๑๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๑๔ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

พสกนิกรชาวไทยและชาวต่างประเทศได้มาร่วมรวมกันประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความโทมนัสและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน พระองค์ทรงเป็นดั่งแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและพระปรีชาสามารถ ทรงอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระราชหฤทัยในการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อธำรงไว้ซึ่งความผาสุกและความมั่นคงแห่งชาติไทย เราประชาชนชาวไทยต้องร่วมใจสมัครสมานสามัคคีทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่ออุทิศบุญกุศลน้อมเกล้าถวาย เพื่อเสด็จสู่สวรรคาลัย เข้าสู่สวรรค์มรรคผลพระนิพพาน

 

ให้เราทุกคนรู้เรื่องกรรม รู้เรื่องกฎแห่งกรรม รู้ผลของกรรม การดำเนินชีวิตของเราต้องเอาทางสายกลาง เอาใจกับวัตถุไปพร้อม ๆ กัน ยกเลิกสัญชาตญาณ สัญชาตญาณก็ได้แก่ตัวตน ตัวตนคือสัญชาตญาณ เรามายกเลิกสัญชาตญาณมายกเลิกตัวตนด้วยความรู้ความเข้าใจ เพื่อจะได้เอาทางสายกลางนำชีวิต ไม่เอาสัญชาตญาณนำชีวิต มีความสุขในการเอาธรรมนำชีวิต พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ เป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมที่เราทุกคนต้องพึงประพฤติพึงปฏิบัติ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้พวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจอย่างนี้ พากันมาถือนิสัยถือพระวินัยที่เป็นหลักการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพึงประพฤติพึงปฏิบัติที่เป็นหลักการของพระอรหันต์ขีณาสพท่านพึงประพฤติพึงปฏิบัติ เพราะอันนี้มันคือกรรม คือกฎแห่งกรรม คือผลของกรรม การประพฤติการปฏิบัติให้ปฏิบัติที่ปัจจุบัน เพราะอดีตทั้งหลายทั้งปวงก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญของการประพฤติการปฏิบัติ เป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ให้เรามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ นี้เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา มีปัญญาที่ประกอบด้วยความดี เป็นบารมีในเบื้องต้น ท่ามกลาง ถึงที่สุด เราต้องรู้เข้าใจ ต้องไม่ไปตามผัสสะ ไม่ไปตามอารมณ์ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม เราทั้งหลายจะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ก้าวไปด้วยความคิด คำพูด การกระทำ กิริยามารยาท อาชีพ อาชีพที่ยกเลิกความผิด ความไม่ถูกต้อง หยุดทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย ต้องยกเลิกทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย สติสัมปชัญญะเป็นธรรมะที่มีคุณมีอุปการะมาก สติที่เป็นสัมมาสติ จะเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม

 

เราทุกคนต้องมีสติมีสัมปชัญญะ เพื่อจะได้ยกเลิกทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายถึงไปคิดอะไรตามใจไม่ได้ ถึงไปพูดทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยไม่ได้ กิริยามารยาทจะไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยไม่ได้ อาชีพจะไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยไม่ได้ ต้องมีสติมีสัมปชัญญะ ต้องยกเลิกทำอะไรตามอัธยาศัย เอาพระธรรมเอาพระวินัย มีปิติมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เน้นการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะในปัจจุบัน

 

เราปฏิบัติธรรม เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ เมื่อรู้เมื่อเข้าใจแล้วจะไม่ได้ทำอะไรตามอัธยาศัย เราต้องหยุดอัธยาศัย เราต้องเอาพระธรรมเอาพระวินัยเพื่อยกเลิกอัธยาศัย สติสัมปชัญญะเป็นธรรมะที่หยุดทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย ธรรมวินัยเรื่องจิตเรื่องใจถึงอยู่นอกเหตุเหนือผลของเราทุก ๆ คน เราต้องหยุดเรื่องเหตุเรื่องผลเรื่องตัวเรื่องตนของเรา เพราะธรรมะคือทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุ เป็นการเดินไปพร้อม ๆ กัน ระหว่างวัตถุกับจิตใจต้องเดินไปพร้อม ๆ กัน เป็นธรรมะเป็นสภาวธรรมอยู่นอกเหตุเหนือผล จะเข้าถึงนอกเหตุเหนือผลได้

