๑๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑๕ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

 

พสกนิกรชาวไทยและชาวต่างประเทศได้มาร่วมรวมกันประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความโทมนัสและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน พระองค์ทรงเป็นดั่งแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและพระปรีชาสามารถ ทรงอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระราชหฤทัยในการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อธำรงไว้ซึ่งความผาสุกและความมั่นคงแห่งชาติไทย เราประชาชนชาวไทยต้องร่วมใจสมัครสมานสามัคคีทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่ออุทิศบุญกุศลน้อมเกล้าถวาย เพื่อเสด็จสู่สวรรคาลัย เข้าสู่สวรรค์มรรคผลพระนิพพาน

 

วันนี้เป็นวันเสาร์ วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำงานของผู้ที่ทำงานราชการ มนุษย์เราต้องทำธุรกิจทำหน้าที่การงาน เพราะว่าการงานคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ  

 

มนุษย์เราต้องรู้ต้องเข้าใจในหลักการ เข้าใจในหน้าที่ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันกรรม เป็นกฎแห่งกรรม เป็นผลของกรรม ด้วยเหตุผลนี้มนุษย์เราถึงต้องมีปัญญาสัมาทิฏฐิ เพื่อก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เอาทั้งเรื่องจิตเรื่องใจ เอาทั้งวัตถุที่ต้องพัฒนาทั้งใจทั้งวัตถุ เอาทั้งสองอย่างนี้ไปพร้อม ๆ กัน

 

ปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญ สิ่งที่เป็นอดีตก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบัน สิ่งที่เป็นอนาคตที่จะก้าวไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัย ปัจจุบันนี้เป็นอย่างไรอนาคตก็ย่อมเป็นอย่างนั้น ปัจจุบันนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี มันเป็นเหตุเป็นปัจจัย มนุษย์เราจึงต้องอาศัยเหตุอาศัยปัจจัย ต้องอาศัยหลักการที่เป็นเหตุเป็นปัจจัย เพื่อก้าวไปทางวัตถุด้วยการพัฒนาวิทยาศาสตร์ให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป พร้อมทั้งพัฒนาจิตใจเพื่อให้ใจนั้นเกิดปัญญาไปพร้อม ๆ กันเพื่อเป็นทางสายกลาง

 

มนุษย์เรามีหลักการ วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์ เป็นการทำงานกับการปฏิบัติธรรม ทำทั้ง ๒ อย่างนี้ไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้ทั้งทางวิทยาศาสตร์ ได้ทั้งทางจิตใจไปพร้อม ๆ กัน

 

 สำหรับวันเสาร์วันอาทิตย์ให้เป็นวันหยุดทำงานของข้าราชการ ให้พากันไปเน้นเรื่องจิตเรื่องใจ พัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจ

 

เมื่อครั้งพุทธกาลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เอาวัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ เป็นวันหยุดทำงาน เพื่อไปรักษาศีลอุโบสถ เพื่อไปบำเพ็ญความดี สร้างบารมี เน้นเรื่องจิตเรื่องใจ วัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ให้หยุดทำงาน ไปรักษาศีลอุโบสถ ประพฤติปฏิบัติธรรม เพื่อพัฒนาจิตพัฒนาใจ

 

ปัจจุบันนี้มนุษย์เราเอาหลักสากล ให้ทำเหมือน ๆ กันทุกประเทศ วันเสาร์วันอาทิตย์ เป็นวันหยุดทำงานข้าราชการ เพื่อให้ทุกคนได้พัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจ

 

วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำงานของข้าราชการ พร้อมทั้งพัฒนาเรื่องวัตถุพัฒนาทั้งเรื่องจิตใจไปพร้อม ๆ กัน ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ต้องพัฒนาวิทยาศาสตร์ พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ให้มีปิติให้มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติในการทำหน้าดี เพราะด้วยเหตุผลว่า ธรรมะนั้นคือหน้าที่ หน้าที่นั้นคือธรรมะ

 

มนุษย์เราต้องพัฒนาทางสายกลาง เอาวัตถุกับใจไปพร้อม ๆ กัน

 

มนุษย์เราต้องพากันรู้เข้าใจในการดำเนินชีวิต เพื่อไม่ให้ใครต่อใครทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย เราต้องทำจากความรู้ความเข้าใจ ชีวิตของเราที่เป็นมนุษย์ถึงจะเป็นชีวิตที่ประเสริฐ จะได้ดำเนินชีวิตด้วยปัญญา ไม่ใช่ไปตามอวิชชา ไม่ใช่ไปตามความหลง จะได้เลิกอวิชชา จะได้เลิกความหลง เพราะความหลงนั้นมันไม่ใช่ปัญญา เพื่อเราจะได้ยกเลิกอวิชชา ยกเลิกอัตตา ยกเลิกตัวยกเลิกตน จะได้เกิดความสงบเกิดปัญญาไปพร้อม ๆ กัน ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา เพื่อจะได้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เป็นปฏิปทาในปัจจุบัน

 

ให้เรารู้ให้เราเข้าใจว่าปัจจุบันเป็นวาระสำคัญแห่งชาติของการประพฤติของการปฏิบัติ อดีตก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบันนี้แล้ว อนาคตที่ยังไปไม่ถึงก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญแห่งชาติของการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันเราก็เอาทั้งวิทยาศาสตร์ เอาทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน เราจะได้เข้าถึงความสงบ เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี เป็นทางสายกลาง

 

มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจ ความรู้ความเข้าใจไม่ใช่ความจำ มันเป็นความรู้ความเข้าใจ เหมือนคณิตศาสตร์ที่คิดได้ในใจ จะเป็นความรู้คู่กับการประพฤติกับการปฏิบัติ ความรู้ความเข้าใจอย่างนี้ถึงไม่ใช่ความจำ มันเป็นความรู้ความเข้าใจ เป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ใช่ความรู้คู่กับความจำ ถ้าความรู้คู่กับความเข้าใจ ความรู้นั้นมันจะไม่มีความประมาท ความรู้ยังมีความประมาทอยู่ มันเป็นความจำ มันเป็นการเรียนการศึกษา เพื่อเอาปริญญา เอาใบประกาศ ความรู้ความจำที่เราเรียนเราศึกษาเพื่อเอาใบประกาศเอาปริญญา

 

ให้เรารู้ให้เข้าใจ เพราะความรู้นั้นจะมีทั้งคุณและมีทั้งโทษ ด้วยเหตุผลนี้ ผู้มีปัญญามาก ๆ ก็ต้องสงบมาก ๆ ผู้มีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ เพื่อเป็นทางสายกลางระหว่างทางวิทยาศาสตร์กับทางวัตถุ เพื่อให้สองอย่างนี้เดินทางไปพร้อม ๆ กันเป็นทางสายกลาง

 

มหาอำนาจทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นเหตุเป็นผล ก็ต้องเอาความสงบเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน เพื่อที่จะได้พัฒนาจิตพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน วัตถุนิยมกับจิตนิยม ๒ อย่างนี้ต้องไปพร้อม ๆ กัน การพัฒนาวิทยาศาสตร์กับพัฒนาใจ ๒ อย่างนี้ต้องเสมอกัน สมาธิกับปัญญาต้องเสมอกัน จะล้ำหน้ากันไม่ได้ ต้องเสมอกัน

 

ผู้ที่พัฒนาวิทยาศาสตร์ก็ต้องมีความสุขในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ ผู้ที่พัฒนาใจก็ต้องมีความสงบใจการพัฒนาใจ ธรรมะเป็นสภาวธรรมเป็นอริยมรรคทั้งทางกายวาทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาททั้งอาชีพที่ต้องเป็นความสงบและปัญญา เราจะได้พัฒนาทั้ง ๒ อย่าง พัฒนาวิทยาศาสตร์ พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน ด้วยปิติด้วยความสุขด้วยเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ธรรมะถึงเป็นหน้าที่ หน้าที่ถึงเป็นธรรมะ ที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เป็นความรู้เป็นความเข้าใจ ให้เราทั้งหลายมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ จะได้เอาความที่ประกอบด้วยปัญญา เอาปัญญาที่ประกอบด้วยความดี เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ ปฏิบัติที่สมควร ทุกคนต้องรู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรม เหนือกฎแห่งกรรม เหนือผลของกรรม ธรรมะถึงเป็นหน้าที่ หน้าที่ถึงเป็นธรรมะ เราต้องมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เมื่อมันผ่านไปแล้วเราก็ปล่อยเราก็วาง เพราะสิ่งนี้ผ่านไปแล้วผ่านมาแล้ว ให้เอาธรรมให้เอาปัจจุบันธรรม เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความมั่นคง คงเส้นคงวา ที่เป็นปฏิปทาทั้งทางวิทยาศาสตร์ทั้งทางใจไปพร้อม ๆ กัน ให้ถือเอาปัจจุบันเป็นวาระสำคัญในการประพฤติการปฏิบัติ

 

 

ให้ปฏิบัติไปตามหลักของพระศาสนา พระศาสนานี้ให้เรารู้ให้เข้าใจ พระศาสนานี้คือทางสายกลางระหว่างการพัฒนาวิทยาศาสตร์กับการพัฒนาใจไปพร้อมกัน พระศาสนานี้เป็นธรรมะที่ยกเลิกตัวยกเลิกตน ที่เป็นความรู้ความเข้าใจในเรื่องกรรม เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องผลของกรรม ความรู้ความเข้าใจนั้นเป็นปัญญา เป็นสัมมาทิฏฐิ ความรู้นั้นเป็นความรู้ความเข้าใจ ความรู้นั้นเป็นพระศาสนา พระศาสนานั้นถึงเป็นหลักการ เป็นอุดมการณ์อุดมธรรม

 

ให้หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายรู้เข้าใจ จะไม่ได้ทำอะไรตามใจ ตามความไม่รู้ไม่เข้าใจ ให้เอาหลักพระศาสนานำชีวิต ศาสนาถึงจะมีหลายชื่อก็ไม่เป็นไร ให้เรารู้ให้เข้าใจในเรื่องพระศาสนา พระศาสนานี้เป็นสากลนะ เหมือนความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากนี้เป็นสากล ความทุกข์กายความทุกข์ใจอย่างนี้ก็เป็นสากล พระศาสนาเป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เป็นหลักการที่ยกเลิกความทุกข์ ยกเลิกเหตุเกิดทุกข์ มามีปิติมีความสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ พระศาสนานี้มีความหมายอย่างนี้ เราจะถือศาสนาอะไรก็ไม่เป็นไร ให้เรารู้เข้าใจความหมายของพระศาสนานะ

 

 เราทั้งหลายอย่าไปโง่ ไปหลงงมงาย เอาพระศาสนาเป็นนิติบุคคลตัวตน มันไม่ใช่ มันไม่ถูกต้อง พระศาสนาให้เรารู้ให้เข้าใจ พระศาสนามีความหมายให้เรายกเลิกตัวตน ความดับทุกข์ให้เรารู้ให้เข้าใจ มันอยู่ที่ความสงบ ความสงบนั้นคือการยกเลิกตัวตน ถ้าเราไม่ยกเลิกตัวตน ทุกคนมันจะสงบได้อย่างไร ความสงบก็คือสมถะ สมถะคือความสงบ ผู้มีความสงบมาก ๆ ถึงต้องยกเลิกตัวตนมาก ๆ ต้องเสียสละมาก ๆ จะได้ไม่เป็นไปเพียงสมาธิ เป็นไปเพียงสมาบัติ เพื่อปัญญาของเราจะเกิดได้ ผู้มีปัญญามาก ๆ ก็ต้องมีความสงบมาก ๆ สติสัมปชัญญะนี้ถึงเป็นธรรมที่มีคุณมีอุปการะมาก ให้เรารู้เข้าใจ เราต้องก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจอย่างนี้

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พวกเราทั้งหลายมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ในการทำหน้าที่ ให้เข้าใจว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราต้องเอาความสงบและปัญญาเดินทางไปพร้อม ๆ กัน เราจะอยู่ที่ไหน เราก็ต้องพากันรู้พากันเข้าใจ เราจะได้รู้หลักการอุดมการณ์อุดมธรรมว่า ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ การประพฤติการปฏิบัติถึงไม่เลือกกาลไม่เลือกเวลาไม่เลือกสถานที่ ให้เอาวาระที่เป็นปัจจุบันนั้นแหละเป็นการประพฤติการปฏิบัติ ธรรมะเป็นความรู้ความเข้าใจ ความรู้ความเข้าใจจะเป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ความว่างนี้เป็นเรื่องจิตเรื่องใจ เพราะใจของเราทุกคนนั้นเป็นประภัสสร ใจของเราทุกคนนั้นเป็นประภัสสรนะ ถ้าใจของเรามีปัญญา ใจของเราจะเป็นประภัสสร สิ่งที่สัญจรไปมา ต้องรู้ว่าอันนี้เป็นเพียงอาคันตุกะที่สัญจรไปมาเพียงชั่วครู่ชั่วยาม ใจนั้นจะมีปัญญาวิปัสสนา

 

รู้เข้าใจ ว่าเรามีตาถึงมีรูป มีหูถึงได้ยินเสียง มีจมูกถึงได้กลิ่น มีลิ้นถึงมีรส มีโผฏฐัพพะสัมผัสถึงมีธรรมารมณ์ ความรู้ความเข้าใจที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ จะทำให้ใจของเรามีปัญญา จะเป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่มันจะมีประโยชน์อะไร คนตาบอดจะมีประโยชน์อะไร คนหูหนวกจะมีประโยชน์อะไร คนอัมพฤกษ์อัมพาตจะมีประโยชน์อะไร คนตายจะมีประโยชน์อะไร มนุษย์เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ด้วยเหตุผลนี้ เราทุกคนต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ปัญญากับความสงบที่เป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ที่เราจะเอามาใช้เป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมในการประพฤติการปฏิบัติ เป็นหลักการของการประพฤติการปฏิบัติ ด้วยเหตุผลนี้ เราอยู่ที่ไหนก็พากันปฏิบัติอยู่ที่นั่น ที่ไหนมีธาตุทั้ง ๔ มีขันธ์ทั้ ๕ มีอายตนะ ๑๒ ก็พากันปฏิบัติอยู่ที่นั่น ไม่มีที่ไหนไม่มีการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่

 

เราทั้งหลายต้องรู้ความหมายของคำว่าวัดนะ วัดนี้หมายถึงหน้าที่ของการประพฤติการปฏิบัติ เราทุกคนต้องมีข้อวัตรข้อปฏิบัติที่เป็นอริยมรรคมีองค์แปด ที่เป็นกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ ที่มารวมลงที่ใจที่เจตนา เพื่อเป็นหลักการของการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเป็นข้อวัตรกิจวัตรในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้รู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติของตัวของเราเอง เราจะได้ยกเลิกความไม่ถูกต้อง ยกเลิกความผิด เราจะไม่ได้เกิดความเสียหาย จะไม่ได้เกิดการพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย ตึกไหน ๆ เค้าก็ไม่พังทลายเหมือนตึก สตง. พังตึกเดียวเฉพาะตึก สตง.

 

เราต้องรู้เรื่องการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องรู้จักข้อวัตรข้อปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้เรารู้ข้อวัตรข้อปฏิบัติ อย่าไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ เพราะทุกอย่างนั้นมันคือกรรมคือกฎแห่งกรรม คือผลของกรรมนะ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราอย่าไปตรึกนึกคิดในกาม อย่าไปตรึกนึกคิดในพยาบาท เพื่อเราจะได้เอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เป็นข้อวัตรข้อปฏิบัติ เพื่อเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เพื่อให้ความดีและปัญญาก้าวไปเป็นปฏิปทาของเราทุก ๆ คน ให้ทุกคนมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ให้ทุกคนรู้จักข้อวัตรข้อปฏิบัติ ท่านให้เรารู้จักความคิด คำพูด การกระทำ กิริยามารยาท อาชีพ เพื่อเป็นข้อวัตรข้อปฏิบัติของเราทุก ๆ คน เรามาเน้นที่ตัวของเราเอง เราอย่าไปหาความดับทุกข์ที่อื่น ต้องหาความดับทุกข์อยู่ที่กายวาจากิริยามารยาทอาชีพ อยู่ที่ใจของเราเอง เราต้องรู้เรื่องข้อวัตรข้อปฏิบัติ ตั้งมั่นในพระรัตนตรัย คือความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ที่เป็นพระศาสนา ที่เป็นทางสายกลาง

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราทั้งหลายตั้งอยู่ในความประมาท ต้องพากันประพฤติปฏิบัติด้วยข้อวัตรข้อปฏิบัติ ต้องทวนกระแส ต้องรู้ต้องเข้าใจ เห็นภัยในความไม่ถูกต้อง เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ต้องยกเลิกตัวตนด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยเห็นภัยในวัฏฏสงสาร

 

มนุษย์เราทุกคนต้องพากันรู้เข้าใจนะ เพราะทุกอย่างคือกรรม คือกฎแห่งกรรม คือผลของกรรม เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เพราะเหตุผลว่า ไม่มีใครประพฤติไม่มีใครปฏิบัติแทนกันได้ อย่างเรื่องความคิดนี้ ความรู้ความเข้าใจ ต้องเป็นความคิดความรู้ความเข้าใจของตัวเราเอง เช่น การกระทำในสิ่งต่าง ๆ กิริยามารยาทที่ดี ๆ ไม่มีใครประพฤติปฏิบัติแทนเราได้ คำพูดที่ดี ๆ ไม่มีใครพูดแทนเราได้ อาชีพดี ๆ ไม่มีใครประพฤติปฏิบัติแทนเราได้ เราทุกคนต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติเอาเอง ไปพึ่งพาอาศัยใครไม่ได้นะ ต้องพึ่งความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องรู้เข้าใจ รู้จักหน้าที่ รู้จักข้อวัตรปฏิบัติของตัวของเราเอง เราทุกคนต้องทวนโลกทวนกระแส ต้องหยุดสัญชาตญาณ เข้าสู่การประพฤติการปฏิบัติ เข้าสู่ภาคบำบัด ปัญญาสัมมาทิฏฐิ ต้องเป็นนายทุน นายทุนนั้นก็หมายถึงจิตถึงใจนะ กายวาจากิริยามารยาทอาชีพเป็นเพียงกรรมกรของใจนะ ด้วยเหตุผลนี้นายทุนที่ประกอบด้วยปัญญา ต้องทำหน้าที่ของนายทุนให้ดี ๆ เอากายวาจากิริยามารยาทอาชีพที่เป็นกรรมกรมาใช้มาปฏิบัติในการทำหน้าที่ในการทำงาน ให้รู้เข้าใจ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ

 

เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจ เราทั้งหลายก็จะไปตามผัสสะ ไปตามสิ่งแวดล้อม เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้จบลงเรื่องจบราวในปัจจุบัน ให้มันจบลงที่ปัจจุบัน ให้มันจบลงที่ผัสสะ เราจะได้จบกันทีในเรื่องเก่า ๆ เราจะได้รู้เข้าใจ เราจะได้ยกเลิกเรื่องใหม่ ๆ เพื่อให้เกิดความสงบและปัญญา ก้าวไปด้วยปฏิปทา ด้วยการพัฒนาใจ พัฒนาวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กัน การประพฤติการปฏิบัติต้องอาศัยปฏิปทาติดต่อต่อเนื่อง การพัฒนาต้องมีการประพฤติการปฏิบัติที่ติดต่อต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นปัจจุบันธรรม เพื่อเราจะไม่ได้เดินไปและถอยกลับ เราต้องรู้เข้าใจ เราจะไม่ได้ก้าวไปและถอยกลับมา เราจะได้อาศัยปฏิปทา เพื่อไม่ให้ตาหูจมูกลิ้นกายใจดึงเราไปตามผัสสะ ตามสิ่งที่กระทบ เราจะได้จบที่รู้เข้าใจ

 

ด้วยเหตุผลนี้ หลักการของการประพฤติการปฏิบัติ เราถึงต้องเจริญสติสัมปชัญญะ เพราะสติสัมปชัญญะนั้นเป็นความสงบและปัญญา ต้องอาศัยปฏิปทาที่ติดต่อต่อเนื่องด้วยการเจริญสติสัมปชัญญะ สติของเราต้องเป็นพื้นฐาน ปัญญาของเราต้องเป็นพื้นฐานที่เป็นสติปัฏฐาน เพื่อจะได้เอาสมถะวิปัสสนาควบคู่กันไป การเจริญสติสัมปชัญญะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า นี้เป็นธรรมะที่มีคุณมีอุปการะกับพวกเราทั้งหลายมากนะ

 

 ให้เราใช้หลักอานาปานสติ ใช้หลักลมหายใจเข้าหายใจออก เอาสติสัมปชัญญะมาอยู่กับลมหายใจเข้าหายใจออก เพื่อเป็นหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ หายใจเข้าเราก็มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจออกเราก็มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้าเราก็มีความสุขในการหายใจเข้า หายใจออกเราก็มีความสุขในการหายใจออก หายใจเข้าเราก็รู้ว่ามันไม่แน่ไม่เที่ยง มันเข้าไปแล้วก็ออกมา หายใจเข้าเราก็รู้ว่าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน หายใจออกไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันเป็นเพียงอาคันตุกะที่สัญจรไปมาชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้นเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราใช้หลักการในการเจริญอานปานสติอย่างนี้ ให้เอาไปใช้ทุก ๆ อิริยาบถ ไม่ใช่เอาไปใช้เฉพาะตอนนั่งสมาธินะ เอาไปใช้ได้เป็นหลักการของการประพฤติการปฏิบัติ

 

เวลาปกติท่านให้เรารู้จักหน้าที่ เพราะหน้าที่คือธรรมะ ธรรมะหน้าที่ หมายถึงความรู้ต้องคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ สุขภาพกายของเราก็จะดี สุขภาพใจของเราก็จะดี ที่เป็นอริยมรรค ที่เป็นหน้าที่ การประพฤติการปฏิบัตินั้นเป็นการอบรมบ่มอินทรีย์ที่เป็นปัจจุบัน เพราะเหตุผลว่าอดีตก็มารวมที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มาอยู่ที่ปัจจุบัน ให้เรารู้ให้เข้าใจ มีปิติมีความสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้ เราต้องรู้สิ่งที่มีคุณมีอุปการะคุณ

 

เรามาระลึกถึงโอวาทของพระบรมศาสดาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสปัจฉิมโอวาทเพื่อให้เรารู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติเพื่อเราจะได้ไม่ประมาท เพราะปัจจุบันเป็นวาระสำคัญของเราทุก ๆ คน ท่านตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราขอเตือนเธอทั้งหลายว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงให้เรารู้ให้เราเข้าใจ เราจะได้เอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ที่ท่านตรัสเป็นภาษาบาลีว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร

 

ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรมมาประพฤติมาปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง

 

 ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น

 

------------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันเสาร์ที่ ๑๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

Visitors: 104,506