงมีอยู่ที่ผู้รู้เข้าใจ อยู่ที่ผู้มีความพอเพียงเพียงพอ อยู่ที่เศรษฐกิจพอเพียงเพียงพอ
เราทุกคนที่เป็นมนุษย์ต้องทำหน้าที่ของตัวเอง เพื่อเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ด้วยปิติสุขเอกัคคตา ในปัจจุบันเราทั้งหลายจะไม่ได้มีความทุกข์ เราไปคิดเองเออเอง ไม่มีเรื่องก็ไปหาเรื่อง ไม่มีราวก็ไปหาราว หาแต่เรื่องหาแต่ราว
ทุกวันนี้ทุกคนไม่รู้ไม่เข้าใจเป็นส่วนใหญ่เลยนะ ไม่ใช่ส่วนน้อยนะเป็นส่วนใหญ่ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ตั้ง ๙๙.๙ เปอร์เซ็นต์เลยนะ ได้เอาความผิดนำชีวิต ไม่ได้เอาความสงบและปัญญานำชีวิต ไม่ได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ มีแต่ความทุกข์มีแต่ความยากจน เป็นคนรวยก็ทุกข์เพราะไม่รู้จักพอ เป็นคนจนก็ทุกข์เพราะไม่มี
เอาความผิดนำชีวิต เอาตัวเอาตนนำชีวิต ไม่ได้เอาความถูกต้องนำชีวิต ไม่เอาความดีที่ประกอบด้วยปัญญานำชีวิต เรามองดูตัวเองก็เป็นโจร เรามองดูคนอื่นก็เป็นโจร คำว่าโจรก็หมายถึงความทุกข์ ไม่มีใครหน้ามีความสุขเลย มองดูหน้าข้าราชการนักการเมืองหน้านักบวชมีแต่หน้าโจรทั้งนั้น เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายไม่ต้องไปแก้ที่คนอื่น แก้ที่ตัวเรานี้แหละ คนอื่นก็ให้เค้าแก้ที่เค้าเอง เราก็มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ มีปิติมีความสุขในการคิดดี ๆ พูดดี ๆ กิริยามารยาทดี ๆ ยกเลิกตัวตน มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้ เน้นมาที่ตัวเรา เน้นมาที่ปฏิปทาของเรานี้เอง
อายุขัยของความเป็นมนุษย์ของเรานี้มีจำกัด เพราะเราทั้งหลายได้ทรัพยากรที่ประเสริฐที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พัฒนาวิทยาศาสตร์เพื่อให้ทันสมัยไปพร้อม ๆ กับพัฒนาใจ เพื่อให้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ อายุขัยของเราอยู่ได้ร่วม ๆ ศตวรรษหนึ่งคือร้อยปี ถ้าเรามีความสุขใจสบายใจอยู่ได้มากกว่าร้อยปีนะ ปิติสุขเอกัคคตาถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ถ้าเรามีปิติมีสุขมีเอกัคคตาทั้งทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจที่เจตนา นี้เป็นความดับทุกข์เป็นความไม่มีทุกข์ เมื่อมันผ่านไปแล้วก็ปล่อยก็วางเพราะว่ามันเกษียณไปแล้วมันผ่านไปแล้ว เอาปัจจุบันให้มีสติมีสัมปชัญญะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พวกเราสร้างความดีสร้างบารมีด้วยปฏิปทาอย่างนี้นะ
ให้เราทั้งหลายให้รู้เข้าใจ เพื่อไม่ให้เอาความผิดนำชีวิต เพื่อไม่ให้เอาความหลงนำชีวิต เพราะทุกอย่างนั้นให้รู้เข้าใจ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันไม่จบ มันเป็นวัฏฏสงสาร เราต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเมตตาตรัสปัจฉิมโอวาทไว้ว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร
ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรมมาประพฤติมาปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง
ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น
-------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันพุธที่ ๑๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา