๑๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

พสกนิกรชาวไทยและชาวต่างประเทศได้มาร่วมรวมกันประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความโทมนัสและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน พระองค์ทรงเป็นดั่งแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและพระปรีชาสามารถ ทรงอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระราชหฤทัยในการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อธำรงไว้ซึ่งความผาสุกและความมั่นคงแห่งชาติไทย เราประชาชนชาวไทยต้องร่วมใจสมัครสมานสามัคคีทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่ออุทิศบุญกุศลน้อมเกล้าถวาย เพื่อเสด็จสู่สวรรคาลัย เข้าสู่สวรรค์มรรคผลพระนิพพาน

 

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๑๖ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

 

หลักการในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ต้องเอาทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับเรื่องทางวัตถุ ให้ปฏิบัติไปพร้อม ๆ กัน เพื่อเป็นทางสายกลาง เพื่อจะได้ประพฤติได้ปฏิบัติธรรมไปทั้ง ๒ อย่าง

 

ความรู้ความเข้าใจเป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ ปัญญาสัมมาทิฏฐินี้เป็นความรู้ความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ มีความเข้าใจว่า สิ่งต่าง ๆ นั้นมันเกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย ถ้ามีเหตุมีปัจจัยสิ่งเหล่านั้นก็ย่อมไปตามเหตุตามปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปก็ต้องมี เพราะว่ามันมีเหตุมีปัจจัย ถ้าเราจะให้สิ่งนั้นไม่มี เราก็ยกเลิกเหตุยกเลิกปัจจัย ความรู้ต้องเป็นคู่กับการประพฤติ ต้องเป็นคู่กับการปฏิบัติ

 

การปฏิบัติธรรมนั้นเป็นเรื่องปัจจุบัน เพราะเหตุผลว่า อดีตก็ได้มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบันนี้แล้ว อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้เอง ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญแห่งชาติของการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันเราต้องรู้ต้องเข้าใจอย่างนี้ เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้พวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจอย่างนี้

 

เราทั้งหลายต้องพากันมารู้เหตุรู้ปัจจัย เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นคือเหตุคือปัจจัย การประพฤติการปฏิบัตินั้นถึงต้องมีสติ สติคือความสงบ มนุษย์เราเมื่อสงบก็ต้องเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละเราก็จะเป็นได้เพียงสมาธิเพียงสมาบัติ เราต้องเสียสละ เราถึงจะก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยเหตุผลนี้ ผู้มีความสงบมากก็ต้องเสียสละมาก ๆ ด้วยเหตุผลนี้ ผู้มีปัญญามากก็ต้องให้ใจของเราสงบมาก ๆ ความสงบและปัญญามันจะคู่กันไป มันเป็นความพอดี ความพอเพียงเพียงพอ มันจะหยุดความปรุงแต่ง การหยุดความปรุงแต่งที่เกิดจากปัญญาสัมมาทิฏฐิ มันจะเป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป เปรียบเสมือนสายพิณสายกีต้าร์ มันพอดี ถ้ามันตึงเกินไปสายพิณนั้นก็จะขาด ถ้ามันหย่อนเกินไปสายพิณนั้นเสียงก็ไม่ไพเราะ ความสงบและปัญญาถึงเป็นความพอดี

การปฏิบัติธรรม... สมาธิกับปัญญาต้องเสมอกัน เพื่อเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ สมาธินั้นว่างจากนิวรณ์ ว่างจากอคติ เมื่อว่างแล้วมันก็สงบ เมื่อสงบแล้วเราก็เสียสละ มันจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี

 

หลักการของมนุษย์ถึงเน้นที่ปัจจุบัน สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ นั้นอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องในปัจจุบัน เพราะเราคิดดูดี ๆ นะ สิ่งต่าง ๆ นั้นเราไม่ได้ไปตัดออกแล้วเราก็ไม่ได้เอามาเพิ่ม มันเป็นความพอดีเป็นความพอเพียง ถึงเป็นอริยมรรคมีองค์แปดอยู่ในปัจจุบัน

 

