๑๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีที่ ๑๓ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
พสกนิกรชาวไทยและชาวต่างประเทศได้มาร่วมรวมกันประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความโทมนัสและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน พระองค์ทรงเป็นดั่งแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและพระปรีชาสามารถ ทรงอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระราชหฤทัยในการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อธำรงไว้ซึ่งความผาสุกและความมั่นคงแห่งชาติไทย เราประชาชนชาวไทยต้องร่วมใจสมัครสมานสามัคคีทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่ออุทิศบุญกุศลน้อมเกล้าถวาย เพื่อเสด็จสู่สวรรคาลัย เข้าสู่สวรรค์มรรคผลพระนิพพาน
การปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติให้เป็นทางสายกลางระหว่างวัตถุกับจิตใจต้องไปพร้อม ๆ กัน ไม่ยิ่งหย่อนเกินไปไม่ตึงเกินไป ให้พอดีเป็นทางสายกลาง เปรียบเสมือนสายพิณสายกีต้าร์ ถ้าตึงเกินไปก็จะขาด ถ้าหย่อนเกินไปก็จะไม่ไพเราะ
ให้เอาความสงบและปัญญาพร้อม ๆ กันไป ก้าวไปด้วยปฏิปทาในปัจจุบัน เพราะเหตุผลว่าอดีตทั้งหลายก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้เอง ด้วยความรู้ความเข้าใจและการประพฤติการปฏิบัติต้องไปพร้อม ๆ กัน ให้มีปิติมีความสุขให้มีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ธรรมะนั้นคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ไม่ให้ขาดไม่ให้ด่างไม่ให้พร้อยไม่ให้เศร้าหมอง เป็นผู้รู้ผู้เข้าใจ เห็นภัยในความประมาท เป็นผู้มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เพื่อทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ เพื่อให้เข้าถึงความเต็ม เต็ม เต็ม เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เพื่อก้าวไปด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย ด้วยความรู้ความเข้าใจ
ให้เอาหลักการ ธรรมะเป็นหน้าที่ หน้าที่ของเราคือธรรมะ มีความตั้งใจตั้งเจตนา ให้เข้าใจว่ากายวาจากิริยามารยาทอาชีพเป็นเพียงอุปกรณ์ของใจ เราทั้งหลายต้องตั้งใจตั้งเจตนา ตั้งอยู่ในความรู้มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เห็นภัยในวัฏฏสงสาร มีความไม่ประมาท
เห็นคุณเห็นประโยชน์ในความดีในความถูกต้อง เน้นที่ปฏิปทาในปัจจุบัน ปฏิปทาในปัจจุบันถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ความสำคัญคือความถูกต้อง ความถูกต้องคือความตั้งใจตั้งเจตนา ไม่ฝ้าไม่ฟาง ไม่ลังเลสงสัย มีความชัดเจนด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา ถือว่าปัจจุบันนี้เป็นวาระสำคัญแห่งชาติ ถือว่าเป็นวาระสำคัญของชีวิต
ยกเลิกตัวยกเลิกตน ไม่เอาตัวเอาตนนำชีวิต เอาพระธรรมเอาพระวินัยนำชีวิต มาเน้นที่ข้อวัตรข้อปฏิบัติเพื่อปฏิปทาจะได้สมบูรณ์ เราคิดดี ๆ พูดดี ๆ กิริยามารยาทดี ๆ อาชีพดี ๆ ยกเลิกตัวตนด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา เพื่อให้ปฏิปทาสมบูรณ์ด้วยความรู้ความเข้าใจที่เห็นภัยในความไม่ถูกต้อง เพื่อให้ใจของเราไม่มีความผิด ยกเลิกการคิดในเรื่องกาม ตรึกในเรื่องกาม ยกเลิกในตรึกในพยาบาทคิดเรื่องพยาบาท ปัจจุบันให้สติสัมปชัญญะของเราสมบูรณ์ เราทั้งหลายต้องพากันปฏิบัติอย่างนี้ ถ้าไม่ปฏิบัติอย่างนี้นั้นไม่ได้ มันหยุดไม่ได้ มันเลิกมันละไม่ได้ ต้องอาศัยปฏิปทาเพื่อยกเลิกอวิชชา ยกเลิกความหลง เพื่อเราทั้งหลายจะได้หยุดกรรมเก่า ไม่ต้องไปสร้างกรรมใหม่ด้วยความรู้ด้วยความเข้าใจ ด้วยปฏิปทาในการประพฤติการปฏิบัติ
