๑๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
พสกนิกรชาวไทยและชาวต่างประเทศได้มาร่วมรวมกันประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความโทมนัสและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน พระองค์ทรงเป็นดั่งแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและพระปรีชาสามารถ ทรงอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระราชหฤทัยในการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อธำรงไว้ซึ่งความผาสุกและความมั่นคงแห่งชาติไทย เราประชาชนชาวไทยต้องร่วมใจสมัครสมานสามัคคีทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่ออุทิศบุญกุศลน้อมเกล้าถวาย เพื่อเสด็จสู่สวรรคาลัย เข้าสู่สวรรค์มรรคผลพระนิพพาน
วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ ๑๗ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ประเทศไทย ศูนย์รวมอยู่ที่กรุงเทพมหานคร เป็นศูนย์รวมของประเทศ แบ่งทั้งหมดเป็น ๖ ภาค ๑. ภาคกลาง ๒. ภาคเหนือ ๓. ภาคใต้ ๔. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๕. ภาคตะวันออก ๖. ภาคตะวันตก
การโคจรของดวงอาทิตย์ก็ไม่ตรงกัน จะต่างกันในเวลาเดียวกัน ๕ ภาค มี ๓ ฤดูกาล ฤดูฝน ฤดูหนาว ฤดูแล้ง ส่วนภาคใต้นั้นมีอยู่ ๒ ฤดูกาล ได้แก่ ฤดูฝน กับฤดูแล้ง ไม่มีฤดูหนาว
ฤดูกาลของประเทศไทยมีฤดูกาลต่างกัน สาเหตุเกิดจากการโคจรของดวงอาทิตย์ โลกนี้จะเป็นวงกลมเหมือนลูกฟุตบอลหรือผลส้มของส้มโอ ดวงอาทิตย์จะหมนุรอบโลก โลกจะหมุนรอบดวงอาทิตย์ ถ้าเรามาแบ่งเป็นภาคประเทศไทยเราถึงมีทั้งหมด ๖ ภาค
ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มี ๓ ฤดูกาล มีหน้าฝน หน้าแล้ง หน้าหนาว ฤดูหนาวเริ่มต้นจากกลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ หน้าแล้งเริ่มต้นจากประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนพฤษภาคม หน้าฝนเริ่มต้นจากกลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนตุลาคม
ภาคใต้มี ๒ ฤดูกาล มีหน้าฝนกับหน้าแล้ง
- ฝั่งอ่าวไทย: ฤดูร้อนประมาณเดือนพฤษภาคม - กันยายน และฤดูฝนส่วนใหญ่จะตกชุกช่วงเดือนพฤศจิกายน
- ฝั่งอันดามัน: ฤดูร้อนประมาณเดือนพฤศจิกายน - เมษายน และฤดูฝนจะตกชุกในช่วงฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ (ประมาณเดือนพฤษภาคม - ตุลาคม)
มนุษย์อยู่ในโลกนี้ก็มีกันอยู่ทั่วโลก มนุษย์เราในปัจจุบันมีประมาณแปดพันกว่าล้านคน ที่ตั้งถิ่นฐานเป็นประเทศน้อยใหญ่ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ ๑๙๕ ประเทศ มนุษย์เรามีภาษาใช้กันอยู่ ๗,๑๐๒ ถึง ๗,๑๕๙ ภาษา โดยประมาณการ
การดำรงชีวิตของมนุษย์อยู่ได้ด้วยการบริโภคอาหาร มีบ้านมีที่อยู่ที่อาศัย มียารักษาโรค มีการประพฤติมีการปฏิบัติกันอย่างนี้ทุก ๆ คน การพัฒนามนุษย์ถึงได้มีการเรียนการศึกษาเพื่อความรู้ความเข้าใจในการดำเนินชีวิต เพื่อความไม่มีทุกข์ การพัฒนามนุษย์ต้องอาศัยปัญญาคือความรู้ความเข้าใจ เพื่อมนุษย์จะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เพราะเหตุผลว่าทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นคือกระบวนการเป็นกระแสของปฏิจจสมุปบาท
ปฏิจจสมุปบาทนั้นเป็นกระบวนการของเหตุของปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี ที่เป็นกรรม เป็นกฎแห่งกรรม เป็นผลของกรรม ด้วยเหตุผลนี้มนุษย์เราจึงต้องรู้ต้องเข้าใจ มนุษย์เราจะได้เอาความรู้ความเข้าใจพร้อมกับการประพฤติการปฏิบัติไปพร้อม ๆ กัน
มนุษย์เราพากันรู้พากันเข้าใจ การปฏิบัตินั้นปฏิบัติที่ปัจจุบัน เพราะอดีตทั้งหมดมารวมอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้แล้ว ปัจจุบันถึงเป็นวาะสำคัญของการประพฤติของการปฏิบัติ กายวาจากิริยามารยาทอาชีพถึงอยู่ที่ปัจจุบัน การประพฤติการปฏิบัตินี้ถึงเป็นความรู้ความเข้าใจ
เรารู้เราเข้าใจ ต้องตั้งใจตั้งเจตนา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ให้เหตุให้ปัจจัยเพื่อดับทุกข์ได้ตั้งแต่ในปัจจุบันด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ ให้เข้าถึงความดับทุกข์ตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า เพราะทุกอย่างนั้นอยู่ที่ปัจจุบัน เพื่อทำปัจจุบันให้ชำนิชำนาญ สติสัมปชัญญะถึงเป็นธรรมะที่มีคุณมีประโยชน์มีอุปการะมากแก่เราทุก ๆ คน
มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจ เราจะไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยจากความไม่รู้ไม่เข้าใจนั้นไม่ได้ มนุษย์เราถึงมีหลักการ มีอุดมการณ์อุดมธรรม ด้วยความรู้ความเข้าใจ การเรียนการศึกษานั้นคือความรู้ความเข้าใจ เป็นคณิตคิดในใจในปัจจุบัน ความรู้ความเข้าใจต้องคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ
มนุษย์เราต้องพัฒนาวัตถุให้ไปตามหลักเหตุหลักผลหลักวิทยาศาสตร์พร้อมทั้งพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน วัตถุกับใจต้องไปพร้อม ๆ กันในปัจจุบัน ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน อันหนึ่งความสงบ อันหนึ่งปัญญา เพื่อให้ปฏิปทาทั้ง ๒ อย่างนี้ไปพร้อม ๆ กัน ผู้มีปัญญามาก ๆ ก็ต้องมีความสงบมาก ๆ ผู้มีความสงบมาก ๆ ต้องเสียสละมาก ๆ เพื่อจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี ต้องเข้าใจ อยากได้มากมันก็ไม่มาก มันก็เท่าเก่าเดิม อยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่าเท่าเดิม ความสงบและปัญญาถึงเป็นความพอเพียงเพียงพอ ถึงเป็นความพอดี
มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจ จะได้ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง สมมติบัญญัติที่เป็นภาษาที่เจ็ดพันกว่าภาษานี้เราจะได้รู้เราจะได้เข้าใจ เราจะได้เอามาใช้เอามาปฏิบัติ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติต่อภาษาหรือว่าต่อสมมติสัจจะนั้นให้ได้ ให้เข้าใจว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ให้มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ให้มีปิติในการประพฤติการปฏิบัติ ให้มีเอกัคคตามีความเป็นหนึ่งในการประพฤติการปฏิบัติ ให้เอาปัจจุบันเป็นวาระสำคัญในการประพฤติการปฏิบัติ ให้มันจบลงที่ปัจจุบัน ความสงบและปัญญาต้องก้าวไปพร้อม ๆ กันในปัจจุบัน
เราทั้งหลายต้องพากันทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติในหน้าที่ต่อหน้าที่ ความดับทุกข์ของมนุษย์ถึงมาอยู่ที่เรารู้เราเข้าใจ เราทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ทานศีลสมาธิภาวนา นี้เป็นหลักการของประชาชนผู้ครองบ้านครองเมือง ศีลสมาธิภาวนาสำหรับผู้ที่บรรพชาอุปสมบท
มนุษย์เราต้องยกเลิกสัญชาตญาณ ต้องพากันมาเสียสละเพื่อหยุดสัญชาตญาณ ให้รู้เข้าใจ ว่ามนุษย์เรานั้นต้องมาหยุดสัญชาตญาณ สัญชาตญาณได้แก่อะไรล่ะ สัญชาตญาณได้แก่เรามีความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นไรเป็นคนอื่น มีความสำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นผู้หญิงเป็นผู้ชาย ว่าเป็นคนแก่คนเฒ่าคนชราคนเจ็บคนตายคนพลัดพราก มีความสำคัญมั่นหมายว่าเราดีกว่าเค้า เราเก่งกว่าเค้า เรารวยกว่าเค้า เรามีอำนาจมีเพาเวอร์มากกว่าเค้า หรือว่าเสมอเค้า สู้เค้าไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่าสัญชาตญาณ
มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจ ต้องยกเลิกสัญชาตญาณ มนุษย์ถึงเป็นผู้ให้ทานเป็นผู้เสียสละ ทุกคนต้องตั้งใจเสียสละ ต้องเป็นผู้ให้เป็นผู้เสียสละ การเป็นผู้ให้เป็นผู้เสียสละ เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เป็นการพัฒนาทางวัตถุทางวิทยาศาสตร์ด้วยปัญญาที่รู้เข้าใจ ว่ามนุษย์เราทั้งหลายต้องเป็นผู้ให้เป็นผู้เสียสละ อย่าเป็นคนที่ยึดมั่นถือมั่น ต้องเป็นผู้ที่เสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละเราก็ตกอยู่ในสัญชาตญาณที่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจต้องเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละอย่างมากเราก็เป็นได้แต่เพียงสมาธิ เป็นได้แต่เพียงสมาบัติ มนุษย์เราถึงต้องให้ทาน ต้องเสียสละ ถึงจะก้าวไปได้
เราต้องรู้เราต้องเข้าใจนะ เราทุกคนต้องมาเป็นผู้ให้ มาเป็นผู้เสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละนั้นเราย่อมมีความทุกข์นะ เพราะความทุกข์นั้นอยู่ที่ไม่เสียสละ มนุษย์เราต้องเป็นผู้ให้เป็นผู้เสียสละถึงจะมีความดี ถึงจะมีปัญญา การเสียสละสิ่งของวัตถุต่าง ๆ การเสียสละด้วยการสมาทานศีลด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา การเสียสละทางกายวาจา ศีลนั้นเป็นเรื่องทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจที่เจตนา ศีลนั้นเน้นที่จิตที่ใจที่ตั้งใจตั้งเจตนา ผู้ที่รักษาศีลต้องรู้เข้าใจ กายวาจากิริยามารยาทเป็นเพียงอุปกรณ์ของใจนะ เป็นกรรมของใจ ใจของเราต้องตั้งใจตั้งเจตนา
เราต้องยกเลิก เราต้องเสียสละ เพราะศีลนี้เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับยกเลิกด้วยการอบรมบ่มอินทรีย์ เพื่อให้ความดีกับปัญญาก้าวไปพร้อม ๆ กัน เราต้องตั้งใจตั้งเจตนา ไม่จมอยู่ในกาม ไม่ตรึกอยู่ในกาม ไม่จมอยู่ในปฏิฆะพยาบาท ใจของเราต้องเสียสละด้วยอาศัยหลักการด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา ความตั้งใจตั้งเจตนานี้เป็นสิ่งที่สำคัญ เราต้องรู้เข้าใจ เห็นภัยในความผิด เห็นภัยในความไม่ถูกต้อง เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา
ความดับทุกข์นั้นจะมีอยู่ได้เมื่อเรามีสติมีสัมปชัญญะ เมื่อเรามีสติมีสัมปชัญญะเมื่อไหร่นั้น ความทุกข์นั้นย่อมไม่มี ความทุกข์ของเรามีได้ก็เพราะเราไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ เราทุกคนต้องรู้เข้าใจว่าเราทุกคนต้องเดินทางสายกลาง ต้องเอาวัตถุที่เป็นเหตุเป็นผลที่ได้มาจากการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เอาทั้งใจที่มีความตั้งใจตั้งเจตนา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เอาทั้งสองอย่างนี้ไปพร้อม ๆ กัน ให้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ด้วยเหตุผลนี้ ประชาธิปไตยเสียงส่วนมากก็ต้องปรับเข้าหาธรรมาธิปไตย สังคมนิยมชมชอบก็ต้องปรับเข้าหาธรรมาธิปไตย เราทั้งหลายจะได้เอาสติสัมปชัญญะที่เราตั้งใจตั้งเจตนานำชีวิต ชีวิตของเราจะไม่ได้เสียหาย จะไม่ได้พังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย ตึกไหน ๆ เค้าก็ไม่พัง ไม่เสียหาย ไปพังทลายตึกเดียวเฉพาะตึก สตง.
มนุษย์เราต้องรู้ต้องเข้าใจเพื่อดำเนินชีวิตที่ไม่มีความทุกข์ ที่มีแต่ความสงบและปัญญา หลักการของมนุษย์ต้องเอาทางสายกลางนำชีวิต ด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา มนุษย์เราทุกคนทุกชาติทุกศาสนา ต้องพากันรู้พากันเข้าใจเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย การปกครองตัวเองและปกครองคนอื่นถึงต้องเอาธรรมนูญนำชีวิต เอาความสงบและปัญญาดำเนินชีวิต ถ้ามนุษย์เอาตั้งแต่วิทยาศาสตร์นั้นมันก็จะไปไม่ได้ ก็ต้องเอาทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน มนุษย์เราจะเอาแต่ใจไม่เอาวิทยาศาสตร์ไม่ได้ สองอย่างนี้ต้องไปพร้อม ๆ กัน หลักการของมนุษย์ถึงมีการพัฒนาวัตถุพัฒนาจิตใจไปพร้อม ๆ กัน
วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำงานกับเป็นการปฏิบัติธรรมไปพร้อม ๆ กัน การทำงานกับการปฏิบัติธรรมต้องไปพร้อม ๆ กันจะแยกกันไม่ได้เพราะความสงบและปัญญาต้องไปพร้อม ๆ กันเพื่อเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอความพอดี จะได้ทั้งประโยชน์ทั้งทางเรื่องจิตเรื่องใจทั้งทางวัตถุไปพร้อม ๆ กันเป็นการทำที่สุดแห่งทุกข์ทางกายทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน
วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำงาน เน้นเรื่องจิตเรื่องใจ ในหลักศาสนาได้มีมาหลายร้อยหลายพันหลายหมื่นปีที่ผ่านมา ทุก ๆ คนก็ใช้หลักการเดียวกันนี้ ถึงได้มีระบบข้าราชการนักการเมืองและนักบวช ระบบข้าราชการนักการเมืองและนักบวชนี้ได้รับการสนับสนุนจากหลักการ จากภาษีอากรของมนุษย์ทุก ๆ คนที่เกิดมา ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ต้องเสียภาษีอากรเพื่อสนับสนุนในการบริหารข้าราชการนักการเมืองนักบวช จากรายได้จากการทำงาน การทำหน้าที่ ถึงได้มีระบบข้าราชการนักการเมืองนักบวช เพื่อข้าราชการนักการเมืองนักบวชจะได้ทำหน้าที่ เพราะธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เพื่อเข้าถึงความพอดี ความพอเพียงเพียงพอ เพื่อปฏิบัติต่อสมมติสัจจะทั้งหลายให้มีความสุข ความรู้ความเข้าใจนี้เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ ให้มนุษย์เราทั้งหลายรู้เข้าใจ เพื่อเราจะได้มีความสุขในหน้าที่ ในการประพฤติการปฏิบัติ
มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจ ทุกคนต้องมีความสุขในการเรียนการศึกษา มีความสุขในการทำงานในการทำหน้าที่ เรามีความสุขในการทำหน้าที่เราก็จะได้ทั้งทางวิทยาศาสตร์ทางวัตถุได้ทั้งทางจิตใจ เราจะได้สว่างไสวทั้งทางวัตถุและทางจิตใจไปพร้อมๆ กัน ด้วยเหตุผลนี้เราต้องรู้เข้าใจว่าความสุขนั้นอยู่ที่เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตานการทำหน้าที่ หน้าที่ทั้งทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจที่เจตนา มีความสุขในความดีที่ประกอบด้วยปัญญาด้วยปฏิปทาที่ติดต่อต่อเนื่องในปัจจุบัน
ความถูกต้องนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่ ไม่ได้เพิ่มไม่ได้ตัด เราทั้งหลายต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติต่อหน้าที่ เอาปัจจุบันเป็นวาระสำคัญของการประพฤติการปฏิบัติ กายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงอยู่ที่ใจถึงเป็นอริยมรรค รวมลงอยู่ที่ใจถึงเป็นอริยมรรค ถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม มันเป็นการยกเลิกตัวตน ยกเลิกความผิด ชีวิตของเราก็จะเป็นปัจจุบันธรรม เป็นธรรมเป็นธรรมนูญ
ธรรมชาตินั้นเป็นสากล ธรรมะนั้นเป็นสากลนะ ความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากนั้นเป็นสากล ความสุขทางกายก็เป็นสากล ความทุกข์กายก็เป็นสากล ความสุขใจก็เป็นสากล ความทุกข์ใจก็เป็นสากล ทุกคนต้องรู้เข้าใจ มันเหมือน ๆ กันทุก ๆ คน ไม่มีใครยกเว้นมันเป็นสากล เราต้องรู้ต้องเข้าใจ
ความรู้ความเข้าใจนั้นมันคือปัญญานะ คือปัญญาสัมมาทิฏฐิ ความรู้ความเข้าใจเป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราทั้งหลายจะได้รู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะพากันหยุดความทุกข์ที่ปัจจุบัน หยุดในปัจจุบัน เรียกว่าผัสสะ เมื่อมีผัสสะแล้วก็ย่อมมีเวทนา ให้เราหยุดลงตรงที่เวทนานี้แหละ เราจะหยุดเวทนาได้อย่างไร รู้เข้าใจแล้วก็ไม่ให้ความปรุงแต่งนั้นทำงาน
เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจ มันก็จะปรุงแต่งของมันไปเรื่อย
ให้เราทั้งหลายจบลงตรงที่เวทนานี้แหละ มันจะจบได้อย่างไร จบลงที่เรามีสติ มนุษย์เราถ้ามีสติ เอาสติกับปัญญาเอามาใช้เป็นความสงบและปัญญา มันจะเป็นความพอดีความพอเพียงเพียงพอ ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป ทุกอย่างมันเป็นวาระวาระไป วาระทางกายวาจากิริยามายาทอาชีพมารวมลงที่ใจ มันจะเกิดผัสสะ มันจะเกิดเวทนา รู้เข้าใจ เรามีสติมีสัมปชัญญะ เพราะกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมันเป็นวาระไป ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะนั้นมันจะเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา
มนุษย์เราต้องก้าวไปด้วยสติด้วยปัญญา เราต้องทำอย่างนี้ ถ้าเราทำติดต่อต่อเนื่องด้วยความรู้ความเข้าใจ กรรมหรือว่ากฎแห่งกรรม ผลของกรรมนั้นก็จะจบลงได้ในปัจจุบัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้เราเข้าใจเรื่องกรรม เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องผลของกรรมว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บไข้ไม่สบายเป็นธรรมดา เรามีความตายเป็นธรรมดา มีความพลัดพรากจากไปเป็นธรรมดา มีหนาวมีร้อนมีสุขมีทุกข์ตามผัสสะตามฤดูกาล เราต้องรู้ต้องเข้าใจ
เราทั้งหลายพากันมารู้มาเข้าใจในเรื่องการประพฤติการปฏิบัติ เพราะการประพฤติการปฏิบัตินั้นไม่มีใครประพฤติปฏิบัติแทนกันและกันได้ ต้องคิดเองพูดเองกิริยามารยาทเอง อาชีพเอง ด้วยความตั้งใจตั้งเจตนามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ในปัจจุบันเราต้องรู้เข้าใจว่าสิ่งทั้งหลาย มีตาก็มีรูป มีหูก็มีเสียง มีจมูกก็มีกลิ่น มีลิ้นก็มีรส มีกายก็มีสัมผัสความรู้สึกนึกคิดมันก็เป็นอย่างนี้แหละมันไม่เป็นอย่างอื่น เราทั้งหลายจะได้จบลงในปัจจุบัน เพราะปัจจุบันเป็นวาระ ๆ ไป ถ้าเรามีสติสัมชัญญะ ความดีและปัญญามันจะเป็นปฏิปทาเบื้องต้นท่ามกลางในที่สุด
เราทุกคนมีเวลาของตัวของเราเองที่จะได้สร้างบารมีด้วยอายุขัย อายุขัยของมนุษย์ปัจจุบันอยู่ได้ร่วม ๆร้อยปีหรือหนึ่งศตวรรษ พัฒนาสติสัมปชัญญะ ความดีและปัญญาก้าวไปอย่างน้อยก็ต้องได้ร้อยปี อย่างมากก็ต้องมากกว่านั้น
ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ต้องตั้งใจตั้งเจตนา ทุกวันนี้หมู่มวลมนุษย์มีความบกพร่อง มีความไม่รู้ไม่เข้าใจในอริยสัจสี่ตามความเป็นจริง มนุษย์เราต้องทำหน้าที่ เพราะธรรมะคือหน้าที่
มนุษย์เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติในหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ ในหน้าที่ที่เป็นข้าราชการนักการเมืองเป็นนักบวช เราทั้งหลายต้องพากันมีปิติมีความสุขมีความกระตือรือร้นในการประพฤติการปฏิบัติ ต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ไม่ให้ด่างไม่ให้พร้อย อย่าไปตั้งอยู่ในความหลงความเพลิดเพลินความประมาท การดำเนินชีวิตของเรามันจะเสียหาย มันจะพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน เรามีความสุขในการทำงานราชการ เรามีความสุขในการเป็นนักการเมือง มีความสุขในการที่เราประพฤติพรหมจรรย์ที่เราเป็นนักบวช
เราทุกคนให้รู้เข้าใจ เราไม่ได้เน้นที่ใคร เราเน้นที่ตัวเอง เน้นที่คิดดี ๆ ที่ยกเลิกตัวตน พูดดี ๆ ยกเลิกตัวตน กิริยามายาทดี ๆ ยกเลิกตัวตน อาชีพดี ๆ ยกเลิกตัวตน ให้รู้เข้าใจ ว่าตัวตนนี้มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น มีแต่ทุกข์ตั้งอยู่ มีแต่ทุกข์ดับไป ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่านอกจากทุกข์ไม่มีเลย เปรียบเสมือนทะเลมหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำ เปรียบเสมือนไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อของเพลิง มันจะบกพร่องไม่อิ่มไม่พอไม่เพียงพอ เป็นคนรวยก็ต้องมีความทุกข์เพราะไม่รู้จักพอ เป็นคนมีอำนาจก็มีความทุกข์เพราะไม่รู้จักพอ มันไม่อิ่มไม่เต็มไม่พอ ไม่เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ไม่เข้าถึงความพอเพียงเหมือนคติธรรมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ ๙ ที่ท่านตรัสเป็นคติธรรมเพื่อเตือนใจให้มนุษย์ทั้งหลายเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี
เราทั้งหลายต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา ให้เข้าใจว่าศีลสมาธิปัญญาที่ยกเลิกตัวตนเป็นอุปกรณ์ในการประพฤติการปฏิบัติ ที่เกิดจากความตั้งใจตั้งเจตนา เราทั้งหลายต้องรู้คุณรู้ประโยชน์ในการเจริญสติสัมปชัญญะ ในความตั้งใจตั้งเจตนาในการให้ทานรักษาศีลประพฤติปฏิบัติธรรม ทานจะให้เราเข้าถึงพระนิพพาน ศีลจะให้เราเข้าถึงพระนิพพาน สมาธินั้นจะให้เราเข้าถึงพระนิพพาน ข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ นั้นจะให้เราเข้าถึงพระนิพพาน ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะก็จะเข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบันนี้นะ ไม่ต้องรอชาติหน้า เหมือนที่เค้าพูดกันไว้ว่า การประพฤติการปฏิบัติเราจะได้มรรคผลนิพพานเบื้องหน้าโน้นเทอญ คำพูดอย่างนี้มันไกลเหลือเกิน มันไม่ใช่ธรรมไม่ใช่ปัจจุบันธรรม
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เรามีสติมีสัมปชัญญะ มีทานที่เป็นพระนิพพาน มีศีลมีสมาธิมีปัญญาเป็นพระนิพพานในปัจจุบันนี้ ไม่ใช่มนุษย์สมบัติสวรรค์สมบัตินิพพานสมบัติในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้น
เราต้องรู้เข้าใจ เราจะไปวิ่งตามความหลงอย่างนั้นไม่ได้ เราต้องเข้าถึงความดับทุกข์ตั้งแต่ปัจจุบัน เราจะไม่ได้มีความสงสัยว่าพรุ่งนี้เราจะเป็นอย่างไร เราจะไม่ได้สงสัยว่าตายแล้วเกิดหรือว่าตายแล้วสูญเพราะเรามีพระนิพพาน เราเป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐ เราต้องเข้าใจมีปัญญาสัมมาทิฏฐิอย่างนี้ เพราะปัญญาสัมมาทิฏฐินั้นมันไม่ใช่ความจำ มันเป็นคณิตคิดในใจ จะได้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่พระนิพพานอยู่เบื้องหน้าโน้นเทอญมันต้องอยู่ที่ปัจจุบัน
เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจ ทำเหมือนโอวาทของพระบรมศาสดาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าปัจจุบันเป็นวาระสำคัญ เธอทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจอย่าพากันตั้งอยู่ในความประมาท ท่านถึงตรัสปัจฉิมโอวาทครั้งสุดท้ายไว้ว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร
ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรมมาประพฤติมาปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง
ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น
------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันจันทร์ที่ ๑๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา