๒๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

พสกนิกรชาวไทยและชาวต่างประเทศได้มาร่วมรวมกันประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความโทมนัสและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน พระองค์ทรงเป็นดั่งแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและพระปรีชาสามารถ ทรงอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระราชหฤทัยในการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อธำรงไว้ซึ่งความผาสุกและความมั่นคงแห่งชาติไทย เราประชาชนชาวไทยต้องร่วมใจสมัครสมานสามัคคีทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่ออุทิศบุญกุศลน้อมเกล้าถวาย เพื่อเสด็จสู่สวรรคาลัย เข้าสู่สวรรค์มรรคผลพระนิพพาน

 

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๒๑ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

 

เราทุกคนต้องมารู้มาเข้าใจในการดำเนินชีวิตของเราเอง การประพฤติการปฏิบัตินั้นเป็นเรื่องของเรา มนุษย์เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เข้าใจในเรื่องเหตุในเรื่องปัจจัย อดีตทั้งหลายก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันนี้จึงเป็นวาระสำคัญแห่งชาติ กายวาจากิริยามารยาทอาชีพใจ ปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญ

 

การดำเนินชีวิตของเราต้องเอาทางสายกลาง เอาความสงบและปัญญา ความสงบและปัญญานั้นได้แก่สติสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะนั้นเป็นธรรมะที่มีคุณมีอุปการะมาก ผู้มีปัญญามาก ๆ ก็ต้องสงบมาก ๆ ผู้มีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ เพื่อจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป เป็นทางสายกลางระหว่างวัตถุกับจิตใจ การประพฤติการปฏิบัตินั้นถึงอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจอยู่ที่ปัจจุบัน

 

ด้วยเหตุผลนี้เราทุกคนถึงมาเน้นที่ตัวของเราเอง การดำเนินชีวิตนั้นทุกคนต้องประพฤติต้องปฏิบัติเอง ระบบความคิดคำพูดการกระทำกิริยามารยาทอาชีพ เป็นหน้าที่ของเราประพฤติ เป็นหน้าที่ของเราปฏิบัติเอง เพื่อให้ก้าวไปทั้งความรู้ทั้งการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราต้องรู้ต้องเข้าใจ พระพุทธเจ้าท่านก็ปฏิบัติที่พระพุทธเจ้า พระเยซูท่านก็ปฏิบัติที่พระเยซู พระนบีมูฮัมหมัดท่านก็ปฏิบัติของท่าน ไม่มีใครประพฤติปฏิบัติแทนกันได้ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ระบบปกครองตัวเอง ปกครองคนอื่นถึงเป็นธรรมนูญ ธรรมนูญนี้หมายถึงการพัฒนาระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจ กับเรื่องวัตถุที่อาศัยทางวิทยาศาสตร์เป็นการพัฒนา เน้นที่ตัวของเราเอง เราทุกคนต้องรู้ต้องเข้าใจ ถึงต้องมีความตั้งใจตั้งเจตนา ให้เราทุกคนเข้าใจว่า กายวาจากิริยามารยาทอาชีพนั้นเป็นเพียงอุปกรณ์ของใจ เราทุกคนต้องตั้งใจตั้งเจตนา เพื่อที่จะได้เป็นทางสายกลาง เพื่อจะไม่ไปทางซ้ายไปทางขวา ไปตรงกลาง

 

ระบบการบริหารของตัวเองต้องเข้าสู่ภาคบังคับ เข้าสู่ภาคปฏิบัติ ภาคำบัด การบริหารส่วนรวม การบริหารประเทศได้จากภาคบังคับ จากการเก็บภาษีอากรของประชากรของโลก ของประเทศ ทุกคนที่เกิดมาต้องพากันมาเสียภาษีอากร คนในประเทศทุกคนไม่มีใครยกเว้น ต้องพากันมาเสียภาษีอากร ระบบการซื้อขายแลกเปลี่ยน มีการเก็บภาษีอากรไปในตัว เพื่อเป็นเงินเดือนของข้าราชการนักการเมืองและนักบวช สถาบันหลัก ๆ ก็ได้แก่ข้าราชการนักการเมืองและนักบวช ๓ สถาบันหลักนี้เป็นสถาบันหลักสำคัญ

 

