๒๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

พสกนิกรชาวไทยและชาวต่างประเทศได้มาร่วมรวมกันประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความโทมนัสและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน พระองค์ทรงเป็นดั่งแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและพระปรีชาสามารถ ทรงอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระราชหฤทัยในการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อธำรงไว้ซึ่งความผาสุกและความมั่นคงแห่งชาติไทย เราประชาชนชาวไทยต้องร่วมใจสมัครสมานสามัคคีทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่ออุทิศบุญกุศลน้อมเกล้าถวาย เพื่อเสด็จสู่สวรรคาลัย เข้าสู่สวรรค์มรรคผลพระนิพพาน

 

วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ ๒๔ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

 

วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำงานกับเป็นวันปฏิบัติธรรมไปพร้อม ๆ กัน ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราตั้งใจตั้งเจตนา เพื่อเอาการทำงานกับการปฏิบัติเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา ปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญ อดีตก็มารวมกันที่ปัจจุบัน อนาคตจะไปข้างหน้าก็มารวมกันที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราทุกคนต้องตั้งใจตั้งเจตนา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติในการปฏิบัติ เพื่อให้กายวาจากิริยามารยาทอาชีพนี้ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ สติสัมปชัญญะที่เป็นธรรมะที่มีคุณมีอุปการะมาก เพื่อสติและสัมปชัญญะจะได้ก้าวไปพร้อม ๆ กัน ที่เป็นความสงบและปัญญา ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เพื่อเข้าสู่การประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราทุกคนต้องไม่ทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย ต้องเอาพระธรรมพระวินัยเป็นหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเข้าสู่ภาคบำบัด กายวาจากิริยามารยาทอาชีพทำได้ทีละอย่าง เมื่อเรารู้เข้าใจ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ

 

เราพากันนอนพากันพักผ่อนให้เพียงพอ เราพากันนอนพากันพักผ่อน ๕ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมง ให้เรารู้เข้าใจ ความดับทุกข์ของเรานั้นดับทุกข์ที่ปัจจุบัน ไม่ใช่อยู่ที่อนาคต มันอยู่ที่ปัจจุบัน เราทุกคนจะดับทุกข์ไม่มีทุกข์ได้ เพราะเรามีสติมีสัมปชัญญะ มีความตั้งใจตั้งเจตนา มีปิติมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติในปัจจุบันในหน้าที่ ความดีและปัญญาต้องเป็นปฏิปทาของเราทุก ๆ คน

 

ให้ทุกคนพากันรู้กายวาจากิริยามารยาทอาชีพเป็นเพียงอุปกรณ์ของใจ ใจของเราต้องรู้ต้องเข้าใจ จะได้ตั้งใจตั้งเจตนา เราทุกคนต้องไม่ตรึกในกาม ต้องไม่ตรึกในพยาบาท ต้องรู้ต้องเข้าใจ เห็นภัยในความตรึกนึกคิด มีความละอายต่อบาป มีความเกรงกลัวต่อบาป ผัสสะที่เกิดขึ้นกับเราทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพให้มันจบลงที่ผัสสะ จบลงที่ปัจจุบัน อย่าให้สัญชาตญาณที่มันเป็นตัวเป็นตนที่จะให้เราตรึกนึกคิดในกาม ตรึกนึกคิดในพยาบาท อย่าให้เกิดเวทนา

 

เราต้องรู้เข้าใจ เป็นผู้ละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาป ปัจจุบันในชีวิตประจำวันเราทุกคนต้องตั้งใจตั้งเจตนา เราอย่าไปตามผัสสะ อย่าไปตามสิ่งแวดล้อม ให้เอาผัสสะนั้นให้เป็นปัญญา อย่าไปเอาผัสสะนั้นให้มันเป็นปัญหา ให้ผัสสะนั้นมันเป็นปัญญา เราทุกคนต้องรู้ผัสสะ ยกผัสสะที่มันเกิดกับเราทางตาหูจมูกลิ้นกายใจเข้าสู่พระไตรลักษณ์ ให้เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้แหละมันเป็นเพียงอาคันตุกะที่สัญจรไปมาทางตาหูจมูกลิ้นกายใจชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น เราต้องรู้เข้าใจด้วยมีสติมีสัมปชัญญะ เพื่อให้ทุกอย่างมันจบลงในปัจจุบัน จบลงที่ผัสสะ ให้ใจของเราเกิดปัญญา เกิดวิปัสสนา เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราทุกคนต้องขอบใจผัสสะทั้งหลายที่เปิดโอกาสให้เราได้ประพฤติได้ปฏิบัติธรรม เราจะได้ทำหน้าที่ด้วยเหตุผลว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือการปฏิบัติธรรมของเรา

 

วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำงานกับการปฏิบัติธรรมไปพร้อม ๆ กัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อเป็นมรรคเป็นอริยมรรค เป็นความสงบและปัญญาไปพร้อม ๆ กัน วันเสาร์วันอาทิตย์ เป็นวันหยุดทำงานภายนอกทั้งหมด เป็นวันทำงานเรื่องจิตเรื่องใจ เพื่อพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจ พระศาสนาเป็นทางสายกลางระหว่างการพัฒนาวัตถุกับการพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน เพื่อประสานติดต่อต่อเนื่องกัน ทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ เพื่อเป็นหนึ่งเดียว เป็นสติเป็นสัมปชัญญะ

 

หลักอานาปานสติ... อานาปานสติได้แก่ลมหายใจ เราต้องเอามาใช้เอามาปฏิบัติ เพื่อเราจะได้มีสติมีสัมปชัญญะ เป็นหลักการที่ดี ด้วยการเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ เราใช้อานาปานสติได้ทุก ๆ อิริยาบถ อิริยาบถยืนเดินนั่งนอน เราเอาหลักเจริญลมปราณ เจริญอานาปานสติ เพื่อสติสัมปชัญญะของเราจะได้สมบูรณ์ เราหายใจเข้าก็ให้รู้ชัดเจน หายใจออกก็ให้รู้ชัดเจน หายใจเข้าก็มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมในการหายใจเข้า หายใจออกก็มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมในการหายใจออก หายใจเข้าก็ให้สบาย หายใจออกก็ให้สบาย เพื่อเราจะได้มีหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเราจะดึงสติสัมปชัญญะของเรากลับมาที่ปัจจุบัน เพื่อใจของเราจะไม่ได้หลง ใจของเราจะไม่ได้ไปตามผัสสะ ใจของเราจะได้อยู่กับเนื้อกับตัว ใจของเราจะได้อยู่กับสติสัมปชัญญะ

 

เราเจริญภาวนาวิปัสสนาไปในตัวก็ได้ เช่น หายใจเข้าเราก็รู้ว่ามันไม่แน่ไม่เที่ยง เข้าไปแล้วก็ออกมา ออกมาแล้วก็เข้าไป มีแต่ไม่แน่ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นเพียงเหตุเป็นเพียงปัจจัย เราต้องรู้เข้าใจว่าทุกอย่างไม่แน่ไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน อะไรก็ล้วนแต่ไม่แน่ ล้วนแต่ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตัว เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เป็นอาคันตุกะที่สัญจรไปมาชั่วครู่ชั่วยาม เราทำอย่างนี้ก็ได้ปฏิบัติอย่างนี้ก็ได้

 

การนั่งสมาธิเราก็ใช้หลักอานาปานสตินี้แหละ เพื่อให้ใจของเราอยู่กับลมหายใจเข้าหายใจออก เพราะเราจะได้เป็นหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ ธรรมะเราต้องรู้เข้าใจ ธรรมะนั้นเป็นสภาวธรรมเป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี ความไม่รู้ความไม่เข้าใจด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องธรรมะเรื่องสภาวธรรม มันเลยเป็นสัญชาตญาณ เป็นนิติบุคคลตัวตน ความไม่รู้ไม่เข้าใจนี้จึงเอาธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕อายตนะ ๑๒ นี้มาเป็นเรา มาเป็นคนอื่น

 

การปฏิบัติธรรมถึงเป็นการทำหน้าที่ เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการทำหน้าที่ให้ดี ๆ ที่ประกอบด้วยปัญญา เพราะสภาวธรรมนั้นไม่ได้เพิ่มไม่ได้ตัด เพียงแต่มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ความสงบ ความพอเพียงเพียงพอก็จะเกิดขึ้นมาเอง อยู่ในตัวของตัวการประพฤติของการปฏิบัตินั้นเอง

 

เราอย่าไปอยากหรือไม่อยาก เราต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติในหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ไม่ใช่ไปตัดออก ไม่ใช่ไปเพิ่ม ให้เรารู้ให้เข้าใจ สมมติต่าง ๆ ที่สมมติไว้ทั้งหลายมีทั้งผิดทั้งถูก ทั้งดีทั้งชั่ว ไม่ผิดไม่ถูก ไม่ดีไม่ชั่ว เราต้องเอาสมมติที่ท่านแต่งตั้งไว้ มาทำหน้าที่ให้มีความสุขในการปฏิบัติต่อสมมตินั้น ๆ เราอย่าไปมองข้ามสมมติน้อยใหญ่ เราต้องลงรายละเอียดทั้งกายวาจากิริยามารยาทมารวมลงที่ใจ รวมลงที่เจตนา ด้วยปิติด้วยความสุขเอกัคคตา เพื่อให้สติสัมปชัญญะของเราสมบูรณ์ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พวกเราทั้งหลายต้องไม่ตั้งอยู่ในความประมาท เราจะไปประมาทนั้นไม่ได้ ความประมาทนั้นคือความผิดพลาดคือความเสียหาย จะเป็นเหตุให้พังทลายเช่นเดียวกันกับตึกสตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย ตึกไหน ๆ เค้าก็ไม่พัง ไปพังตึกเดียว เพราะเป็นความผิดเป็นทุจริตเป็นความเสียหาย

 

ความสงบกับความเคารพถึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เราต้องเคารพในอภิสิทธิ์ชน เราต้องเคารพในพระธรรมในพระวินัย เคารพในสมมติสัจจะทั้งหลาย เราอย่าเป็นคนหยาบ ต้องเป็นคนสงบเป็นคนเคารพ เพื่อเข้าหาพระธรรมเข้าหาพระวินัย เข้าหาธรรมเข้าหาปัจจุบันธรรม เพื่อยกเลิกความผิดยกเลิกตัวตน

 

เราทุกคนต้องไม่ยกหูชูงวง เราต้องคิดดี ๆ พูดดี ๆ กิริยามารยาทดี ๆ อาชีพดี ๆ ด้วยยกเลิกตัวตน อย่าให้อาชีพนั้นเป็นทิฏฐิมานะ เป็นอัตตาตัวตน เราทั้งหลายต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ อย่าเอาตัวตนนำชีวิตอย่าเอาความผิดนำชีวิตมันจะเสียหายมันจะพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง.

 

ความดับทุกข์ของเรา ความไม่มีทุกข์ของเรา เราต้องรู้เข้าใจ ความดับทุกข์ความไม่มีทุกข์ของเราอยู่ที่เราทำหน้าที่ อยู่ที่เราเอาธรรมนำชีวิต อยู่ที่เรามีสติมีสัมปชัญญะ เรามีสติสัมปชัญญะเมื่อเราความทุกข์นั้นก็จะไม่มี เรามีความทุกข์ได้เพราะเราไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ

 

เราพากันมาเสียสละ การเสียสละนั้นคือมามีสติสัมปชัญญะนี้แหละ ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะเมื่อไหร่ เมื่อนั้นคือการเสียสละ ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะเมื่อไหร่นั่นแหละเรามีศีลมีสมาธิมีปัญญา เพราะสติสัมปชัญญะนั้นคือการเสียสละ คือศีลคือสมาธิคือปัญญา นั้นคืออนัตตาที่ยกเลิกตัวยกเลิกตน ชีวิตของเราจะมีแต่ความสงบ จะมีแต่ปัญญา ก้าวไปด้วยปฏิปทาที่เป็นอริยมรรคทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจที่มีความสงบมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา เมื่อมันผ่านไปแล้วก็ปล่อยก็วางเพราะผ่านไปแล้วเกษียณไปแล้ว เราต้องมีสติมีสัมปชัญญะ

 

วันเสาร์วันอาทิตย์ถึงเป็นการพัฒนาจิตใจเพื่อสติสัมปชัญญะ เพื่อเนกขัมมะ เพื่อเราจะไม่ได้ติดในความสุขความสะดวกความสบาย เพราะการพัฒนากายวาจากิริยามารยาทอาชีพจะทำให้มนุษย์ได้รับความสุข อำนวยความสุขทางวัตถุทางวิทยาศาสตร์ เพื่อไม่ให้หลงในทางวัตถุทางวิทยาศาสตร์ หลักการจึงให้มีวันเสาร์วันอาทิตย์เพื่อพัฒนาจิตใจ เพื่อเจริญสติสัมปชัญญะ เพื่อพัฒนาสมถะวิปัสสนา

 

ตามหลักการของหมู่มวลมนุษย์แล้วในปัจจุบันต้องมีสติสัมปชัญญะอยู่ในระดับขณิกสมาธิ ความสงบและปัญญานั้นจะอยู่ในระดับขณิกสมาธิ อันหนึ่งความสงบอันหนึ่งปัญญา ปัญญากับความสงบต้องเดินควบคู่กันไป เมื่อยกเลิกความผิดหรือว่ายกเลิกนิวรณ์ทั้ง ๕ ยกเลิกอคติทั้ง ๔ ในชีวิตของเรา ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะ ใจของเราจะตั้งอยู่ในขณิกสมาธิ สมาธิกับปัญญาจะก้าวไปตามหลักขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิไปในตัว ธรรมะถึงเป็นหน้าที่ หน้าที่ถึงเป็นธรรมะ เราทุกคนต้องมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติหน้าที่

 

เราทุกคนต้องบูชาธรรมะ บูชาหน้าที่ เพราะพระธรรมพระวินัยมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์หาโทษมิได้เลย คิดหาโทษไม่มีเลย คิดจนหัวจะแตกจะระเบิดก็ไม่มีโทษน่ะ พระธรรมพระวินัยถึงเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นปฏิปทา เป็นธรรม เป็นคุณธรรม เป็นคุณสมบัติของผู้ดีของคนดี เป็นผู้ที่กตัญญูกตเวทีไปในตัว

 

คารวธรรมที่เป็นคุณธรรมของผู้ดีของคนดี คารวธรรม ๖ อย่างเป็นคุณธรรมเป็นคุณสมบัติของผู้ดีของคนดี คารวธรรมนั้นมีอะไรบ้าง คารวธรรมได้แก่

 

 คารวะ หรือ คารวตา ๖ ความเคารพถือเป็นสิ่งสำคัญ ความเคารพกับความสงบมันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวกัน ถ้าเรามีความเคารพมันก็จะสงบ ถ้าเรามีความสงบมันก็มีความเคารพ ความสงบความเคารพถึงเป็นธรรมเป็นคุณธรรมของความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นการยกเลิกนิติบุคคลตัวตน อัตตาตัวตน ผู้มีปัญญามาก ๆ ก็ต้องมีความเคารพต้องมีความสงบมาก ๆ

 

เราทุกคนพึงใส่ใจเอาใจใส่และปฏิบัติด้วยความเอื้อเฟื้อด้วยความตั้งใจตั้งเจตนาอย่างสูงสุด ไม่ตั้งอยู่ในฐานะแห่งความประมาท โดยความตั้งใจมั่นเอาจริงเอาจัง เพื่อเป็นหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเราจะได้ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ เราจะได้เอาปัญหาต่าง ๆ นั้นให้เป็นปัญญา มองให้เห็นด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ เห็นคุณค่า เห็นความสำคัญต่อสมมตินั้น ๆ เพื่อผู้ปฏิบัตินั้นจะได้หายพยศ ลดมานะ ละทิฏฐิ เพื่อความสงบและปัญญาจะได้ทำงานเป็นปฏิปทาก้าวไปในปัจจุบัน ด้วยปัญญา ด้วยความถูกต้อง ด้วยความจริงใจ เป็นเหตุให้เกิดสติเกิดปัญญา เป็นโอกาสเป็นเวลาที่เราจะได้ละอัตตาตัวตน เราทั้งหลายจะได้มีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา

 

๑.                 สัตถุคารวตา ความเคารพในพระรัตนตรัย พระรัตนตรัยได้แก่พระธรรมพระวินัย เป็นทั้งคำสั่งเป็นทั้งคำสอน เพื่อให้พวกเราทั้งหลายได้ประพฤติได้ปฏิบัติ ถ้าไม่มีพระธรรมพระวินัย ไม่มีการประพฤติการปฏิบัติก็จะไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย ด้วยเหตุผลนี้เราถึงเคารพในพระรัตนตรัย คือพระธรรมพระวินัย เราจะได้เข้าถึงความสงบเข้าถึงปัญญา พระรัตนตรัยเป็นความสงบและเป็นปัญญา เป็นความเคารพเป็นความสงบ ให้เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาเพื่อเอากายวาจากิริยามารยาทมารวมลงที่ใจที่เจตนา เพื่อจะหยุดสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพื่อจะทำในสิ่งที่ถูกต้องที่เป็นคำสั่งให้หยุด เป็นคำสั่งที่ให้ทำน่ะ จะเป็นความสงบเป็นความพอเพียงเป็นความพอดี ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป เป็นทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับเรื่องวัตถุ เป็นทางายกลางไปพร้อม ๆ กัน

 

พระรัตนตรัยเป็นหลักการที่ให้เราสัญชาตญาณที่ต้องยกเลิกนิติบุคคลยกเลิกตัวตน เราต้องรู้เข้าใจ ถ้ามีตัวตนมีตนมันก็มีสัญชาตญาณ สัญชาตญาณให้เรารู้ให้เข้าใจ ที่มันเป็นตัวตนนี้แหละ เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราจะหยุดสัญญาณได้ก็ด้วยพระรัตนตรัยด้วยพระธรรมพระวินัย ให้ทุกคนเข้าใจนะ พระธรรมพระวินัยข้อวัตรข้อปฏิบัติถึงมีคุณมีอุปการคุณต่อเรา มันเป็นการเอาตัวรอดด้วยการเอาพระรัตนตรัยนำชีวิต เราทุกคนทั้งต้องสมานทานต้องตั้งใจเอาพระรัตนตรัยนำชีวิต ด้วยเอาพระธรรมพระวินัยนำชีวิต ยกเลิกความผิด เมื่อเรายกเลิกความผิดมันก็ถูกต้องที่เป็นบริสุทธิคุณ เราต้องเอาตัวรอดด้วยพระธรรมพระวินัย ด้วยพระรัตนตรัย เราจะได้ตัวรอดทั้งธาตุทั้งขันธ์ทั้งอายตนะทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน

 

การที่เราไม่ได้เอาความถูกต้อง ไม่ได้เอาพระรัตนตรัยนำชีวิต การเอาตัวเอาตนนำชีวิต เอาอีโก้นำชีวิต

ข้อนี้ได้บันทึกไว้เป็นหลักการ เราทุกคนต้องเคารพคารวะต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราทั้งหลายถึงจะเป็นสงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือพระธรรมพระวินัยที่ยกเลิกตัวตน ผู้ที่ยกเลิกตัวตนถึงเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่ยกเลิกตัวตนถึงเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ เราต้องเอาหลักการที่เป็นสมมติสัจจะที่เป็นพระธรรมพระวินัยเอาไปใช้เอาไปประพฤติปฏิบัติ

 

 องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นได้แก่พระธรรมพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตรในการดำเนินชีวิต เราทั้งหลายต้องเคารพต่อพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ ความสงบและปัญญาของเราถึงจะเกิดได้เพราะพระธรรมพระวินัยเป็นพระรัตนตรัย เป็นพระพุทธ เป็นพระธรรม เป็นพระอริยสงฆ์

 

ท่านพระอานนท์ได้ตรัสทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้วจะให้ตั้งใครองค์แทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่นตรัสว่า อานนท์เอย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เอาพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ ให้เราพากันจับหลักจับประเด็นให้ได้ พระธรรมพระวินัยแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ที่อยู่ในพระไตรปิฎก แบ่งเป็น พระวินัยปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระสูตร ๒๑,๐๐๐ พระอภิธรรม ๔๒,๐๐๐ รวมกันเป็น ๘๔,๐๐๐ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าให้เอาพระธรรมเอาพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราทั้งหลายต้องมาเคารพคารวะในพระรัตนตรัยคือพระธรรมพระวินัยคือข้อวัตรข้อปฏิบัติเป็นธรรมที่จะทำให้เราเจริญไม่มีความเสื่อม

 

๒.                 ธัมมคารวตา เคารพในพระธรรม ตั้งอยู่ในความไม่เพลิดเพลิน ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เพราะการประพฤติการปฏิบัตินั้นต้องตั้งใจตั้งเจตนา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน กงเกวียนกงกรรมที่สำคัญอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญ ปัจจุบันเป็นวาระแห่งชาติของการประพฤติของการปฏิบัติ ให้เรารู้ให้เข้าใจ ปัจจุบันเราทุกคนต้องไม่ประมาท

 

 เราอย่าได้ไปประมาท ความประมาทเล็ก ๆ น้อย ๆ คือความผิดพลาด เราต้องเห็นความสำคัญ เราอย่ามองข้ามเราอย่าไปประมาท

 

ความประมาทในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มันก็จะสมไปเป็นปานกลาง ประมาทในปานกลางก็จะสะสมไปเป็นอย่างใหญ่อย่างมาก

 

 องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ชื่อว่าความประมาทนี้ต้องไม่มีกับเรา เราทั้งหลายต้องมีหิริโอตตัปปะ มีความละอายต่อบาปมีความเกรงกลัวต่อบาป

 

ให้เราทุกคนต้องเห็นโทษเห็นภัยในความประมาท องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสโอวาทครั้งสุดท้ายก่อนที่ท่านจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพาน ท่านได้ตรัสแก่พระภิกษุทั้งหลายว่า การประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญ เป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติเธอทั้งหลายจงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด

 

เราอย่าไปคิดว่าเรามีปัญญามาก เราจะแก้ปัญหาได้ ถ้าเราคิดอย่างนี้ชื่อว่าเรายังเป็นผู้ประมาท เป็นผู้ลูบคลำในศีลาจารวัตร ในข้อวัตรข้อปฏิบัติ เราคิดว่าค่อยเป็นค่อยไป ความคิดอย่างนี้มันใช้ไม่ได้นะ เพราะความคิดอย่างนี้มันตั้งอยู่ในความประมาท เมื่อเรามีปัญญามาก ๆ เราก็ต้องไม่ประมาทในความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะสิ่งเล็กน้อยมันจะสั่งสมเป็นปานกลาง ปานกลางจะเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อเรามีปัญญามาก ๆ ก็ต้องเอาปัญญามาใช้มาปฏิบัติเพื่อให้สงบ เพื่อให้เกิดความเคารพ ไม่ให้เกิดความประมาท ไม่ให้เกิดความผิดพลาด

 

เมื่อเรามีปัญญาเราก็ต้องมีพระธรรมพระวินัยควบคู่กันไป เพราะเหตุผลว่าพระธรรมพระวินัยคือพระรัตนตรัย คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือพระธรรมคำสั่งสอนถึงจะเข้าถึงความดีถึงปัญญา ถึงจะเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ถึงจะเป็นสงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเป็นสิ่งที่มีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ต่อตนเองและมหาชน เป็นประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ผู้อื่น

 

ให้เรารู้ให้เข้าใจ เมื่อเรามีปัญญา ๆ เราก็ต้องมีความสงบ ๆ เมื่อเรามีความสงบมาก ๆ เราก็ต้องเสียสละให้มาก ๆ

 

เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจ เราต้องเคารพคารวะในพระธรรมพระวินัย เพราะพระธรรมพระวินัยนั้นเป็นกรรม เป็นกฎแห่งกรรม เป็นผลของกรรม ที่เรามีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ มันเป็นผลของกรรมในการเวียนว่ายตายเกิดที่เราทุกคนไม่รู้ไม่เข้าใจ

 

๓.                 สังฆคารวตา ความเคารพในสงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้แก่ ผู้ที่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ปัญญาสัมมาทิฏฐิที่เอาธรรมนำชีวิต เอาความถูกต้องนำชีวิต ทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจที่เจตนา ที่จะได้ก้าวไปด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา ที่มีแต่ความสุขมีแต่ปิติมีแต่เอกัคคตาที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เป็นความสงบและปัญญาที่เป็นปฏิปทาที่ติดต่อต่อเนื่องเป็นกระแสของกระบวนปฏิจจสมุปบาท เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ช่อยู่ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ มันไกลเหลือเกิน มันไม่ใช่ธรรมไม่ใช่ปัจุบันธรรม ไม่ช่พระธรรมพระวินัย มันอยู่ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ

 

เราต้องมีความเห็นมีความเข้าใจให้ถูกต้อง เราอย่าไปคิดว่าพระนิพพานอยู่ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ พระนิพพานต้องเป็นคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เราจะได้เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ เป็นผู้ปฏิบัติสมควร ปฏิบัติเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ไม่ตึงเกินไปไม่หย่อนเกินไป มีความสงบมีปัญญาไปพร้อม ๆ กันมีศีลมีสมาธิมีปัญญาไปพร้อม ๆ กันเป้นผู้ที่สมควรแก่พวกเราทั้งหลายต้องเคารพกราบไหว้บำรุงกับท่านผู้นั้น เพราะท่านผู้นั้นก็ได้แก่ความสงบและปัญญา ยกเลิกอัตตายกเลิกตัวตนไม่มีอีโก้อะไร มีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา

 

๔.                 สิกขาคารวตา หมายถึงความเคารพในการเรียนในการศึกษา มนุษย์เราต้องมีการเรียนการศึกษา เพราะการเรียนการศึกษานี้เป็นความรู้ความเข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเราก็ปฏิบัติไม่ได้ ความรู้ความเข้าใจจะเป็นแสงสว่างทางปัญญา เรามีแสงสว่างทางตายังไม่พอ ยังไม่เพียงพอ เราต้องมีแสงสว่างทางปัญญา มนุษย์เราถึงต้องมีการเรียนการศึกษา การเรียนการศึกษาเป็นความรู้ความเข้าใจ เพื่อเป็นคณิตคิดในใจในปัจจุบัน ต้องรู้เข้าใจ เพื่อจะได้เป็นอริยมรรคทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพมารวมลงที่ใจ มารวมลงที่เจตนา เพื่อจะได้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ความรู้ความเข้าใจนี้ถึงไม่ใช่ความจำ ต้องให้เป็นความรู้ความเข้าใจ เพื่อจะได้เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาที่ประกอบด้วยความดี เพื่อยกเลิกความผิดยกเลิกนิติบุคคลตัวตนชีวิตของเราจะได้มีความสงบมีปัญญา

 

มนุษย์เราถึงมีความจำเป็นต้องเรียนต้องศึกษา การเรียนการศึกษาของมนุษย์ถึงมีอยู่ทั้งหมด ๑๘ ศาสตร์นะ ๑๘ ศาสตร์มีอะไรบ้าง ๑๘ ศาสตร์ก็ได้แก่

๑)                       ยุทธศาสตร์ วิชานักรบ

๒)                       รัฐศาสตร์ วิชาการปกครอง

๓)                       นิติศาสตร์ วิชากฎหมายและจารีตประเพณีต่างๆ

๔)                       วาณิชยศาสตร์ วิชาการค้า

๕)                       อักษรศาสตร์ วิชาหนังสือ

๖)                       นิรุกติศาสตร์ วิชารู้ภาษาของตนแตกฉานดี และรู้ภาษาของชนชาติที่ติดต่อกัน

๗)                       คณิตศาสตร์ วิชาคำนวณ

๘)                       โชติยศาสตร์ วิชาดูดวงดาวต่างๆ คือรู้จักว่าดวงดาวนั้นๆ ตั้งอยู่ทางทิศนั้นๆ และประจำเมืองนั้นๆ และรู้จักสีแสงของดวงดาวต่างๆ อันบอกลางดีและลางร้ายในกาลบางครั้ง

๙)                       ภูมิศาสตร์ วิชารู้พื้นที่ต่างๆ หรือรู้จักแผนที่ของประเทศต่างๆ

๑๐)                 โหราศาสตร์ วิชาโหร คือรู้พยากรณ์เหตุการณ์ต่างๆ ได้ และรู้ทายดวงชะตาราศีของคนได้ด้วย

๑๑)                 เวชศาสตร์ วิชาหมอยา

๑๒)                 สัตวศาสตร์ วิชารู้ลักษณะของสัตว์และเสียงสัตว์ว่าร้ายหรือดี

๑๓)                 เหตุศาสตร์ วิชารู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งผลว่าร้ายหรือดี

๑๔)                 โยคศาสตร์ ยันตรศึกษา คือรู้จักความเป็นช่างกล

๑๕)                 ศาสนศาสตร์ วิชารู้เรื่องศาสนา คือรู้จักประวัติความเป็นมาแห่งศาสนาทุกๆ ศาสนาที่มหาชนนิยม เพื่อปฏิบัติไม่ขัดแก่สังคมใดๆ และรู้คำสอนในศาสนานั้นๆ ด้วย

๑๖)                 มายาศาสตร์ วิชารู้กลอุบาย หรือรู้ตำรับพิชัยสงคราม

๑๗)                 คันธรรพศาสตร์ วิชาคนธรรพ์คือวิชาร้องรำ(ละคอน) ที่เรียกชื่อว่า "นาฏยศาสตร์" และวิชาดนตรีปี่พาทย์ ที่เรียกชื่อว่า "ดุริยางคศาสตร์"

๑๘)                 ฉันทศาสตร์ วิชาประพันธ์ คือแต่งหนังสือได้ ทั้งที่เป็นร้อยกรอง(บทกลอน) และร้อยแก้ว(ความเรียง)

 

เราทุกคนเกิดมา ต้องรู้ต้องเข้าใจ เราต้องมีทั้งตาเนื้อตาหนัง ต้องมีทั้งตาปัญญาเพื่อพัฒนาทั้งวัตถุพัฒนาทั้งจิตใจไปพร้อม ๆกันเพื่อเข้าถึงทางสายกลางไม่ยิ่งหย่อนกว่า เพื่อเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความสงบ เพื่อจะได้ทั้งความสงบและปัญญาไปพร้อม ๆ กัน เพราะความดับทุกข์มันอยู่ที่ความสงบและปัญญา

 

การเรียนการศึกษาถึงเป็นเพื่อความรู้ความเข้าใจ มนุษย์เราต่างจากสรรพสัตว์ทั้งหลายก็เพราะมาจากการเรียนการศึกษาที่รู้ที่เข้าใจ การเรียนการศึกษานั้นเป็นความรู้ความเข้าใจมันไม่ใช่ความจำ เราเรียนหนังสือ ศึกษาค้นคว้า ไปฟังการบรรยายความหมายเพื่อความรู้ความเข้าใจ เพื่อจะได้เอาความรู้ความเข้าใจไปใช้ ไปประพฤติปฏิบัติเพื่อเราจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง ไม่เอาความผิดนำชีวิต เพื่อให้เกิดความสงบและปัญญา ให้เกิดปัญญาและความสงบ ไม่ใช่ไปเรียนไปศึกษาเพื่ออัตตาตัวตน ให้รู้เข้าใจ

 

เราทั้งหลายอย่าไปคิดว่าการเรียนการศึกษานั้นเพราะเรามีความจำเป็นเพื่อประกอบอาชีพ ความคิดอย่างนั้นมันเป็นนิติบุคคลตัวตน การเรียนการศึกษานั้นเพื่อรู้เข้าใจ เราจะได้ยกเลิกตัวยกเลิกตน เราจะได้มีความสงบและมีปัญญาที่จะเป็นปฏิปทาของเราแต่ละคนด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

การเรียนการศึกษาเพื่อเราจะได้เสียสละความถูกต้อง ทำสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทำสิ่งที่ถูกต้อง

 

มนุษย์เราทั้งหลายเป้าหมายอยู่ที่พระนิพพานนะ พระนิพพานคือความสงบและปัญญา คือความพอดีความพอเพียงเพียงพอ จะดับทุกข์ได้ในปัจจุบันด้วยความรู้ความเข้าใจ ชีวิตของเราจะเข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบัน ไม่ใช่อยู่ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ

 

คำว่าพระคือผู้รู้เข้าใจ เมื่อรู้เข้าใจแล้วก็เอากายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจที่เจตนา ทุก ๆ ท่านทุกคนก็เป็นพระได้ ไม่ยกเว้น คำว่าพระคือความรู้ความเข้าใจ เมื่อรู้เข้าใจแล้วก็มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ทุกท่านทุกคนก็พากันเป็นพระได้ คำว่าพระผู้ที่เสียสละ เสียสละทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพยกเลิกตัวน ทุกคนเป็นพระได้ เพราะคำว่าพระมันเป็นสากล เช่นความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากมันเป็นสากล ความสุขทุกข์ทางกายมันเป็ฯสากล เราทุกคนต้องพากันรู้เข้าใจในความเป็นพระ เราทั้งหลายจะได้รู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ ปัญหาของหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายมันอยู่ที่ความไม่รู้ไม่เข้าใจนะ เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เข้าใจแล้วก็ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพื่อให้ทั้งสองอย่างคือจิตใจกับวัตถุกับไปพร้อม ๆ กันเป็นทางสายกลาง ระหว่างจิตใจกับวัตถุเพื่อเป็นทางสายกลางในการดำเนินชีวิตของเราในปัจจุบัน

 

นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายจะอยู่ในบ้านในเมืองอยู่ป่าในเขา อยู่ในน้ำในทะเลมหาสมุทร จุดมุ่งหมายนั้นคือพระนิพพานนะ เพราะพระนิพพานนั้นคือการยกเลิกสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน เมื่อเรายกเลิกตัวตน ความรู้ความเข้าใจเราต้องเอามาใช้เอามาปฏิบัติ ทั้งผู้ที่อยู่ในเมืองกรุงเมืองหลวง ในป่าในเขา เป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวช เราทุกนต้องใช้หลักการอุดมการณ์อุดมธรรมอย่างเดียวกันนี้แหละ ไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรมได้

 

ความรู้ความเข้าใจเป็นสิ่งที่สำคัญ ความรู้ถึงเป็นคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราไปเรียนไปศึกษา เอาการเรียนการศึกษาที่เป็นคณิตคิดในใจไปใช้ในปัจจุบัน ใครอยู่ที่ไหนต้องรู้เข้าใจ เพราะการประพฤติการปฏิบัติมันเป็นเรื่องของกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพอยู่ที่ปัจจุบัน

 

เราอย่าไปเรียนไปศึกษาเพื่อตัวเพื่อตน เรียนศึกษาเพื่อความรู้ความเข้าใจ เมื่อเรียนเมื่อศึกษาแล้วต้องรู้เข้าใจ เพราะการประพฤติการปฏิบัติมันอยู่ที่ปัจจุบัน ใครอยู่ที่บ้านก็ปฏิบัติอยู่ที่บ้าน ใครเป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวชก็ปฏิบัติอยู่ที่ผู้นั้น มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจก็จะเป็นเหมือนพระวินัยธรกับธรรมกถึก พระวินัยกับพระธรรมกถึกยังไม่รู้ไม่เข้าใจ ยังไม่รู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ผู้ที่เป็นพระธรรมกถึกก็ต้องรู้เข้าใจ ผู้ที่เป็นวินัยธรก็ต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้รู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะไม่ได้ทะเลาะกัน จะได้ไม่ยกหูชูงวงในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะรู้การประพฤติการปฏิบัติ เพราะการประพฤติการปฏิบัตินั้นรู้เข้าใจอยู่ที่ไหนก็พากันปฏิบัติที่นั่นอยู่ที่ไหน เรามีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เราก็ปฏิบัติที่นั่น

 

ธรรมะคือความสงบ ธรรมะนั้นคือปัญญา ธรรมะนั้นคือลดมานะละทิฏฐิ ละอัตตาตัวตน ธรรมะมีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา เราจะเป็นนักปฏิบัติอยู่ในป่าอยู่ในเขา เราจะเป็นผู้เรียนผู้ศึกษาอยู่ในเมืองกรุง เราทั้งหลายก็ต้องให้รู้ให้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องสงบ เพราะความสงบความเคารพมันคือความยกเลิกนิติบุคคลตัวตน มันเป็นการหยุดทะเลาะกัน

 

เราทั้งหลายต้องมีความสงบมีความเคารพ เพราะตัวตนนั้นมันไม่สงบไม่เคารพมีแต่ความปรุงแต่ง มีแต่อัตตาตัวตน

 

ผู้ที่อยู่ในเมืองกรุงเมืองหลวง ผู้ที่อยู่ชนบทในป่าในเขา เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราต้องยกเลิกตัว ถ้าเรายกเลิกตัวตนแล้วก็จะมีสติมีสัมปชัญญะ

 

 เราทั้งหลายก็ต้องมีความสงบมีปัญญามีพระธรรมพระวินัยเป็นเครื่องอยู่ก้าวไปด้วยความสงบด้วยปัญญา ไม่ใช่ก้าวไปด้วยอัตตาตัวตนไม่ใช่ก้าวไปด้วยอีโก้ยกหูชูงวงให้รู้เข้าใจ

 

๕.                 อัปปมาทคารวตา ความเคารพในความไม่ประมาท ความประมาทคือความผิดพลาดแน่นอนนอนแน่ ให้เราเข้าใจ ถ้าใครมีความประมาทคนนั้นย่อมผิดพลาดแน่นอน พากันไปเผยแผ่ถ้าไปประมาทก็ต้องนอนแผ่ด้วยความประมาทผิดพลาดนะ ให้เข้าใจอย่างนี้ ให้เราละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป หวาดสะดุ้งเกรงกลัวต่อบาป อย่าไปคิดว่าตัวเองนั้นเป็นคนที่มีปัญญามากสามารถที่จะเอาตัวรอดได้ เดี๋ยวจะเป็นการเก็บเล็กผสมน้อยของความประมาท จะเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต มันจะพังทลายเหมือนตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ก็เพราะเอาความประมาทนำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิต เอาอีโก้นำชีวิต เราต้องเข้าใจในเรื่องของความประมาทนะ เข้าใจในเรื่องความไม่ประมาทนะ ความไม่ประมาทมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้มีเมตตาบอกมหาชนทั้งหลาย ในกาลเวลาที่ท่านจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานว่า ความประมาทนี้เป็นอันตรายที่ยิ่งใหญ่ใหญ่ยิ่ง

 

๖.                 ข้อสุดท้ายของคารวธรรม คือเคารพในพระธรรม เคารพในการต้อนรับปฏิสันถาร เทคแคร์ อย่าเป็นคนเห็นแก่ตัว อย่ามีโลกส่วนตัว ต้องเป็นผู้เสียสละ เป็นผู้ให้เป็นผู้เสียสละ เป็นผู้เทคแคร์คนอื่น ต้องเป็นผู้ให้เป็นผู้เสียสละ เราเป็นคนมีความสงบมาก ๆ เราก็ต้องเสียสละมาก ๆ เสียสละนั้นคือการเทคแคร์คนอื่น ปฏิสัณฐานบุคคลอื่น เราอย่าไปเทคแคร์ตั้งแต่คนให้ผลประโยชน์แก่เรา เราต้องเทคแคร์กับทุก ๆ คนด้วยความเมตตาด้วยการเสียสละ ลดมานะละทิฏฐิ ด้วยความรู้ความเข้าใจ เราเป็นผู้มีปัญญามาก ๆ ก็ต้องมีความเคารพมาก ๆ มีความสงบมาก ๆ อย่าไปปล่อยปะละเลยในหน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราอย่าไปเอาแต่พี่แต่น้อง เอาแต่พรรคแต่พวกในหมู่ในคณะ เพราะเหตุผลว่าธรรมะนั้นคือความสงบและปัญญา เราถึงต้องมีคารวธรรมด้วยปฏิสัณฐาน เพื่อทำหน้าที่ของเราให้ดี ๆ ที่ออกมาจากใจด้วยความรู้ความเข้าใจ เพื่อเราจะได้มีหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ

 

 

 เราจะไม่แบ่งชั้นวรรณะให้เป็นนิติบุคคลตัวตน เราจะได้เป็นผู้ให้เป็นผู้เสียสละ ไม่หวังผลประโยชน์อะไรตอบแทน เทคแคร์คนอื่นเหมือนกันหมดทุก ๆ คน ไม่ว่าเค้าจะเป็นมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย เราต้องเทคแคร์หมด อำนวยความสะดวกความสบาย ถ้าช่วยเหลือไม่ได้เราถึงตั้งอยู่ในอุเบกขาวางเฉย เพราะมันช่วยเหลือไม่ได้ เช่นความตายความพลัดพรากที่เป็นธรรมเป็นสภาวธรรม อย่างนี้ก็ไม่มีใครช่วยเหลือได้ อย่างนี้เราต้องอุเบกขาวางเฉย การต้อนรับปฏิสัณฐานถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ทำให้ทุกคนเกิดความสงบอบอุ่น เป็นประโยชน์ของเราที่ได้ยกเลิกตัวตน เป็นประโยชน์ของคนอื่นที่เกี่ยวข้องกับเรา

 

มนุษย์เราคือผู้ที่รู้เข้าใจว่ามนุษย์เราต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาทางสายกลางระหว่างวัตถุกับจิตใจไปพร้อม ๆ กัน เป็นผู้ที่ไม่ไปตามผัสสะ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม รู้เข้าใจแล้วให้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นดับลงเพียงผัสสะ ไม่เอาความชอบความชัง ไม่เอาความดีใจเสียใจ เอาความสงบและปัญญา เอาศีลเอาสมาธิเอาปัญญาเป็นการดำเนินชีวิต เน้นที่ปัจจุบันด้วยความรู้ความเข้าใจ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ละอดีตที่ผ่านไปแล้ว ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญ ได้ทั้งประโยชน์ชาตินี้ ได้ทั้งประโยชน์ชาติหน้า เน้นที่ปัจจุบัน

 

 เป็นผู้ที่รู้จักอริยสัจสี่ รู้จักทุกข์ รู้จักเหตุเกิดทุกข์ รู้จักข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เป็นผู้มีศีลเป็นผู้ที่มีสมาธิ เป็นผู้ที่มีปัญญา มีสติมีปัญญา เป็นความรู้ความเข้าใจเป็นประภัสสร รู้สิ่งที่สัญจรไปมาในเรื่องอาคันตุกะ ชั่วครู่ชั่วยาม การต้อนรับปฏิสันถารในแขกที่มาเยี่ยมเยือน เราต้องทำหน้าที่ของเราให้ถูกต้อง มาทางตาก็ให้จบเพียงตา มาทางหูก็ให้จบเพียงหู มาทางจมูกก็ให้จบเพียงจมูก มาทางลิ้นก็ให้จบเพียงลิ้น มาทางกายก็ให้จบเพียงกาย สิ่งทั้งหลายนั้นต้องให้จบลงเพียงผัสสะ

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ จะได้ไม่เอาความหลงนำชีวิต ไม่เอาความผิดนำชีวิต เราต้องรู้จักสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริงว่าธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ เป็นสิ่งที่สัญจรไปมาชั่วครู่ชั่วยามเราต้องต้อนรับด้วยความถูกต้องด้วยความรู้ความเข้าใจเพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นประภัสสร เราทั้งหลายจะได้รู้ทางสายกลาง อดีตก็ให้จบไป อนาคตก็ให้เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เราจะได้มีปฏิปทาเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรง เราจะได้ต้อนรับอาคันตุกะที่สัญจรไปมาด้วยคารวธรรม

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจเรื่องการต้อนรับและปฏิเสธ เราต้องเอาความสงบและปัญญาเป็นปฏิปทานำชีวิต เอาความสงบและปัญญา เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี ด้วยเหตุผลนี้ธรรมะที่เป็นคารวธรรม ๖ ประการถึงเป็นสิ่งที่สำคัญของผู้ประพฤติผู้ปฏิบัติทางสายกลางระหว่างวิทยาศาสตร์กับเรื่องจิตใจ

 

----------------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันจันทร์ที่ ๒๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

Visitors: 104,505