๑๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
พสกนิกรชาวไทยและชาวต่างประเทศได้มาร่วมรวมกันประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความโทมนัสและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน พระองค์ทรงเป็นดั่งแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและพระปรีชาสามารถ ทรงอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระราชหฤทัยในการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อธำรงไว้ซึ่งความผาสุกและความมั่นคงแห่งชาติไทย เราประชาชนชาวไทยต้องร่วมใจสมัครสมานสามัคคีทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่ออุทิศบุญกุศลน้อมเกล้าถวาย เพื่อเสด็จสู่สวรรคาลัย เข้าสู่สวรรค์มรรคผลพระนิพพาน
วันนี้เป็นวันอังคารที่ ๑๘ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
เราทุกคนต้องพากันมีสติมีสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะเป็นธรรมะที่มีคุณมีประโยชน์มาก สติคือความสงบ เราทุกคนต้องมีความสงบ สัมปชัญญะคือตัวปัญญา เราทุกคนต้องมีปัญญา เพื่อจะได้เอาความสงบและปัญญาเอามาใช้เอามาปฏิบัติในปัจจุบัน ปัจจุบันนี้เป็นวาระสำคัญ อดีตก็ได้มารวมกันที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบัน
ชีวิตของเราเป็นชีวิตที่ประเสริฐ ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เป็นอริยมรรคในการดำเนินชีวิตที่เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ที่เป็นปฏิปทาที่จะต้องก้าวไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา เราพากันตั้งใจตั้งเจตนา กายวาจากิริยามารยาทอาชีพนี้เป็นอุปกรณ์ของใจ เราทั้งหลายถึงต้องตั้งใจตั้งเจตนา เราทุกคนต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเข้าถึงธรรมถึงปัจจุบันธรรม ยกเลิกความไม่ถูกต้องทั้งหมด ก้าวไปด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ
ชีวิตของเราก้าวไปด้วยบุญด้วยกุศล บุญคือความดี เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติสมควร ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ประกอบด้วยปัญญา ปัญญาแปลว่ากุศล คือความเข้าใจ คือความฉลาด บุญกับกุศลต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทางใจกับทางวิทยาศาสตร์ต้องเดินควบคู่กันไประหว่างใจกับวัตถุ เน้นการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน รู้เรื่องทางวัตถุ รู้เรื่องทางใจไปพร้อม ๆ กัน
รู้เรื่องอย่างไรล่ะ..?
รู้เรื่องว่าวัตถุก็อย่างหนึ่ง ใจก็อย่างหนึ่ง รู้ว่าสองอย่างนี้มันคนละอย่าง วัตถุนั้นคือความเกิดแก่เจ็บตายพลัดพราก รู้เรื่องใจนั้นว่า ใจนั้นเป็นประภัสสร คือความว่างเปล่า ใจของเรานั้นจะไม่มีความเกิดความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก ใจของเราคือความว่างเปล่าจากความเกิดแก่เจ็บตายพลัดพราก สิ่งที่สัญจรไปมาที่เกิดแก่เจ็บตายพลัดพรากนั้นเป็นเรื่องของกายของวัตถุ