ยกเลิกนิสัยเก่า ๆ ที่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน เราทั้งหลายต้องยกเลิกนิสัยของตัวเอง ต้องถือนิสัยถือพระธรรมถือพระวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอาพระพุทธเจ้ามาไว้ในกายในวาจากิริยามารยาทในอาชีพ มารวมลงที่ความตั้งใจตั้งเจตนา เพื่อยกตัวยกเลิกตน ยกเลิกเรา ยกเลิกเขา ไม่ต้องมีเราไม่ต้องมีเขา เพื่อหยุดสัญชาตญาณที่กำลังเวียนว่ายตายเกิด ที่เป็นนิติบุคคลตัวตน มีความสำคัญมั่นหมายว่าธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๖ นี้เป็นตัวของเรา เอาพระธรรมเอาพระวินัยมาใช้มาปฏิบัติ เพื่อจะได้หยุดกรรมเก่าไม่สร้างกรรมใหม่ในปัจจุบัน กรรมใหม่ก็ไม่ได้ทำ กรรมนั้นก็จะจบลงที่ปัจจุบัน จบลงที่ผัสสะ
เราทุกคนต้องไม่มีความทุกข์ทางจิตใจ ด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทุกคนต้องไม่มีความทุกข์ทางจิตใจ มีแต่ปิติสุขเอกัคคตาในปัจจุบัน เรื่องความทุกข์นั้นให้มันเป็นความทุกข์ทางร่างกาย ส่วนทางใจไม่ต้องมีทุกข์อะไร เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ร่างกายของเราก็ส่วนหนึ่ง จิตใจของเราก็ส่วนหนึ่ง ส่วนหนึ่งเป็นทางวัตถุ ให้เราเข้าใจ ส่วนหนึ่งเป็นทางร่างกายให้เราเข้าใจ
ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากมันเป็นความทุกข์ในส่วนของร่างกาย ให้เรารู้จักเรื่องของกาย เพราะกายนี้มันคือความเกิดแก่เจ็บตายพลัดพราก เราจะไปห้ามร่างกายไม่ให้แก่เจ็บตายพลัดพรากนั้นไม่ได้ ด้วยเหตุผลนี้แหละเราถึงต้องมีสติมีสัมปชัญญะ
ใจของเราทุกคนจะต้องมีปัญญา ไม่ต้องมีความทุกข์ เรื่องความทุกข์นั้นให้เป็นเรื่องของกาย ใจของเราไม่ต้องมีความทุกข์ ใจของเราต้องมีปัญญา เราจะไม่มีความทุกข์ได้เพราะเรามีสติมีสัมปชัญญะ ด้วยเหตุผลนี้ เราทุกคนต้องมีสติมีสัมปชัญญะ
ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญมาก ผู้มีความสงบมาก ๆ ถึงต้องเสียสละมาก ๆ ผู้มีปัญญามาก ๆ ก็ต้องให้สงบมาก ๆ
เราต้องรู้ต้องเข้าใจว่ากายของเราก็ส่วนหนึ่ง ใจของเราก็ส่วนหนึ่ง มันคนละส่วนกัน ให้เราทุกข์เฉพาะทางร่างกายก็พอ ใจของเราไม่ต้องมีความทุกข์ อย่าไปเพิ่มทวีคูณ ทุกข์ทั้งกายทุกข์ทั้งใจ ทวีคูณของความทุกข์ มนุษย์เราคือผู้ที่ประเสริฐ เกิดมาเพื่อมาสร้างบารมีสร้างความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ปฏิบัติในปัจจุบัน ให้อดีตที่ผ่านมาจบลงที่ปัจจุบัน ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยการเจริญสติสัมปชัญญะ สิ่งทั้งหลายจะได้จบลงที่ผัสสะ