ข้าราชการนักการเมืองนักบวชต้องพากันรู้พากันเข้าใจ เพราะเหตุผลว่าเงินทุกบาททุกสตางค์นี้เป็นภาษีอากรของประชาชนในประเทศ ที่ไปที่มาคือภาษีอากรของผู้ที่อยู่ในประเทศ ผู้ที่นอกประเทศมาในประเทศนี้ก็ต้องเสียภาษีอากร เหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว ประเทศเรามีการโกงกินคอร์รัปชั่นเกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ ข้าราชการนักการเมืองนักบวชนี้พากันโกงกินคอร์รัปชั่นเกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีองค์กรไหนเลยไม่โกงกินคอร์รัปชั่น ด้วยเหตุนี้ ประเทศของเราถึงเกิดความเสียหายอยู่ในระดับล้มละลายพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย ตึกไหน ๆ เค้าก็ไม่พังทลาย ทั้งใหญ่ทั้งสูงกว่า ไปพังทลายตึกเดียว เฉพาะตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ความถูกต้องนั้นมันคือความไม่ถูกต้อง ความไม่ถูกต้องนั้นมันต้องพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง.

 

ปัญญาสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เราต้องพากันมารู้จักปัญหา ทุกคนต้องพากันมาประพฤติปฏิบัติที่ตัวเอง มาทำหน้าที่ของตัวเอง เพราะเหตุผลว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติอยู่ที่ปัจจุบัน การปฏิบัติของเราอยู่ที่ปัจจุบัน สมมติสัจจะทั้งหลายที่เราได้รับการแต่งตั้ง เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติหน้าที่ อย่าไปคิดว่าเราเรียนหนังสือก็เพราะความจำเป็น ทำงานก็เพราะความจำเป็น เป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวชก็เพราะความจำเป็น คิดอย่างนั้นไม่ได้ คิดอย่างนั้นมันเป็นโรคซึมเศร้า คิดอย่างนั้นมันเป็นทุกข์ คิดอย่างนั้นมันมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มีเลย เราทุกคนต้องรู้เข้าใจ ว่าความทุกข์ของเราจะดับลงได้นั้นอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ อยู่ที่เรามีสติสัมปชัญญะ อยู่ที่เรามีความสุขในการทำงานในการทำหน้าที่ เพราะหน้าที่นั้นคือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่

 

เราต้องพากันคิดดูดี ๆ ถ้าเรามีความสุขในการเรียนหนังสือสุขภาพกายเราก็ดี สุขภาพใจของเราก็ดี มันเป็นความพอดีเป็นความพอเพียงเพียงพอ ถ้าเรามีความสุขในการทำงานใจของเราก็ดี สุขภาพร่างกายของเราก็ดี มันเป็นความดีและปัญญา เป็นปัญญาและความดี นี้เป็นปฏิปทา นี้เป็นความดีเป็นบารมีของเราทุก ๆ คน

 

ปัญหาต่าง ๆ นั้นอยู่ที่เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้หยุดตัวหยุดตน  ตัวตนนั้นไม่ใช่ทางสายกลาง พัฒนาวิทยาศาสตร์พัฒนาวัตถุไปเพื่อตัวเพื่อตน จะรวยเท่าไหร่ก็แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะมันคือความไม่อิ่มไม่เต็มไม่พอไม่รู้จักพอ ไม่พอเพียงเพียงพอ ไม่ใช่ว่ามีความทุกข์เพราะไม่มี มันเป็นความทุกข์ที่ไม่รู้จักพอ เราเอาตัวตนเราก็ไม่อยากพัฒนาวัตถุไม่อยากพัฒนาวิทยาศาสตร์ เราก็จะเอาแต่ความสงบเอาแต่วิทยาศาสตร์ เอาแต่ความสงบเอาแต่สมาบัติ เราต้องรู้เข้าใจ ผู้ที่เข้าสมาธิผู้ที่เข้าสมาบัติส่วนใหญ่ก็ไม่เกิน ๗ วัน เมื่อเราออกจากสมาธิออกจากสมาบัติเราต้องบริโภคอาหาร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเดิมก่อนเดิมทีท่านก็เป็นลูกหลานของศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพราหมก็เอาแต่สมาธิสมาบัติเอาแต่เรื่องจิตเรื่องใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมาพิจารณาทบทวนว่า เอาแต่เรื่องจิตเรื่องใจนั้นไม่ได้นะ มันไม่ครบวงจรในการดำเนินชีวิต เราต้องมาพัฒนาใจพัฒนาวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กันให้เป็นทางสายกลางระหว่างวัตถุกับใจ เพื่อจะได้เป็นทางสายกลาง