ใจรู้อย่างนี้ ใจเข้าใจอย่างนี้ ใจก็จะเกิดปัญญาสัมมาทิฏฐิ ที่ว่าใจรู้ ใจเข้าใจ ใจมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ใจของเราต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิอยู่ที่ปัจจุบัน ใจของเราถึงมีสัมปชัญญะ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่มีผัสสะ ที่มาเกี่ยวข้อง ความรู้ความเข้าใจอย่างนี้จะได้หยุดลงที่ปัจจุบัน จะหยุดลงที่ผัสสะ จะไม่ได้เกิดเวทนา ความปรุงแต่ง
ให้เรารู้ให้เข้าใจ เมื่อเรามีตาก็ย่อมมีรูป เมื่อเรามีหูก็ย่อมมีเสียง เมื่อเรามีจมูกก็ต้องมีกลิ่น เมื่อเรามีลิ้นก็ต้องมีรส เมื่อเรามีกายก็ต้องมีสัมผัส เมื่อเรามีใจก็ย่อมมีความรู้สึกนึกคิด ต้องรู้เข้าใจ เพื่อจะให้ความรู้ความเข้าใจนี้จบลงในปัจจุบัน จบลงที่ผัสสะ ด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ เพื่อจะไม่ให้เกิดความปรุงแต่ง
ด้วยเหตุผลนี้ เราทุกคนถึงต้องมีสติมีสัมปชัญญะ เพื่อรู้หลักการในการประพฤติในการปฏิบัติ เราทุกคนต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง อย่าพากันเพลิดเพลิน อย่าพากันประมาท ให้ทำหน้าที่ของตัวเราให้สมบูรณ์ ด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา
ให้มีความสุขมีปิติมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ชีวิตของเราต้องก้าวไปด้วยปิติด้วยความสุขด้วยเอกัคคตาเพื่อปัญญาสัมมาทิฏฐิ ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ให้ถือว่าการปฏิบัติคือหน้าที่ หน้าที่คือการปฏิบัติ เพื่อเราจะได้สมบูรณ์ทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ มารวมลงที่ใจของเราทุกคน มารวมลงที่เจตนาทุกคน
ทุกคนต้องมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม มีสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ ผู้มีปัญญามาก ๆ ก็ต้องมีความสงบมาก ๆ ผู้มีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ ที่จะได้เป็นความดีเป็นบารมีเป็นธรรมเป็นคุณธรรม พากันประพฤติพากันปฏิบัติในปัจจุบัน เพราะการประพฤติการปฏิบัติธรรมะนั้นไม่มีใครประพฤติไม่มีมาปฏิบัติให้เราได้ เรื่องความคิดคพูดการกระทำกิริยามารยาทอาชีพเราต้องปฏิบัติของเราเอง ด้วยปิติด้วยความสุขด้วยเอกัคคตา
อานาปานสติเป็นหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ หลักการหายใจเข้าก็ให้สบาย หายใจออกให้สบาย หายใจเข้าก็ให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจออกก็ให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจสั้นหายใจยาวก็ให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้าหายใจออกก็ให้รู้ว่ามันไม่แน่ไม่เที่ยง มันเข้าไปแล้วก็ออกมา เพียงสัญจรไปมา เอาออกซิเจนไปเลี้ยงสุขภาพร่างกาย เอาของเสียออกไป เอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป ทุกอย่างนั้นไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน เป็นแต่เพียงเหตุเพียงปัจจัย อานาปานสติถึงใช้ได้ในอิริยาบถหลักทุกอิริยาบถ อิริยาบถยืนเดินนั่งนอนต้องเอามาใช้เอามาปฏิบัติ ไม่ใช่เอาไปใช้เฉพาะตอนนั่งสมาธิ ต้องเอาไปใช้ทุกอิริยาบถ
เราทั้งหลายต้องรู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ การปฏิบัติธรรมนั้นเป็นอริยมรรคในปัจจุบัน เป็นอริยมรรคทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ เราอยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติอยู่ที่นั่น เพราะการปฏิบัตินั้นเป็นขบวนการของกายวาจากิริยามารยาทอาชีพที่มารวมลงอยู่ที่ใจที่เจตนาที่ปัจจุบันนั้น การประพฤติการปฏิบัติถึงไม่เลือกกาลไม่เลือกเวลาไม่เลือกสถานที่ เราอยู่ที่ไหนทำอะไรนั่นแหละคือการประพฤติการปฏิบัติธรรม เพื่อให้เราทั้งหลายได้พัฒนาทั้งวัตถุพัฒนาทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน เพราะสองอย่างนี้ต้องไปพร้อม ๆ กัน วัตถุกับใจต้องไปพร้อม ๆ กัน ความรู้ต้องคู่กับการประพฤติการปฏิบัติเป็นหนึ่งเดียวกันเลย จะแยกกันไม่ได้
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตรัสว่า สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ นั้นอยู่ที่เรารู้เข้าใจ แล้วประพฤติปฏิบัติในปัจจุบัน ไม่เลือกกาลไม่เลือกเวลา ไม่เลือกชาติศาสนา ให้ทุกคนรู้ว่าธรรมะมันเป็นสากล ความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากนี้เป็นสากล ทุก ๆ คนก็เหมือนกัน ทุกข์ทางกายทุกข์ทางใจก็เหมือนกัน ด้วยเหตุผลนี้ ทุก ๆ คนก็ต้องใช้หลักการเดียวกันนี้แหละ คือความรู้ความเข้าใจที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิพร้อมทั้งการประพฤติการปฏิบัติ ทุกคนก็ต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติให้เกิดความสงบ เกิดปัญญา เป็นปฏิปทาของเราทุก ๆ คน
ระบบความเป็นมนุษย์ ระบบการเป็นข้าราชการนักการเมืองนักบวช ที่เป็นหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ ที่เป็นโครงสร้างในการดำเนินชีวิตที่เป็นทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุ เรามีตาถึงต้องมีปัญญา มีหูมีจมูกมีลิ้นมีกายมีใจเราต้องมีปัญญา มีปัญญามาก ๆ อย่างนี้เราถึงต้องมีความสงบมาก ๆ มีความสงบมาก ๆ อย่างนี้เราถึงต้องเสียสละมาก ๆ
สมมติสัจจะทั้งหลาย มนุษย์เราที่มีสมมติสัจจะอยู่หลายล้านสมมติ สมมติผิดถูกดีชั่ว เราต้องเอาสมมตินั้นมาใช้มาปฏิบัติ อย่าเป็นคนนิสัยหยาบ เห็นสมมติสัจจะนั้นไม่สำคัญ สมมติสัจจะนั้นจะทำให้เรามีสติมีสัมปชัญญะนะ สมมติสัจจะนั้นเป็นความรู้ที่เราต้องให้เกิดความสงบ เมื่อเรามีความรู้ ไม่เอาความรู้นั้นมาประพฤติมาปฏิบัติความสงบมันจะเกิดได้อย่างไร ความรู้ต้องคู่กับความสงบ ผู้มีปัญญามาก ๆ ก็ต้องมีความสงบมาก ๆ เพื่อให้สมาธิกับปัญญามันเสมอกัน สมาธิกับปัญญาต้องเสมอกัน ต้องให้บาลานซ์กัน
เราทั้งหลายถึงเอาใจใส่ต่อสมมติสัจจะ อย่าเป็นคนมีทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน อย่าเป็นนิสัยหยาบ อย่าไปคนหยาบ ฟุ้งซ่านมากเกิน มีปัญญามากก็ต้องมีความสงบมาก ๆ อย่าฟุ้งซ่านมากเกิน เราต้องไม่ตามความอยากความเร่าร้อน ตามความร้อนรน เราต้องเอาปัจจุบันด้วยให้ตัวเองมีสติมีสัมปชัญญะ ต้องรู้ต้องเข้าใจ ต้องเห็นภัยในความร้อนรน เราต้องรู้เข้าใจว่านี้คือหลักการของการประพฤติการปฏิบัติของเรา ต้องเป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป หิริคือความละอายแก่ใจ โอตตัปปะคือความเกรงกลัวต่อบาป นี้จะเป็นเบรกเป็นเซฟตี้
ให้รู้เข้าใจ เราทุกคนต้องเห็นภัยในความไม่ถูกต้อง ต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราทุกคนถึงต้องมีสติมีสัมปชัญญะ ให้เห็นคุณเห็นประโยชน์ในการหยุดตัวเอง เอาตัวเองในปัจจุบัน
อย่าไปคิดว่า เออ...ขอสักหน่อยถึงค่อยเป็นค่อยไป ความคิดอย่างนี้มันเป็นสีลัพพัตรปรามาส มันลูบคลำในศีลในข้อวัตรข้อปฏิบัติ ความคิดอย่างนี้มันเป๊นสีลัพพัตปรามาส มันไม่อิ่มไม่เต็ม
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าความคิดอย่างนี้ไม่ได้นะ ความคิดอย่างนี้มันไม่อิ่มไม่เต็ม เปรียบเสมือนทะเลมหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำ เปรียบเสมือนไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อมันบกพร่องอยู่เป็นนิจ
เราต้องรู้เข้าใจ ต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ต้องเอาปัจจุบันนี้แหละ ต้องหยุดตัวเองด้วยรู้เข้าใจ ด้วยเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ถ้าเราเจริญสติสัมปชัญญะมันก็ยังไม่หยุดก็ให้หยุดลมหายใจไว้เสียเลย กลั้นลมหายใจไว้เสียเลย ใจมันจะขาดเพราะขาดอากาศหายใจเดี๋ยวใจมันก็จะสงบเอง ทำอย่างนี้หลาย ๆ ครั้งทุกคนก็จะสงบได้
ปัจจุบันเราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจ เราก็ไม่รู้การประพฤติการปฏิบัติ เราก็จะไหลไปตามผัสสะ ไหลไปตามสิ่งแวดล้อม มันเสียกาลเสียเวลาในการประพฤติการปฏิบัติ ให้เอาปัจจุบันนี้แหละเป็นการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าปัจจุบันเราไม่ปฏิบัติอย่างนี้ก็คือไม่มีการประพฤติการปฏิบัตินะ มันจะเสียหายนะ เดี๋ยวมันจะพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึกสตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย ตึกไหน ๆ เค้าก็ไม่พัง พังเฉพาะตึก สตง. ทั้ง ๆ ที่ตึกอื่นเค้าใหญ่เค้าสูงกว่าก็มี เค้าก็ไม่พัง
ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราพากันรู้จักเข้าใจสิ่งที่มาผัสสะ แล้วให้จบลงในปัจจุบันด้วยความรู้ความเข้าใจ ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความเกียจคร้านที่มันเป็นสัญชาตญาณที่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน ถึงไม่ใช่พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะตัวตนของเราทุกคนมันเป็นความเกียจคร้านนะ เราทุกคนต้องผ่านด่านขี้เกียจขี้คร้าน ต้องโฟกัสในปัจจุบัน เอาสมมติสัจจะมาใช้มาปฏิบัติให้มีความสุข เราต้องผ่านด่านขี้เกียจขี้คร้าน ผ่านด่านรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ มันเป็นด่านที่เราทุกคนต้องผ่าน นิวรณ์ทั้ง ๕ อคติทั้ง ๔ เราทุกคนต้องรู้ต้องเข้าใจ ทุกคนต้องผ่าน ผ่านด่านนี้ให้ได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ พร้อมทั้งการประพฤติการปฏิบัติ ธรรมะถึงเป็นการปฏิบัติและภาคบำบัด ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราก็ไม่รู้การประพฤติการปฏิบัติ นิวรณ์ทั้ง ๕
นิวรณ์ทั้ง ๕ ก็ได้แก่