สิ่งที่ผ่านมาแล้วถือว่ามันผ่านมาแล้ว ไม่ต้องเก็บมันไว้ในใจ เพราะว่ามันผ่านมาแล้วมันเกษียณแล้ว ไม่ต้องค้างคาใจ ให้ถือว่าเรามีความเกิดเป็นธรรมดา มีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บเป็นธรรมดา มีความตายเป็นธรรมดา มีความพลัดพรากเป็นธรรมดา มีแต่ธรรมดาทั้งนั้น ไม่มีอะไรพิเศษ เราประพฤติปฏิบัติอย่างนี้แหละ เพื่อให้ปฏิปทาเราก้าวไปด้วยความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้เจริญสติเจริญสัมปชัญญะ เราจะได้ทำหน้าที่ของเราในปัจจุบัน เพราะธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ให้เรารู้เรื่องธรรมเรื่องสภาวธรรม ให้เราเข้าใจในสภาวธรรม เมื่อเรามีตาก็มีรูปอย่างนี้แหละ เรามีหูก็ได้ยินเสียงอย่างนี้แหละ เรามีจมูกก็มีกลิ่นอย่างนี้แหละ เรามีลิ้นเมื่อเราบริโภคอะไรก็มีรสอย่างนี้แหละ เรามีกายได้สัมผัสอะไรมันก็เป็นสภาวธรรมอย่างนั้นแหละ
เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เห็นสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดา เราทั้งหลายจะได้จบลงที่ปัจจุบันนี้ จบลงที่ผัสสะนี้ เราจะได้ก้าวไปด้วยความดีและปัญญาที่เป็นปฏิปทา เราจะได้มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราไม่ต้องไปเป็นทุกข์อะไร ให้เรารู้จักเรื่องของกายอย่างนี้ เราทุกคนก็ดูแลกายของเราให้ดี ๆ เราดูแลกายวาจากิริยามารยาทของเราให้ดี ๆ เราดูแลธุรกิจหน้าที่การงานของเราให้ดี ๆ เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันคือเหตุคือปัจจัย
เราทั้งหลายจะได้ทำหน้าที่ของเราดี ๆ ประกอบด้วยปัญญา เพื่อเป็นมรรคเป็นอริยมรรค เป็นปฏิปทาในปัจจุบันด้วยการประพฤติการปฏิบัติ มนุษย์เราต้องเอาความสงบและปัญญาไปพร้อม ๆ กัน เพื่อเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ
วันหนึ่งคืนหนึ่งมีอยู่ ๒๔ ชั่วโมง มนุษย์เราต้องนอนพักผ่อน เรานอนพักผ่อนสำหรับนักบวชผู้ถือเพศพรหมจรรย์นอนพักผ่อนจำวัดวันละ ๕-๖ ชั่วโมงก็เพียงพอ สำหรับผู้ที่เป็นประชาชนคนที่ไม่ได้บวชถือเพศสมณะ ให้นอนให้พักผ่อนวันละ ๖-๘ ชั่วโมง ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการปฏิบัติในการทำหน้าที่ ร่างกายต้องได้รับการพักผ่อน เราต้องรู้ต้องเข้าใจ มนุษย์ทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ การนอนการพักผ่อนนี้ให้เข้าใจนะ คือการยกเลิกตัวตน การปฏิบัติธรรมเป็นหน้าที่ที่อยู่ในปัจจุบัน ความสุขความดับทุกข์นั้นถึงสติมีสัมปชัญญะในปัจจุบันในการทำหน้าที่ ทุกคนต้องทำหน้าที่ของตัวเราให้สมบูรณ์ ปัจจุบันถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะ เราทั้งหลายจะได้จบลงด้วยความไม่มีทุกข์
การฝึกสติฝึกสัมปชัญญะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านใช้เวลาบำเพ็ญบารมี เอาความดีและปัญญามาใช้มาประพฤติปฏัติ หลายล้านชาติหลายปี เมื่อเจริญสติสัมปชัญญะ เพื่อไม่ไปตามผัสสะไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม มีปิติมีความสุขมีความยินดีในการประพฤติการปฏิบัติ ด้วยเหตุผลนี้เราทุกคนต้องให้เข้าใจว่า ความดีที่เป็นปฏิปทาที่คิดดี ๆ พูดดี ๆ กิริยามารยาทดี ๆ ยกเลิกตัวตน อาศัยปัจจุบันที่เป็นปฏิปทาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อให้ปฏิปทาของเราก้าวไปด้วยความดีและปัญญา การประพฤติการปฏิบัติทุกคนถึงจะมาทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยนั้นไม่ด้ ต้องอาศัยพระธรรมพระวัยข้อวัตรกิจวัตรในการประพฤติการปฏิบัติ