ความรู้ความเข้าใจในเรื่องเหตุเรื่องผลเป็นคณิตคิดในใจเป็นความรู้ความเข้าใจที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมมันเป็นการยกเลิกตัวตน มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจ ถึงจะรวยเท่าไหร่มีอำนาจเท่าไหร่ก็จะแก้ปัญหาไม่ได้ ดับทุกข์ไม่ได้ เพราะเรายังเอาสัญชาตญาณนำชีวิต สัญชาตญาณที่มีความสำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นผู้หญิงเป็นผู้ชาย เป็นคนหนุ่มคนสาวคนแก่คนเฒ่าคนชรา คนตายคนพลัดพราก อย่างนี้เรียกว่าสัญชาตญาณที่เรียกว่าเป็นนิติบุคคลตัวตน เราต้องรู้เข้าใจว่าสัญชาตญาณมันเกิดมีเกิดเป็นได้อย่างไร สัญชาตญาณมันก็เกิดจากกรรม เกิดจากกฎแห่งกรรม แล้วมันก็เป็นผลของกรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงให้เรารู้จักกรรม กรรมนั้นคือการกระทำ เป็นอุปกรณ์ของกรรม

 

อะไรเป็นอุปกรณ์ของกรรม..?

อุปกรณ์ของกรรมก็ได้แก่กายวาจากิริยามารยาทอาชีพนี้มันเป็นกรรม มันเป็นสัญชาตญาณ มันเป็นนิติบุคคลตัวตน เราต้องรู้กรรม รู้กฎแห่งกรรม รู้ผลของกรรม... ร่างกายของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ มันคือกรรมที่เกิดจากกฎแห่งกรรมแล้วก็เป็นผลของกรรม มันเป็นกรรมเก่าของเราทุกคน ที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาสัญชาตญาณนำชีวิต เอาความรู้สึกนำชีวิต นี้มันเป็นกรรมเก่าของเราทุก ๆ คนนะ เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้หยุดกรรมเก่าของเราทุก ๆ คน

 

มนุษย์เราที่เกิดมาต้องมีปัญญา มารู้เรื่องของกรรม รู้กฎแห่งกรรม แล้วรู้ผลของกรรม

 

รู้แล้วจะทำอย่างไร..?

รู้แล้วก็ต้องมีสติมีสัมปชัญญะ มนุษย์เราถ้าเรารู้เข้าใจ แล้วก็มีสติมีสัมปชัญญะ ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะที่เป็นสัมมาสมาธิ เราทุกคนเมื่อรู้เข้าใจว่านี้คือกรรม เราต้องหยุดกรรมด้วยการเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะนี้ถึงมีคุณมีประโยชน์ต่อหมู่มวลมนุษย์ทุก ๆ คน

 

เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้พากันหยุดลงที่ปัจจุบัน จะได้จบลงที่ปัจจุบัน จบลงที่ผัสสะ ด้วยอาศัยหลักการ อาศัยพระธรรมอาศัยพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตร พระธรรมพระวินัยเป็นคุณเป็นประโยชน์ มีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ ที่เราจะเอามาใช้เอามาประพฤติมาปฏิบัติ มาเป็นอุปกรณ์ในการประพฤติการปฏิบัติ พระธรรมพระวินัยเป็นอุปกรณ์ในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราจะเดินทางก็ต้องอาศัยยานพาไป อย่างเราจะเดินทางไกล ทางบกทางอากาศก็ต้องอาศัยรถอาศัยเครื่องบิน ถ้าทางน้ำก็ต้องอาศัยเรือ พระธรรมพระวินัยถึงเป็นยาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราทุกคนพากันรู้พากันเข้าใจ อย่าพากันตั้งอยู่ในความประมาท เราจะไปประมาทไม่ได้ ถ้าเราไปประมาทมันก็อย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย ไม่ผิดอะไรกันเลย ตึกไหน ๆ เค้าก็ไม่พัง ทั้ง ๆ ที่ใหญ่กว่าสูงกว่าเค้าก็ไม่พัง เพราะสเตรนท์พอที่จะรับน้ำหนักรับแผ่นดินไหวได้ เราต้องรู้เข้าใจ ว่าสติสัมปชัญญะเป็นสิ่งที่มีคุณมีประโยชน์ เราต้องรู้เข้าใจว่าพระธรรมพระวินัยข้อวัตรปฏิบัติเป็นสิ่งที่มีคุณมีประโยชน์

 

เราทั้งหลายต้องไม่ประมาท ต้องพากันเจริญสติสัมปชัญญะ มีความละอายต่อความไม่ถูกต้อง มีความละอายต่อความผิด ต้องตั้งใจตั้งเจตนา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราทุกคนต้องตั้งใจตั้งเจตนา เพราะเหตุผลว่าการประพฤติการปฏิบัตินั้นต้องตั้งใจตั้งเจตนา เพื่อจะไม่ได้เสียกาลเสียเวลา เพราะปัจจุบันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เราจะไปปล่อยปะละเลยไม่ได้ เราอย่าไปคิดว่าค่อยเป็นค่อยไป คำว่าค่อยเป็นค่อยไปนั้นเป็นสีลัพพัตปรามาส มันเป็นสิ่งที่ลูบคลำ ในข้อวัตรข้อปฏิบัติ

 

เราอย่าไปคิดว่าค่อยเป็นค่อยไป เราต้องหยุดคำว่าค่อยเป็นค่อยไป เราอย่าเอาอัธยาศัยของเรา เพราะความถูกต้องนั้นคือความถูกต้อง ไม่เป็นพี่เป็นน้องเป็นญาตเป็นวงศ์ตระกูลของใคร เราคิดอย่างนี้ไม่ได้ คิดอย่างนี้มันสีลัพพัตปรามาส เรายังลูบคลำในศีลในข้อวัตรข้อปฏิบัติ เราต้องรู้เข้าใจ เป็นคนดีก็ต้องเสียสละ ไม่ใช่ค่อยเป็นค่อยไป เป็นคนชั่วก็ต้องเสียสละ ทั้งคนดีคนชั่วก็ต้องเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละมันก็ไม่เป็นธรรม มันก็ไม่ยุติธรรม มันก็ไม่ใช่ความสงบและปัญญา

 

เราจะไปคิดว่าค่อยเป็นค่อยไปนั้นไม่ได้ ความคิดนี้ไม่ใช่สติไม่ใช่สัมปชัญญะ นั้นเป็นความประมาท ยังตั้งอยู่ในความประมาท ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราทั้งหลายอย่าพากันประมาท ธรรมะนั้นอยู่นอกเหตุเหนือผลของเราทุกคน ไม่มีความปรุงแต่ง ความสงบและปัญญานั้นถึงเป็นสภาวธรรมอยู่นอกเหตุเหนือผล อยู่เหนือตัวเหนือตน อยู่เหนือความปรุงแต่ง ไม่มีคำว่าค่อยเป็นค่อยไป

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทุกคนต้องผ่านด่านไปให้ได้ ด่านนั้นได้แก่ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ เราต้องผ่านด่านนี้ไปให้ได้ ด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา ไม่มีคำว่าค่อยเป็นค่อยไป เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ไม่ต้องพากันลูบคลำในศีลในข้อวัตรปฏิบัติ ไม่ต้องมีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น

 

พระธรรมพระวินัยทั้งหลาย สมมติสัจจะทั้งหลายที่บ่งชี้บอกผิดถูกดีชั่ว ไม่ดีไม่ชั่ว เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ เราจะได้ปฏิบัติสมมตินั้นให้ถูกต้อง เพราะเหตุผลว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราต้องมีปิติมีความสุขในการปฏิบัติหน้าที่ทำหน้าที่ต่อสมมตินั้น ๆ เพื่อสมมตินั้นจะได้สมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ เพราะสิ่งเหล่านั้นมันเป็นความพอดี ไม่ได้ตัดไม่ได้เพิ่ม รู้เข้าใจ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราต้องรู้รูปธรรม รูปธรรมเป็นวัตถุธรรม ที่เป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ

 

ให้เรารู้ให้เข้าใจเรื่องลิดรอนสิทธิเสรีภาพนะ เราลิดรอนสิทธิเสรีภาพเรายังไม่รู้ไม่เข้าใจเลยนะ เช่น เราไม่อยากให้แก่เจ็บตายพลัดพรากอย่างนี้เรียกว่าลิดรอนสิทธิเสรีภาพนะ เราอยากให้เป็นอย่างโน้นอยากให้เป็นอย่างนี้ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นไม่อยากให้เป็นอย่างนี้ นี้แหละคือการลิดรอนสิทธิเสรีภาพเสรีชนนะ เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ความทุกข์ของมนุษย์นี้อยู่ที่เราลิดรอนสิทธิเสรีภาพ อยู่ที่เราคิดเองเออเอง

 

เราทุกคนต้องมารู้มาเข้าใจในธรรมในสภาวธรรมที่เป็นรูปธรรม ที่เป็นความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก เราต้องพากันมารู้ ปัญญาสัมมาทิฏฐิ ใจของเราจะได้เป็นประภัสสร ใจของเราจะได้ว่างจากนิติบุคคลตัวตน ใจของเราทุกคนนั้นเป็นประภัสสรนะ ใจของเราจะเป็นประภัสสรได้ก็ต้องรู้เข้าใจแล้วมีสติมีสัมปชัญญะ รู้ธรรมรู้สภาวธรรม ว่าความเกิดแก่เจ็บตายพลัดพรากเป็นเพียงอาคันตุกะสัญจรไปมาชั่วครู่ชั่วคราว ชั่วครู่ชั่วยาม ด้วยอาศัยการสร้างบารมี ด้วยการเจริญสติเจริญสัมปชัญญะที่ตั้งอยู่ด้วยปัญญา ไม่ให้หลง ไม่ให้เพลิดเพลินในสิ่งที่มาผัสสะ ให้สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้จบลงในปัจจุบัน จบลงที่ผัสสะ

 

มนุษย์เราถึงมีหลักการ วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์ให้ถือเอาหลักการเพื่อพัฒนาวัตถุเพื่ออำนวยความสะดวกความสบาย เพื่อพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันเป็นหลักการของหมู่มวลมนุษย์ วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดธุรกิจหน้าที่การงาน มาเน้นเรื่องจิตเรื่องใจ เอาเรื่องจิตเรื่องใจอย่างเดียว มนุษย์เราทุก ๆ คน ทุกชาติทุกศาสนาก็ใช้หลักเดียวกันนี้ ใช้ปัญญาสัมมาทิฏฐิ เอาวัตถุเอาใจไปพร้อม ๆ กัน มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ให้เรารู้เข้าใจ เราใช้อย่างเดียวกันนี้แหละ เพราะทุกอย่างนั้นมันเป็นสากล ความเกิดความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากนั้นมันเป็นสากล ความทุกข์ทางกายก็อย่างเดียวกัน ความทุกข์ทางใจก็อย่างเดียวกัน นรกสวรรค์นิพพานก็อย่างเดียวกันนี้แหละ นี้มันคือกรรม คือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม ทุกคนต้องรู้ต้องเข้าใจ ทุกคนทำได้ปฏิบัติได้ ไม่มีใครประพฤติไม่มีใครปฏิบัติไม่ได้ คนปฏิบัติไม่ได้มีตั้งแต่คนบ้า คนสมองเสีย เค้าถึงไม่เอาเรื่องเอาราวกับคนบ้า คนวิกลจริต คนสมองเสีย

 

ให้เรารู้เข้าใจ ทุกชาติทุกศาสนาก็ใช้หลักการเดียวกันนี้ เน้นมาที่ตัวเรา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายต้องยกเลิกความไม่ถูกต้อง ยกเลิกตัวตน ต้องพากันปฏิบัติอย่างนี้ พากันมีความสุขในหน้าที่ ในการทำหน้าที่ พากันตั้งอยู่ในการทำงาน ในความไม่ประมาท ให้สว่างไสวในเรื่องวัตถุทั้งทางจิตใจไปพร้อม ๆ กัน นี้เป็นทางสายกลางของหมู่มวลมนุษย์

 

มนุษย์เราต้องทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราทุกคนจะไปมีตัวมีตนนั้นไม่ได้ การปฏิบัติของเราต้องติดต่อต่อเนื่อง เรามีสติมีสัมปชัญญะติดต่อต่อเนื่อง เพราะธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ

 

ตัวที่ควบคุมคอนโทรลถึงเป็นสัมมาสมาธิคือความตั้งใจมั่นชอบ จิตใจของเราในปัจจุบัน ต้องเป็นจิตใจขณิกสมาธิ สมาธิทุก ๆ ขณะด้วยความรู้ควมเข้าใจ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพื่อให้สมถะและวิปัสสนาเดินไปพร้อม ๆ กัน มนุษย์เราถึงจะได้ทำหน้าที่ปฏิบัติต่ออริยมรรคที่สมบูรณ์ ใจของเราในปัจจุบันต้องตั้งอยู่ในขณิกสมาธิ สมาธิที่เป็นสติเป็นสัมปชัญญะ ที่เป็นปัญญากับความสงบ เพื่อเดินมรรคเดินอริยมรรคไปพร้อม ๆ กันด้วยความรู้ความเข้าใจที่ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ด้วยเหตุผลนี้ถึงขาดสติขาดสัมปชัญญะไม่ได้

 

ปัจจุบันเราถึงต้องมีขณิกสมาธิ ธรรมเหล่าใดที่มีความคิดว่าค่อยเป็นค่อยไป ธรรมะนั้นถึงเป็นความประมาท เราต้องรู้เข้าใจคำว่าค่อยเป็นค่อยไป เราคิดดูดี ๆ สิ ผู้ที่เป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวช คิดว่าค่อยเป็นค่อยไปค่อยพัฒนา

 

ที่เป็นข้าราชการใหม่ ๆ เป็นนักการเมืองใหม่ ๆ เป็นนักบวชใหม่ ๆ ...

ใหม่ ๆ มันขยันนะ มันตั้งใจนะ ไม่มีความเห็นว่าค่อยเป็นค่อยไป แต่พากันตั้งอยู่ในความหลง ตั้งอยู่ในความประมาท กว่าจะรู้ส่วนใหญ่มันก็เป็นวาระสุดท้ายเสียแล้ว เราต้องรู้เข้าใจเห็นปัจจุบันเป็นวาระสำคัญ ด้วยความรู้ความเข้าใจเพื่อพากันหยุดสัญชาตญาณ รู้เรื่องการประพฤติรู้เรื่องการปฏิบัติ ไม่ต้องผลัดวันประกันพรุ่ง คิดว่าค่อยเป็นค่อยไป เมื่อปัจจุบันไม่รู้เข้าใจ ไม่มีการประพฤติการปฏิบัติ นี้คือบุคคลไม่รู้เรื่องการประพฤติการปฏิบัตินะ

 

เราต้องเห็นความสำคัญในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ อย่าไปคิดว่าค่อยเป็นค่อยไป

 

เราคิดดูดี ๆ เหตุการณ์ที่ผ่านมา ความเสียหายได้เกิดกับข้าราชการนักการเมือง และได้เกิดกับนักบวช ที่คิดว่าเดินทางสายกลางค่อยเป็นค่อยไป เราจะเอาความผิดนำชีวิตคิดว่าค่อยเป็นค่อยไปทำอย่างนั้นปฏิบัติอย่างนั้นไม่ได้นะ เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราต้องประพฤติปฏิบัติในปัจจุบันให้ดี ๆ อย่าพากันตั้งอยู่ในความประมาท

 

สัมมาสมาธิต้องเอามาใช้เอามาประพฤติมาปฏิบัติ เพื่อเราจะได้หยุดนิวรณ์ทั้ง ๕ เพื่อเราจะได้หยุดอคติทั้ง ๔ ใจของเราจะได้ตั้งอยู่ในขณิกสมาธิด้วยสัมมาสมาธิ เพื่ออริยมรรคมีองค์แปดนั้นจะเดินไปได้ เพื่อจะได้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เพื่อจะได้ยกเลิกนิวรณ์ทั้ง ๕ ยกเลิกคติทั้ง ๔ ด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ ด้วยการเดินไปด้วยขณิกสมาธิ การดำเนินชีวิตในชีวิตประจำวัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เดินอริยมรรคอย่างนี้ เพื่ออริยมรรคมีองค์แปดของเราจะได้สมบูรณ์ ถ้าไม่ปฏิบัติอย่างนี้ เราทั้งหลายจะพากันหยุดสัญชาตญาณที่มันเป็นความผิดนั้นไม่ได้

 

เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ให้เรามีความรู้ความเข้าใจ ทำหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ในองค์มรรค เอาปัจจุบันเป็นวาระสำคัญ เพื่อปัจจุบันไม่ขาดตกบกพร่อง ให้เข้าถึงความเต็ม เต็มเต็มเต็ม ความพอเพียงเพียงพอ เราจะเต็มได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะเต็มได้เราก็ต้องมีสติสัมปชัญญะ ถ้าเราไม่มีสติสัมปชัญญะ มันก็จะไม่อิ่มไม่เต็มไม่พอ ไม่เพียงพอ ปัจจุบันเราต้องอิ่มต้องเต็มต้องพอ

 

เราคิดดูดี ๆ นะ ปัจจุบันนี้เป็นวาระสำคัญ เราต้องมีสติสัมปชัญญะ เราต้องอิ่ม เราต้องเต็ม เราต้องพอ เราอย่าไปคิดว่าอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญเป็นความดับทุกข์ อันนี้ไม่ใช่นะ ปัจจุบันนี้แหละที่เรามีสติมีสัมปชัญญะคือความดับทุกข์ เราทั้งหลายต้องรู้จัก ต้องรู้เรื่อง เราต้องรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราจะเอาความปรุงแต่งนำชีวิตได้อย่างไร เราไม่สงบอยู่แล้วเราก็ยังจะมาเพิ่มความวุ่นวายขึ้นไปอีก

 

หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เราถึงมีความสุขในการทำหน้าที่ มีความสุขในปัจจุบันในการทำหน้าที่ มีความสุขในการทำหน้าที่ เราจะได้มาทั้งวัตถุ ได้มาทั้งจิตใจ สุขภาพกายของเราก็ดี สุขภาพใจของเราก็ดี เราจะเข้าถึงความเต็มเต็มเต็ม เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เศรษฐกิจพอเพียง เหมือนคติธรรมที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ที่ท่านตรัสให้คติธรรมว่า เราต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความเต็มด้วยการมีความสงบและปัญญา เราอยากได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่าเท่าเดิม เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่าเท่าเดิม เราต้องเข้าถึงความสงบและปัญญา เข้าถึงความเต็ม

 

ด้วยเหตุผลนี้ปัจจุบันนี้ถึงเป็นวาระสำคัญของเราทุก ๆ เป็นหน้าที่ที่เราจะต้องประพฤติปฏิบัติ เพราะทุกอย่างนั้นมันเป็นประภัสสรอยู่แล้ว ไม่ใช่ได้เพิ่ม ไม่ใช่ได้ตัด เพียงแต่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง แล้วมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์กับพัฒนาใจก็ต้องพัฒนาไปอย่างนี้ เอา ๒ อย่างเดินควบคู่กันไป

 

การนั่งสมาธิอย่างนี้ต้องรู้เข้าใจเรื่องสมาธินะ สมาธิคือว่างจากนิวรณ์ทั้ง ๕ ว่างจากอคติทั้ง ๔ เป็นความสงบและปัญญาที่ตั้งอยู่ในสัมมาสมาธิ ไม่ตัดไม่เพิ่ม เป็นความพอเพียงเพียงพอ อย่างเรานั่งสมาธิก็ต้องมีหลักการ หลักการในการนั่งสมาธิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราใช้อานาปานสตินะ ใช้หลักหายใจเข้าก็ให้สบาย หายใจออกก็ให้สบาย หายใจเข้าก็มีสติสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจออกก็มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้าก็รู้ว่าไม่แน่ไม่เที่ยง หายใจออกก็รู้ว่าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ให้ใช้หลักการในการเจริญอานาปานสติอย่างนี้ มีปิติมีความสุขในการทำอย่างนี้ หายใจเข้าเราจะได้เอาออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายหายใจออกจะได้เอาของเสียเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป ไม่ใช่มานั่งสมาธิจะเอาสวรรค์เอาวิมานอะไรนะ

 

ให้เข้าใจว่าสมาธิคือความตั้งมั่น มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการทำหน้าที่ นี้เรียกว่าสัมมาสมาธิ

 

มนุษย์เราถ้าเรามีความสงบและปัญญา มันก็ยกเลิกนิวรณ์ทั้ง ๕ ยกเลิกอคติทั้ง ๔ มันจะเป็นความพอดีความพอเพียงเพียงพอ ไม่ใช่เราจะมาเอาอะไร เรามารู้มาเข้าใจแล้วมาเจริญสติสัมปชัญญะเรียกว่าสัมมาสมาธิ ให้อยู่ที่ปัจจุบัน ไม่เอาความหลงนำชีวิต ไม่เอาความผิดนำชีวิต มีสติหายใจเข้าก็ให้สบาย หายใจออกให้สบาย หายใจเข้าออกให้มีความสุข

 

ให้รู้เข้าใจ หลักการในการทำสมาธิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า อานาปานสตินี้ใช้ได้กับเราทุก ๆ คน ให้เอาไปใช้ได้ทุก ๆ อิริยาบถนะ อิริยาบถยืนเดินนั่งนอนเอาไปใช้ได้ ไม่ใช่ใช้เฉพาะตอนนั่งสมาธินะ สมาธิคือความพอดีไม่ได้เพิ่มไม่ได้ตัดไม่มีนิวรณ์ทั้ง ๕ ไม่มีอคติทั้ง ๔ ให้รู้ให้เข้าใจ

 

ในปัจจุบันในชีวิตประจำวันเราก็รู้เข้าใจ เราก็พัฒนาธุรกิจหน้าที่การงานที่อาศัยวิทยาศาสตร์ในการพัฒนา พัฒนาจิตใจด้วยความรู้ความเข้าใจว่ามนุษย์เราต้องเดินทางสายกลาง ต้องเสียสละ รู้ยังไม่พอต้องมีการประพฤติการปฏิบัติ ความรู้กับการประพฤติการปฏิบัติต้องไปพร้อม ๆ กัน ถึงจะสมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะถึงจะเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่จะเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ธรรมะที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิจะได้ยกเลิกตัวตนอย่างนี้ นี้จะเป็นความดีเป็นบารมีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นบารมีเบื้องต้นท่ามกลางในที่สุด เราทุกคนต้องเข้าใจ ทุกชาติทุกศาสนาทุกประเทศก็ใช้หลักสากลอันเดียวนี้แหละ

 

เราทั้งหลายจงพากันรู้เข้าใจ ไม่ต้องไปอาศัยใคร อาศัยความคิดคำพูดการกระทำกิริยามารยาทอาชีพที่ยกเลิกความไม่ถูกต้อง มีปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบันนี้ เพราะปัจจุบันเป็นวาระแห่งชาติของการประพฤติการปฏิบัติ

 

เรื่องความประมาทเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ ที่เราปฏิบัติไปไม่ได้ก็เพราะเราประมาท เราทุกคนมาระลึกถึงปัจฉิมโอวาท ของพระบรมศาสดาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเป็นห่วงพวกเราทั้งหลาย ว่าให้พวกเราทุกคนอย่าพากันตั้งอยู่ในความประมาท เพราะปัจจุบันนี้ถือว่าเป็นโอกาสดีของเราทุกคน ต้องมาบำเพ็ญความดีเพื่อให้ความดีและปัญญาก้าวไป อย่าตั้งอยู่ในความประมาท ท่านตรัสเป็นภาษบาลีไว้ว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร

 

ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรมมาประพฤติมาปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง

 

 ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น

 

..................................................

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันอาทิตย์ที่ ๑๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

Visitors: 104,505