 

มนุษย์เราต้องรู้ต้องเข้าใจ มนุษย์เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ว่างจากสิ่งที่ไม่มี ว่างจากตาที่เห็นรูปหูฟังเสียงจมูกได้ดมกลิ่นลิ้นได้ลิ้มรสกายได้สัมผัสใจได้รู้สึกนึกคิด มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจ มนุษย์เราต้องว่างจากสิ่งที่มีอยู่ด้วยรู้ความเข้าใจ เรามีตาก็มีรูป มีหูก็มีเสียง มีจมูกก็มีกลิ่น มีลิ้นก็มีรส มีกายถึงมีสัมผัส มีใจถึงมีเรื่องจิตเรื่องใจ เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่นั้นจะมีประโยชน์อะไร คนตายจะมีประโยชน์อะไร คนไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายใสจจะมีประโยชน์ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ จะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเอาหลักการกระบวนการในการเสียสละ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงยกเลิกตัวตน เพราะตัวตนนั้นมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น มีแต่ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไปนอกจาทุกข์ไม่มีเลย มีแต่ทุกข์ทั้งนั้นเปรียบเสมือนทะเลมหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำ เปรียบเสมือนไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อของเพลิง มันบกพร่องอยู่เป็นนิจ ด้วยเหตุนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้เอาหลักการในการดำเนินชีวิตที่เป็นปัจจุบันธรรม ไม่ใช่เอาความหลงนำชีวิต ไม่เอาความผิดนำชีวิต ไม่เอาทุจริตนำชีวิต ไม่คิดว่าความดับทุกข์นั้นอยู่เบื้องหน้าโน้นเทอญพระนิพพานอยู่เบื้องหน้าโน้นเทอญ พระนิพพานต้องอยู่ในปัจจุบัน เป็นการพัฒนาใจกับพัฒนาวัตถุที่อยู่ในปัจุบันนี้

 

ปัจจุบันเราทุกคนถึงมาเน้นที่ตัวเรา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ มนุษย์เราถ้าเรารู้เข้าใจ รู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติที่จะต้องเป็นความดีและปัญญาที่จะก้าวไปพร้อม ๆ กัน มนุษย์ทั้งหลายจะหยุดปัญหาไม่มีปัญหา สิ่งที่เป็นปัญหานั้นก็จะกลายเป็นปัญญา ไม่ถือว่าปัญหานั้นเป็นปัญหา เอาปัญหานั้นมาเป็นปัญญา ด้วยความรู้ความเข้าใจ เพื่อจะไม่ได้ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เพื่อเราทั้งหลายจะได้คืนอธิปไตยให้กับปวงชน เราทั้งหลายจะได้หยุดยกเลิกในการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของปวงชน ปวงชนก็หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่าง

 

มนุษย์เราถึงรู้เข้าใจอย่างนี้ มนุษย์เราถึงต้องมารู้ทุกข์ มารู้เหตุเกิดทุกข์ มารู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ รู้เข้าใจ เห็นภัยในความไม่ถูกต้องหรือว่าเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เพื่อเราจะได้เอาความสงบและปัญญาที่ก้าวไปด้วยปฏิปทาด้วยความรู้ความเข้าใจ สิ่งทั้งหลายจะได้จบลงที่ปัจจุบัน ที่เป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ต้องจบลงในปัจจุบันที่ผัสสะ อย่าให้เวทนาได้ทำงาน รู้เรื่องสิ่งที่เกี่ยวข้องอย่างนี้

 

เราทั้งหลายเป็นมนุษย์ เราต้องมาแก้ไขปัญหาเรื่องทุจริต เพราะปัญหาอยู่ที่ทุจริต เราต้องข้ามทุจริตไป ข้ามสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน ที่มีความสำคัญมั่นหมายว่าธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ นี้ว่าเป็นเราเป็นของเรา ให้เรารู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจมันจะก้าวไปด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ มันจะแก้ปัญหาไม่ได้ ผลสุดท้ายมันก็จะพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินนี้เป็นอย่างเดียวกันเลย ไม่มีผิด

 

