๑๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
พสกนิกรชาวไทยและชาวต่างประเทศได้มาร่วมรวมกันประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความโทมนัสและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน พระองค์ทรงเป็นดั่งแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและพระปรีชาสามารถ ทรงอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระราชหฤทัยในการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อธำรงไว้ซึ่งความผาสุกและความมั่นคงแห่งชาติไทย เราประชาชนชาวไทยต้องร่วมใจสมัครสมานสามัคคีทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่ออุทิศบุญกุศลน้อมเกล้าถวาย เพื่อเสด็จสู่สวรรคาลัย เข้าสู่สวรรค์มรรคผลพระนิพพาน
วันนี้เป็นวันพุธที่ ๑๙ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ให้ทุกท่านทุกคนมีสติมีสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อม เพื่อให้เกิดความสงบ เราทุกคนต้องพากันมาเจริญสติ เจริญสัมปชัญญะ มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้าก็ให้สบาย หายใจออกก็ให้สบาย หายใจเข้าก็ให้เรามีความสุข หายใจออกก็ให้เรามีความสุข ความดับทุกข์ของหมู่มวลมนุษย์อยู่ที่เรามีปัญญาสัมมาทิฏฐิ อยู่ที่เรารู้เราเข้าใจ เมื่อรู้เมื่อเข้าใจ สิ่งภายนอกก็ให้มันเป็นสิ่งภายนอกไป สิ่งภายในก็ให้เป็นสิ่งภายในไป ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยการมีสติมีสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะนี้ถึงเป็นธรรมะที่มีคุณมีประโยชน์ เป็นสิ่งที่มีอุปการคุณมาก
ในชีวิตประจำวันเราทุกคนต้องเจริญสติเป็นพื้นฐาน เจริญสัมปชัญญะเป็นพื้นฐาน สติคือความสงบ สัมปชัญญะคือตัวปัญญา ความสงบและปัญญาของเราทุกคนต้องอยู่ที่ปัจจุบัน ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เรามามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการทำหน้าที่ เพื่อความดี เพื่อบารมีของเราจะได้ติดต่อต่อเนื่อง เรารู้เข้าใจในการประพฤติในการปฏิบัติ อย่าขี้เกียจ อย่าขี้คร้าน อย่าประมาท เราทุกคนต้องตั้งใจตั้งเจตนา
เราพานอนพากันพักผ่อน มนุษย์เราต้องนอนพักผ่อนให้พอ ให้เพียงพอ วันหนึ่งคืนหนึ่งมันมี ๒๔ ชั่วโมง เราก็พากันนอนพากันพักผ่อน ๕ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมง ที่เราตื่นอยู่ให้เรารู้เข้าใจ เพื่อจะได้เอากายวาจากิริยามารยาทอาชีพมาประพฤติมาปฏิบัติ เพื่อเจริญสติสัมปชัญญะ เพราะเหตุผลว่า สติสัมปชัญญะนั้นเป็นความพอดี เป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นสิ่งที่ดับทุกข์ของเราทุก ๆ คน
เราต้องรู้เรื่องวัตถุ วัตถุที่เป็นรูปธรรมก็ได้แก่ ธาตุทั้ง ๔ ดินน้ำลมไฟ ขันธ์ทั้ง ๕ ที่เกิดจากธาตุทั้ง ๔ ดินน้ำลมไฟ อายตนะ ๑๒ ได้แก่ตาหูจมูกลิ้นกายใจเป็นสิ่งที่ภายในและภายนอก สิ่งเหล่านี้แหละถือว่าเป็นรูปธรรม สำหรับนามธรรมนั้นหมายถึงตัวผู้รู้ กายกับใจถึงเป็นคนละอย่างกัน ใจของเราทุกคนเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า ไม่เกิดไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายไม่พลัดพราก เป็นความว่างเปล่า ถ้าเรารู้เราเข้าใจ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราจะไม่มีความรู้สึกว่าเราแก่เจ็บตายพลัดพราก นี้เป็นเรื่องของกาย ไม่ใช่เรื่องของใจ ด้วยเหตุผลนี้เราทุกคนถึงต้องเจริญสติสัมปชัญญะ
ในชีวิตประจำวันของเรา เราต้องเจริญสติสัมปชัญญะ ที่เป็นสมถะและวิปัสสนา เพื่อให้ความสงบและปัญญาก้าวไปในปัจจุบัน เพราะเหตุผลว่าอดีตทั้งหลายทั้งปวงนั้นก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบันแล้ว ปัจจุบันเราเอาความสงบและปัญญา เราทุกคนก็จะเข้าถึงความดับทุกข์ ไม่มีความทุกข์ สิ่งภายนอกที่เป็นรูปธรรมก็จะเป็นภายนอกเป็นรูปธรรม สิ่งภายในที่เป็นนามธรรมก็รู้เข้าใจ เป็นสติเป็นสัมปชัญญะ เรามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ด้วยเหตุผลนี้แหละเราถึงต้องมีสติมีสัมปชัญญะ
หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านให้เราเอาหลักอานาปานสติเพื่อเจริญสติสัมปชัญญะ หายใจเข้าก็ให้มีความสุขมีความสบาย หายใจออกก็ให้มีความสุขมีความสบาย ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราเจริญสติสัมปชัญญะอย่างนี้แหละ ใจของเราก็จะสงบเพราะเรามีสติมีสัมปชัญญะ
อดีตเราต้องยกเลิกให้หมด อนาคตที่ยังมาไม่ถึงเราก็ไม่วิตกกังวล เพราะปัจจุบันนี้เป็นพื้นฐานของอนาคต ปัจจุบันเป็นอย่างไร อนาคตก็ย่อมเป็นเช่นนั้น เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี เมื่อเรามีความสงบมีปัญญา สิ่งเหล่านั้นก็จะหยุดลงที่ปัจจุบัน หยุดลงที่ผัสสะ ด้วยความรู้ความเข้าใจ ใจของเราจะหยุดความปรุงแต่งด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ
การภาวนาการเจริญวิปัสสนา ให้เรารู้ให้เข้าใจ ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันเป็นเพียงเหตุเพียงปัจจัย เมื่อเรามีตารูปถึงมี เมื่อเรามีหูเสียงถึงมี เรามีจมูกกลิ่นถึงมี เรามีลิ้นรสถึงมี เรามีกายถึงมีสัมผัส เรามีใจถึงมีจิตมีความปรุงแต่ง เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้รู้ว่านี้มันเป็นเพียงเหตุเป็นเพียงปัจจัย เราทั้งหลายจะได้รู้จะได้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ว่างจากสิ่งที่ไม่มี เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่
ในชีวิตประจำวันเราทุกคนต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเราจะได้ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ สมมติสัจจะทั้งหลายเราต้องเอาไปใช้ เอาไปประพฤติเอาไปปฏิบัติ อย่าไปขี้เกียจขี้คร้าน เราอย่าไปคิดว่าค่อยเป็นค่อยไป ความคิดอย่างนี้มันเป็นสีลัพพัตตปรามาส มันเป็นความคิดที่เราไปลูบคลำในศีลในข้อวัตรข้อปฏิบัติ เราต้องผ่านความคิดอย่างนี้ไป ผ่านความรู้สึกอย่างนี้ไป
ให้เรารู้เข้าใจ ธรรมะนั้นเป็นสิ่งที่ทวนกระแส เราต้องรู้ต้องเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ว่าธรรมะนั้นเป็นสิ่งที่ทวนกระแส ธรรมะนั้นต้องหยุดกระแส ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะ เรารู้เราเข้าใจ เราก็จะก้าวไปด้วยความรู้แจ้งในธรรม เพื่อให้การประพฤติการปฏิบัติของเราเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เพื่อจะได้ยกเลิกนิติบุคคล ยกเลิกตัวยกเลิกตน เราทุกคนต้องพากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เพราะไม่มีใครมาประพฤติมาปฏิบัติให้เราได้ ปฏิบัติแทนเราได้
เราอย่าพากันอยู่กันอย่างลอย ๆ ต้องพากันเจริญสติสัมปชัญญะ ต้องให้ทาน ต้องเสียสละ ให้ทานทางวัตถุ ให้ทานทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ ยกเลิกตัวตน มาให้ทาน มาเสียสละ เพราะเหตุผลว่าการให้ทานการเสียสละนั้นเป็นความดี เป็นบารมี เป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม การเจริญสติสัมปชัญญะนั้นเป็นการยกเลิกเรื่องอดีต ยกเลิกตัวยกเลิกตน การยกเลิกยกเลิกตนมันเป็นการยกเลิกทั้งอดีตอนาคต ปัจจุบันเราก็ว่างจากตัวตน ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ว่างจากสิ่งที่ไม่มี การจะเข้าถึงความว่างก็ต้องมีหลักการ มีอุดมการณ์มีอุดมธรรม การเจริญสติสัมปชัญญะนี้เป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม ให้รู้เข้าใจ ธรรมะไม่ใช่มีปัญญาอย่างนั้น ต้องมีการประพฤติการปฏิบัติไปพร้อม ๆ กัน ทั้งปัญญาทั้งสมถะต้องไปพร้อม ๆ กัน ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความเกียจคร้านมันเป็นตัวมันเป็นตน ไม่ใช่ธรรมะนะ มันเป็นตัวเป็นตน เราทุกคนต้องรู้เข้าใจ จะไม่ได้เกียจคร้าน จะได้รู้จักหน้ารู้จักตาของความเกียจคร้าน เราทุกคนจะได้ผ่านด่านความขี้เกียจขี้คร้านไป ทำความเพียร
เราต้องรู้จักข้อสอบ เราต้องตอบข้อสอบนั้น ข้อสอบที่เกิดจากตาหูจมูกลิ้นกายใจ อันนี้เป็นข้อสอบ เราต้องตอบด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ เราทั้งหลายต้องรู้เรื่องการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อไม่ให้ชีวิตของเราปล่อยไปอย่างลอย ๆ ด้วยไม่มีการประพฤติด้วยไม่มีการปฏิบัติ เพื่อการประพฤติการปฏิบัติจะได้สมดุลกันระหว่างรายรับกับรายจ่าย เพื่อให้เข้าถึงความพอดี เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เรามีตาก็ให้เรามีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เรามีหูก็ต้องให้เรามีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เรามีจมูกก็ให้เรามีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เรามีลิ้นก็ให้มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เรามีกายก็ให้มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพื่อรายรับรายจ่ายจะได้สมดุลกันด้วยความรู้ความเข้าใจ สิ่งทั้งหลายนั้นให้มันจบลงที่ผัสสะ เพื่อไม่ให้เกิดเวทนา วัตถุก็ให้เป็นวัตถุไป ใจก็ให้มันเป็นใจไป ให้รู้ทั้งสองอย่างว่า สองอย่างนี้มันคนละอย่างกัน เราทุกคนต้องรู้เข้าใจ อย่าให้เสียเวลาในการประพฤติในการปฏิบัติ เราจะปล่อยเวลาให้ผ่านไปด้วยไม่มีการประพฤติไม่มีการปฏิบัตินั้นไม่ได้ มันเสียหายมาก
เราทุกคนต้องมีปัญญา จะปล่อยให้กาลเวลาผ่านไปได้อย่างไร เราต้องมีสติมีสัมปชัญญะ ต้องมีการประพฤติการปฏิบัติ อย่าไปขี้เกียจขี้คร้าน ต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการทำงานในการประพฤติการปฏิบัติ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราเข้าสู่ระบบความคิด คำพูด การกระทำ กิริยามารยาท อาชีพด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ เพื่อเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี ให้ทุกคนพากันดับทุกข์ได้ให้สูงสุดให้เต็มที่ในปัจจุบัน เพื่อเป็นการอบรมบ่มอินทรีย์เพื่อให้ความดีและปัญญาก้าวไปด้วยปฏิปทา
เราทุกคนต้องไม่มีขี้เกียจขี้คร้าน ไม่ลูบคลำในศีลในข้อวัตรปฏิบัติ ไม่มีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะเหตุผลว่าการปฏิบัติธรรมมันเรื่องจิตเรื่องใจ พระธรรมพระวินัยแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์เป็นอุปกรณ์ในการประพฤติการปฏิบัติ ที่จะเป็นระบบความคิดคำพูดการกระทำกิริยามารยาทอาชีพ เป็นอุปกรณ์ยกเลิกและเป็นอุปกรณ์ในการประพฤติการปฏิบัติ ที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เป็นการพัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กัน เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี มันเป็นการสมดุล ไม่ขาดทุน เป็นความพอดี ไม่ได้เอามาเพิ่มอีก ไม่ได้ตัดออกไป นี้เป็นความรู้ความเข้าใจของเราทุก ๆ คน
ให้ทุกคนรักพระธรรมรักพระวินัย รักข้อวัตรกิจวัตร เพื่อเป็นการประพฤติการปฏิบัติของเรา เราจะได้เอาพระธรรมเอาพระวินัยมาใช้มาปฏิบัติ ที่เป็นธรรมที่ให้เรายกเลิก ที่ให้เราได้ประพฤติ ให้เราปฏิบัติ เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราจะไปซื่อบื้ออยู่ไม่ได้นะ เราต้องรู้เรื่องการประพฤติการปฏิบัติ เรารู้เราเข้าใจ เราอาศัยสรีระร่างกายที่ยาววาหนาคืบ มาใช้มาปฏิบัติ จะไม่ได้ปล่อยให้เวลามันผ่านไปด้วยไม่มีการประพฤติการปฏิบัติธรรม มันจะทำให้เกิดความเสียหาย เกิดการพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย
ทรัพยากรของเราที่ได้เกิดเป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่ทรงคุณค่า เราต้องรู้จักทรัพยากรที่ทรงคุณค่าถึงมีเวลาจำกัด เราต้องใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า เราจะใช้ทรัพยากรคุ้มค่าได้อย่างไร เราก็ต้องเอาพระธรรมเอาพระวินัยที่เป็นคำสั่งและคำสอน เอาสมมติสัจจะนี้มาประพฤติมาปฏิบัติ มาทำหน้าที่ เพราะเหตุผลว่าธรรมะเป็นธรรมเป็นสภาวธรรมที่เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ที่เป็นธรรมชาติ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ด้วยเหตุด้วยปัจจัย ถ้าเรารู้เข้าใจ เราก็จะได้ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ด้วยความตั้งใจ ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท
การปฏิบัติธรรมของเราปัจจุบัน เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องไม่ประมาท เราจะประมาทไม่ได้ ธรรมะต้องไม่มีความประมาท เพราะความประมาทนั้นคือความผิดพลาด เราอย่าไปประมาทในความคิด คำพูด การกระทำ กิริยามารยาท อาชีพ เราอย่ากันประมาท เราต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ อย่าได้พากันตั้งอยู่ในควมประมาท ต้องเน้นที่ปัจจุบัน เราอย่าประมาท ปัญญากับการปฏิบัติต้องเป็นหนึ่ง อย่าประมาท ให้เราทุกคนพากันพัฒนาความดีให้เต็มที่ เพื่อให้ความดีและปัญญาก้าวไปเป็นปฏิปทาที่ติดต่อต่อเนื่อง ความคิดของเราต้องเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา คำพูดของเราต้องเป็นคำพูดดี ๆ ที่ประกอบด้วยปัญญา กิริยามารยาทของเราต้องเป็นกิริยามารยาทดี ๆ ที่ประกอบด้วยปัญญา อาชีพของเราต้องเป็นอาชีพที่ดี ๆ ประกอบด้วยปัญญา
อาชีพอะไรล่ะ เป็นอาชีพที่ดี ๆ อาชีพที่เราต้องเสียสละ เราไม่เอาของใคร เราเป็นแต่ผู้ให้เป็นผู้ที่เสียสละ นี้เป็นอาชีพที่ดีที่ประกอบด้วยปัญญา เราเสียสละให้มีความสุข ทำงานให้มีความสุข เราเป็นผู้ให้เป็นผู้เสียสละ อย่างนี้เรียกว่าอาชีพที่ดีที่ประกอบด้วยปัญญา
เราทุกคนทุกท่านต้องพากันมาเสียสละเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงเสียสละตลอด ๒๔ ชั่วโมง วันหนึ่งคืนหนึ่ง ๒๔ ชั่วโมง ท่านเสียสละเพื่อให้สรีระร่างกาย เพื่อให้สรีระร่างกายได้พักผ่อนวันละ ๔ ชั่วโมง นั้นท่านเสียสละเพื่อสรีระร่างกาย อีก ๒๐ ชั่วโมงท่านเสียสละเพื่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย วันหนึ่งคืนหนึ่งอยู่กับการเสียสละ ชีวิตของท่านอยู่กับการเสียสละ อย่างนี้เรียกว่าอาชีพที่ดีที่ประกอบด้วยปัญญา เราต้องรู้ต้องเข้าใจว่าความดับทุกข์ไม่มีทุกข์นั้นอยู่ที่เรามีสติมีสัมปชัญญะ เรามีสติมีสัมปชัญญะเมื่อไหร่เราจะไม่มีความทุกข์ เราอย่าไปคิดว่า เราไปเสียสละเราจะไม่อดตายเหรอ ขนาดไม่ได้อยู่ไม่ได้นอน ทำมาหากินก็ยังไม่พอกินพอใช้ เราไม่รู้ไม่เข้าใจ การเสียสละเท่านั้นถึงจะเป็นความสุขความดับทุกข์ การเจริญสติสัมปชัญญะนั้นถึงจะเป็นความสุขความดับทุกข์ ให้เรารู้เข้าใจ อย่างเรามีความสุขในการเสียสละในการเรียนหนังสือ เรามีความสุขในการเรียนหนังสือร่างกายของเราก็ดี ความรู้เราก็ดี มันดีทั้งสองอย่างเลย ดีทั้งความรู้ดีทั้งกาย เราต้องรู้ต้องเข้าใจว่าการเสียสละนี้มันดี ทำให้เราไม่มีความทุกข์อะไร ชีวิตของเรามันก็ย่อมมีแต่ปิติมีแต่ความสุขมีแต่เอกัคคตา เราต้องรู้เข้าใจ เราเกิดมาเป็นร้อย ๆ ปีเป็นพันปีเป็นหมื่นปีมันจะมีประโยชน์อะไร มีแต่ทุกข์เกิดขึ้นทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไป มันจะมีประโยชน์อะไร
การปฏิบัติธรรมนี้ถึงเป็นหน้าที่ที่ดีที่สุดของความดีของมนุษย์ที่เราพากันเสียสละ ยกเลิกตัวตน ที่เราเจริญสติสัมปชัญญะ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์ มนุษย์ต้องรู้ต้องเข้าใจ เห็นภัยในความหลงนะ เราต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ มายกเลิกอวิชชายกเลิกความหลง มนุษย์เราถึงต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ยกเลิกทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความรู้ความเข้าใจ เพื่อเป็นผู้ให้ผู้เสียสละ เป็นผู้มาเจริญสติสัมปชัญญะ ให้เรารู้ให้เข้าใจ เราจะได้ดับทุกข์ได้ในปัจจุบัน
เราพากันมาพัฒนากายวาจากิริยามารยาทอาชีพ มาพัฒนาใจ เพื่อให้เป็นทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุ เพื่อทำหน้าที่ด้วยไม่หวังอะไรตอบแทน เรามีความสุขในธรรมปฏิบัติในธรรม ด้วยการเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ มันดับทุกข์มันดับทุกข์อย่างนี้ มันอยู่ที่ปัจจุบัน เราอย่าไปคิดเหมือนแต่ก่อน แต่ก่อนมีความคิดว่าความดับทุกข์มันจะมีอยู่ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ อันนี้มันไม่ถูกนะ ไม่ถูกมาก ๆ จริง ๆ มันเป็นความผิดนะ นี้มันเอาความหลงนำชีวิต เอาความผิดนำชีวิตนะ มันคิดว่าความดับทุกข์อยู่ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ นี้มันไม่รู้เรื่องทุกข์ ไม่รู้เรื่องเหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์เลยนะ ไม่เข้าถึงธรรม ไม่เข้าถึงปัจจุบันธรรม มันไม่รู้เรื่องการประพฤติการปฏิบัติ ปล่อยให้ความไม่รู้ไม่เข้าใจมันหมุนไปก้าวไปด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ มันเลยมีแต่ความทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มีเลย มันเป็นความไม่อิ่มไม่พอไม่เพียงพอ
ด้วยเหตุผลนี้เราทุกคนต้องรู้เรื่องต้องเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เอาปัจจุบันนี้แหละปฏิบัติให้เกิดความสุข ไม่ต้องรออนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ ปฏิบัติไม่ถูกต้องจะเกิดมาหลายภพหลายชาติมันก็แก้ปัญหาไม่ได้ มีแต่มาสร้างปัญหา เราต้องรู้เข้าใจ ปัญหาทางกายนั้นเราแก้ปัญหาทางกายไม่ได้สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์นะ ปัญหาทางกายเพียงแต่บรรเทาทุกข์ บรรเทาทุกข์ด้วยการทานอาหาร ด้วยการพักผ่อน ด้วยการเปลี่ยนอิริยาบถ ด้วยยารักษาโรค มันเป็นเพียงบรรเทาทุกข์ ทุกข์ทางกายนี้ดีนะ เอาไว้สำหรับภาวนาวิปัสสนา เพื่อให้เราได้เกิดปัญญา ความเกิดความแก่ความเจ็บความตายนี้เป็นสิ่งที่ดีมาก เพื่อให้เราได้ประพฤติปฏิบัติธรรม เพื่อให้เราจะได้มีข้อวัตรข้อปฏิบัติ
ถ้าเราไม่มีโจทย์เราจะมีข้อตอบได้อย่างไร เพราะความแก่ความเจ็บความตายนี้มันดีเราจะได้ประพฤติได้ปฏิบัติกัน
ถ้าเราไม่มีความเกิดความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ดี ความเกิดแก่เจ็บตายพลัดพรากนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก ข้อวัตรข้อปฏิบัติที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาที่เป็นสมมติสัจจะนั้นเป็นสิ่งที่ดี ที่เราจะได้เป็นข้อวัตรข้อปฏิบัติ เพื่อตอบโจทย์ ตอบปัญหา เราทุกคนต้องรู้เรื่องกรรม รู้จักกฎแห่งกรรม รู้จักผลของกรรม เราไม่อยากแก่ไม่อยากเจ็บไม่อยากตายไม่อยากพลัดพรากนั้นคือเราไม่รู้เรื่องกรรม ไม่รู้เรื่องกฎแห่งกรรม ไม่รู้เรื่องผลของกรรมนะ เราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราเลยพากันเวียนว่ายตายเกิด เรายังไม่รู้เรื่องเลย เราต้องรู้เรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรม ที่เราแก่เราเจ็บเราตายเราพลัดพรากอันนี้มันเป็นปลายเหตุแล้ว เราเป็นหนี้เราก็ต้องใช้หนี้เค้า อันนี้มันเป็นกรรมเก่า ความเกิดความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก ความจนความรวยของเราทุกคนมันเป็นกรรมเก่านะ กรรมเก่ามันแก้ไขไม่ได้แล้ว ให้เรารู้เข้าใจ เราจะได้หยุดกรรมเก่าด้วยการมีสติมีสัมปชัญญะ เราจะไม่ได้สร้างกรรมใหม่ด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้จบลงที่ปัจจุบันนี้แหละ จบลงด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยการมาเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ
เราต้องมายกเลิกนิวรณ์ทั้ง ๕ อคติทั้ง ๔ ที่เป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรม เราทุกคนต้องมามีปิติมีความสุขในการเจริญสติปัฏฐาน สติปัฏฐานในชีวิตประจำวัน เราไม่ต้องไปหาความดับทุกข์ที่ไหน หาความดับทุกข์ในปัจจุบันที่เราเจริญสติสัมปชัญญะ ด้วยการเจริญอริยมรรค อริยมรรคที่เป็นปัจจุบันธรรม เป็นสิ่งที่สำคัญของเราทุกคน
นิวรณ์ทั้ง ๕ ก็ได้แก่
๑. การตรึกในกามฉันทะ หมกมุ่นในกาม พอใจยินดีลุ่มหลงในกาม กามนี้หมายถึงตัวถึงตน มีความลุ่มหลงในธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ กามนี้มันเป็นขั้วบวกขั้วลบเหมือนกระแสไฟฟ้า กระแสไฟฟ้านี้มันมีขั้วบวกขั้วลบ หมกมุ่นในเรื่องขั้วบวกขั้วลบ มันเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม อย่างเช่นเพศอย่างนี้ เพศหญิงเพศชายนี้เป็นขั้วบวกขั้วลบอยากได้อยากมีอยากเป็นอยากเด่นอยากดัง ยินดีในความหลงในยศในตำแหน่ง ที่เป็นทางวิทยาศาสตร์เป็นทางวัตถุ ไม่เอาวัตถุกับเราจิตใจไปพร้อม ๆ กัน เอาแต่ทางวิทยาศาสตร์ เอาแต่ตัวเอาแต่ตนเรียกว่าหมกมุ่นอยู่ในกาม
๒. หมกมุ่นในพยาบาท มันเป็นขั้วบวกขั้วลบ เมื่อมันมีกามมันก็มีพยาบาท มันไปเอาความสุขจากความหลง เพราะความหลงมันคือความปรุงแต่งความหลงมันคือความไม่สงบ มันเป็นปฏิฆะ มันเป็นสงคราม สงครามที่มันอยากให้ได้ตามใจตามปรารถนา เมื่อมันไม่ได้ตามใจตามปรารถนามันก็เกิดปฏิฆะ เกิดพยาบาท มันเป็นสงครามน่ะ สงครามระหว่างคนสองคน หรือว่าหลายคน หรือระหว่างประเทศ หรือสงครามโลก ตัวตนนี้มันเป็นสงคราม สงครามมันเป็นสีดำ ตัวตนคือความมืด ตัวตนปรียบเสมือนคนตาบอด มีแต่ตาเนื้อตาหนังไม่มีตาปัญญา ตัวตนมันไปเอาความสุขจากคนอื่น มันไปเอาความสุขจากการทำปาณาติบาต ไปเอาของคนอื่น ตัวตนนี้แหละมันสร้างเครื่องประหัตประหาร สร้างธนู สร้างปืน สร้างระเบิด สร้างเครื่องบินรบ ตัวตนนี้แหละที่ประเทศไทยเอาเครื่องบิน F16 ไปบอมประเทศกัมพูชา ไปบอมประเทศเขมร เป็นความเย่อหยิ่งจองหองคิดว่าตัวเองเก่งกว่าเค้ามีเพาเวอร์มากกว่าเค้า ประเทศเขมรจนกว่าเราประเทศเล็กกว่าเรา อาวุธก็สู้เราไม่ได้ ตัวตนนี้ทำให้เย่อหยิ่งจองหองเป็นตัวเป็นตนมันเป็นการชูงวง ไม่ใช่ความสงบและปัญญา ไม่ใช่ปัญญาและความสงบ เวลาอเมริกาน่ะ ประเทศไทยไม่กล้า หงอเลย กลัวสหรัฐอเมริกายิ่งกว่าหมาตอนเสียอีก เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจ เรื่องความสงบเรื่องปัญญา จะได้หยุดปฏิฆะ หยุดพยาบาท ความสงบและปัญญานี้ ความเมตตาเป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันพยาบาท ป้องกันปฏิฆะ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ จะไปโกรธทำไม ไปปฏิฆะทำไม ไปพยาบาททำไม ความโกรธความปฏิฆะเราทั้งหลายผู้มาบวชเราต้องพากันยกเลิกนะ
๓. ถีนมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอน เรามีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เราต้องรู้ต้องเข้าใจอย่าให้ถีนมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอนมาครอบงำใจทั้ง ธาตุทั้ง ๔ ก็ให้เป็นธาตทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ ก็ให้เป็นขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ก็ให้เป็นอายตนะทั้ง ๖ อย่าให้ครอบงำใจของเรา ใจของเราต้องสว่างไสว ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ก็ให้เป็นเรื่องของเขา เราต้องรู้เข้าใจ พระโมคคัลลานะ อัครสาวกฝ่ายซ้ายผู้เลิศทางอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์เป็นผู้ที่เจริญสมถะมาก เจริญสมาธิมาก มีความง่วงเหงาหาวนอน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ให้อุบายแก่พระโมคคัลลา ว่าเราต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยการประพฤติการปฏิบัติ เพราะมันมีปัญญาเราก็ต้องแก้ปัญหา เราอย่าให้ความง่วงเหงาหาวนอนมาครอบงำเรา ด้วยการสาธยายสรีระร่างกาย เช่น ร่างกายของเรามีอาการ ๓๒ เราก็ ๑ จนถึง ๓๒ มีอะไรบ้าง แยกออกเป็นชิ้นเป็นส่วน ออกจากกันให้หมด แล้วประกอบกันอย่างนี้ ดีกว่าไปง่วงเหงาหาวนอน อย่างปัจจุบันนี้เราพากันฝึกท่องปาฏิโมกข์ สวดปาฏิโมกข์ หรือเรียนบทสวดอะไรต่าง ๆ เราก็เอาบทท่องปาฏิโมกข์มาสวดในใจ เอาบทสวดมนต์มาท่องในใจก็ได้ดีกว่าไปง่วงเหงาหาวนอน ถ้าทำอะไรอยู่มันก็ยังง่วงอยู่ก็ให้หยุดลมหายใจมันเสียเลย กลั้นลมหายใจไว้ ใจจะขาด ทำอย่างนี้แหละไม่เกิน ๓๐ นาทีมันก็หายง่วง เช่น คนขับรถยนต์ที่เดินทางไกลจากทางเหนือไปใต้ จากทางใต้ไปเหนือ ถ้ามันง่วงมากก็หยุดลมหายใจกลั้นลมหายใจทำอย่างนี้ไม่กี่ครั้งมันก็หายง่วง เราต้องมีสติไวสติเร็ว อย่าให้ความปรุงแต่งมันมาครอบงำเรา เอาอานาปานสติให้มีปิติในการเจริญอานาปานสติหายใจเข้าให้มีความสุขหายใจออกให้มีความสุข หายใจเข้าให้สบายให้มีปิติมีความสว่างไสวให้แยกจากธาตุจากขันธ์จากอายตนะ การทำสมาธิ สมาธิขั้นละเอียดนี้เค้าจะหยุดเรื่องความปรุงแต่ง เรื่องอายตนะภายนอก มันจะหยุดใช้ระบบสมอง ระบบปัญญาอย่างนี้ จิตใจก็จะเข้าสู่เอกัคคตา เข้าสู่ความเป็นหนึ่ง เข้าอัปปณาฌาน อย่างนี้ก็จะหายง่วงได้ให้เข้าใจนะ เราเอาตัวตนเอาความปรุงแต่งนำชีวิตมันก็ต้องโงกง่วงเป็นธรรมดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าถ้ายังง่วงอยู่อย่างนี้ก็ให้ออกไปเดินจงกรม เดินทำใจให้สว่างไสว เดินกลับไปกลับมา เพื่อให้ร่างกายมันตื่นตัว เพื่อกายมันจะได้ทำงาน หรือเอาร่างกายไปทำการทำงานอะไรให้มีความสุขในการทำงาน ถ้าเราทำอะไรมีความสุขมันจะไม่มีความง่วงน่ะ อย่างพวกที่เล่นการพนัน พวกที่เล่นไพ่กัน ใจมันมีความสุขในการเล่นไพ่ ๓ วัน ๓ คืน พวกนี้ก็ไม่ง่วง เพราะเค้ามีความสุข แต่ความสุขอันนั้นมันเป็นความสุขไม่ถูกต้อง เป็นความสุขที่เป็นความหลง เพราะการพนันเป็นความเสื่อม การพนันมันเป็นความไม่ถูกต้อง เป็นอบายมุขอบายภูมิ เป็นความเสื่อม
๔. อุทธัจจะกุกกุจจะ คือความฟุ้งซ่านรำคาญ เราต้องเข้าใจทุกอย่างมันไม่มีสิ่งใดที่ได้ตามใจตามปรารถนาถึงร้อยเปอร์เซ็นต์การที่ไม่ได้ตามใจนี้แหละ เป็นเหตุเป็นปัจจัยที่เราจะได้มีโอกาสได้ประพฤติได้ปฏิบัติธรรม เราต้องขอบใจธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ได้เปิดโอกาสให้เราได้ประพฤติได้ปฏิบัติธรรมให้ถือคติธรรมอย่างนี้ ถ้าไม่มีอุทธัจจะกุกกุจจะ เราก็จะไม่มีข้อวัตรข้อปฏิบัติ เมื่อมันมีปัญหาเราก็ได้แก้ปัญหา ให้เรารู้เข้าใจเรื่องอุทธัจจะกุกกุจจะ เราอย่าไปรำคาญ เราอย่าไปฟุ้งซ่านรำคาญ นี้ให้รู้เข้าใจว่าอันนี้มันเป็นตัวเป็นตนมันเป็นความปรุงแต่งของเราเอง เราอยากให้มันช้าก็ว่ามันเร็ว อยากให้มันเร็วก็ว่าอันนี้มันช้า มันเป็นเรื่องความปรุงแต่งเรื่องตัวเรื่องตนทั้งนั้นให้เรารู้เข้าใจ พระสกิทาคา พระอนาคามีรู้เข้าใจแล้วประพฤติในเรื่องอุทธัจจะกุกกุจจะ ท่านรู้เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้แหละดี จะได้ประพฤติจะได้ปฏิบัติ ถ้าไม่มีอุทธัจจะกุกกุจจะก็ไม่มีข้อวัตรปฏิบัติ ให้เข้าใจอย่างนี้ เราอย่าไปรำคาญ รำคาญเหมือนกับเห็นเค้ามีปัญญาน้อยกว่าเรา เราก็รำคาญ เหมือนเอาตัวแมลงหวี่แมลงวันที่มาเกาะเรามาตอมเราเราก็รำคาญ เหมือนมดมาไต่ตัวเรา เหมือนยุงมากัดกินเลือดเรา เราก็รำคาญ เหมือนเราไปมองเห็นที่เค้าเข้าโรงพยาบาลเค้าให้สายทางจมูกสายอะไรพะรุงพะรัง ตัวผู้ที่ถูกใส่สายออกซิเจนที่เค้าให้ออกซิเจนทางปากทางจมูกเรามองเห็นก็รำคาญ อันนี้มันเป็นความรู้สึกที่เป็นตัวเป็นตนนะ ถ้าเรารู้เราเข้าใจแล้วเราก็จะไม่รำคาญในการมองเห็น หรือว่าเค้าเอาออกซิเจนมาใส่ปากใส่จมูกเรา เราให้รู้เข้าใจนะ เราอย่าไปรำคาญ รำคาญคือตัวตนคือความปรุงแต่งให้รู้เข้าใจ เรามีความปรุงแต่งเมื่อไหร่เราก็ต้องรำคาญ เพราะความรำคาญคือความปรุงแต่งให้เรารู้เข้าใจ อันนี้ก็เป็นนิวรณ์ข้อหนึ่งนะ มีแง่มุมให้เราได้รู้ได้ประพฤติได้ปฏิบัติ ต้องขอบใจสิ่งต่าง ๆ ที่ให้เราได้ประพฤติปฏิบัติให้เข้าใจอย่างนั้น
๕. นิวรณ์ข้อที่ ๕ วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย ลังเลสงสัยเรื่องตายแล้วได้เกิดอีกมั๊ย หรือว่าตายไปแล้วสูญไป ลังเลสงสัยในเรื่องพระพุทธ ลังเลในพระธรรมคำสั่งสอนว่าจะดับทุกข์ได้แก้ปัญหาได้ ก็มองเห็นอยู่คนเค้าไม่เอาธรรมะเค้าโกงกินคอร์รัปชั่นก็มีแต่พากันรวยทั้งนั้น ส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นใครจนมีแต่รวยน่ะ มีความลังเลสงสัยในนักบวชทั้งหลาย นักบวชทั้งหลายนี้ไม่เป็นที่ไว้วางใจของมหาชนเลย ได้รับการแต่งตั้งถูกต้องตามกฎหมายจารีตประเพณีแล้วปฏิบัติตรงกันข้ามกับที่ได้รับการแต่งตั้ง แต่งตั้งแล้วไม่ได้ปฏิบัติงานไม่ได้ทำหน้าที่เลยมีความสงสัยในพระสงฆ์ที่มาบวช พากันมีเรื่องมีราวมีปัญหาแทบทุกวันเลย พากันปฏิบัติตรงกันข้าม พากันมาเป็นสมีกันเป็นส่วนใหญ่ คำว่าสมีนี้หมายถึงตัวตนนะ ตัวตนนั้นคือสมี สมีกับสามีก็อันเดียวกันแหละ ถ้าเรามีตัวมีตนเอาตัวตนนำชีวิตถือว่าจัดว่าเป็นสมีนะ มารับเงินรับสตางค์ มาเก็บสังฆทาน มาหลงในยศในตำแหน่งของนักบวช มาหลงในยศในตำแหน่งที่พระราชาแต่งตั้งประทานยศต่าง ๆ ให้ ประชาชนเค้าไม่แน่ใจเค้าลังเลสงสัยในพระสงฆ์ มีความลังเลสงสัยว่าทำดีได้ดีจริงมั๊ย เพราะว่าคนทำชั่วโกงกินคอร์รัปชั่น ไม่เห็นเขาได้รับบาปรับกรรมรับเวรรับภัยเลย มีแต่รวย ๆ ทั้งนั้นเลย
อคติทั้ง ๔
อคติ ๔ คือหลักธรรมทางพุทธศาสนาที่กล่าวถึง ความลำเอียง หรือ ความไม่เที่ยงธรรม ๔ ประการ ซึ่งเป็นบ่อเกิดของการตัดสินใจหรือการกระทำที่ผิดพลาด ไม่เป็นกลาง และไม่ยุติธรรม ซึ่งนำไปสู่ผลเสียทั้งต่อตนเองและผู้อื่น
อคติ ๔ ประกอบด้วย
ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรัก การให้ประโยชน์หรือมองข้ามข้อบกพร่องเพราะความรักใคร่ ความชอบพอ ทำให้เกิดความลำเอียง ไม่เป็นกลาง ไม่เป็นธรรม ไม่เป็นปัจจุบันธรรม จะเป็นตัวเป็นตน เป็นภพเป็นชาติ เกิดแก่เจ็บตายพลัดพราก
โทสาคติ มีความลำเอียงเพราะความเกลียดชัง การพยายามสร้างความเสียหายให้เกิดความเสียหาย เพื่อทำลายคนอื่นสัตว์อื่น หรือมองไม่เห็นความดีเพราะโทสาคติ ที่มีความโกรธเป็นพื้นฐาน ความไม่พอใจ ความชิงชัง ไม่มีความกรุณาเมตตา ไม่มีความเป็นธรรมความยุติธรรม
โมหาคติ ลำเอียงเพราะความหลง ความไม่รู้ไม่เข้าใจนี้เป็นความหลง ความรู้ความเข้าใจปัญญาสัมมาทิฏฐินี้เป็นเรื่องสำคัญ มนุษย์เราปัญญาสัมมาทิฏฐิเป็นเรื่องที่สำคัญ เพื่อจะไม่ได้เอาความหลงนำชีวิต ไม่ได้เอาความผิดนำชีวิต
การตัดสินใจจะทำอะไรก็ต้องทำให้ถูกต้อง เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด การเรียนการศึกษาของมนุษย์ทั้งหมด ๑๘ ศาสตร์นั้นเพื่อให้มนุษย์รู้เข้าใจ จะได้เกิดปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพื่อพัฒนาทางวัตถุด้วยการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ พร้อมทั้งพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้เกิดปัญญาสัมมาทิฏฐิ ปัญญาสัมมาทิฏฐิของมนุษย์ถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ความรู้นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อจะไม่ได้ทำอะไรผิดพลาด ความไม่เข้าใจนั้นจึงจัดเป็นโมหาคติ มนุษย์เราถึงต้องเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ เพื่อเอาความสงบและปัญญาควบคู่กันไป จะได้มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ จะไม่ได้เอาความหลงนำชีวิต จะไม่ได้เอาความผิดนำชีวิต
ภยาคติ ลำเอียงเพราะความกลัว การที่ทำอะไรที่สาเหตุมาจากความกลัวนั้นคือความไม่ถูกต้อง ให้เราทุกคนรู้เข้าใจว่าเราต้องข้ามสัญชาตญาณไป ด้วยความรู้ความเข้าใจ ให้เรารู้เข้าใจว่าตัวตนนั้นมันทำให้กลัว สัญชาตญาณที่มันเป็นตัวเป็นตน ที่มันมีความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นเราเป็นคนอื่น มันเป็นสัญชาตญาณ มันเป็นนิติบุคคล มันเป็นตัวเป็นตน มันมีความกลัว เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราจะไปเอาธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ นี้มาเป็นเราไม่ได้ เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องผ่านสัญชาตญาณนี้ไปคือความกลัวนะ ความกลัวนี้เป็นสัญชาตญาณ นี้มันคือตัวคือตนนะ มันเป็นความปรุงแต่งจิตใจของเราไม่ให้เกิดความกล้าหาญ เราจะหยุดความกลัวได้ด้วยการเจริญสติสัมปชัญญะ ถ้าเราทุกคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ทุกคนนั้นจะไม่มีความกลัว สติสัมปชัญญะนี้ถึงเป็นธรรมะที่มีคุณมีอุปการคุณมาก
ความกลัวนั้นคือความไม่ถูกต้อง เราทุกคนต้องพากันเจริญสติสัมปชัญญะให้มาก จนกว่าสติสัมปชัญญะนั้นจะสมบูรณ์บริบูรณ์ เพื่อความสงบและปัญญาจะได้เป็นหนึ่ง ความกลัวก็จะหายไปเอง
เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ผ่านด่านนิวรณ์ทั้ง ๕ ผ่านด่านอคติทั้ง ๔ ด้วยการปฏิบัติอริยมรรคมีองค์แปดให้สมบูรณ์ เราทั้งหลายให้รู้คุณรู้ประโยชน์ในการประพฤติการปฏิบัติ
การบรรยายพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นบริสุทธิคุณของเช้าวันพุธที่ ๑๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ก็สมควรแก่เวลาในการบรรยาย จึงขอสมมติยุติในการบรรยายไว้เพียงเท่านี้ เอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้