๑. การตรึกในกามฉันทะ หมกมุ่นในกาม พอใจยินดีลุ่มหลงในกาม กามนี้หมายถึงตัวถึงตน มีความลุ่มหลงในธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ กามนี้มันเป็นขั้วบวกขั้วลบเหมือนกระแสไฟฟ้า กระแสไฟฟ้านี้มันมีขั้วบวกขั้วลบ หมกมุ่นในเรื่องขั้วบวกขั้วลบ มันเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม อย่างเช่นเพศอย่างนี้ เพศหญิงเพศชายนี้เป็นขั้วบวกขั้วลบอยากได้อยากมีอยากเป็นอยากเด่นอยากดัง ยินดีในความหลงในยศในตำแหน่ง ที่เป็นทางวิทยาศาสตร์เป็นทางวัตถุ ไม่เอาวัตถุกับเราจิตใจไปพร้อม ๆ กัน เอาแต่ทางวิทยาศาสตร์ เอาแต่ตัวเอาแต่ตนเรียกว่าหมกมุ่นอยู่ในกาม
๒. หมกมุ่นในพยาบาท มันเป็นขั้วบวกขั้วลบ เมื่อมันมีกามมันก็มีพยาบาท มันไปเอาความสุขจากความหลง เพราะความหลงมันคือความปรุงแต่งความหลงมันคือความไม่สงบ มันเป็นปฏิฆะ มันเป็นสงคราม สงครามที่มันอยากให้ได้ตามใจตามปรารถนา เมื่อมันไม่ได้ตามใจตามปรารถนามันก็เกิดปฏิฆะ เกิดพยาบาท มันเป็นสงครามน่ะ สงครามระหว่างคนสองคน หรือว่าหลายคน หรือระหว่างประเทศ หรือสงครามโลก ตัวตนนี้มันเป็นสงคราม สงครามมันเป็นสีดำ ตัวตนคือความมืด ตัวตนปรียบเสมือนคนตาบอด มีแต่ตาเนื้อตาหนังไม่มีตาปัญญา ตัวตนมันไปเอาความสุขจากคนอื่น มันไปเอาความสุขจากการทำปาณาติบาต ไปเอาของคนอื่น ตัวตนนี้แหละมันสร้างเครื่องประหัตประหาร สร้างธนู สร้างปืน สร้างระเบิด สร้างเครื่องบินรบ ตัวตนนี้แหละที่ประเทศไทยเอาเครื่องบิน F16 ไปบอมประเทศกัมพูชา ไปบอมประเทศเขมร เป็นความเย่อหยิ่งจองหองคิดว่าตัวเองเก่งกว่าเค้ามีเพาเวอร์มากกว่าเค้า ประเทศเขมรจนกว่าเราประเทศเล็กกว่าเรา อาวุธก็สู้เราไม่ได้ ตัวตนนี้ทำให้เย่อหยิ่งจองหองเป็นตัวเป็นตนมันเป็นการชูงวง ไม่ใช่ความสงบและปัญญา ไม่ใช่ปัญญาและความสงบ เวลาอเมริกาน่ะ ประเทศไทยไม่กล้า หงอเลย กลัวสหรัฐอเมริกายิ่งกว่าหมาตอนเสียอีก เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจ เรื่องความสงบเรื่องปัญญา จะได้หยุดปฏิฆะ หยุดพยาบาท ความสงบและปัญญานี้ ความเมตตาเป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันพยาบาท ป้องกันปฏิฆะ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ จะไปโกรธทำไม ไปปฏิฆะทำไม ไปพยาบาททำไม ความโกรธความปฏิฆะเราทั้งหลายผู้มาบวชเราต้องพากันยกเลิกนะ
๓. ถีนมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอน เรามีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เราต้องรู้ต้องเข้าใจอย่าให้ถีนมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอนมาครอบงำใจทั้ง ธาตุทั้ง ๔ ก็ให้เป็นธาตทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ ก็ให้เป็นขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ก็ให้เป็นอายตนะทั้ง ๖ อย่าให้ครอบงำใจของเรา ใจของเราต้องสว่างไสว ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ก็ให้เป็นเรื่องของเขา เราต้องรู้เข้าใจ พระโมคคัลลานะ อัครสาวกฝ่ายซ้ายผู้เลิศทางอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์เป็นผู้ที่เจริญสมถะมาก เจริญสมาธิมาก มีความง่วงเหงาหาวนอน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ให้อุบายแก่พระโมคคัลลา ว่าเราต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยการประพฤติการปฏิบัติ เพราะมันมีปัญญาเราก็ต้องแก้ปัญหา เราอย่าให้ความง่วงเหงาหาวนอนมาครอบงำเรา ด้วยการสาธยายสรีระร่างกาย เช่น ร่างกายของเรามีอาการ ๓๒ เราก็ ๑ จนถึง ๓๒ มีอะไรบ้าง แยกออกเป็นชิ้นเป็นส่วน ออกจากกันให้หมด แล้วประกอบกันอย่างนี้ ดีกว่าไปง่วงเหงาหาวนอน อย่างปัจจุบันนี้เราพากันฝึกท่องปาฏิโมกข์ สวดปาฏิโมกข์ หรือเรียนบทสวดอะไรต่าง ๆ เราก็เอาบทท่องปาฏิโมกข์มาสวดในใจ เอาบทสวดมนต์มาท่องในใจก็ได้ดีกว่าไปง่วงเหงาหาวนอน ถ้าทำอะไรอยู่มันก็ยังง่วงอยู่ก็ให้หยุดลมหายใจมันเสียเลย กลั้นลมหายใจไว้ ใจจะขาด ทำอย่างนี้แหละไม่เกิน ๓๐ นาทีมันก็หายง่วง เช่น คนขับรถยนต์ที่เดินทางไกลจากทางเหนือไปใต้ จากทางใต้ไปเหนือ ถ้ามันง่วงมากก็หยุดลมหายใจกลั้นลมหายใจทำอย่างนี้ไม่กี่ครั้งมันก็หายง่วง เราต้องมีสติไวสติเร็ว อย่าให้ความปรุงแต่งมันมาครอบงำเรา เอาอานาปานสติให้มีปิติในการเจริญอานาปานสติหายใจเข้าให้มีความสุขหายใจออกให้มีความสุข หายใจเข้าให้สบายให้มีปิติมีความสว่างไสวให้แยกจากธาตุจากขันธ์จากอายตนะ การทำสมาธิ สมาธิขั้นละเอียดนี้เค้าจะหยุดเรื่องความปรุงแต่ง เรื่องอายตนะภายนอก มันจะหยุดใช้ระบบสมอง ระบบปัญญาอย่างนี้ จิตใจก็จะเข้าสู่เอกัคคตา เข้าสู่ความเป็นหนึ่ง เข้าอัปปณาฌาน อย่างนี้ก็จะหายง่วงได้ให้เข้าใจนะ เราเอาตัวตนเอาความปรุงแต่งนำชีวิตมันก็ต้องโงกง่วงเป็นธรรมดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าถ้ายังง่วงอยู่อย่างนี้ก็ให้ออกไปเดินจงกรม เดินทำใจให้สว่างไสว เดินกลับไปกลับมา เพื่อให้ร่างกายมันตื่นตัว เพื่อกายมันจะได้ทำงาน หรือเอาร่างกายไปทำการทำงานอะไรให้มีความสุขในการทำงาน ถ้าเราทำอะไรมีความสุขมันจะไม่มีความง่วงน่ะ อย่างพวกที่เล่นการพนัน พวกที่เล่นไพ่กัน ใจมันมีความสุขในการเล่นไพ่ ๓ วัน ๓ คืน พวกนี้ก็ไม่ง่วง เพราะเค้ามีความสุข แต่ความสุขอันนั้นมันเป็นความสุขไม่ถูกต้อง เป็นความสุขที่เป็นความหลง เพราะการพนันเป็นความเสื่อม การพนันมันเป็นความไม่ถูกต้อง เป็นอบายมุขอบายภูมิ เป็นความเสื่อม
๔. อุทธัจจะกุกกุจจะ คือความฟุ้งซ่านรำคาญ เราต้องเข้าใจทุกอย่างมันไม่มีสิ่งใดที่ได้ตามใจตามปรารถนาถึงร้อยเปอร์เซ็นต์การที่ไม่ได้ตามใจนี้แหละ เป็นเหตุเป็นปัจจัยที่เราจะได้มีโอกาสได้ประพฤติได้ปฏิบัติธรรม เราต้องขอบใจธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ได้เปิดโอกาสให้เราได้ประพฤติได้ปฏิบัติธรรมให้ถือคติธรรมอย่างนี้ ถ้าไม่มีอุทธัจจะกุกกุจจะ เราก็จะไม่มีข้อวัตรข้อปฏิบัติ เมื่อมันมีปัญหาเราก็ได้แก้ปัญหา ให้เรารู้เข้าใจเรื่องอุทธัจจะกุกกุจจะ เราอย่าไปรำคาญ เราอย่าไปฟุ้งซ่านรำคาญ นี้ให้รู้เข้าใจว่าอันนี้มันเป็นตัวเป็นตนมันเป็นความปรุงแต่งของเราเอง เราอยากให้มันช้าก็ว่ามันเร็ว อยากให้มันเร็วก็ว่าอันนี้มันช้า มันเป็นเรื่องความปรุงแต่งเรื่องตัวเรื่องตนทั้งนั้นให้เรารู้เข้าใจ พระสกิทาคา พระอนาคามีรู้เข้าใจแล้วประพฤติในเรื่องอุทธัจจะกุกกุจจะ ท่านรู้เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้แหละดี จะได้ประพฤติจะได้ปฏิบัติ ถ้าไม่มีอุทธัจจะกุกกุจจะก็ไม่มีข้อวัตรปฏิบัติ ให้เข้าใจอย่างนี้ เราอย่าไปรำคาญ รำคาญเหมือนกับเห็นเค้ามีปัญญาน้อยกว่าเรา เราก็รำคาญ เหมือนเอาตัวแมลงหวี่แมลงวันที่มาเกาะเรามาตอมเราเราก็รำคาญ เหมือนมดมาไต่ตัวเรา เหมือนยุงมากัดกินเลือดเรา เราก็รำคาญ เหมือนเราไปมองเห็นที่เค้าเข้าโรงพยาบาลเค้าให้สายทางจมูกสายอะไรพะรุงพะรัง ตัวผู้ที่ถูกใส่สายออกซิเจนที่เค้าให้ออกซิเจนทางปากทางจมูกเรามองเห็นก็รำคาญ อันนี้มันเป็นความรู้สึกที่เป็นตัวเป็นตนนะ ถ้าเรารู้เราเข้าใจแล้วเราก็จะไม่รำคาญในการมองเห็น หรือว่าเค้าเอาออกซิเจนมาใส่ปากใส่จมูกเรา เราให้รู้เข้าใจนะ เราอย่าไปรำคาญ รำคาญคือตัวตนคือความปรุงแต่งให้รู้เข้าใจ เรามีความปรุงแต่งเมื่อไหร่เราก็ต้องรำคาญ เพราะความรำคาญคือความปรุงแต่งให้เรารู้เข้าใจ อันนี้ก็เป็นนิวรณ์ข้อหนึ่งนะ มีแง่มุมให้เราได้รู้ได้ประพฤติได้ปฏิบัติ ต้องขอบใจสิ่งต่าง ๆ ที่ให้เราได้ประพฤติปฏิบัติให้เข้าใจอย่างนั้น
๕. นิวรณ์ข้อที่ ๕ วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย ลังเลสงสัยเรื่องตายแล้วได้เกิดอีกมั๊ย หรือว่าตายไปแล้วสูญไป ลังเลสงสัยในเรื่องพระพุทธ ลังเลในพระธรรมคำสั่งสอนว่าจะดับทุกข์ได้แก้ปัญหาได้ ก็มองเห็นอยู่คนเค้าไม่เอาธรรมะเค้าโกงกินคอร์รัปชั่นก็มีแต่พากันรวยทั้งนั้น ส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นใครจนมีแต่รวยน่ะ มีความลังเลสงสัยในนักบวชทั้งหลาย นักบวชทั้งหลายนี้ไม่เป็นที่ไว้วางใจของมหาชนเลย ได้รับการแต่งตั้งถูกต้องตามกฎหมายจารีตประเพณีแล้วปฏิบัติตรงกันข้ามกับที่ได้รับการแต่งตั้ง แต่งตั้งแล้วไม่ได้ปฏิบัติงานไม่ได้ทำหน้าที่เลยมีความสงสัยในพระสงฆ์ที่มาบวช พากันมีเรื่องมีราวมีปัญหาแทบทุกวันเลย พากันปฏิบัติตรงกันข้าม พากันมาเป็นสมีกันเป็นส่วนใหญ่ คำว่าสมีนี้หมายถึงตัวตนนะ ตัวตนนั้นคือสมี สมีกับสามีก็อันเดียวกันแหละ ถ้าเรามีตัวมีตนเอาตัวตนนำชีวิตถือว่าจัดว่าเป็นสมีนะ มารับเงินรับสตางค์ มาเก็บสังฆทาน มาหลงในยศในตำแหน่งของนักบวช มาหลงในยศในตำแหน่งที่พระราชาแต่งตั้งประทานยศต่าง ๆ ให้ ประชาชนเค้าไม่แน่ใจเค้าลังเลสงสัยในพระสงฆ์ มีความลังเลสงสัยว่าทำดีได้ดีจริงมั๊ย เพราะว่าคนทำชั่วโกงกินคอร์รัปชั่น ไม่เห็นเขาได้รับบาปรับกรรมรับเวรรับภัยเลย มีแต่รวย ๆ ทั้งนั้นเลย
อคติทั้ง ๔
อคติ ๔ คือหลักธรรมทางพุทธศาสนาที่กล่าวถึง ความลำเอียง หรือ ความไม่เที่ยงธรรม ๔ ประการ ซึ่งเป็นบ่อเกิดของการตัดสินใจหรือการกระทำที่ผิดพลาด ไม่เป็นกลาง และไม่ยุติธรรม ซึ่งนำไปสู่ผลเสียทั้งต่อตนเองและผู้อื่น
อคติ ๔ ประกอบด้วย
ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรัก การให้ประโยชน์หรือมองข้ามข้อบกพร่องเพราะความรักใคร่ ความชอบพอ ทำให้เกิดความลำเอียง ไม่เป็นกลาง ไม่เป็นธรรม ไม่เป็นปัจจุบันธรรม จะเป็นตัวเป็นตน เป็นภพเป็นชาติ เกิดแก่เจ็บตายพลัดพราก
โทสาคติ มีความลำเอียงเพราะความเกลียดชัง การพยายามสร้างความเสียหายให้เกิดความเสียหาย เพื่อทำลายคนอื่นสัตว์อื่น หรือมองไม่เห็นความดีเพราะโทสาคติ ที่มีความโกรธเป็นพื้นฐาน ความไม่พอใจ ความชิงชัง ไม่มีความกรุณาเมตตา ไม่มีความเป็นธรรมความยุติธรรม
โมหาคติ ลำเอียงเพราะความหลง ความไม่รู้ไม่เข้าใจนี้เป็นความหลง ความรู้ความเข้าใจปัญญาสัมมาทิฏฐินี้เป็นเรื่องสำคัญ มนุษย์เราปัญญาสัมมาทิฏฐิเป็นเรื่องที่สำคัญ เพื่อจะไม่ได้เอาความหลงนำชีวิต ไม่ได้เอาความผิดนำชีวิต