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราทุกคนก็ต้องมีสติมีสัมปชัญญะ ยกเลิกตัวยกเลิกตน ถึงจะเข้าถึงสภาวธรรมอยู่นอกเหตุเหนือผล ธรรมวินัยคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ สติสัมปชัญญะนั้นเป็นสภาวธรรมที่เป็นความสงบและปัญญา เป็นสภาวธรรมที่อยู่นอกเหตุเหนือผล เราทั้งหลายจะเอาตามใจตามอารมณ์ตามความรู้สึกไม่ได้ เราต้องรู้เราต้องเข้าใจในเรื่องวัตถุ เราต้องรู้เข้าใจในเรื่องจิตเรื่องใจ ว่าสองอย่างนี้มันคนละอย่างกันนะ ไม่ใช่อย่างเดียวกัน วัตถุได้แก่ร่างกายที่เกิดแก่เจ็บตายพลัดพรากนี้คือวัตถุ ส่วนใจนั้นเป็นนามธรรม เป็นสิ่งที่รู้ เป็นสิ่งที่เข้าใจ เข้าใจว่าร่างกายที่เป็นวัตถุที่แก่เจ็บตายพลัดพราก อันนี้เป็นวัตถุ ส่วนใจนั้นเป็นนามธรรม เป็นสิ่งที่ว่างเปล่า ไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน เป็นประภัสสร ใจของเราต้องมีปัญญา จะไม่ได้ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ

 

การลิดรอนสิทธิเสรีภาพนั้นลิดรอนสิทธิเสรีภาพได้อย่างไร เช่นเราไม่อยากแก่ไม่อยากเจ็บไม่อยากตายไม่อยากพลัดพราก ความคิดอย่างนี้ความเข้าใจอย่างนี้เป็นความคิดที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ มันก้าวก่ายซึ่งกันและกัน ก้าวก่ายบุคคลอื่น อย่างนี้ให้เข้าใจนะ อันนี้คือการลิดรอนสิทธิ ใจของเราก็ต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ใจของเราต้องรู้ต้องเข้าใจ จะไม่ได้เอาธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ มาเป็นเรา ใจของเราจะได้ยกเลิกธาตุ ยกเลิกขันธ์ ยกเลิกอายตนะ ว่าอันนี้เป็นสภาวธรรมเป็นเรื่องของกายของวัตถุ

 

การปฏิบัติธรรมถึงเน้นที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราจะต้องมีสัมมาสติ เมื่อเรามีสัมมาสติติดต่อต่อเนื่องกันก็จะได้เป็นสัมมาสมาธิ เพราะรู้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องจบลงในปัจจุบัน จบลงที่ผัสสะ ด้วยความรู้ความเข้าใจที่หยุดลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ความทุกข์ของสรรพสัตว์ทั้งหลายของหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายอยู่ที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ เมื่อไม่รู้ไม่เข้าใจก็พากันไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพของหมู่คนของปวงชน

 

เราต้องรู้เข้าใจ ความรู้ความเข้าใจในเรื่องอริยสัจสี่ ในเรื่องเหตุเกิดทุกข์ เรื่องข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ความรู้ความเข้าใจนี้ไม่ใช่ความจำ มันคือความรู้ความเข้าใจ ความรู้ความเข้าใจมันเป็นคณิตศาสตร์ที่คิดในใจนะ ถ้าใครมีความรู้ความเข้าใจมันจะเป็นคณิตศาสตร์คิดได้ทันทีในปัจจุบัน ถ้าเรารู้เข้าใจ ความรู้ความเข้าใจนั้นมันจะเห็นภัยในวัฏฏสงสาร มันจะไม่คิดไม่พูดไม่ทำทั้งกิริยามารยาททั้งอาชีพ ตัวผู้รู้เองที่เป็นตัวปัญญาสัมมาทิฏฐิ ที่รู้อริยสัจสี่ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ความรู้ความเข้าใจนั้นจะเห็นภัยในวัฏฏสงสาร จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เห็นภัยในความผิด เห็นภัยในความไม่ถูกต้อง เห็นภัยในวัฏฏสงสาร

 

ความคิดความเข้าใจอย่างนั้นจะทำให้กายวาจากิริยามารยาทอาชีพ เป็นพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน เข้าถึงพระนิพพานด้วยความรู้ความเข้าใจ ศีลก็จะเป็นพระนิพพาน สมาธิก็จะเป็นพระนิพพาน ปัญญาก็จะเป็นพระนิพพาน ไม่ต้องมีความสงสัยลังเลว่าตายแล้วจะเกิดอีกมั๊ยหรือว่าตายแล้วสูญ เพราะความรู้ความเข้าใจนั้นมันจะถึงพระนิพพานด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญาในปัจจุบัน

 

ธรรมะวินัยให้เรารู้เข้าใจเป็นธรรมที่รู้เข้าใจ เมื่อรู้เข้าใจแล้วก็จะได้ยกเลิกความผิดด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยอาศัยพระธรรมพระวินัยที่เป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ด้วยเหตุผลนี้เราทั้งหลายถึงต้องมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เราทุกคนต้องรู้เข้าใจนะ ธรรมะเป็นทางสายกลางที่ยกเลิกตัวตนถึงจะช่วยเราได้ ช่วยคนอื่นได้

 

ให้เราทั้งหลายพากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เข้าถึงชาติคือความเกิด เข้าถึงกฎแห่งกรรมที่เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ที่เป็นปัญญาที่ประกอบด้วยความดี เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ จะได้ปฏิบัติที่ต้นเหตุ จะไม่ได้ไปแก้ที่ปลายเหตุ

 

เราทั้งหลายจะพากันขี้เกียจขี้คร้านไม่ได้ เราทั้งหลายต้องผ่านด่านขี้เกียจขี้คร้าน ไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ยกเลิกความชอบความไม่ชอบ ต้องผ่านด่านความขี้เกียจขี้คร้าน ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการปฏิบัติไปผ่านไป ผ่านด่านขี้เกียจขี้คร้าน ผ่านด่านที่ชอบไม่ชอบ ให้เรารู้ให้เข้าใจ ความชอบไม่ชอบนั้นคือนิติบุคคลตัวตน ความชอบคือความปรุงแต่ง ให้เรารู้เข้าใจความปรุงแต่งคือวัฏฏสงสาร ให้รู้ว่าพระธรรมพระวินัยเป็นสติเป็นสัมปชัญญะเพื่อมาหยุดความปรุงแต่ง

 

 ให้เรารู้ให้เข้าใจ เราต้องผ่านด่านความขี้เกียจขี้คร้านด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตร เราทุกคนจะได้ทำหน้าที่ของตัวเองให้มีความสุข ต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการทำหน้าที่ในปัจจุบัน เพื่อการประพฤติการปฏิบัติของเราจะได้เป็นปึกเป็นแผ่น จะได้ติดต่อต่อเนื่องกันไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เรามีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เราก็ต้องผ่านด่านเหล่านี้ไปด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะเป็นสภาวธรรมที่อยู่นอกเหตุเหนือผล

 

ให้เราทุกคนพากันเข้าใจ เรามีรายการต่าง ๆ รายการทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราต้องผ่านรายการนั้นด้วยความรู้ความเข้าใจ เราต้องผ่านด่านด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ เพื่อจะให้เกิดความสงบเกิดปัญญา ให้เรารู้เข้าใจ เรามีตาก็ต้องผ่านรูปไป มีหูก็ต้องผ่านเสียงไป มีจมูกก็ต้องผ่านกลิ่นไป มีลิ้นก็ต้องผ่านรสไป เรามีกายก็ต้องผ่านสัมผัสสิ่งต่าง ๆ ไป เรามีใจมีลมปราณก็ต้องมีความรู้สึกนึกคิดด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยสติสัมปชัญญะ

 

เราอย่าไปสะดุดในสิ่งที่ผัสสะ เราต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ให้เราถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราจะต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ ทุก ๆ คนต้องพากันตั้งใจตั้งเจตนา เพราะการประพฤติการปฏิบัติธรรมนั้นไม่มีใครประพฤติปฏิบัติแทนกันได้ ให้ถือว่าหน้าที่เป็นของเรา เราต้องรู้เรื่องการประพฤติการปฏิบัติ เราจะไปตามผัสสะไปตามอารมณ์ไปตามสิ่งแวดล้อมนั้นไม่ได้ เราต้องผ่านสิ่งนี้ไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ให้เราเอาพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตร มีปิติมีความสุขในพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตร

 

ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ให้เรามีปิติมีความสุขในหน้าที่ในการประพฤติการปฏิบัติ ให้เรารักธรรมะชอบธรรมะ ชอบพระธรรมพระวินัย ชอบข้อวัตรกิจวัตร ถึงจะยากลำบากอย่างไร เราทุกคนก็ต้องไม่ทิ้งพระธรรมพระวินัย ทิ้งข้อวัตรกิจวัตร เพื่อไม่ให้เราทุกคนทำอะไรตามอัธยาศัย

 

เราทุกคนต้องทำให้ได้ปฏิบัติให้ได้ในปัจจุบัน ทุกคนต้องทำได้ปฏิบัติได้ ด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ เราทุกคนต้องเชื่อมั่นในความดี เชื่อมั่นในความถูกต้อง ความรู้ความเข้าใจนี้ เราทั้งหลายต้องเข้าใจอย่างนี้ เราพยายามฝึกตนปฏิบัติตน ขวนขวายพยายามเพื่อทวนโลกทวนกระแส ธรรมะเป็นสภาวธรรมที่ทวนโลกทวนกระแส เราจะปล่อยตัวของเราไปตามกระแสนั้นไม่ได้ ต้องทวนโลกทวนกระแส สติสัมปชัญญะนั้นเป็นสภาวธรรมที่หยุดโลกหยุดกระแส เป็นธรรมะที่ทวนโลกทวนกระแส เป็นธรรมเป็นสภาวธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ให้เรารู้ให้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ให้ทุกคนเข้าใจว่า ถ้าเราเอาตัวตนนำชีวิตเราจะเป็นพระได้อย่างไร เราต้องรู้เข้าใจนะ เราจะเป็นพระได้เราต้องยกเลิกความไม่ถูกต้อง ยกเลิกความผิด ยกเลิกทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย เป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร

 

คำว่าพระนี้ ศัพท์หนึ่งก็แปลว่าผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เมื่อเห็นภัยในวัฏฏสงสารก็ยกเลิกทุกสิ่งทุกอย่างไม่ไปตามกระแส ไม่เอาอะไร ไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไร ถึงจะเป็นพระได้ ถ้ายังเอายังมียังเป็นเราก็เป็นพระไม่ได้ เพราะว่าพระนั้นคือพระธรรมพระวินัย ยกเลิกตัวตนนั้นเค้าถึงเรียกว่าพระ ถ้าไม่ยกเลิกตัวตนจะเป็นพระได้อย่างไร คำว่าพระคือผู้ที่วางภาระหนัก ภาระหนักอะไร ที่แบกความหลงพากัน แบกความผิดพาไป เอาความผิดนำชีวิต มันก็เลยมีแต่ปัญหามีแต่สร้างปัญหา สร้างปัญหาให้กับตัวเอง สร้างปัญหาให้กับคนอื่น มีแต่เรื่องมีแต่ราวมีแต่ปัญญา ความรู้เข้าใจเห็นภัยในวัฏฏสงสารคือเป็นพระ วางตัววางตนยกเลิกหมด มีชีวิตอยู่ด้วยภิกขาจารด้วยอาหารของประชาชน ประชาชนเค้าเห็นดีด้วยก็ทำบุญทำกุศลกับผู้ที่เสียสละยกเลิกตัวตน ที่มีบุญใหญ่มีอานิสงส์มาก ถึงมีอีกศัพท์หนึ่งเรียกว่าผู้ขอ มีชีวิตด้วยการภิกขารจาร เวลาเช้าก็ออกภิกขาจารบิณฑบาตอาหารจากประชาชน

 

ถ้าเรายกเลิกตัวตนชีวิตเราก็มีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา เพราะความดับทุกข์ของหมู่มวลมนุษย์อยู่ที่รู้เข้าใจ เมื่อรู้เข้าใจแล้วก็จบลงด้วยการยกเลิกความผิด ยกเลิกความไม่ถูกต้อง จบลงด้วยปัจจุบันด้วยความรู้ความเข้าใจ ความรู้ความเข้าใจถึงเป็นพระธรรมเป็นพระวินัยที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมที่ยกเลิกตัวตน ความรู้ความเข้าใจเช่นนี้ถึงไม่ใช่ความจำ เป็นสัมมาทิฏฐิที่มีปิติมีความสุขในการรักษาศีลประพฤติปฏิบัติธรรมในปัจจุบัน เข้าถึงพระนิพพานความสงบและปัญญาในปัจจุบัน

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจนะ ต้องรู้จักปัญหา เราจะไม่ได้ไปแก้ที่ปลายเหตุ ให้มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเป็นบารมีเพื่อเป็นความดีและปัญญาในปัจจุบัน เราเป็นมนุษย์เป็นผู้ที่ประเสริฐ เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เห็นภัยในวัฏฏสงสาร คือความไม่ถูกต้อง เห็นภัยในความผิด เราทั้งหลายจะไม่ได้เป็นแต่เพียงคน คำว่าคนหมายถึงตัวตน วกวนอยู่ที่เก่า ประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทำทั้งดีทั้งชั่วทั้งผิดทั้งถูก วกวนอยู่ที่เก่าที่เดิม เดินไปข้างหน้าแล้วถอยกลับมาก็อยู่ที่เดิม เค้าถึงมีศัพท์ว่าคน

 

เราต้องรู้เข้าใจ เห็นภัยด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะได้เข้าถึงความรู้ที่จะพัฒนาเราให้เป็นพระได้ เราจะได้วางภาระคืออวิชชาความหลง  

 

เราพากันประพฤติพากันปฏิบัติ เราพากันนอนพากันพักผ่อนพากันจำวัดให้เพียงพอ เพื่อเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี เพื่อเราจะได้พัฒนาทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุ วัตถุก็ต้องพัฒนาด้วยอาศัยทางวิทยาศาสตร์ ทางวิทยาศาสตร์ก็ก้าวหน้าทันสมัย ทางจิตใจก็ต้องให้มีปัญญา ไม่มีปัญหาทั้งทางวัตถุและจิตใจ จะได้สว่างไสวทั้งภายนอกภายในไปพร้อม ๆ กัน เราทั้งหลายจะได้พากันเป็นมนุษย์ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราจะได้เป็นข้าราชการผู้รู้ผู้เข้าใจเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราจะได้เป็นนักการเมืองผู้รู้ผู้เข้าใจเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราจะได้เป็นนักบวชผู้รู้ผู้เข้าใจเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ถือว่าการประพฤติการปฏิบัติของเราเป็นสิ่งที่สำคัญ ธรรมะนั้นถึงเป็นความรู้ความเข้าใจ ธรรมะนั้นถึงเป็นอริยมรรคมีองค์แปด ทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจที่เจตนา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน

 

เราทั้งหลายถึงต้องมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน ให้ถือว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ปัจจุบันเราถึงมีความสุข เราต้องรู้หน้าที่นะ ต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ เราทำหน้าที่ไม่ดี จิตใจของเรามันเศร้าหมองนะ ถ้าเราทำหน้าที่ของเราดี จิตใจของเราผ่องใสนะ เราทุกคนอย่าไปโทษใคร ไปโทษคนอื่นไม่ได้นะ เราไม่รู้ไม่เข้าใจ ไม่ทำหน้าที่ทางความคิดคำพูดกิริยามารยาทอาชีพที่สมบูรณ์ เราก็ต้องไปโทษคนอื่นไปโทษสิ่งภายนอก มีเหตุผลมาก มีเหตุผลต่าง ๆ นานา ให้รู้เข้าใจ ธรรมะคือความสงบ ธรรมะนั้นคือปัญญา

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ จะได้ทำหน้าที่ของเราให้ดี ๆ ให้สมบูรณ์ ถ้าเราไม่ทำหน้าที่ของเราให้ดี ๆ ปัญหานั้นก็ย่อมไม่จบ การปฏิบัติของเรามันไม่ครบมันจะจบได้อย่างไร เพราะเราเอาตัวตนนำชีวิต ชีวิตก็มีแต่ความบกพร่อง มันขาดตกบกพร่องมันก็ไม่จบมันก็ไม่ครบ มันขาดตกบกพร่อง มันเศร้าหมอง มันบกพร่อง มันด่างมันพร้อย เราต้องรู้เข้าใจในการทำหน้าที่ สมมติสัจจะทั้งหลายให้เรารู้เข้าใจ ให้เรามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติต่อสมมติสัจจะนั้น ๆ เพราะปัจจุบันคือการประพฤติการปฏิบัติของเรา

 

ปัจจุบันเราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติต่อสมมติสัจจะนั้น ๆ ด้วยความรู้ความเข้าใจว่าพระธรรมพระวินัยนั้น สมมติสัจจะนั้นมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์หาโทษมิได้เลย ถึงมีศัพท์กล่าวไว้ว่า นี้คือพุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ เป็นสิ่งที่ดีที่ชอบประกอบด้วยปัญญา เป็นเหตุเป็นปัจจัยที่ออกจากทุกข์ ไม่สร้างเหตุเกิดทุกข์ เป็นผู้รู้ผู้เข้าใจ เห็นภัยในความไม่ถูกต้อง เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นผู้ที่รักพระธรรมรักพระวินัย รักข้อวัตรกิจวัตร

 

เราทั้งหลายต้องเข้าใจในเรื่องเหตุเรื่องผล ในเรื่องตัวเรื่องตน ในเรื่องหยุดตัวหยุดตน ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราอาศัยหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราทุกคนรวมทั้งประชาชนทั้งหลายเค้าไว้วางใจในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เค้าให้การสนับสนุน

 

เราทุกคนต้องตั้งใจ เพราะความตั้งใจตั้งเจตนา มีปิติมีความสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเป็นปฏิปทาเป็นความดีที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา ที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราทุกคนต้องตั้งใจตั้งเจตนา เราพากันประพฤติพากันปฏิบัติให้ได้ เพราะทรัพยากรต่าง ๆ เป็นของประชาชนของมหาชน ภาษีอากรต่าง ๆ ที่มาใช้ในข้าราชการนักการเมืองนักบวชนี้ได้มาจากภาษีอากรของประชาชนในภาคบังคับ เพื่อบริหารประเทศ ได้มาจากศรัทธามหาชนที่เค้ามาทำความดี บริจาคให้ทาน เค้าสร้างความดีสร้างบารมีกัน ให้เราทั้งหลายที่เป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวชให้พากันเข้าใจนะ เราจะได้สำนึกผิดถูกดีชั่ว เราจะได้ก้าวไปด้วยหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ให้เรารู้ให้เข้าใจ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่รู้จำเพียงเอาประกาศ เอาปริญญาบัตร แล้วไม่ได้ทำหน้าที่

 

เราคิดดูดี ๆ นะ เราจะทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยมันจะดับทุกข์ได้อย่างไร เพราะความดับทุกข์นั้นให้เรารู้เข้าใจนะ ความดับทุกข์อยู่ที่เรารู้เข้าใจ อยู่ที่เรามีความสงบมีปัญญา อยู่ที่เรามีสติสัมปชัญญะนะ เรารวยเท่าไหร่ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจก็จะเปรียบได้เหมือนทะเลมหาสมุทรที่ไม่อิ่มด้วยน้ำ เหมือนไฟที่ไม่อิ่มด้วยเชื้อนะ มันจะเป็นอย่างนั้น มันอย่างเดียวกันเช่นเดียวกัน ความดับทุกข์มันอยู่ที่เรามีสติมีสัมปชัญญะ อยู่ที่เรารู้จักพอ มันคือทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับเรื่องวัตถุ

 

ให้เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติที่เราเป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวชด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจก่อให้เกิดการเสียหาย ก่อให้เกิดการพังทลายเหมือนตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย ตึกไหน ๆ เค้าก็ไม่เสียหายไม่พังทลาย ไปพังทลายตึกเดียวเฉพาะเจาะจงตั้งแต่ตึก สตง. เท่านั้น เราเอาความผิดนำชีวิต เอาทุจริตนำชีวิต มันก็พังทลายมันก็ต้องเสียหาย

 

เราต้องรู้เข้าใจนะ เราทุกคนต้องรู้เข้าใจ ทุกชาติทุกศาสนาต้องเข้าใจ ความรู้ความเข้าใจนี้ถึงเป็นคณิตศาสตร์ที่คิดได้ทันทีในปัจจุบัน มันไม่ใช่ความจำ มันสำเร็จลงที่ใจที่ความตั้งใจตั้งเจตนา เราอาศัยหลักการนี้เพื่อปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องเป็นกระบวนการ เป็นกระแสของปฏิจจสมุปบาท เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี เรามาถือพระธรรมถือพระวินัย ถือนิสัยขององค์ศมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นได้แก่พระธรรมพระวินัย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือพระธรรมพระวินัยคือความรู้ความเข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัยแล้วเข้าสู่ภาคประฑฤติภาคปฏิบัติ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติเพื่อให้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม

 

เราทุกคนต้องตั้งใจประพฤติตั้งใจปฏิบัติ ทุกคนต้องทำได้ปฏิบัติได้ ให้เข้าใจอย่างนี้ ให้เข้าใจว่าถ้ามีโจรจะมีพระได้อย่างไร มีโจรต้องไม่มีพระ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงตรัสว่า สิ่งที่ผ่านมาสิ่งไหนที่ไม่ดีไม่ถูกต้องเราก็ต้องหยุด ต้องละ ต้องเลิก

 

เราบวชมาถ้าได้หนึ่งพรรษาแล้วถือว่าเป็นพระเก่านะ ถ้าเราจะบวชอีกต่อไปไม่ลาสิกขา ให้เราตั้งใจตั้งเจตนา ตั้งอกตั้งใจ ตั้งใจให้ดี ๆ ต้องทำให้ได้ปฏิบัติให้ได้ ถ้าปฏิบัติไม่ได้ก็ไม่สมควรบวชอีกต่อไป สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องลาสิกขาออกไปไปเป็นฆราวาสผู้ครองเรือน ไม่สมควรที่จะบวชในพระพุทธศาสนาอีกต่อไป ให้เรารู้ให้เข้าใจนะ เพื่อจะไม่ได้เสียงบประมาณของแผ่นดิน ไม่ได้เสียงบประมาณของประชาชนที่เค้าเสียภาษีอากร จะไม่ได้เสียงบประมาณของศรัทธามหาชน ให้พากันรู้พากันเข้าใจ ถ้าไม่มีพระก็อย่าให้มันมีโจรกันเลย ให้มันเจ๊ากันไปก็แล้วกัน

 

ที่ผ่านมาภาพรวมมวลรวมมันเสียหายมาก ข้าราชการได้ทำความเสียหาย นักการเมืองได้ทำความเสียหาย นักบวชได้ทำความเสีย เพราะไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ เพราะธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ

 

โครงสร้างของประเทศได้เสียหาย โครงสร้างของโลกนั้นได้เสียหายด้วยผู้ประพฤติปฏิบัติไม่ได้ทำตามหน้าที่ ไม่มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการทำหน้าที่ ทำให้เกิดความเสียหายด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ ไม่ได้เอาสมมติสัจจะที่ได้รับการแต่งตั้งมาใช้มาปฏิบัติ ไม่ได้เอามาทำหน้าที่ ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจมันเลยเสียหาย ถ้าเรารู้เข้าใจแล้วย่อมไม่เกิดความเสียหายนะ

 

ธรรมะนี้เป็นเรื่องปัจจุบัน เป็นคณิตศาสตร์คิดในใจในปัจจุบัน ศาสตร์ต่าง ๆ ต้องเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ด้วยเหตุผลนี้ เราต้องมีปิติมีสัมปชัญญะ เราต้องรู้ต้องเข้าใจ

 

เบื้องต้นเราต้องรู้ต้องเข้าใจด้วยอาศัยพระธรรมพระวินัย ที่เป็นอุปกรณ์ของการประพฤติการปฏิบัติ เพราะกายวาจากิริยามารยาทอาชีพเป็นอุปกรณ์ของการประพฤติการปฏิบัติ ใจของเรายังไม่สงบก็ให้กายวาจากิริยามารยาทอาชีพของเราสงบ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน ความดีที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาจะได้ก้าวไปด้วยปฏิปทาที่ติดต่อต่อเนื่อง ที่จะเป็นพลังงานหยุดวัฏฏสงสาร หยุดพลังงานแห่งอวิชชาความหลง

 

เราทั้งหลายมาระลึกถึงปัจฉิมโอวาทของพระบรมศาสดาที่ท่านได้เมตตาตรัสแก่พวกเราทั้งหลายว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร

 

ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรมมาประพฤติมาปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง

 

 ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น

 

------------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันศุกร์ที่ ๑๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

Visitors: 104,506