เราทุกคนต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติหน้าที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติหน้าที่ที่เอาทางสายกลางระหว่างใจกับวัตถุไปพร้อม ๆ กัน นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ข้าราชการนักการเมือง พ่อค้าประชาชนทุกคนต้องทำหน้าที่ของตัวของเราเองให้สมบูรณ์ อย่าให้ขาดตกบกพร่อง ให้มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติในหน้าที่ เพราะธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ให้เอาปัจจุบันอย่าไปคิดเหมือนแต่ก่อนว่าพระนิพพานอยู่เบื้องหน้าโน้นเทอญ อย่าไปหวังเลยอนาคตเบื้องหน้าโน้นเทือญ เพราะธรรมะนั้นเป็นธรรมเป็นปัจจุบัน เราต้องรู้เข้าใจ อย่าพากันลูบคลำในธุรกิจหน้าที่การงาน เราต้องเสียสละความคิดความเข้าใจอย่างนั้น ความคิดความเข้าใจอย่างนั้นมันเป็นสีลัพพัตตปรามาส มันเป็นการลูบคลำในศีลในข้อวัตรปฏิบัติ

 

มนุษย์เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ต้องเข้าสู่อริยมรรคมีองค์แปด ได้แก่ คิดดี ๆ พูดดี ๆ กิริยามารยาทดี ๆ ยกเลิกตัวตน ทำหน้าที่ของเราอย่างนี้แหละ ทุกคนอย่าเอาตัวตนนำชีวิต อย่าเอาความหลงนำชีวิต อย่าเอาความผิดนำชีวิต อย่าเอาความขี้เกียจขี้คร้านนำชีวิต ต้องมีปิติมีควาสุขในการประพฤติการปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกพวกเราทั้งหลายว่า วาระสำคัญอยู่ที่ปัจจุบันนะ เราทั้งหลายอย่าพากันประมาทในปัจจุบัน ปัจจุบันนี้เป็นสิ่งที่ทรงคุณค่า เราต้องรู้จักคุณค่าของลมปราณลมหายใจ เราจะได้ใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์ เกิดความคุ้มค่า

 

มนุษย์เราต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ รู้เข้าใจ ด้วยเหตุผลนี้ มนุษย์เราถึงไม่ต้องไปแก้ไขคนอื่น แก้ที่ตัวของเราเอง มีความตั้งใจตั้งเจตนา เราคิดดี ๆ มันดีทั้งกายดีทั้งใจ เราพูดดี ๆ มันก็ดีทั้งกายดีทั้งใจ กิริยามารยาทดี ๆ มันดีทั้งกิริยามารยาทดีทั้งใจ อาชีพดี ๆ ยกเลิกตัวตน มันก็จะดีทั้งอาชีพดีทั้งใจ อาชีพดี ๆ คืออาชีพที่เอาความสงบและปัญญาที่ก้าวไปด้วยความพอเพียงเพียงพอความ พอดีมันเป็นความดับทุกข์ได้ในปัจจุบัน เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ไม่ต้องไปหาความดับทุกข์อยู่ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ ต้องหาความดับทุกข์ในปัจจุบัน เราต้องทำหน้าที่ของเราให้มีความสุขที่สุดในปัจจุบัน เมื่อมันผ่านไปแล้วเราทุกคนต้องปล่อยวาง ที่ว่ายึดมั่นหมายถึงรู้เข้าใจ ทำงานให้มีความสุขเรียกว่ายึดมั่นถือมั่น เมื่อมันผ่านไปแล้วเราก็เอาศัพท์ที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น เพราะมันผ่านไปแล้วเป็นอดีตไปแล้ว เราต้องปล่อยวาง

 

มนุษย์เราปัจจุบันรู้อริยสัจสี่ที่มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัตินี้เป็นความยึดมั่นที่เป็นความดีและปัญญา ที่ก้าวไปด้วยความดีและปัญญา เมื่อมันผ่านไปแล้วก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นเพราะไม่ใช่เรื่องปัจจุบันมันเนอดีตไปแล้วมันเกษียณไปแล้วเราต้องปล่อยวาง ถ้าเราไม่ปล่อยวางมันก็ไม่สมบูรณ์เพราะเป็นอดีต ใจของเราต้องอยู่กับปัจจุบัน เราจะเข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบันไม่ใช่พระนิพพานในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ เราทุกคนพากันรู้พากันเข้าใจในหลักการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ หลักการของมนุษย์ มนุษย์เราทุกคนในโลกนี้ ๒๔ ชั่วโมงคือเป็นเวลาที่ประพฤติปฏิบัติธรรม เป็นการทำหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่

 

๒๔ ชั่วโมง มนุษย์เราต้องนอนพักผ่อนที่ตัดเรื่องอดีตไปเพื่อให้เป็นปัจจุบันธรรม มนุษย์เราพักผ่อน ๕ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมง เพื่อให้แก่สรีระร่างกาย เพื่อร่างกายจะได้นอนจะได้พักผ่อน การนอนการพักผ่อนเป็นการยกเลิกอดีตอนาคต ปัจจุบันก็เข้าสู่ความว่างจากตัวตน การนอนการพักผ่อนถึงเป็นการปล่อยวางเพื่อเข้าสู่ความว่างจากนิติบุคคลตัวตน การนอนการพักผ่อนนี้เป็นความสงบที่ประกอบด้วยปัญญา

 

มนุษย์เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เพื่อให้กายให้ระบบสมองกับระบบลมหายใจมันรวมตัวกัน สมองก็หยุดทำงาน กายก็หยุดทำงาน เพื่อว่างจากตัวตน พระอรหันต์ พระพุทธเจ้า ผู้ยกเลิกตัวตน ผู้ยกเลิกความกังวล ผู้ไม่มีตัวมีตนถึงไม่มีความฝันเหมือนสามัญชนทั่วไป เป็นสติเป็นสัมปชัญญะ เป็นความว่าง เป็นการปล่อยวางจากตัวจากตน การนอนการพักผ่อนถึงเป็นความว่างจากนิติบุคคลตัวตน มนุษย์เราถึงต้องนอนพักผ่อน ๕ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมง เวลาตื่นอยู่ของมนุษย์เป็นเวลาที่ประพฤติปฏิบัติธรรม ทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพอย่างมีความสุข เพราะมนุษย์เราต้องรู้เข้าใจ ต้องมีปิติสุขเอกัคคตาในการทำหน้าที่ในปัจจุบัน เพื่อเน้นปัจจุบันทั้งสติทั้งสัมปชัญญะ เราต้องรู้เข้าใจ ความดับทุกข์นั้นอยู่ที่มีสติมีสัมปชัญญะ

 

มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจนะ ถ้ามีสติสัมปชัญญะแล้วความทุกข์นั้นจะไม่มีเลย ความทุกข์ในใจของเรามีได้ ก็เพราะไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ เมื่อเรารู้เข้าใจ เราเสียสละ มีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการเอาความดีนำชีวิต ความดีก็ได้แก่คิดดูดี ๆ พูดดี ๆ กิริยามารยาทดี ๆ ยกเลิกตัวตน นี้คือความดี ความดีที่ประกอบด้วยปัญญา  ให้เราพากันเข้าใจอย่างนี้ เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่ใช่ความดีไม่ใช่บารมีไม่ใช่ปัญญา มันเป็นนิติบุคคลตัวตน ด้วยเหตุนี้เราทุกคนต้องมีความสุขในกายวาจากิริยามารยาทอาชีพที่ประกอบความดีและปัญญา เพื่อให้ปฏิปทาของเราก้าวไปที่เป็นศีลเป็นสมาธิที่เป็นปัญญา

 

ความดับทุกข์ของหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายนั้นถึงอยู่ที่ปัจจุบันของเราทุกคนไม่ใช่อยู่ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ ต้องอยู่ที่ปัจจุบันที่เรามีสติมีสัมปชัญญะ ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะเราก็จะมีความอิ่มความเต็มความพอเพียงเพียงพอ เหมือนคติธรรในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลเดชรัชกาลที่ ๙ ของเมืองไทยท่นตรัสคติธรรมว่า เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอด้วยความร็ความเข้าใจด้วยปัญญา เราอยากได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่าท่าเดิม อยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่าเท่าเดิม ความรู้จักพอเพียงเพียงพอมันจะเป็นความพอดี มันจะเป็นความเป็นอยู่ด้วยความพอเพียงเพียงพอ ผู้มีปัญญามาก ๆ ก็ต้องมีความสงบมาก ๆ อย่าไปฟุ้งซ่าน ผู้มีความสงบมาก ๆ อย่างสมณะชีพราหมณ์ก็ต้องเสียสละ ถ้าไม่เสียสละมันก็ได้แก่สมาธิได้แค่สมาบัติ

 

ตัวตนนี้คือคอร์รัปชั่นนะ เราต้องมาแก้ปัญหาเรื่องคอร์รัปชั่น เราสมัครสมานสามัคคีกันเพื่อแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น เราไม่ต้องไปเน้นที่ใคร ทำเหมือนพระพุทธเจ้า มาเน้นที่ตัวเรา มาเน้นที่ความรู้ความเข้าใจ มนุษย์เราต้องไม่คอร์รัปชั่น ต้องมาหยุดคอร์รัปชั่น มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจนะ เพียงแต่หยุดตัวหยุดตน หยุดคอร์รัปชั่น ก็จะไม่มีความทุกข์แล้ว

 

คอร์รัปชั่นคือความไม่อิ่มไม่เต็มไม่พอไม่รู้จักพอ เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้เข้าใจมันก็แก้ปัญหาไม่ได้ เราทุกคนต้องรู้เข้าใจ ต้องหยุดตัวหยุดตนหยุดคอร์รัปชั่น เราจะได้เป็นมนุษย์ผู้รู้ผู้เข้าใจผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเราก็จะเป็นได้แต่เพียงคน คำว่าคนนี้หมายถึงความไม่รู้ไม่เข้าใจ เดินไปแล้วกลับมา วกวนอยู่ที่เก่า ย่ำต๊อกอยู่ที่เก่าในที่เดิม ศัพท์คำว่าคนมีความหมายอย่างนี้

 

ศัพท์คำว่ามนุษย์คือผู้รู้ผู้เข้าใจ ผู้เห็นภัยในความผิด เห็นภัยในความไม่ถูกต้อง เห็นภัยในวัฏฏสงสารเป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป มีปิติมีความสุขในการทำหน้าที่ มีความสุขในการทำงานในปัจจุบัน สิ่งทั้งหลายทั้งปวงจะได้เป็นความดีและปัญญา ก้าวไปด้วยความสงบและปัญญาที่เป็นสติเป็นสัมปชัญญะ ความดับทุกข์ของมนุษย์มันมีอยู่อย่างนี้ เราจะไม่ได้วิ่งตามสิ่งต่าง ๆ ไป เราทั้งหลายไม่รู้ไม่เข้าใจ วิ่งไปตามรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธธรรมารมณ์ อะไรมันวิ่งล่ะ ใจนั่นแหละวิ่ง ใจนั่นแหละมันไม่หยุด ใจมันฟุ้งซ่าน

 

เราทั้งหลายต้องมารู้เข้าใจ ทุกคนจะได้มายกเลิกความไม่ถูกต้อง ความไม่ถูกต้องคือความเห็นผิดเข้าใจผิดเลยพากันปฏิบัติผิด เรียนหนังสือก็เพื่อจะเอาเพื่อจะมีเพื่อจะเป็นทำงานก็เพื่อจะเอาเพื่อจะมีเพื่อจะเป็น เป็นข้าราชการก็เพื่อจะเอาเพื่อจะมีเพื่อจะเป็น เป็นนักการเมืองก็เพื่อจะเอาเพื่อจะมีเพื่อจะเป็น เป็นนักบวชก็เพื่อจะเอาเพื่อจะมีเพื่อจะเป็น ชีวิตนี้เลยไม่อิ่มไม่เต็มไม่พอไม่เพียงพอ เลยไม่เข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียงเพียงพอซักทีเลย เลยมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไปนอกจากทุกข์ไม่มีเลย มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ให้เรามาเอาความสุขจากความหลงนะ เอาความสุขจากความหลงนี้ไม่ได้นะ เราอย่าไปคิดว่าจะเอาตัวรอด เอาตัวรอดในทางที่ไม่รอดไม่ได้นะ มันรอดตายก็จริงแต่ว่ามันอยู่ในวงจรที่วกไปวนมา ที่เป็นได้แต่เพียงคน ไม่ใช่มนุษย์เทวดาพรหมพระอริยเจ้าผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร มันไม่รอดบาปรอดกรรมรอดเวรรอดภัยนะ

 

เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจ สิ่งที่เราพัฒนาวิทยาศาสตร์ที่เป็นวัตถุนั้นมันจะเป็นโทษ มันจะไม่ใช่ความสุขที่เป็นคุณ มันจะเป็นความสุขที่มีโทษนะ มันจะไม่ได้เป็นกามคุณนะ มันจะเป็นกามโทษ เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราพัฒนาวิทยาศาสตร์เพียงบรรเทาทุกข์ทางสรีระร่างกาย การบรรเทาทุกข์ทางสรีระร่างกายด้วยการทานอาหารด้วยการพักผ่อนด้วยการเปลี่ยนอิริยาบถที่มีบ้านมีรถมีเครื่องบิน มีสิ่งที่อำนวยความสะดวกความสบาย ให้เรารู้เข้าใจมันเพียงบรรเทาทุกข์เพียงส่วนร่างกาย เพราะเราเป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐเราต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพื่อเอาร่างกายที่มีอายุขัยปัจจุบันนี้อยู่ได้ร่วม ๆ ศตวรรษหนึ่งคือร้อยปี เพื่อร่างกายของเราจะไม่ได้มีทุกข์มากเกิน ให้เราเข้าใจอย่างนี้ เราต้องรู้ต้องเข้าใจว่าสรีระร่างกายนี้คือเหตุคือปัจจัย ไม่ใช่เราไม่ใช่คนอื่น นี้คือเหตุคือปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี เป็นสิ่งที่สัญจรไปมาชั่วครู่ชั่วยาม ด้วยเหตุผลนี้เราถึงต้องพัฒนาทั้งเรื่องจิตเรื่องใจ พัฒนาวัตถุเพื่อเอาทางวิทยาศาสตร์นำวัตถุ เพื่อเอาวิทยาศาสตร์กับใจมาบำเพ็ญความดีบำเพ็ญบารมีในเบื้องต้นท่ามกลางถึงที่สุด เพื่อเข้าถึงพระนิพพานคือความพอดี ความพอเพียงเพียงพอในปัจจุบัน ไม่ต้องคิดเหมือนแต่ก่อน ว่าพระนิพพานอยู่ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ อย่างนี้ไม่ใช่ พระนิพพานต้องอยู่ในปัจจุบัน เราถึงทำหน้าที่ของเราในปัจจุบันดี ๆ ด้วยปิติด้วยความสุขด้วยเอกัคคตา

 

เราเป็นมนุษย์เป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวช ต้องทำหน้าที่ดี ๆ ที่ประกอบด้วยปัญญาอย่างนี้ ปัญหาต่าง ๆ นั้นอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ เราพากันยกเลิกตัวตน ยกเลิกทุจริต เราไม่ต้องไปแก้ปัญหาอย่างอื่น เราจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจเราต้องแก้ปัญหาเรื่องการทุจริต เราถึงจะเป็นมนุษย์เป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวช เป็นผู้รู้ผู้เข้าใจ ผู้เห็นภัยในความไม่ถูกต้อง เมื่อเราเห็นภัยในความไม่ถูกต้องเราจะได้ประพฤติปฏิบัติเพื่อจะให้เกิดความมั่นคงของชาติศาสน์กษัตริย์

 

ชาตินี้ก็หมายถึงความเกิด ความเกิดนั้นต้องเกิดจากปัญญาสัมมาทิฏฐิที่เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญาที่ยกเลิกความผิด ยกเลิกตัวตน ยกเลิกการทุจริต

 

เราเป็นคนใจดีเราเป็นคนมีปัญญาสัมมาทิฏฐิยกเลิกตัวตน ร่างกายของเราก็จะดี จิตใจของเราก็จะดี มีความสุขทั้งกายมีความสุขทั้งใจ เมื่อเรามีความสุขทั้งกายทั้งใจเราก็ต้องพูดดี ๆ ใจของเราก็ยิ่งดีเพราะเรามีปัญญา คนอื่นเค้ารู้เค้าเห็นเค้าก็มีความสุข เป็นทั้งประโยชน์ตนประโยชน์คนอื่น นี้มันดีมันเพอร์เฟค ซุปเปอร์แห่งความดีและปัญญา

 

เรากิริยามารยาทดีมาก มีคุณสมบัติผู้ดี ไม่เป็นคนหยาบ ไม่เป็นคนสกปรก คนคือคนหยาบคือคนสกปรกนะ เป็นคนเห็นแก่ตัว เป็นคนที่น่าเกลียดมาก ตัวตนที่ท่านหลวงตามหาบัวท่านตรัสว่า ตัวตนนี้ไม่ได้นะ ตัวตนนี้มันเหม็นสามแดนโลกธาตุโน้น ไม่ใช่เหม็นธรรมดา เรายกเลิกตัวตนมันจะทวนลมทวนโลกทวนกระแส เราก็จะเป็นคนละเอียดรอบคอบ เรายกเลิกตัวตนเราก็เป็นคนละเอียดรอบ ละเอียดปราณีต เรายกเลิกตัวเราก็มีความสุข ไม่มีความสุขไหนการยกเลิกตัวตน เราไม่มองข้ามปัจจุบันในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ลงรายละเอียดไม่เป็นคนหยาบ ไม่เป็นสาเหตุให้เราฟุ้งซ่าน

 

รู้จักลงรายละเอียดในกายวาจากิริยามารยาท เราทำอย่างนี้กิริยามารยาทอย่างนี้มันก็ทำให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อตัวเราเองทั้งส่วนรวม อาชีพที่ดี ๆ ต้องเป็นอาชีพที่ยกเลิกตัวตน อาชีพที่ยกเลิกตัวกูของกู เราทุกคนต้องเดินตามรอยพระยุคลบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำเหมือนท่าน ทำเหมือนท่านน่ะมันไม่ตายมันเป็นอมตะ เพราะยกเลิกตัวตน ตัวตนนั้นคือความไม่แก่ไม่ตายคืออมตะ สติสัมปชัญญะที่ยกเลิกตัวตนถึงเป็นธรรมะที่เป็นอมตะที่จบลงในปัจจุบัน ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ รู้เข้าใจ จบลงได้ในปัจจุบันที่เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา

 

 มนุษย์เราผู้ที่ประเสริฐ อาศัยปัญญาสัมมาทิฏฐิ ดำเนินชีวิตด้วยความรู้ความเข้าใจ ยกเลิกตัวตน เข้าถึงความพอดีเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ

 

การประพฤติการปฏิบัติมันเป็นปัจจุบัน ปัจจุบันจะอบรมบ่มอินทรีย์ของเราไปเรื่อย ๆ ทั้งทางจิตใจทางวิทยาศาสตร์จะอบรมบ่มอินทรีย์ไปเรื่อย ๆ เราทุกคนต้องพากันทำอย่างนี้

 

วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์ให้เข้าใจว่าเป็นการทำงานกับการปฏิบัติธรรมไปพร้อม ๆ กัน การทำงานกับการปฏิบัติธรรมมันแยกกันไม่ได้เลย ถ้าแยกกันมันจะเสียหาย มันจะพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ไม่มีผิด ให้ถือเอาตึก สตง.เป็นพยาน มันพังทลายอย่างนั้น

 

วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำธุรกิจหน้าที่การงาน มาเน้นเรื่องจิตเรื่องใจ ใครอยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติในที่นั่น ยกเลิกธุรกิจหน้าที่การงาน ให้พากันเจริญสติคือความสงบ ให้พากันเจริญสัมปชัญญะคือตัวปัญญา เพื่ออบรมบ่มอินทรีย์ปฏิปทา เพื่อเป็นความมั่นคงของชาติศาสน์กษัตริย์ ประชาชนทุกคนในสากลโลกนี้ต้องปฏิบัติเหมือนกัน เพราะธรรมะเป็นสากล เช่นความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากนี้เป็นสากล ความทุกข์ทางกายก็เผป็นสากลความทุกข์ทางใจก็เป็นสากล ให้รู้เข้าใจ สวรรค์ก็ใช้สวรรค์อันเดียวกันนั่นแหละ นรกก็ใช้นรกอันเดียวกันนั่นแหละ พรหมโลก สมาธิสมาบัติก็ใช้อันเดียวกันนั่นแหละ นิพพานคือความดับไม่เหลือคือสติสัมปชัญญะก็คืออันเดียวกันนี้แหละ เราร็เข้าใจมันไม่อยู่ไม่ไกลไม่ใกล้ที่กายวาจากิริยามารยาทอาชีพที่ยกเลิกตัวตน เราทุกคนมารู้มาเข้าใจ

 

เราทั้งหลายมาระลึกถึงปัจฉฺมโอวาทของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่ท่านจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ท่านได้ตรัสปัจฉิมโอวาทไว้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของชั่วครู่ชั่วยามมีความเสื่อมสลายเป็นธรรมดาท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด ท่านได้ตรัสเป็นภาษาบาลีไว้ว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร

 

ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรมมาประพฤติมาปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง

 

 ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น

 

-------------------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันศุกร์ที่ ๒๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

Visitors: 104,506