เราจะมาปฏิบัติครึ่ง ๆ กลาง ๆ เหลอ ๆ เหล ๆ นี้ไม่ได้ ต้องอาศัยสติอาศัยสัมปชัญญะด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา ต้องรู้ต้องเข้าใจต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราเป็นมนุษย์สมัยใหม่พัฒนาทางวิทยาศาสตร์ ได้รับความสะดวกความสบาย เมื่อเราทั้งหลายได้รับความสะดวกสบายมาก ๆ มีความพึงพอใจมาก ๆ เราก็ต้องเสียสละมาก ๆ มีความรู้ความเข้าใจมีปัญญามาก เราก็ต้องสงบมาก ๆ ความสงบมันจะสงบได้อยางไร สงบได้ก็เพราะเรามีสติรู้ตัวทั่วพร้อม เราต้องรู้ว่าเราตรึกนึกคิดอะไร หัวใจของเราจะมีความสงบจะได้มีปัญญา ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราก็ไม่รู้ภัยอันตราย
มนุษย์นี้ต้องมีปัญญานะ ต้องรู้เข้าใจ ต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เทวดานี้ต้องมีปัญญานะ ต้องรู้เข้าใจ ต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร พรหม พรหมวิหารต้องรู้เข้าใจเห็นภัยในวัฏฏสงสาร นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายมีความสุขต้องรู้เข้าใจเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ต้องมีความสงบมาก ๆ เราต้องยกเลิกตัวตนมาก ๆ ถ้าเราไม่ยกเลิกตัวตนความสงบมันไม่มี มีตัวตนมากมีอีโก้มาก สำคัญมั่นหมายว่าเราดีกว่าเขา เก่งกว่าเค้า เรารวยกว่าเค้า มีปัญญามากกว่าเค้า เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องมีสติสัมปชัญญะ เพื่อใจของเราจะได้สงบจะได้มีปัญญา เพื่อทางวิทยาศาสตร์ทางวัตถุจะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เพื่อการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์จะไม่ได้ทำร้ายนักวิทยาศาสตร์เอง เราต้องเข้าถึงความพอดีเข้าถึงความพอเพียง
เราเป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐ ต้องพัฒนาวัตถุเพื่อวิทยาศาสตร์เพื่อความก้าวหน้า พร้อมทั้งพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน เราต้องทำหน้าที่ของเราให้ถูกต้อง ชีวิตของเราจะไม่ได้เสียหายจะไม่ได้พังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย
ให้รู้ให้เข้าใจว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ต้องให้ทั้งทางวิทยาศาสตร์ได้ก้าวไป พร้อมทั้งทางจิตใจไปพร้อม ๆ กัน เราต้องทำหน้าที่ทางวิทยาศาสตร์ เราพัฒนาวิทยาศาสตร์ด้วยการเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละเราก็พัฒนาวิทยาศาสตร์ไม่ได้ เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ต้องก้าวไปด้วยความเสียสละ ทางวิทยาศาสตร์ก็จะได้ทันสมัย ส่วนทางใจก็ไม่ได้มีปัญหา มีแต่ความสงบและปัญญา จะได้ไม่มีปัญหาอะไร
เราทั้งหลายต้องรู้ต้องเข้าใจ อย่าพากันตั้งอยู่ในความประมาท เพราะความประมาทมันคือการก่อภพก่อชาติ ถ้าเราไม่มีสติสัมปชัญญะชีวิตนี้ก็ย่อมพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. ฉันใดก็ฉันนั้น ไม่มีผิดกันเลย
ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะ รู้เข้าใจ เห็นภัยในความไม่ถูกต้อง เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราทั้งหลายถึงจะมีการประพฤติการปฏิบัติ ความไม่ประมาทนั้นคือการประพฤติการปฏิบัตินะ ถ้าเราไปประมาทก็ย่อมไม่มีการประพฤติการปฏิบัติ