การตัดสินใจจะทำอะไรก็ต้องทำให้ถูกต้อง เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด การเรียนการศึกษาของมนุษย์ทั้งหมด ๑๘ ศาสตร์นั้นเพื่อให้มนุษย์รู้เข้าใจ จะได้เกิดปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพื่อพัฒนาทางวัตถุด้วยการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ พร้อมทั้งพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้เกิดปัญญาสัมมาทิฏฐิ ปัญญาสัมมาทิฏฐิของมนุษย์ถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ความรู้นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อจะไม่ได้ทำอะไรผิดพลาด ความไม่เข้าใจนั้นจึงจัดเป็นโมหาคติ มนุษย์เราถึงต้องเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ เพื่อเอาความสงบและปัญญาควบคู่กันไป จะได้มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ จะไม่ได้เอาความหลงนำชีวิต จะไม่ได้เอาความผิดนำชีวิต
ภยาคติ ลำเอียงเพราะความกลัว การที่ทำอะไรที่สาเหตุมาจากความกลัวนั้นคือความไม่ถูกต้อง ให้เราทุกคนรู้เข้าใจว่าเราต้องข้ามสัญชาตญาณไป ด้วยความรู้ความเข้าใจ ให้เรารู้เข้าใจว่าตัวตนนั้นมันทำให้กลัว สัญชาตญาณที่มันเป็นตัวเป็นตน ที่มันมีความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นเราเป็นคนอื่น มันเป็นสัญชาตญาณ มันเป็นนิติบุคคล มันเป็นตัวเป็นตน มันมีความกลัว เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราจะไปเอาธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ นี้มาเป็นเราไม่ได้ เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องผ่านสัญชาตญาณนี้ไปคือความกลัวนะ ความกลัวนี้เป็นสัญชาตญาณ นี้มันคือตัวคือตนนะ มันเป็นความปรุงแต่งจิตใจของเราไม่ให้เกิดความกล้าหาญ เราจะหยุดความกลัวได้ด้วยการเจริญสติสัมปชัญญะ ถ้าเราทุกคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ทุกคนนั้นจะไม่มีความกลัว สติสัมปชัญญะนี้ถึงเป็นธรรมะที่มีคุณมีอุปการคุณมาก
ความกลัวนั้นคือความไม่ถูกต้อง เราทุกคนต้องพากันเจริญสติสัมปชัญญะให้มาก จนกว่าสติสัมปชัญญะนั้นจะสมบูรณ์บริบูรณ์ เพื่อความสงบและปัญญาจะได้เป็นหนึ่ง ความกลัวก็จะหายไปเอง
เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ผ่านด่านนิวรณ์ทั้ง ๕ ผ่านด่านอคติทั้ง ๔ ด้วยการปฏิบัติอริยมรรคมีองค์แปดให้สมบูรณ์ เราทั้งหลายให้รู้คุณรู้ประโยชน์ในการประพฤติการปฏิบัติ
เรามาระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์หาโทษมิได้เลย
เรามาระลึกถึงปัจฉิมโอวาทของพระบรมศาสดาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้งสุดท้ายที่ท่านตรัสไว้ว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร
ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรมมาประพฤติมาปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง
ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น
--------------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันอังคารที่ ๑๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา