๒๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

พสกนิกรชาวไทยและชาวต่างประเทศได้มาร่วมรวมกันประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความโทมนัสและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน พระองค์ทรงเป็นดั่งแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและพระปรีชาสามารถ ทรงอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระราชหฤทัยในการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อธำรงไว้ซึ่งความผาสุกและความมั่นคงแห่งชาติไทย เราประชาชนชาวไทยต้องร่วมใจสมัครสมานสามัคคีทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่ออุทิศบุญกุศลน้อมเกล้าถวาย เพื่อเสด็จสู่สวรรคาลัย เข้าสู่สวรรค์มรรคผลพระนิพพาน

 

วันนี้เป็นวันอังคารที่ ๒๕ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

 

ความรู้ความเข้าใจที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ ความดับทุกข์ ความไม่มีทุกข์ของเราอยู่ที่เรารู้เราเข้าใจ อยู่ที่ปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราทุก ๆ คนต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพื่อเข้าสู่หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี อดีตก็ได้มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็ไปจากปัจจุบัน ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญของการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันเราก็เอาธรรมนำชีวิต เพื่อให้เกิดความสงบและปัญญา เราทุกคนอย่าไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย ต้องไม่ทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย ต้องยกเลิกทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย ให้รู้เข้าใจ ให้เห็นภัยในการทำตามใจตามอัธยาศัย จะทำให้เราเสียเวลา

 

ในชีวิตประจำวันให้ถือเอาปัจจุบันนี้เป็นการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันเราต้องรู้เข้าใจ เราทุกคนจะได้จบลงที่ปัจจุบัน จะได้ก้าวไปที่ปัจจุบัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราเอาวัตถุกับใจไปพร้อม ๆ กันเพื่อเป็นทางสายกลาง ทางวัตถุนั้นก็ให้พัฒนาทางวิทยาศาสตร์เพื่อก้าวหน้า ทางจิตใจก็ให้เรารู้เข้าใจ เพื่อเราจะไม่ได้หลงในความสุขความสะดวกความสบาย เพื่อจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี

 

ความดับทุกข์ของมนุษย์อยู่ที่เรารู้เข้าใจ เมื่อรู้เมื่อเข้าใจเราทั้งหลายก็จะไม่ได้มีความทุกข์อะไร เพราะเรารู้เราเข้าใจ เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ เพื่อจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้น เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราจะไปปรุงแต่งไม่ได้ การปรุงแต่งนั้นมันคือการก้าวก่าย คือการลิดรอนสิทธิเสรีภาพ เราทั้งหลายต้องรู้ต้องเข้าใจ ต้องคืนอธิปไตยให้กับปวงชน

 

ความเข้าใจเราทั้งหลายต้องหยุดความปรุงแต่ง เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราอยากให้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่าเท่าเดิม เราอยากให้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่าเท่าเดิม เราอย่าไปคิดเองเออเอง อย่าไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพ เราต้องคืนอธิปไตยให้กับปวงชนหรือว่าให้กับธรรมชาติ กายก็ให้เป็นเรื่องของกาย ใจก็ให้เป็นเรื่องของใจ เราต้องรู้ต้องเข้าใจอย่างนี้ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ

 

เราทั้งหลายต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในการทำหน้าที่ เพื่อเอาหน้าที่ที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เป็นมรรคเป็นอริยมรรค เป็นข้อวัตรข้อปฏิบัติในปัจจุบัน เพื่อเราทั้งหลายจะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ต้องหยุดทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย คิดพูดทำกิริยามารยาทอาชีพเราต้องหยุดทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย ต้องมาถือนิสัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นิสัยก็คือพระธรรมพระวินัย

 

เราทั้งหลายต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยนั้นมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ เราทั้งหลายต้องรักพระธรรมพระวินัย มีฉันทะมีความพอใจ พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่เป็นทั้งคำสั่งให้ประพฤติปฏิบัติ เป็นทั้งคำสั่งให้หยุด อย่าได้ประพฤติอย่าได้ปฏิบัติ ต้องยกเลิกทำอะไรตามใจ เอาแต่พระธรรมเอาแต่พระวินัย มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเป็นพระธรรมเป็นพระวินัย ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา ในปัจจุบันเป็นขณะ ๆ ไป เป็นขณิกสมาธิ เพื่อเราจะได้ยกเลิกนิวรณ์ทั้ง ๕ ยกเลิกอคติทั้ง ๔มีแต่สติมีแต่สัมปชัญญะ ก้าวไปด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นธรรมะที่มีคุณมีอุปการะมาก

 

ธรรมะทั้งหลายนั้นมีมากมาย แต่ก็มารวมลงที่ใจที่ความตั้งใจตั้งเจตนา รวมลงที่ปิติความสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัตินี้ รวมลงที่ความสงบ รวมลงที่ปัญญา ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ด้วยเหตุผลนี้เราถึงมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เราต้องมีความสุขในการปฏิบัติธรรมะ เรามีความสุขในการทำหน้าที่ ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ อย่าไปประมาท อย่าไปตามใจตามอัธยาศัย ต้องรู้ต้องเข้าใจ ต้องเห็นภัยในการทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย เราทุกคนต้องมีหิริคือความละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาป เห็นภัยในความไม่ถูกต้อง เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เพื่อความดีและบารมีจะได้ก้าวไปในปัจจุบันเป็นปฏิปทา เพราะเราต้องเข้าถึงความสงบและปัญญาในปัจจุบัน

 

เราไม่ต้องไปคิดเหมือนแต่ก่อนโน้นแล้ว แต่ก่อนคิดว่าพระนิพพานอยู่เบื้องหน้าโน้นเทอญ พระนิพพานความดับทุกข์ต้องอยู่ที่ปัจจุบัน เราอย่าตามความหลง อย่าตามความฝัน ต้องเอาปัจจุบันนี้เป็นวาระแห่งการประพฤติการปฏิบัติ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติในการทำหน้าที่ ทำหน้าที่ของเราดี ๆ ให้ประกอบด้วยปัญญา ถึงทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันจะอร่อยมันจะแซบจะลำจะนัวจะหรอยก็ช่างหัวมัน ให้เรารู้เข้าใจ ว่าสิ่งทั้งหลายนั้นมันไม่จบหรอก เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ต้องเห็นภัยในความไม่จบ เห็นภัยในวัฏฏสงสาร

 

วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์ให้เรารู้เข้าใจ เป็นการทำงานกับการปฏิบัติธรรมไปพร้อม ๆ กัน ให้เอาสองอย่างนี้ไปพร้อม ๆ กัน ทางวัตถุที่พัฒนาวิทยาศาสตร์เราก็ไม่บกพร่อง ทางจิตทางปัญญาเราก็ไม่บกพร่อง สองอย่างนี้ไปพร้อม ๆ กัน

 

วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุด หยุดทำธุรกิจหน้าที่การงาน มาเน้นเรื่องจิตเรื่องใจ มาเน้นเรื่องการเจริญสติสัมปชัญญะ เพื่อให้สมถะกับวิปัสสนาก้าวไปในปัจจุบัน เพื่อเนกขัมมะบารมี เป็นหลักการของหมู่มวลมนุษย์

 

เราต้องรู้เราต้องเข้าใจว่าความดับทุกข์ของมนุษย์นั้นอยู่ที่เรารู้เข้าใจ เมื่อรู้เมื่อเข้าใจแล้วก็ย่อมเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เพื่อหยุดสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลที่เป็นตัวเป็นตน ที่ทำให้เราทั้งหลายเวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่จบอย่างไม่สิ้น ถึงทุกสิ่งทุกอย่างนั้นจะเอร็ดอร่อย เราก็ต้องรู้ต้องเข้าใจ ต้องเห็นภัยในความเอร็ดอร่อย

 

การเจริญสติสัมปชัญญะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้ใช้หลักการด้วยการเจริญอานาปานสติ การเจริญอานาปานสติน่ะ เหตุผลที่เจริญอานาปานสติก็เพื่อให้เรามีสติมีสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะเป็นสภาวธรรมที่จะมาหยุดการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะเราจะหยุดความปรุงแต่ง หยุดการเวียนว่ายตายเกิด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้เราเอาหลักการในการเจริญอานาปานสติ

 

ให้เราทุกคนมีความสุขในการเจริญอานาปานสติ มีความสุขกับการหายใจเข้าให้สบาย มีความสุขกับการหายใจออกให้สบาย มีความสุขในการหายใจเข้ามาก ๆ มีความสุขในการหายใจออกมาก ๆ เพื่อให้อิ่มให้พอให้เต็ม เพื่อให้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านอยู่กับอานาปานสติ พระอรหันต์ขีณาสพท่านอยู่กับอานาปานสติ ถึงจะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้วท่านก็อยู่กับอานาปานสติ อานาปานสตินี้ใช้ได้ทั้งสามัญชน ใช้ได้ทั้งพระอริยเจ้า พระอรหันต์ อานาปานสตินี้ใช้ได้ทุกอิริยาบถ อิริยาบถหลัก อิริยาบถย่อยใช้ได้หมด ไม่ใช่ใช้เฉพาะตอนนั่งสมาธินะ ใช้ได้ทุกอิริยาบถ ถ้าเรามีความสุขในการหายใจเข้า มีความสุขในการหายใจออก มีความสุขในการหายใจเข้าก็รู้หายใจออกก็รู้

 

ถ้าเราต้องการพัฒนาปัญญา เราต้องเจริญปัญญาด้วยความรู้ความเข้าใจ เพื่อใจของเราจะได้เข้าสู่อุปจารสมาธิ เช่นเราหายใจเข้าราก็รู้ว่าไม่แน่ไม่เที่ยง มันเข้าไปแล้วเดี๋ยวก็ออกมา หายใจออกมันก็ไม่แน่ไม่เที่ยง มันออกไปเดี๋ยวก็เข้ามา เหตุผลว่ามันไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันเป็นเพียงอาคันตุกะที่สัญจรไปมาชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น เราทำอย่างนี้ใจก็จะเกิดความสงบเกิดปัญญา เราทุกคนก็จะมีความดับทุกข์ในปัจจุบัน

 

หลักการน่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราใช้หลักการในการเจริญอานปานสติอย่างนี้ ใช้ได้กับเราทุก ๆ คน ทุกชาติทุกศาสนา ทุกคนก็ใช้หลักการเดียวกันนี้แหละ ให้เรารู้เข้าใจ เพราะธรรมะนั้นเป็นสากล ความสงบก็เป็นสากล ความไม่สงบก็เป็นสากล ความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากนั้นเป็นสากล มีกับเราทุก ๆ คน เราต้องรู้เข้าใจ ความรู้ความเข้าใจนี้จะเอาไปใช้ได้ทุกชาติทุกศาสนา

 

คำว่าชาตินี้คือความก้าวไปด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ กลั่นกรองจากปัญญาบริสุทธิคุณ ปัญญาที่ยกเลิกตัวตน เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นความพอเพียงเพียงพอที่ปัจจุบัน จะดับทุกข์ได้ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า เป็นประโยชน์ทั้งเดี๋ยวนี้และขณะต่อไป ไม่ต้องไปสงสัยว่าชาติหน้าจะเป็นอย่างไร ชาติหน้าจะได้เกิดหรือไม่ได้เกิด เพราะปัจจุบันเรามีแต่ความสงบมีแต่ปัญญาที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม

 

เราทุกคนมารู้มาเข้าใจ มามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติต่อหน้าที่ในหน้าที่ เราต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพให้สมบูรณ์ด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา ผู้มีปัญญามาก ๆ ก็ต้องมีความสงบมาก ๆ ผู้มีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ ประพฤติปฏิบัติในปัจจุบัน เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นคุณธรรมของผู้ดี เป็นคุณสมบัติของผู้ดี สติสัมปชัญญะที่เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย เป็นคุณธรรมเป็นสมบัติของคนดีของผู้ดี เป็นผู้ปฏิบัตดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงอยู่ที่ปัจจุบัน เราจะได้สว่างไสวทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทรวมลงที่ปัจจุบัน ที่เป็นธรรมเป็นคุณธรรมเป็นคุณสมบัติของผู้ดี

 

เราใจดีใจสบายอะไรก็มีความสุขหมด เพราะเหตุผลว่าเราสดชื่นเบิกบาน รู้แจ้งทั้งทางวัตถุ รู้แจ้งทางจิตใจ มีความเบิกความบาน ด้วยเหตุผลนี้เราถึงต้องเอาธรรมนำชีวิต เราต้องรู้เข้าใจ ต้องเห็นคุณเห็นประโยชน์ในการประพฤติการปฏิบัติ เราไม่ต้องปล่อยให้ความประมาทความเพลิดเพลินความหลงมันทำงาน เดี๋ยวมันจะเกิดความเสียหาย มันจะเกิดการพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ตึกไหน ๆ ทั้งใหญ่ทั้งสูงกว่าเค้าก็ไม่พัง พังตึกเดียวเฉพาะเจาะจงแต่ตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย

 

ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ กรรมเก่าทั้งหลายก็จะหยุดลงที่ปัจจุบัน กรรมใหม่ทั้งหลายทั้งปวงที่ไม่ได้ทำก็จะหยุดลงที่ปัจจุบัน การปฏิบัติของเราต้องให้ติดต่อต่อเนื่องที่เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ต้องอาศัยอบรมบ่มอินทรีย์เป็นบารมีเบื้องต้นท่ามกลางในที่สุด เพื่อการปฏิบัติของเราจะได้ติดต่อต่อเนื่องด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

เราต้องเข้าใจ เราเข้าใจว่า ตาหูจมูกลิ้นกายใจนี้เป็นสัญญาณที่รับผัสสะกับสิ่งภายนอก เมื่อเรามีสัญญาณรับผัสสะกับสิ่งภายนอก ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ ก็จะไปตามสัญญาณที่รับผัสสะกับสิ่งภายนอก สัญญาณที่เกิดจากตาเห็นรูป สัญญาณที่เกิดจากหูได้ฟังเสียง สัญญาณที่เกิดจากจมูกที่ได้กลิ่น สัญญาณในลิ้นที่ได้รับรส สัญญาณทางกายที่เกิดจากผัสสะ สัญญาณทางใจที่ให้เกิดความรู้สึกนึกคิดที่เป็นจิต เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามสัญญาณไปตามผัสสะ

 

ความรู้ความเข้าใจนี้จะจบลงได้ด้วยเรารู้เข้าใจที่เป็นคณิตคิดในใจด้วยคณิตศาสตร์ เพื่อให้จบลงด้วยความรู้ความเข้าใจ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันมีเหตุมีปัจจัย มันมีสิ่งภายนอกภายในมันก็เป็นอย่างนี้ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เพื่อเราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ถ้าว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่มันจะมีประโยชน์อะไร พระธรรมพระวินัยให้เรารู้เข้าใจ พระธรรมพระวินัยนั้นเป็นทั้งคำสั่งให้หยุด คำสั่งให้ปฏิบัติ เราต้องรู้เข้าใจ เพื่อเป็นอุปกรณ์ อุปกรณ์ที่หยุดกรรมหยุดเวรหยุดภัยหยุดอันตราย หยุดความเสียหายไม่ให้พังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึกสตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย

 

ด้วยเหตุผลนี้เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการรักพระธรรมพระวินัย รักข้อวัตรกิจวัตร รักข้อวัตรข้อปฏิบัติ ถึงมีศัพท์ว่าศรัทธาคือความพอใจ พอในใจพระธรรมพระวินัย ข้อวัตรข้อปฏิบัติ พอใจมาก พอใจอย่างยิ่ง เพื่อเราจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี เพราะธรรมะเป็นสิ่งที่พอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี เป็นสติเป็นสัมปชัญญะ

 

ประชากรของโลกเราต้องรู้ต้องเข้าใจในธรรมะ ในการทำหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ เราจะได้เอากายวาจากิริยามารยาทอาชีพมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะอันนี้คือความสุขความดับทุกข์ความไม่มีทุกข์ นี้คือปิติคอืความสุขคือเอกัคคตาในหน้าที่ในการประพฤติการปฏิบัติ เมื่อมันผ่านไปแล้วเราอย่าไปติดอกติดใจอย่าไปเสียอกเสียใจ เพราะมันผ่านไปแล้ว เราต้องรู้เข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันเป็นเพียงเหตุเพียงปัจจัย ไม่มีอะไรมากไปกว่าเหตุกว่าปัจจัย

 

เราต้องทำหน้าที่ของเราด้วยความรู้ความเข้าใจ เราเรียนหนังสือก็เพื่อให้มีความสุขในการเรียนหนังสือ เราจะได้ความรู้เพื่อมาดำเนินชีวิต เราได้ทั้งใจดีใจสบาย เราทำงาน เราจะได้มีความสุขในการทำงาน ธุรกิจหน้าที่การงานของเราก็ดี กายวาจากิริยามารยาทเราต้องลงรายละเอียดในการประพฤติการปฏิบัติด้วยปิติด้วยความสุขด้วยเอกัคคตาในการทำหน้าที่ เราอย่าไปคิดว่าสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ไม่สำคัญ สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สำคัญ สิ่งปานกลางก็สำคัญ สิ่งใหญ่ ๆ ก็สำคัญ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงก็สำคัญพอ ๆ กันนั่นแหละ ไม่มีอะไรมากน้อยกว่ากัน

 

การทำตามใจตัวเองนั้นมันไม่ได้แก้ปัญหานะ มันเป็นการสร้างปัญหา มันเป็นการหาเรื่องหาราวให้กับตัวเอง มันเป็นการหาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น คำว่าตัณหาหมายถึงการตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเองนี้แหละ มันหาเรื่องหาราวให้กับตนเองหาเรื่องหาราวให้กคนอื่น ไม่มีเรื่องก็ไปสร้างเรื่อง ไม่มีปัญหาก็ไปสร้างปัญหามีแต่ไปหาเรื่องหาราว การหาเรื่องหาราวต้องมีปัญหาแน่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมีเมตตาบอกพวกเราทั้งหลายอย่าไปหาเรื่องหาราวให้กับตัวเองนะ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้จบลงที่ปัจจุบัน จบด้วยความรู้ความเข้าใจ จบด้วยที่เรามีสติมีสัมปชัญญะ ถ้าอย่างนั้นมันไม่จบนะ มันมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มีเลย เปรียบเสมือนทะเลมหาสมุทรที่ไม่อิ่มด้วยน้ำ เปรียบเสมือนไฟที่ไม่อิ่มด้วยเชื้อของเพลิง มันบกพร่องอยู่เป็นนิจ มันไม่อิ่มไม่พอ ไม่เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านรู้เข้าใจ ท่านเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ พอกันทีวัฏฏสงสารนี้ที่ท่องเที่ยวมานาน

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายนั้นให้เราจบลงที่ปัจจุบันนี้แหละ เราจะไม่ตามผัสสะที่มันเป็นหลักการทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราต้องรู้เข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ว่าสิ่งต่าง ๆ นั้นมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป เราต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสารอย่างนี้ เราต้องรู้เข้าใจ เมื่อรู้เข้าใจเราก็ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง เราไม่ต้องเอามาเพิ่ม ไม่ต้องเอามาตัดที่จะเป็นความสงบและปัญญา เรามีตาก็ให้เกิดปัญญาไม่ใช่เกิดปัญหา เรามีหูก็จะได้เกิดปัญญาไม่ต้องให้มันเกิดปัญหา เรามีจมูกก็ต้องให้เกิดปัญญาไม่ต้องให้เกิดปัญหา เรามีลิ้นก็ต้องให้เกิดปัญญาไม่ต้องให้เกิดปัญญา เรามีกายก็ต้องให้เกิดปัญญาไม่ต้องให้มีปัญหา เราจะได้จบลงที่ปัจจุบัน เราทั้งหลายจะได้เป็นเอาปัญญาสัมมาทิฏฐิที่เป็นบริสุทธิคุณพร้อมทั้งการประพฤติการปฏิบัติเพื่อเป็นปฏิปทาเป็นความดีเป็นบารมีของเราทุกคน

 

เราทุกคนต้องรู้ในการประพฤติการปฏิบัติ การประพฤติการปฏิบัตินั้นไม่มีใครประพฤติปฏิบัติแทนกันและกันได้ เราทั้งหลายต้องประพฤติต้องปฏิบัติเอาเอง พึ่งพาอาศัยกันไม่ได้ เราทุกคนต้องเข้าสู่การประพฤติการปฏิบัติ เข้าสู่ภาคบำบัด เพื่อการประพฤติการปฏิบัติของเราจะได้เป็นปัจจุบันที่เป็นพระธรรมพระวินัย ไม่ไปตามรายการหรือไม่ไปตามสัญญาณที่มันเกิดจากผัสสะ เพื่อมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อให้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม

 

มีคำถามว่า การประพฤติการปฏิบัติปฏิบัติไปถึงไหนถึงจะได้หยุด...

 

การปฏิบัติธรรมนั้นไม่ใช่หยุดไม่ใช่ไป มันเป็นหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ เราต้องก้าวไปด้วยความสงบและปัญญา ก้าวไปด้วยสติด้วยสัปมชัญญะ ธรรมะนั้นไม่ใช่หยุดไมใช่ไป ที่ท่านหลวงปู่ชาที่ท่านตรัสว่า ธรรมะนี้ไม่ใช่เดินไป ไม่ใช่หยุดอยู่ ไม่ใช่ก้าวไป ธรรมะคือความพอดี คือความพอเพียงเพียงพอ ธรรมะคือความรู้เข้าใจ เป็นสภาวธรรมที่ไม่ได้ตัดไม่ได้เพิ่ม เป็นความสงบและปัญญา เป็นปฏิปทาที่เราต้องก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยการเสียสละ มนุษย์เราผู้ที่ประเสริฐต้องรู้เข้าใจในหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมในการประพฤติการปฏิบัติ ต้องเข้า ความคิดว่าเมื่อไหร่จะได้หยุดนั้น นี้คือความปรุงแต่ง นี้มันคือนิติบุคคลตัวตน ถ้าเรารู้เข้าใจ เราจะไม่มีความรู้สึกว่าเมื่อไหร่จะได้หยุด คำว่าหยุดคำว่าไปให้เราเข้าใจนะนั้นคือความปรุงแต่ง ธรรมะนั้นเป็นความพอดี ไม่มีความปรุงแต่ง ผู้ใดเข้าใจคณิตคิดในใจ จะสัมผัสได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

ธรรมะธรรมชาติที่บริสุทธิ์นั้นเกิดจากปัญญาบริสุทธิคุณ เป็นความรู้ความเข้าใจ เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ ที่เป็นสติเป็นสัมปชัญญะ เป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ สิ่งต่าง ๆ นั้นมีอยู่ไม่ใช่ไม่มี เมื่อเรามีสติมีสัมปชัญญะเมื่อไหร่ ความสงบความเคารพ ความกตัญญูกตเวที การที่จะเป็นผู้ดี มีสมบัติผู้ดี เป็นผู้มีใจดีใจสบาย เป็นผู้มีสติมีปัญญาก็จะมีอยู่ในทุกคน เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ ปฏิบัติสมควร พอดี ไม่มากเกินไม่น้อยเกิน เข้าถึงความเต็ม ๆ ๆ ๆ เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ การประพฤติการปฏิบัตินั้นถึงไม่ใช่ไปไม่ใช่มาไม่ใช่หยุดอยู่ แต่เป็นความรู้ความเข้าใจ เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เป็นพระธรรมพระวินัยเป็นความสงบและปัญญา เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม  เป็นพระนิพพานบ้านของเราในปัจจุบัน

 

เราทุกคนเป็นผู้ที่ประเสริฐ อายุขัยของเราอยู่ได้ร่วม ๆ ร้อยปีคือ ๑ ศตวรรษ เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้พากันทำหน้าที่ เอาธรรมนำชีวิต เพื่อเข้าถึงสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ด้วยปิติด้วยความสุขที่เห็นคุณเห็นประโยชน์ในทรัพยากรที่ประเสริฐที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์

 

เรามาระลึกถึงโอวาทพระธรรมคำสั่งสอน พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ที่เป็นพระธรรมพระวินัยเป็นทั้งคำสั่งเป็นทั้งคำสอน ว่ามีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ เราทั้งหลายต้องมีปิติโสมนัสยินดีตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เพราะถ้าประมาทแล้วมันเอากับคืนมาไม่ได้ ต้องเอาปัจจุบันเป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ ให้ถือว่าปัจจุบันเป็ฯวาระแห่งชาติในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ

 

เราระลึกถึงปัจฉิมโอวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ตรัสโอวาทไว้ให้กับพวกเราทั้งหลายให้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ที่ท่านได้ตรัสไว้ว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบัน

ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรมมาประพฤติมาปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง

 

 ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น

 

---------------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันอังคารที่ ๒๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

Visitors: 104,506