ถ้าเราไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะนั้นไม่มีการประพฤติการปฏิบัติเลยนะ ให้เข้าใจว่า ความประมาทกับการไม่มีสติสัมปชัญญะมันคืออันเดียวกัน การเจริญสติสัมปชัญญะถึงเป็นปฏิปทาที่เราจะเอาใจใส่ ตั้งใจตั้งเจตนา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงให้เราทั้งหลายอย่าพากันประมาท เราอย่าได้ประมาทอย่างเด็ดขาด ต้องตั้งใจตั้งเจตนาให้เป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เพื่อสติสัมปชัญญะของเราจะได้สมบูรณ์ จะได้ลงรายละเอียด มีความไม่ประมาทในเรื่องความคิดการกระทำคำพูดกิริยามารยาทอาชีพ
เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้เข้าใจมันประมาทนะ กว่าจะรู้ตัวมันสายเกินไปแล้วนะ กว่าเราจะรู้เข้าใจมันเป็นปลายเหตุนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เรารู้ความคิดคำพูดการกระทำกิริยามารยาทอาชีพ ต้องรู้ก่อน ผู้ที่จะรู้ก่อนก็ต้องมีสติสัมปชัญญะ เพื่อตัวสติสัมปชัญญะเป็นตัวคอนโทรล คอนโทรลกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจที่เจตนา เป็นความรู้ความเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร สติสัมปชัญญะนั้นถึงมีแต่คุณ มีแต่ประโยชน์ หาโทษไม่ได้เลย
ปัจจุบันนี้เรายังไม่ดีไม่ชั่ว ไม่ผิดไม่ถูก ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะ เราจะได้เอาความดีและปัญญาก้าวไปในปัจจุบันที่มันเป็นหลักการ เป็นทางสายกลาง เป็นความพอดี เป็นความพอเพียงเพียงพอ ไม่ได้ตัดไม่ได้เพิ่ม เป็นประภัสสรของทุกสิ่งทุกอย่าง
ที่เรายังไม่ได้ทำอะไรนั้นมันยังไม่มีกรรมนะ ความคิดคำพูดกิริยามารยาทอาชีพมันเป็นกรรมนะ มันเป็นกฎแห่งกรรมนะ มันเป็นผลของกรรมนะ
ปัจจุบันเราต้องเป็นผู้คิดดีพูดดีกิริยามารยาทดี ยกเลิกตัวตน เราทุกคนจะได้ก้าวไปด้วยความดีที่มีคุณสมบัติของผู้ดี ประพฤติปฏิบัติให้ดี ๆ ที่ประกอบด้วยปัญญานะ เราต้องรู้ทุกข์อย่างนี้นะ เราต้องรู้เหตุเกิดทุกข์อย่างนี้นะ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์อย่างนี้นะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงบอกให้หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ต้องมาทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ ไม่มีทุกข์ ต้องมารู้ความจริง รู้อริยสัจสี่ เพื่อมาบำเพ็ญความดีที่ประกอบด้วยปัญญาที่เป็นบารมี
เราทั้งหลายรู้เข้าใจ เราจะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม จะไม่ได้ไปตามผัสสะ จะไม่ได้ไปตามธาตุทั้ง ๔ ไม่ไปตามขันธ์ทั้ง ๕ ไม่ไปตามอายตนะทั้ง ๖
เราทั้งหลายจะได้รู้เรื่องในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจ เราจะไม่รู้เรื่องการประพฤติการปฏิบัติเลยนะ
ธรรมะเป็นสิ่งที่ทวนกระแสนะ ไม่ไปตามกระแส เป็นทางสายกลางระหว่างวัตถุกับจิตใจ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บำเพ็ญพุทธบารมี เข้าถึงความเต็ม ความพอเพียงเพียงพอ
นางสุชาดาอุบาสิกาคนแรกในพระพุทธศาสนา
นางสุชาดา สตรีผู้ถวายข้าวมธุปายาส อาหารมื้อแรกแด่พระพุทธเจ้า โดยที่นางเองก็ไม่รู้ว่าบุรุษผู้นี้คือพระพุทธเจ้า นางเป็นอุบาสิกาที่พระพุทธเจ้าทรงยกย่องให้เป็นเอตทัคคะ ผู้เป็นเลิศในการเข้าถึงสรณะเป็นคนแรก(ที่พึ่ง) ก่อนอุบาสิกาคนอื่น
คำอธิษฐาน
นางสุชาดา ภรรยาของคฤหบดีในเมืองราชคฤห์ ปรารถนาอยากได้บุตรชาย เมื่อนางไปอาบน้ำในแม่น้ำเนรัญชราได้เดินผ่านต้นศรีมหาโพธิพฤกษ์ นางจึงเข้าไปกราบที่โคนต้นไม้ แล้วพูดว่า “ข้าแด่เทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์มีมหิทธิฤทธิ์ ผู้สิงสถิตอยู่ ณ ต้นไม้นี้ ดิฉันขอความกรุณาจากท่านช่วยดลบันดาลให้มีบุตรสักคนเถิด เพื่อจะให้เขาสืบสกุลต่อไป ข้าแต่เทวะหากท่านให้ดิฉันสมปรารถนาแล้ว ดิฉันจะนำเอาข้าวมธุปายาสมาแก้บนสังเวยท่านเป็นสัจกิริยา” เมื่อนางอธิษฐานเสร็จ กลับไปอยู่กับสามีไม่นานก็ตั้งครรภ์
พบกับพระพุทธเจ้า
ขณะนั้นพระพุทธเจ้ามีดำริว่าจะบำเพ็ญเพื่อการตรัสรู้ ณ ต้นโพธิพฤกษ์และประทับนั่งโคนต้นไม้หันพระพักตร์สู่ทิศตะวันออก นางสุชาดามาถึงได้พบพระพุทธเจ้าครั้งแรกเข้าใจว่าเป็นรุกขเทพเจ้าจำแลงเพศ เกิดความเลื่อมใสจึงน้อมถาดข้าวมธุปายาสเข้าไปถวายแก้สัจกิริยาท่านได้บนบานไว้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสขอบคุณต่อนาง และบอกแก่นางว่าพระองค์ท่านมิได้เป็นเทพยดา แต่เป็นมนุษย์เป็นกษัตริย์แห่งเมืองกบิลพัสดุ์ออกผนวช เพื่อแสวงหาสัจธรรม
ถาดทองลอยทวนน้ำขึ้นไป
หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าทรงนำเอาข้าวจากถาดมาทรงทำเป็นก้อนๆ นับจำนวนได้ 49 ก้อน ให้เป็นเครื่องรำลึกถึงวันที่ทรงบำเพ็ญทุกกิริยา เสวยข้าวมธุปายาส 49 ก้อนนั้นหมดแล้ว ทรงนำถาดไปทรงอธิฐานในแม่น้ำเนรัญชรา และทรงอธิฐานว่าถ้าหากพระองค์จะได้ตรัสรู้ก็ขอให้ถาดทองนั้นลอยทวนน้ำขึ้นไป
เมื่อพระองค์ทรงวางถาดลงในน้ำ ก็ปรากฏว่า ถาดทองลอยทวนน้ำขึ้นเหนือน้ำดังคำอธิฐาน ซึ่งพระองค์ทรงถือว่าภัตตาหารมื้อนั้นได้มีส่วนทำให้พระองค์ตรัสรู้อริยสัจ 4 บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
เมื่อพระผู้มีพระภาคแรกตรัสรู้ ทรงเสวยวิมุตติสุข ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ตลอด ๗ วัน และทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาทเป็นอนุโลม และปฏิโลม ตลอดปฐมยาม มัชฌิมยาม และปัจฉิมยามแห่งราตรี
วิมุตติสุข : สุขเกิดแต่ความหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะและปวงทุกข์; พระพุทธเจ้าภายหลังตรัสรู้แล้วใหม่ๆ ได้เสวยวิมุตติสุข 7 สัปดาห์ตามลำดับคือ
สัปดาห์ที่ 1 ประทับภายใต้ร่มไม้มหาโพธิ์ ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท
สัปดาห์ที่ 2 เสด็จไปประทับยืนด้านอีสาน ทรงจ้องดูต้นมหาโพธิ์ไม่กระพริบพระเนตร ที่นั้นเรียกว่า อนิมิสเจดีย์
สัปดาห์ที่ 3 ทรงนิรมิตที่จงกรมขึ้นระหว่างกลางแห่งพระมหาโพธิ์และอนิมิสเจดีย์ เสด็จจงกรมตลอด 7 วัน ที่นั้นเรียก รัตนจงกรมเจดีย์
สัปดาห์ที่ 4 ประทับนั่งขัดบัลลังก์พิจารณาพระอภิธรรมปิฎก ณ เรือนแก้วที่เทวดานิรมิตในทิศพายัพแห่งต้นมหาโพธิ์ ที่นั้นเรียก รัตนฆรเจดีย์
สัปดาห์ที่ 5 ประทับใต้ร่มไม้ไทร ชื่ออชปาลนิโครธ ทรงตอบปัญหาของพราหมณ์หุหุกชาติ แสดงสมณะและพราหมณ์ที่แท้ พร้อมทั้งธรรมที่ทำให้เป็นสมณะและเป็นพราหมณ์ พระอรรถกถาจารย์กล่าวว่าธิดามาร 3 คนได้มาประโลมพระองค์ ณ ที่นี้
สัปดาห์ที่ 6 ประทับใต้ต้นไม้จิก ชื่อมุจจลินท์ มีฝนตก มุจจลินทนาคราชมาวงขนดแผ่พังพานปกป้องพระองค์ ทรงเปล่งอุทานแสดงความสุขที่แท้ อันเกิดจากการไม่เบียดเบียนกัน เป็นต้น
สัปดาห์ที่ 7 ประทับใต้ต้นไม้เกดชื่อ ราชายตนะ พาณิช 2 คน คือ ตปุสสะและภัลลิกะ เข้ามาถวายสัตตุผง สัตตุก้อน และได้แสดงตนเป็นปฐมอุบาสกถึง 2 สรณะ เมื่อสิ้นสัปดาห์ที่เจ็ดที่นี้แล้ว เสด็จกลับไปประทับใต้ต้นอชปาลนิโครธอีก ทรงดำริถึงความลึกซึ้งแห่งธรรมที่ตรัสรู้ คือปฏิจจสมุปบาทและนิพพาน แล้วน้อมพระทัยที่จะไม่แสดงธรรม
มีพระปริวิตกแห่งจิตว่าธรรมที่ได้บรรลุแล้ว เป็นคุณอันลึก เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก ทรงเห็นว่ายังไม่ควรจะประกาศธรรม พระทัยก็น้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อย ไม่น้อมไปเพื่อทรงแสดงธรรม
ท้าวสหัมบดีพรหม ได้มาทูลขอให้พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม พระผู้มีพระภาคทรงอาศัยความกรุณาในหมู่สัตว์ จึงทรงตรวจดูด้วยพุทธจักษุ ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อยและมาก ทั้งที่มีอินทรีย์แก่กล้าและอ่อน ทั้งที่มีอาการดีและทราม ทั้งที่จะสอนให้รู้ได้ง่ายและยาก ทั้งที่มีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย เปรียบเหมือนดอกบัว ที่เกิด เจริญ งอกงามแล้วในน้ำ บางเหล่ายังจมในน้ำ อันน้ำเลี้ยงไว้ บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ บางเหล่าตั้งอยู่พ้นน้ำ อันน้ำไม่ติดแล้ว ดังนั้น พระผู้มีพระภาคจึงทรงประทานโอกาสเพื่อจะแสดงธรรม
แล้วทรงมีพุทธปริวิตกว่าควรจะแสดงธรรมแก่ใครเป็นคนแรก เมื่อทรงทราบว่า อาฬารดาบสกาลามโคตรและอุทกดาบสเสียชีวิตแล้ว
จึงระลึกถึงนักบวชกลุ่มปัญจวัคคีย์ พระองค์ได้เสด็จพระดำเนินไปที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันที่พำนักอาศัยของเหล่าปัญจวัคคีย์ และทรงแสดงธรรมะเป็นครั้งแรกนับแต่วันที่พระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เรียกว่า ปฐมเทศนา หลักธรรมที่พระองค์ทรงแสดงในครั้งแรกนี้ชื่อว่า ธัมมจักกัปปวัตนสูตร
๑) เหตุผลที่พระพุทธเจ้าทรงเลือกแสดงปฐมเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์ มีดังต่อไปนี้
(๑) เพื่อตอบปัญหาความเข้าใจผิดของปัญจวัคคีย์ ภายหลังจากการบำเพ็ยทุกรกิริยาพระสิทธัตถะโพธิสัตว์ทรงเห็นว่าไม่ใช่ทางแห่งความพ้นทุกข์จึงทรงเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยาแล้วหันมาเสวยพระกระยาหาร ในมุมมองของปัญจวัคคีย์เข้าใจผิดว่าพระองค์ทรงละความเพียรพยายามเพื่อการตรัสรู้กาลายเป็นคน “เห็นแก่กิน” จึงพากันแยกทางหนีจากพระองค์ไป ดังนั้นเพื่อจะตอบปัญหาที่ค้างคาใจของปัญจวัคคีย์ และประสงค์ให้รู้ว่า “ทุกรกิริยามิใช่ทางแห่งการบรรลุธรรม แต่อริยมรรคมีองค์แปด (มัชฌิมาปฏิปทา)เท่านั้นที่จะนำไปสู่ความพ้นทุกข์” พระองค์จึงทรงมุ่งหวังแสดงปฐมเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์ก่อนใครอื่นเป็นประการสำคัญ
(๒) ทรงประสงค์ให้ปัญจวัคคีย์เป็นสักขีพยานการตรัสรู้ เป็นที่ทราบกันดีว่า ปัญจวัคคีย์คือคณะบุคคลกลุ่มแรกที่เชื่อมั่นว่าพระองค์จะตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงออกบวชตาม และรู้เรื่องราวการบำเพ็ญธรรมเพื่อการตรัสรู้ของพระองค์เป็นอย่างดี ดังนั้นปัญจวัคคีย์จึงเป็นกลุ่มบุคคลที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการเป็นสักขีพยาน การตรัสรู้ของพระองค์
๒) ใจความสำคัญของปฐมเทศนา แบ่งออกเป็น ๓ ตอนดังนี้
ใจความตอนแรก ทรงแสดงถึงทางสุดโต่งหรือสุดขั้ว ๒ สาย คือ กามสุขัลลิกานุโยค ซึ่งเป็นการใช้ชีวิตหมกมุ่นอยู่ในกามสุขอันเป็นทางหย่อนเกินไป และอัตตกิลมถานุโยค ซึ่งเป้นการทรมานตนด้วยวิธีการต่างๆ อันเป็นทางตึงเกินไป จึงทรงแนะนำทางสายกลาง เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา หรือ มรรคมีองค์แปด หรือ ไตรสิกขา เพื่อเป็นทางเลือกปฏิบัติที่ถูกต้องนำไปสู่ความสงบและการตรัสรู้
ใจความตอนกลาง ทรงแสดงถึง อริยสัจ คือ ความจริงที่ประเสริฐ ๔ ประการที่พระองค์ได้ตรัสรู้ได้แก่ ความจริงว่า ด้วยความทุกข์ (ทุกข์) ความจริงว่าด้วยเหตุให้เกิดทุกข์ (สมุทัย) ความจริงว่าด้วยการดับทุกข์ (นิโรธ) และความจริงว่าด้วยข้อปฏิบัติที่นำไปสู่การดับทุกข์ (มรรค) อันเป็นวิธีการแก้ทุกข์หรือปัญหาที่ถูกต้อง โดยทรงอธิบายถึงกระบวนการตรัสรู้อริยสัจจว่าพระองค์ได้ทรงตรัสรู้สิ่งเหล่านี้ตามขั้นตอนอย่างไร
ใจความตอนสุดท้าย ทรงแสดงว่าพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว โดยทรงรู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจทั้ง ๔ เมื่อจบการแสดงปฐมเทศนา โกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม กล่าวคือ เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมมีการดับสลายไปเป็นธรรมดา” และได้ทูลขอบวช พระพุทธเจ้าทรงประทานการบวชให้ด้วยการอุปสมบทที่เรียกว่า เอหิภิกขุอุปสัมปทา ท่านอัญญาโกณฑัญญะจึงเป็นพระสาวกและเป็นพระสงฆ์รูปแรกในพระพุทธศาสนา
ธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสให้เรารู้ให้เข้าใจในเรื่องทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เราจะเข้าถึงได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ มันเป็นธรรมที่หยุดวัฏฏสงสารด้วยความรู้ความเข้าใจ ที่เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี ไม่ได้ตัดไม่ได้เพิ่ม รู้ทั้งเรื่องจิตเรื่องใจ รู้ทั้งทางวิทยาศาสตร์ เป็นหลักการในการประพฤติการปฏิบัติทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา มีจิตใจที่พอเพียงเพียงพอในปัจจุบัน เข้าถึงความเต็ม ด้วยเหตุผลนี้แหละ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้เราทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ด้วยปฏิปทา เรื่องปฏิปทานี้สำคัญ เพราะปฏิปทานี้คือความรู้ความเข้าใจ เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ไม่ให้ตั้งอยู่ในความหลงความประมาท เพราะสิ่งต่าง ๆ นั้นมันไม่จบ ต้องจบด้วยสติสัมปชัญญะด้วยความไม่ประมาท
เราระลึกถึงปัจฉิมโอวาทของพระบรมศาสดาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ตรัสปัจฉิมโอวาทครั้งสุดท้ายไว้ว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร
ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรมมาประพฤติมาปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง
ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น
-------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันพฤหัสบดีที่ ๑๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา