๒๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
พสกนิกรชาวไทยและชาวต่างประเทศได้มาร่วมรวมกันประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความโทมนัสและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน พระองค์ทรงเป็นดั่งแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและพระปรีชาสามารถ ทรงอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระราชหฤทัยในการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อธำรงไว้ซึ่งความผาสุกและความมั่นคงแห่งชาติไทย เราประชาชนชาวไทยต้องร่วมใจสมัครสมานสามัคคีทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่ออุทิศบุญกุศลน้อมเกล้าถวาย เพื่อเสด็จสู่สวรรคาลัย เข้าสู่สวรรค์มรรคผลพระนิพพาน
วันนี้เป็นวันพุธที่ ๒๖ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ฮิจเราะห์ศักราช ๑๔๔๖
เราทุกคนที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้รับทรัพยากรที่ประเสริฐ การประพฤติการปฏิบัติของเราให้พวกเราเข้าใจ เราต้องมารู้มาเข้าใจให้เหมือน ๆ กัน ต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพื่อเราจะได้เอาปัญญาสัมมาทิฏฐิที่เป็นความรู้ความเข้าใจ เอาไปใช้เอาไปประพฤติไปปฏิบัติ เพื่อให้เป็นหลักการ เป็นกฎเกณฑ์ในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เพื่อจะให้กายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมที่ความตั้งใจตั้งเจตนา
ให้เราทั้งหลายพากันประพฤติพากันปฏิบัติเป็นปฏิปทา เพื่อเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม พากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เพราะเหตุผลว่าอดีตก็มารวมกันอยู่แล้วที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบันนี้เอง ปัจจุบันนั้นคือการประพฤติการปฏิบัติของเรา ปัจจุบันถึงเป็นวาระแห่งชาติของการประพฤติการปฏิบัติ
เราทุกคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ต้องใช้หลักการอันนี้ เพื่อใช้เป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมให้เป็นทางสายกลางระหว่างวัตถุกับจิตใจไปพร้อมๆ กัน ทางวัตถุก็ให้ไปด้วยดีอย่างดีที่ประกอบด้วยปัญญา ทางเรื่องจิตเรื่องใจก็ให้ไปด้วยอย่างดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาที่ประกอบด้วยความดี
ทุกวันนี้มนุษย์เราส่วนใหญ่ เราคิดดูดี ๆ มนุษย์เรายังขาดปัญญาสัมมาทิฏฐิ ยังไม่รู้ไม่เข้าใจในการประพฤติในการปฏิบัติ การดำเนินชีวิตถึงเกิดความเสียหาย เกิดการพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย ตึกใหญ่ ๆ ในกรุงเทพมหานครตลอดปริมณฑลนั้น เขาใหญ่กว่าสูงกว่ามีอยู่มากมายเค้าก็ไม่พังทลายเหมือนตึกสตง. มันไปพังเฉพาะเจาะจงตึกเดียว ตึก สตง. ตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย
เราทั้งหลายต้องเป็นมนุษย์ผู้รู้ผู้มีปัญญา ผู้รู้ผู้เข้าใจ ผู้มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ผู้รู้ผู้เข้าใจ เห็นภัยเห็นอันตรายในความผิด จะไม่ได้เอาความผิดนำชีวิต เอาความผิดนำชีวิต ชีวิตนี้ก็ย่อมพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
ต้องเห็นภัยในความไม่ถูกต้อง เราต้องตั้งใจตั้งเจตนา เข้าสู่หลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เพื่อให้เราเอาทั้งความสงบและปัญญาไปพร้อมกันควบคู่กันไป ปัญญากับความสงบต้องไปพร้อม ๆ กัน ถ้าปัญญากับความสงบไม่ไปพร้อม ๆ กัน ก็จะเกิดการพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. เพื่อสติสัมปชัญญะจะได้รวมกันเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา
ต้องก้าวไปด้วยปฏิปทาที่เป็นความสงบและปัญญา เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความสงบ เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป เป็นทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับเรื่องทางวัตถุไปพร้อม ๆ กัน
อดีตที่ผ่านมาเราทุกคนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ไม่เข้าใจในการประพฤติในการปฏิบัติ พากันมาทำทั้งผิดทั้งถูก การประพฤติการปฏิบัติถึงเป็นการเดินข้างหน้าแล้วก็ถอยกลับมา วกไปวนมา ย่ำต๊อกอยู่ที่เก่าที่เดิม ถึงมีศัพท์เรียกว่าคน คนนั้นหมายถึงวกวน ไม่ได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยสติด้วยปัญญา ไม่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ไม่รู้จักปัญหา ไม่ได้พากันมาแก้ปัญหา พากันมาสร้างปัญหาจึงไม่ใช่ปัญญา พากันมาหาเรื่องหาราวให้กับตนเอง พากันมาหาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น
เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ เราจะได้หยุดปัญหา ไม่ต้องสร้างปัญหา ไม่ต้องไปหาเรื่องหาราวให้ตนเอง หาเรื่องหาราวให้คนอื่น
เราต้องเอาปัญหานั้นให้เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ ให้ปัญญาสัมมาทิฏฐิก้าวไปทั้งวัตถุและใจไปพร้อม ๆ กัน เราทั้งหลายไม่ต้องไปสร้างปัญหา พากันมาสร้างปัญญา
เราต้องรู้ต้องเข้าใจในเรื่องสมมติสัจจะ สมมติสัจจะทั้งหลายมีมากมายหลายล้านสมมติ มีทั้งดีทั้งชั่วทั้งผิดทั้งถูก ไม่ดีไม่ชั่วไม่ผิดไม่ถูก เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เพื่อจะได้เอาสมมติสัจจะนั้นมาใช้มาปฏิบัติในปัจจุบัน เพื่อให้สมมติสัจจะนั้นสมบูรณ์ไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะต้องไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ไม่ให้ด่างไม่ให้พร้อยไม่ให้เศร้าหมอง ให้เรารู้ให้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ให้ทุกคนเข้าใจว่าธรรมะนั้นคือหน้าที่ หน้าที่นั้นคือธรรมะ เราทั้งหลายต้องมาทำหน้าที่ของเราในปัจจุบันให้สมบูรณ์ ไม่ขาดตกบกพร่องทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ สติกับสัมปชัญญะนั้นถึงแยกกันไม่ได้เลย สติสัมปชัญญะนั้นเป็นหลักการของการประพฤติของการปฏิบัติ สติสัมปชัญญะนั้นถึงเป็นธรรมที่จะให้เกิดคุณเกิดประโยชน์ มีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ ปัญญากับการประพฤติการปฏิบัติทั้งกายวาจากิริยามารยาทต้องคู่กับการประพฤติกับการปฏิบัติ
เหตุการณ์ทั้งหลายที่ผ่านมา ที่เราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร เราไม่ได้เอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เราได้เอาความไม่รู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องพากันรู้พากันเข้าใจ ไม่มีใครอยู่เหนือกรรม เหนือกฎแห่งกรรม เหนือผลของกรรม ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราก็จะเป็นมนุษย์ได้แต่เพียงร่างกาย แต่จิตใจของเรานั้นหาได้เป็นมนุษย์ไม่ ความไม่รู้ไม่เข้าใจ จิตของเราถึงเป็นได้แต่เพียงคน เป็นได้แต่เพียงความหลง เค้าถึงมีศัพท์ว่าคน คนโน้นคนนี้ ยังไม่ใช่มนุษย์ ร่างกายเป็นมนุษย์แต่ใจไม่ได้เป็นมนุษย์
มนุษย์เราถึงต้องมีการเรียนการศึกษาเพื่อจะได้รู้เพื่อจะได้เข้าใจ ความรู้ความเข้าใจที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพื่อเป็นหลักการจุดยืน เอาปัญญาบริสุทธิคุณนำชีวิต ด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา เราต้องรู้ต้องเข้าใจ กายวาจากิริยามารยาทอาชีพเป็นเพียงอุปกรณ์ของใจ เค้าถึงมีศัพท์คำว่ากรรมกร ที่เป็นกรรมทางกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพ นี้คือกรรมกร เป็นแรงงานในการทำหน้าที่เป็นอุปกรณ์หรือว่ากรรมกร
เราเป็นมนุษย์ทั้งหลายต้องเอาปัญญานำชีวิต เอาอุปกรณ์ที่เป็นกายวาจากิริยามารยาทอาชีพเอามาใช้เอามาประพฤติปฏิบัติ เอามาทำงาน เพื่อหยุดปัญหา เพื่อเอาสมมติสัจจะ สมมติสัจจะทั้งหลายที่มีอยู่มากมาย หลานล้านสมมติ เพื่อให้ถูกต้องตามสมมติ
เราทุกคนต้องไม่มองข้ามในสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อเอาปัญญาอบรมบ่มอินทรีย์ สมมติสัจจะทั้งหลาย เราอย่าพากันมองข้ามในสมมติสัจจะนั้น ๆ ถ้าเรามองข้ามในสมมติสัจจะนั้น ๆ เราจะเป็นคนประมาท ตั้งอยู่ในความประมาท ความประมาทกับความผิดพลาดนั้นคือสิ่งเดียวกัน เมื่อประมาทเมื่อไหร่ก็ผิดพลาดทันที ถ้าเราประมาทเราก็ผิดพลาด เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เห็นภัยในความประมาท เห็นภัยในความผิดพลาด ความประมาทความผิดคือความเสียหาย มันเป็นการพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
สถาบันหลักของหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายให้เรารู้เข้าใจ ได้แก่ผู้ที่รับราชการทั้งหลาย ได้แก่ผู้ที่เป็นนักการเมืองทั้งหลาย ได้แก่ผู้ที่เป็นนักบวชทุก ๆ ศาสนาทั้งหลาย ที่ผ่านมาความไม่รู้ไม่เข้าใจทำให้เกิดความเสียหาย
ความไม่รู้ไม่เข้าใจนั้นเป็นสาเหตุให้เกิดความเสียหาย เป็นสาเหตุให้เกิดการทุจริต ความไม่รู้ไม่เข้าใจนั้นเป็นสาเหตุให้เกิดการทุจริต
ให้เรารู้ให้เข้าใจ ความเสียหายนั้นมันเกิดจากการทุจริต ทุจริตนั้นคือความผิด ไม่ใช่ความถูกต้อง มนุษย์เราต้องไม่เอาความผิดนำชีวิต เราทั้งหลายจะได้เข้าสู่หลักการในความเป็นมนุษย์ผู้รู้ผู้เข้าใจ ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร
เราทั้งหลายที่ได้เรียนได้ศึกษาแข่งขันกันมาเพื่อมารับราชการ การเรียนนั้นเพื่อรู้เพื่อเข้าใจ เมื่อรู้เมื่อเข้าใจแล้วเอามาใช้เอามาปฏิบัติ มนุษย์เราคือผู้ที่รู้เข้าใจ เอาความรู้ความเข้าใจนั้นมาประพฤติมาปฏิบัติ ความรู้ความเข้าใจนั้นจะมาหยุดปัญหา ยกเลิกปัญหา มาสร้างปัญญาด้วยความรู้ความเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้ทำหน้าที่ที่เป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้เอาความรู้ที่มีการเรียนการศึกษา ที่เราได้รับแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการนักการเมือง ได้รับการแต่งตั้งเป็นนักบวช ที่เป็นสมมติสัจจะ เอามาใช้เอามาประพฤติมาปฏิบัติ เพื่อมาทำหน้าที่ให้เรารู้ให้เข้าใจ ว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ
ให้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เพราะความดับทุกข์ของเรานั้นอยู่ที่เราประพฤติอยู่ที่เราปฏิบัติ อยู่ที่เราทำหน้าที่ ความดับทุกข์ของเรานั้นอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันอยู่ที่ไหนก็ดับทุกข์อยู่ที่นั่น เข้าถึงความดับทุกข์ในปัจจุบัน ไม่ใช่อยู่ในอนาคต
เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ความดับทุกข์นั้นต้องดับทุกข์อยู่ที่ปัจจุบัน ความดับทุกข์นั้นถึงมีอยู่ที่เราที่เป็นมนุษย์เอาธรรมนำชีวิต เอาความสงบและปัญญานำชีวิต ความสงบและปัญญานั้นก็ได้แก่สติสัมปชัญญะ ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะเมื่อไหร่เราก็ไม่มีทุกข์เมื่อนั้น ถ้าเรามีทุกข์เมื่อไหร่ นั่นแหละคือไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ ความดับทุกข์นั้นถึงดับทุกข์ได้ด้วยการมีสติมีสัมปชัญญะ
เราคิดดูดี ๆ นะ เราเป็นคนรวย ถ้าเราไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะเราก็เป็นทุกข์ เราเป็นคนจนถ้าเราไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะเราก็เป็นทุกข์ เพราะสติสัมปชัญญะนั้นจะหยุดความปรุงแต่ง ความปรุงแต่งนั้นเป็นความไม่พอเพียงเพียงพอ เป็นความไม่อิ่มไม่เต็ม เป็นความขาดตกบกพร่องอยู่ตลอดกาลตลอดเวลา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตรัสว่า การไม่มีสติสัมปชัญญะนั้นเปรียบเสมือนทะเลมหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำ เปรียบเสมือนไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อของเพลิง จะมีความบกพร่องอยู่เป็นนิจ
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ผู้มีปัญญามาก ๆ ถึงต้องมีความสงบมาก ๆ ผู้มีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ ความเคารพกับความสงบนั้นคือความพอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี ไม่มากเกินไม่น้อยเกิน เป็นความพอดี ผู้มีความสงบถึงต้องเสียสละ ไม่เสียสละไม่ได้ ต้องเสียสละ ผู้มีปัญญามาก ๆ ก็ต้องสงบมาก ๆ สติสัมปชัญญะถึงเป็นธรรมเป็นคุณธรรมของคนดีของผู้ดี ผู้มีความสงบมาก ๆ มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เสียสละมาก ๆ ถึงจะมีคุณธรรมมีคุณสมบัติของผู้ดี ผู้มีปัญญามาก ๆ ก็ต้องสงบมาก ๆ ถึงจะมีคุณธรรมของคนดีของผู้ดี ความดีและปัญญาต้องก้าวไปเสมอกัน ไปพร้อม ๆ กัน เราทั้งหลายถึงจะได้เข้าถึงความเป็นมนุษย์ ผู้รู้เข้าใจในวัฏฏสงสาร เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงระบบข้าราชการนักการเมืองนักบวชผู้รู้ผู้เข้าใจ เห็นภัยในความไม่ถูกต้อง เห็นภัยในความผิด เห็นภัยในการทุจริต ปัญหาต่าง ๆ นั้นอยู่ที่เราเอาความผิดนำชีวิต เราเอาทุจริตนำชีวิต
ปัญหาต่าง ๆ เราต้องแก้ปัญหาให้ถูกต้อง การมาแก้ปัญหาของพวกเรา เราทุกคนต้องเอาปัญญาบริสุทธิคุณนำชีวิต ไม่เอาความผิดนำชีวิต ไม่เอาทุจริตนำชีวิต เราทั้งหลายจะได้เป็นมนุษย์ จะได้เป็นข้าราชการนักการเมือง จะได้เป็นนักบวช
เราเรียนเราศึกษามีปัญญามาก ๆ เราก็ต้องมีความสงบมาก ๆ เพื่อเราจะได้เป็นมนุษย์เป็นข้าราชการนักการเมืองเป็นนักบวช เพื่อเราจะได้อบรมบ่มอินทรีย์ เอาความดีพร้อมกับปัญญาควบคู่กันไป
เรามาเปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา ปัญหาทั้งหลายนั้นมันอยู่ที่ทุจริต เราเป็นมนุษย์ก็ต้องทำหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ เป็นข้าราชการนักการเมืองเป็นนักบวชก็ต้องทำหน้าที่ เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการทำหน้า ให้เรามีฉันทะมีความพอใจ ให้เราบูชาความถูกต้อง บูชาหน้าที่ เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในการทำหน้าที่
ปัญญากับการประพฤติการปฏิบัติต้องไปพร้อม ๆ กัน ถึงจะเกิดความสงบ ถึงจะเปลี่ยนแปลงจากปัญหาเป็นปัญญา จะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ถึงจะเป็นความพอดี ที่เรามีความสงบมาก ๆ เราก็ต้องเสียสละมาก ๆ เพื่อความสมดุล
เราไม่เสียสละมาก ๆ เราก็เป็นเพียงสมาธิ เป็นเพียงสมาบัติ ผู้ที่สงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ ถึงจะเกิดปัญญา ผู้มีความสุขก็ต้องไม่ติดในความสุข ความสุขนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่ ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะนั้นจะก้าวไปด้วยความรู้ด้วยความเข้าใจ เพราะเรารู้เข้าใจว่าความสุขนั้นมันเป็นของชั่วครู่ชั่วคราว ชั่วครู่ชั่วยาม ลาภยศสรรเสริญมันเป็นของชั่วครู่ชั่วคราว ชั่วครู่ชั่วยาม
เรามีความสงบเราก็ต้องเสียสละ เราจะได้ก้าวไปด้วยสติด้วยสัมปชัญญะเพื่อเป็นปัญญาบริสุทธิคุณ สติสัมปชัญญะถึงเป็นความสงบและปัญญา เป็นความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนคติธรรมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ ๙ ของเมืองไทย ท่านได้ตรัสเป็นคติธรรมให้กับประชาชนกับมหาชนว่า เราต้องรู้ต้องเข้าใจด้วยปัญญาที่เป็นปัญญาบริสุทธิคุณ เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ว่าอยากได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่าเท่าเดิม อยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่าเท่าเดิม เราต้องรู้เข้าใจ ให้เรารู้เข้าใจให้เรามีสติมีสัมปชัญญะ เพื่อจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียง เข้าถึงความพอดี
เราต้องรู้เข้าใจอย่างนี้ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติในการทำหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ เป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวช เพื่อเราทั้งหลายจะได้หยุดทุจริต มาหยุดปัญหาต่าง ๆ เพราะปัญหาต่าง ๆ นั้นมันอยู่ที่ทุจริต เพื่อไม่เอาความผิดนำชีวิต เพื่อเอาสติสัมปชัญญะนำชีวิต เพื่อมาหยุดโกงกินคอร์รัปชั่น หยุดรับใต้โต๊ะ บนโต๊ะ กลางโต๊ะ
ปัญหาต่าง ๆ นั้นให้เรารู้เข้าใจ ปัญหาทั้งหมดนั้นมันมาจากการทุจริต มาจากความไม่ถูกต้อง เราจะแก้ปัญหาเราก็ต้องมายกเลิกการทุจริต เพื่อไม่เอาความผิดนำชีวิต ไม่เอาทุจริตนำชีวิต
การประพฤติการปฏิบัตินั้น เราไม่ต้องไปแก้ที่คนอื่น เรามาแก้ตัวของเราเอง คนอื่นก็ให้แก้ของเค้า เรามาแก้ที่ตัวเอง เพราะธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เรามามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเอาสมมติสัจจะที่เราได้รับการแต่งตั้ง มามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติเพื่อทำหน้าที่
เราคิดดูดี ๆ นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็แก้ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ขีณาสพผู้ฟังพระธรรมเทศนาคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ขีณาสพเจ้าท่านก็แก้ที่ตัวของพระอรหันต์นั่นเอง ไม่มีใครไปแก้ที่ผู้อื่นนะ เพราะเราทุกคนต้องมีหลักการมีอุดมการณ์อุดมธรรม เพื่อไม่ให้ชีวิตเราลิดรอนสิทธิเสรีภาพของความเป็นประภัสสร ไม่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของคนอื่น เราต้องยกเลิกการลิดรอนสิทธิเสรีภาพ เราต้องคืนอธิปไตยให้กับปวงชน ให้กับมหาชน เราทั้งหลายมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในตัวของเราเอง เพราะธรรมะนั้นคือหน้าที่ หน้าที่นั้นคือธรรมะ เรามามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อทำหน้าที่ของเราด้วยปิติด้วยโสมนัส ด้วยความยินดี เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อยกเลิกความไม่ถูกต้อง ยกเลิกการทุจริต เราเอาความผิดนำชีวิต เอาทุจริตนำชีวิตมันไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ คิดดูแล้ว คิดอย่างไรมันก็แก้ปัญหาไม่ได้ คิดจนหัวจะระเบิด หรือว่าหัวระเบิดมันก็เป็นไปไม่ได้
การพัฒนา เราต้องพัฒนาตัวของเราเอง คนอื่นเขาก็พัฒนาตัวของเขาเอง
เราทุกคนต้องมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติในการทำหน้าที่ของเราเอง
ต้องพัฒนาเพื่อมายกเลิกตัวตน เมื่อเรายกเลิกตัวตน เราถึงจะเป็นผู้มีศีลมีสมาธิมีปัญญา เราทั้งหลายถึงจะได้เป็นมนุษย์ ถึงจะได้เป็นข้าราชการถึงจะได้เป็นนักการเมือง ถึงจะได้เป็นนักบวช เราทุกคนต้องพากันมาอบรมบ่มอินทรีย์ของตัวเราเอง ยกเลิกสัญชาตญาณที่เป็นตัวตน นี้คือการยกเลิกทุจริต เพราะตัวตนนั้นคือทุจริต ถ้าใครมีตัวมีตน มีความยึดมั่นถือมั่นในตัวในตน มีความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นเราเป็นคนอื่น นี้แหละคือตัวคือตน คำว่าสัญชาตญาณ สัญชาตญาณที่มีความสำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นผู้หญิงผู้ชาย เป็นคนแก่คนเฒ่าคนชรา คนตายคนพลัดพราก สำคัญว่าเราดีกว่าเค้า เก่งกว่าเค้า เราฉลาดกว่าเค้า เรารวยกว่าเค้า เรามีเพาเวอร์สูง มีอำนาจวาสนา อันนี้มันเป็นสัญชาตญาณเป็นตัวเป็นตน นี้คือทุจริต ตัวตนนี้คือทุจริตให้เรารู้เข้าใจ ใครมีตัวมีตนบุคคลนั้นทุจริตทั้งนั้น ไม่มีใครยกเว้น เราต้องมาหยุดสัญชาตญาณด้วยความรู้ความเข้าใจ เพื่อเข้าสู่หลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ให้เอาสมมติสัจจะทั้งหลายมาใช้มาปฏิบัติ เพื่อจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี
หลักการบริหารตนเอง บริหารผู้อื่น เราต้องมาหยุดสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน ให้เรามาเอาสมมติสัจจะมาใช้มาปฏิบัติเป็นหลักการ
การบริหารประเทศเค้าถึงมีวาระ ใช้ระยะเวลา ๔ ปี เพื่อให้การประพฤติการปฏิบัติมันติดต่อต่อเนื่องเป็นระยะเวลา ๔ ปี ๔ ปีแล้วให้เลือกตั้งอีกรอบใหม่ เพื่อคัดกรองเอานักการเมืองดี ๆ นักการเมืองที่ไม่โกงกินคอร์รัปชั่น นักการเมืองไม่ทุจริต เพื่อการบริหารจะได้ก้าวไปด้วยการยกเลิกทุจริต เป็นความดีคู่กับปัญญาไปพร้อม ๆ กัน ไม่ใช่เลือกตั้งมาเพื่อให้มาโกงกินคอร์รัปชั่น ไม่ใช่ให้มาทำธุรกิจในการเมือง การทำอะไรนั้นต้องให้ติดต่อต่อเนื่อง เพื่อปรับปรุงสิ่งที่ไม่ถูกต้องให้มันถูกต้อง เพื่อปรับปรุงสิ่งที่ดี ๆ ให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ดีนั้นต้องประกอบด้วยปัญญา ปัญญานั้นต้องประกอบด้วยความดี ถึง ๔ ปี ถึงมีการเลือกตั้งนักการเมืองรอบใหม่ เพื่อจะได้มาแก้ไขสิ่งที่ขาดตกบกพร่อง เพื่อให้สิ่งนั้นสมบูรณ์ เพื่อความสงบและปัญญาจะได้ก้าวไปด้วยปฏิปทา เป็นธรรมเป็นธรรมนูญเป็นรัฐธรรมนูญ ประชาธิปไตยเสียงข้างมากก็ต้องเอาธรรมนูญนำชีวิต เอาธรรมนำชีวิต ข้าราชการนักการเมืองนักบวชต้องมายกเลิกทุจริต มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการยกเลิกทุจริต
ผู้ที่รับราชการทั้งหลายเราพากันเข้าใจในหลักการ ผู้ที่เป็นนักการเมืองทั้งหลายต้องเข้าใจในหลักการ ผู้ที่เป็นนักบวชทั้งหลายต้องเข้าใจในหลักการ เพื่อเราจะได้เอาอุดมการณ์อุดมธรรมนำชีวิต จะไม่ได้เอาความผิดนำชีวิต จะไม่ได้เอาทุจริตนำชีวิต
ปัญหาต่าง ๆ ทั้งหมดนั้นมันมาจากทุจริต เรามาเป็นข้าราชการก็เพื่อยกเลิกทุจริต เรามาเป็นนักการเมืองก็เพื่อมายกเลิกทุจริต เรามาเป็นนักบวชก็เพื่อมายกเลิกทุจริต
ทุจริตนั้นมันคือนิติบุคคลตัวตน ตัวตนนั้นมันไม่ใช่ข้าราชการ ไม่ใช่นักการเมือง ไม่ใช่นักบวช ตัวตนนั้นคือทุจริต
ให้เรารู้เข้าใจ เราจะได้เอาตำแหน่งที่เราเป็นข้าราชการ เป็นนักการเมือง เป็นนักบวชนี้มาใช้มาประพฤติปฏิบัติ มาทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
เราเป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวช เราต้องมาทำหน้าที่ด้วยสติสัมปชัญญะ ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ ยกเลิกการโกงกินคอร์รัปชั่น ยกเลิกเรื่องทุจริต ยกเลิกตัวยกเลิกตน ยกเลิกเรื่องพรรคเรื่องพวก เรื่องญาติเรื่องตระกูล ตระกูลที่ไม่ดี ตระกูลที่ไม่มีสมบัติของผู้ดี ตระกูลของคนชั่วโกงกินคอร์รัปชั่น เป็นตระกูลของคนชั่ว
สิ่งที่ผ่านมาแล้วก็แล้วไป เพราะที่มันผ่านมาเป็นอดีตแล้วเกษียณแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราเอาที่ปัจจุบัน เพื่อเราจะได้เอาสติสัมปชัญญะนำชีวิตที่ถูกต้อง เพื่อให้เกิดความสงบและปัญญา ปัญญากับความสงบนี้ จะเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เป็นธรรมนูญเป็นรัฐธรรมนูญ เอาความสงบและปัญญานำชีวิต เป็นธรรมนูญชีวิต เพื่อพัฒนาวัตถุพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน
ให้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ให้การประพฤติการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องในปัจจุบัน ปฏิปทาของเราต้องติดต่อต่อเนื่องในปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องรู้ต้องเข้าใจ พร้อมทั้งการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน ให้เรารู้ให้เข้าใจ เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้น การประพฤติการปฏิบัติของเรานั้นอยู่ที่ปัจจุบัน
ปัจจุบันนั้นเราต้องหยุดสัญชาตญาณ ยกเลิกสัญชาตญาณ เราจะหยุดเราจะยกเลิกก็ต้องมีสติมีสัมปชัญญะ ผัสสะที่เป็นปัจจุบัน ผัสสะเกิดจากตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจในเรื่องขั้วบวกขั้วลบ ถ้าเราไม่รู้จักขั้วบวกขั้วลบ ไม่ได้ เราต้องรู้ขั้วบวกขั้วลบ รู้ของสองอย่าง
ให้เรารู้ให้เราเข้าใจ เราต้องรู้เข้าใจ สิ่งของสองอย่างนั้นใจกับวัตถุมันคนละอย่าง วัตถุก็อย่างหนึ่ง ใจก็อย่างหนึ่ง ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ นี้เป็นวัตถุ ใจของเราเป็นนามธรรม เป็นความว่าง เราจะได้รู้ว่าสองอย่างนี้มันคนละอย่างกัน เราทั้งหลายจะได้มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ รู้ว่ากายก็ส่วนหนึ่ง ใจก็ส่วนหนึ่ง สิ่งที่สัญจรไปมามันเป็นธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ นี้เป็นรูปธรรม ใจนี้เป็นนามธรรม ใจนี้เป็นสิ่งที่ว่างเปล่า เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้หยุดลงด้วยความรู้ความเข้าใจ ถ้าเรามีความรู้ความเข้าใจ สิ่งทั้งหลายจะจบลงที่ปัจจุบัน สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นจะจบลงที่ผัสสะ จะได้ไม่เกิดความปรุงแต่ง
การประพฤติการปฏิบัติถึงอาศัยหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ที่เอาสมมติสัจจะทั้งหลายมาใช้มาปฏิบัติ เพื่อมาทำหน้าที่ เพื่ออบรมบ่มอินทรีย์ เพื่อให้ความดีและปัญญาได้ทำหน้าที่ติดต่อต่อเนื่อง ความดีและปัญญาจะอบรมบ่มอินทรีย์ของเรา ให้เรารู้เข้าใจด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ
เรามารู้มาเข้าใจ เราจะเอาทุจริตนำชีวิตไม่ได้ เราต้องเอาปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพื่อความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เราทั้งหลายจะได้เป็นมนุษย์เป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวชที่เป็นหลักการของธรรมนูญรัฐธรรมนูญ เพราะความดับทุกข์เราต้องใช้ความรู้ความเข้าใจในการประพฤติในการปฏิบัติอย่างนี้ เพราะอันนี้มันคือเรื่องของกรรม เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องผลของกรรม เราทั้งหลายต้องเข้าถึงหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เราทั้งหลายให้ถือเอาวาระปัจจุบันเป็นเรื่องสำคัญในการประพฤติการปฏิบัติ
เราทั้งหลายมาระลึกถึงโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกเตือนเราทั้งหลายว่าการประพฤติการปฏิบัติน่ะสำคัญ อย่าเอาความผิดนำชีวิต อย่าเอาทุจริตนำชีวิต เพราะปัจจุบันนี้สำคัญมาก มันผ่านไปแล้วมันแก้ไขไม่ได้เพราะเป็นอดีตไปแล้ว ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญของการประพฤติการปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ให้โอวาทเตือนเราทั้งหลายว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร
ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรมมาประพฤติมาปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง
ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น
------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันพุธที่ ๒๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา