๒๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
พสกนิกรชาวไทยและชาวต่างประเทศได้มาร่วมรวมกันประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความโทมนัสและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน พระองค์ทรงเป็นดั่งแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและพระปรีชาสามารถ ทรงอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระราชหฤทัยในการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อธำรงไว้ซึ่งความผาสุกและความมั่นคงแห่งชาติไทย เราประชาชนชาวไทยต้องร่วมใจสมัครสมานสามัคคีทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่ออุทิศบุญกุศลน้อมเกล้าถวาย เพื่อเสด็จสู่สวรรคาลัย เข้าสู่สวรรค์มรรคผลพระนิพพาน
วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีที่ ๒๗ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ฮิจเราะห์ศักราช ๑๔๔๖
เราทุกคนเกิดมาเป็นมนุษย์ ร่างกายของเราเป็นมนุษย์ มนุษย์เราอายุขัยอยู่ได้ร่วม ๆ ร้อยปี การดำเนินชีวิตของมนุษย์เรา เราต้องพากันรู้พากันเข้าใจ เพื่อจะได้ทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ ไม่มีทุกข์ในปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ให้ถือว่าปัจจุบันเป็นวาระแห่งชาติของการประพฤติของการปฏิบัติ เพราะเหตุผลว่าอดีตก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญของการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อให้ปัจจุบันไม่มีความทุกข์ เข้าถึงความไม่มีทุกข์ในปัจจุบันด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะเข้าถึงความดับทุกข์ได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ความสงบและปัญญาเป็นความดับทุกข์ เมื่อเรามีความรู้เราก็ต้องมีความสงบ ถ้าเรามีความรู้เราไม่มีความสงบมันก็ดับทุกข์ไม่ได้ เพราะว่ามันไม่สงบ เมื่อเราสงบแล้ว เราก็ต้องเสียสละ อย่าไปติดในความสุขในความสงบในความสะดวกความสบาย
เราต้องก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ความสงบและปัญญาต้องก้าวไปด้วยกันที่เป็นปฏิปทา เป็นหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เราทุกคนต้องรู้ต้องเข้าใจ ไม่ได้ปฏิบัติที่ใคร ปฏิบัติที่เรา ระบบความคิดคำพูดการกระทำกิริยามารยาทอาชีพ นี้เป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรม กรรมทางกายกรรทางวาจากรรมทางกิริยามารยาทมารวมลงที่ใจ ใจของเราต้องรู้เข้าใจ ใจของเราต้องมีปัญญา เพื่อเราจะก้าวไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา เราต้องรู้ต้องเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้ ให้รู้ให้เข้าใจว่าทุกอย่างนั้นคือกรรม คือกฎแห่งกรรม คือผลของกรรม ไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรมไปได้
ให้เราทุกคนมาทำหน้าที่ของเราให้ดี ๆ ประกอบด้วยปัญญา ให้เข้าใจว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่นั้นคือธรรมะ สติคือความสงบ สัมปชัญญะคือปัญญา เป็นธรรมเป็นสภาวธรรมที่มีคุณมีประโยชน์มาก
เราทุกคนมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ในการทำหน้าที่ อดีตที่ผ่านมาแล้วเราต้องปล่อยเราต้องวาง เพราะอดีตมันผ่านมาแล้วมันเกษียณมาแล้ว ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะมันจะตัดในเรื่องอดีตไป มันจะหยุดสิ่งนี้ไป มันจะอยู่กับสติสัมปชัญญะ ความรู้ความเข้าใจจะเป็นคณิตคิดในใจ จะเป็นผู้รู้ผู้เข้าใจในหลักการประพฤติการปฏิบัติ เราเอาพระศาสนาเป็นหลักการ พระศาสนาเป็นการพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจ พัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กันเป็นทางสายกลาง มีความสุขมีปิติมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติวัตถุที่เป็นวิทยาศาสตร์ เพื่อการพัฒนาวัตถุต้องพัฒนาวิทยาศาสตร์พร้อมทั้งพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน ไม่ให้หลงในวัตถุไม่ให้หลงในวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ชีวิตของเราจะได้ก้าวไปด้วยความสงบ ก้าวไปด้วยปัญญา
เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เรารวยเท่าไหร่ เรามีอำนาจทางราชการนักการเมือง ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเราทุกคนก็ไม่สามารถที่จะดับทุกข์ได้ แก้ปัญหาได้ เพราะผู้ที่รวยผู้ที่มีอำนาจ ถ้ามีตัวมีตน ถ้าไม่ยกเลิกตัวตนนั้นก็ย่อมไม่มีความสงบ ด้วยเหตุผลนี้ผู้ที่รวยมาก ๆ ผู้ที่มีอำนาจมาก ๆ ก็ต้องมีความสงบมาก ๆ เราจะได้มีความสงบได้เราก็ต้องมีสติมีสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะเป็นตัวที่หยุดเรื่องอดีตเรื่องอนาคต จะเป็นความพอเพียงเพียงพอ จะเข้าถึงความพอดี ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป เหมือนคติธรรมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดช ท่านตรัสคติธรรมให้พสกนิกรชาวไทยชาวโลกเข้าใจ ว่าเราทุกคนจะดับทุกข์ได้ด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ ด้วยเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี เราพากันคิดดูดี ๆ เราอยากได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่าเท่าเดิม เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่าเท่าเดิม สติสัมปชัญญะถึงเป็นความสงบ เป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นเศรษฐกิจพอเพียง เราทำอย่างนี้แหละถึงจะดับทุกข์ได้
เราทุกคนต้องพากันรู้เข้าใจ จะได้พากันประพฤติพากันปฏิบัติให้ถูกต้อง มามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติให้ถูกต้อง ทุกคนทำได้ปฏิบัติได้ ไม่มีใครปฏิบัติไม่ได้ คนปฏิบัติไม่ได้ก็คือคนตาย ถ้าตายแล้วปฏิบัติไม่ได้ คนบ้าคนสมองเสียนั้นปฏิบัติไม่ได้ ให้เข้าใจ ทุกคนปฏิบัติได้เหมือน ๆ กันหมดทุกคน ไม่มีใครยกเว้น ความทุกข์นั้นเป็นสากลให้เข้าใจอย่างนี้ เป็นเรื่องเฉพาะตน เรื่องสติเรื่องสัมปชัญญะนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตน
เราทั้งหลายพากันมารู้เข้าใจเรื่องวัตถุ เรามาเข้าใจในเรื่องจิตเรื่องใจ วัตถุนั้นมันเกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย เหตุปัจจัยอย่างไรก็มีวัตถุนั้น ๆ มนุษย์เราถึงต้องเรียนต้องศึกษาเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย หลักการเรียนการศึกษาของมนุษย์นั้นมีอยู่ทั้งหมด ๑๘ ศาสตร์
เรียนทำไม..? เพื่อให้รู้เข้าใจ เพื่อเราจะเอามาใช้เอามาปฏิบัติ เพื่อพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้รับความสะดวกความสบายในการพัฒนาวัตถุเพื่อเป็นเหตุเป็นปัจจัย พร้อมทั้งพัฒนาจิตใจไปพร้อม ๆ กันเป็นทางสายกลาง ทางวัตถุเราก็สะดวกสบาย ทางจิตใจของเราก็ไม่ให้มีปัญหา สว่างไสวในทางวัตถุในทางจิตใจ เป็นชีวิตที่ว้าว ว้าว ว้าวทั้งภายนอกภายใน เป็นความดับทุกข์ ไม่มีทุกข์ ด้วยความรู้ความเข้าใจ มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจ ความรู้ความเข้าใจนี้เป็นเหมือนเลขคณิตคิดในใจ เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เข้าถึงความเต็มเต็มเต็ม เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอในปัจจุบัน เป็นความดี เป็นบารมีเบื้องต้นท่ามกลางในที่สุด เป็นความดีเป็นคุณธรรมเป็นคุณสมบัติของผู้ดี ดีทั้งกาย ดีทั้งวาจากิริยามารยาทรวมลงที่ใจที่มีปัญญา เป็นปฏิปทาของเราทุกคนที่ต้องก้าวไป
หลักการของมนุษย์ วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำงานเพื่อพัฒนาวัตถุ เป็นวันพัฒนาจิตใจไปพร้อม ๆ กันเป็นทางสายกลาง ให้ได้มาทั้งสองอย่าง ให้ได้มาทั้งวัตถุและจิตใจไปพร้อม ๆ กัน
วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำงาน ไปเน้นเรื่องจิตเรื่องใจในปัจจุบัน เพื่อโฟกัสสติสัมปชัญญะในปัจจุบัน ให้ไปเอาความสุขความดับทุกข์อยู่ที่เจริญสติเจริญสัมปชัญญะ เป็นความดีเป็นการถือเนกขัมมะบารมี ไม่เอาความสุขทางร่างกาย เอาความสุขเอาความดับทุกข์ในเรื่องจิตเรื่องใจ ในการเจริญสติสัมปชัญญะ เพื่อสติสัมปชัญญะของเราจะได้สมบูรณ์ ไปมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมในการยืนเดินนั่งนอนอิริยาบถต่าง ๆ ไปมีความสุขในการหายใจเข้าก็ให้สบาย หายใจออกก็ให้สบาย หายใจเข้าก็มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจออกก็มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้าเอาออกซิเจนดี ๆ เข้าสู่ร่างกาย หายใจอออกให้คาร์บอนไดออกไซด์เอาของเสียเอาของปฏิกูลของไป
การเจริญสติสัมปชัญญะรู้ความเป็นจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน หายใจเข้าไปเลี้ยงร่างกายเพื่อให้ร่างกายอยู๋ได้ หายใจออกเอาของเสีย เอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นล้วนแต่ไม่แน่ไม่เที่ยงมีความเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาเป็นอาคันตุกะสัญจรไปมา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
วันเสาร์วันอาทิตย์ ทุกชาติทุกศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เอาหลักการอย่างนี้ เพราะธรรมะนั้นเป็นสากล เราทุกคนก็ใช้หลักการเดียวกันนี้แหละ เพราะสภาวธรรมที่แท้จริงนั้นเป็นสากล เช่นความแก่ความเจ็บความตายพลัดพรากนี้เป็นสากล ทุกข์ทางกายก็เป็นสากล ทุกข์ทางใจก็เป็นสากล เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ จะได้เอาหลักการที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิมาใช้มาปฏิบัติ
เราพากันนอนพากันพักผ่อนให้เพียงพอ ผู้ที่เป็นประชาชน ผู้ที่อยู่ในบ้านในครอบครัว ผู้ที่ปกครองบ้านปกครองเมืองปกครองประเทศ ต้องนอนต้องพักผ่อน ๖-๘ ชั่วโมง ทุกคนต้องนอนพักผ่อน ๖-๘ ชั่วโมง เพื่อสรีระร่างกายของเราจะได้สมบูรณ์ เราต้องนอนพักผ่อน ๖-๘ ชั่วโมง เราต้องหยุดเรื่องอดีตไว้ให้หมด เราต้องหยุดเรื่องอนาคตเอาไว้ให้หมด ปัจจุบันเราต้องนอนพักผ่อน ทุกคนต้องทำเหมือนกันหมดทุกคน นี้คือหน้าที่ นี้คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ
สำหรับนักบวชพากันนอนพากันจำวัด ๕ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมง เพราะนักบวชนั้นไม่ได้ทำธุรกิจทำหน้าที่การงานเหมือนชาวบ้านผู้ครองบ้านครองเมือง นอนพักผ่อนจำวัด ๕,๖ ชั่วโมงก็เพียงพอ งานของพระเป็นงานยกเลิกธุรกิจหน้าที่การงานภายนอก มาเน้นงานในงานการเจริญสติเจริญพระกรรมฐาน เป็นงานเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ เพื่อให้สติสัมปชัญญะนั้นได้ติดต่อต่อเนื่อง มาเน้นงานภายในคือเรื่องจิตเรื่องใจ
ผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบท มาเน้นเรื่องจิตเรื่องใจด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา มาหยุดเรื่องในการตรึกในกาม มาหยุดเรื่องในการตรึกในพยาบาท เพื่อให้ปฏิปทาได้เกิดติดต่อต่อเนื่อง
นักบวชทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ การที่เรามีสติมีสัมปชัญญะที่เราเอาพระธรรมเอาพระวินัย เอาสมมติสัจจะนำชีวิตที่เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ จะทำให้เรามีสติมีสัมปชัญญะ จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เรายกเลิกเรื่องอดีต ยกเลิกความฟุ้งซ่านความละเมอเพ้อฝัน ทำให้จิตใจของเราอยู่กับความสงบอยู่กับปัญญา สติสัมปชัญญะถึงเป็นความดับทุกข์ของนักบวชทั้งหลาย
เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ว่าพระธรรมพระวินัยเป็นอุปกรณ์ในการประพฤติการปฏิบัติ เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เรายกเลิกความไม่ถูกต้อง ความไม่ถูกต้องนั้นหมายเอานิติบุคคลตัวตน นิติบุคคลตัวตนคือความไม่ถูกต้อง นิติบุคคลตัวตนที่มีความที่มีความสำคัญมั่นหมาย ว่าเป็นเราเป็นคนอื่น นี้เป็นนิติบุคคล นี้คือความไม่ถูกต้อง เราทุกคนต้องมาหยุดในความไม่ถูกต้อง เราจะหยุดความไม่ถูกต้องได้ เราก็ต้องอาศัยพระธรรมอาศัยพระวินัย พระธรรมพระวินัยนั้นสั่งให้เราหยุดคิดหยุดพูดหยุดกระทำ แสดงออกถึงกิริยามารยาทอาชีพ พระธรรมพระวินัยนั้นเป็นทั้งคำสั่งให้หยุด คำสั่งให้ประพฤติให้ปฏิบัติ นักบวชเราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะอันนี้มันดีมาก มันเพอร์เฟคมาก
เราเป็นนักบวชมีโอกาสพิเศษหยุดทำธุรกิจหน้าที่การงาน มาเน้นเรื่องจิตเรื่องใจ มาตั้งใจตั้งเจตนา นักบวชนั้นต้องมาเจริญสติเจริญสัมปชัญญะในปัจจุบัน ปัจจุบันเรามีความสุข ฉันอาหารวันหนึ่งเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอ ไม่ต้องทานอาหาร ๓ มื้อเหมือนประชาชนเค้า ความทุกข์นั้นมันเกิดจากความปรุงแต่ง ความสุขนั้นมันเกิดจากความปรุงแต่งนะ เมื่อเรามีสติมีสัมปชัญญะเราไม่มีความปรุงแต่ง เราหยุดความปรุงแต่ง หยุดด้วยความรู้ความเข้าใจ หยุดด้วยพระธรรมพระวินัย หยุดด้วยสติสัมปชัญญะ หยุดตรงในกามหยุดตรึกในพยาบาท ใจของเราก็จะมีความสงบมีปัญญา ใจของเราเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ สติสัมปชัญญะนั้นดีมากจริง ๆ เพอร์เฟคจริง ๆ
พระเราบริโภคอาหารวันหนึ่งเพียงหนเดียวก็เพียงพอ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเสวยภัตตาหารวันหนึ่งเพียงครั้งเดียวหนเดียว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงมีเมตตาให้ภิกษุผู้ป่วยผู้อาพาธฉันอาหารได้หลายครั้ง ภายในเวลาเช้าไปถึงเที่ยงก็เพราะพระภิกษุป่วยภิกษุอาพาธ ที่เราเห็นพระภิกษุสามเณรพากันฉันอาหารเพลกันทุก ๆ วันนี้ เพราะได้ไปทำตามประเพณีที่พระภิกษุป่วยภิกษุอาพาธ ได้ทำกันตามประเพณีกันมาอย่างนี้ ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้พระภิกษุสามเณรฉันอาหารวันหนึ่งเพียงครั้งเดียวหนเดียวเท่านั้น หลักการของหมู่มวลมนุษย์ของเรา พัฒนาใจพัฒนาวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กัน มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ มนุษย์เราก็จะได้เพียบพร้อมทางวัตถุ เพียบพร้อมทางจิตใจไปพร้อม ๆ กันเพื่อเป็นทางสายกลาง
ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราทั้งหลายต้องมารู้หน้าที่ของเรา หน้าที่ทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจ มารวมลงที่ความตั้งใจตั้งเจตนา เราทุกคนต้องมาเน้นที่ตัวเรา เน้นปฏิบัติที่ตัวเราอย่างนี้ เพื่อเอาพระรัตนตรัยนำชีวิต พระรัตนตรัยคือพระธรรมคือพระวินัย ข้อวัตรข้อปฏิบัติเพื่อเป็นหน้าที่เพื่อทำหน้าที่
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พวกเราทั้งหลายอย่าพากันประมาท อย่าตั้งอยู่ในความประมาท เพราะความประมาทนั้นจะทำให้เกิดความเสียหาย จะทำให้เกิดการพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย ประเทศไทยรวมทั้งหลาย ๆ ประเทศ ใช้หลักการอุดมการณ์อุดมธรรมอย่างเดียวกันด้วยการบริหารประเทศ การบริหารประเทศบริหารจากหลักการภาษีอากรของประเทศ ทุกคนเกิดในประเทศไหนต้องเสียภาษีอากร ผู้ที่ไปเที่ยวประเทศอื่นก็ต้องเสียภาษีอากรให้ประเทศอื่น เพื่อจะได้เอาภาษีอากรนั้นมาบริหารผู้ที่รับราชการผู้ที่เป็นนักการเมืองผู้ที่เป็นนักบวช เพราะธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ข้าราชการนักการเมืองนักบวชต้องทำหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติเพื่อทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์บริบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะไม่ให้ขาดไม่ให้ด่างไม่ให้พร้อยในปัจจุบัน ปัจจุบันต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้ อย่าไปขี้เกียจขี้คร้าน เพราะปัจจุบันเป็นวาะสำคัญที่จะต้องทำหน้าที่ ความเสียหายนั้นเกิดจากไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีให้สมบูรณ์
การที่เราไม่ได้ทำหน้าที่ของเราให้ดี ๆ ให้สมบูรณ์บริบูรณ์นั้น มันคือทุจริต ทุจริตคือความเสียหาย เราทุกคนต้องรู้ต้องเข้าใจ พากันมาเสียสละเพื่อพากันทำหน้าที่ เราอย่าติดในตัวในตน อย่าติดในความสะดวกความสบาย เราทุกคนต้องพากันมาเสียสละเพื่อทำหน้าที่ มีปิติมีความสุขในการทำหน้าที่ ให้ถือว่าปัจจุบันเป็นวาระสำคัญในการเสียสละ
เราเอาตัวอย่างแบบอย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านทำหน้าที่ที่เป็นพุทธกิจในการประพฤติการปฏิบัติ ๒๔ ชั่วโมง ท่านทำหน้าที่ของท่านสมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ วันหนึ่งคืนหนึ่งท่านทรงบรรทมเสียสละให้สรีระร่างกาย ๔ ชั่วโมง เสียสละให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย หมู่มวลมนุษย์เทวดาเทพเทวาพรหมสรรพสัตว์ทั้งหลาย ๒๐ ชั่วโมง รวมครบวงจรเป็น ๒๔ ชั่วโมง ท่านอยู่กับการเสียสละ
การที่เสียสละนั้นถึงจะมีสติมีสัมปชัญญะ ถ้าใครเสียสละคนนั้นถึงจะมีสติสัมปชัญญะ ถ้าใครไม่เสียสละผู้นั้นก็จะไม่มีสติสัมปชัญญะ ให้เรารู้เข้าใจ ศีลนั้นคือการเสียสละ ยกเลิกตัวยกเลิกตน ยกเลิกวัฏฏสงสาร ไม่เอาความชอบความชังนำชีวิต เสียสละ เสียสละทางกายวาจากิริยามารยาท เสียสละทางอาชีพที่ยกเลิกตัวตน มีความสงบและปัญญา เป็นปฏิปทาที่ประเสริฐในการประพฤติการปฏิบัติ จะได้ว้าวว้าวทั้งกายทั้งใจเป็นพร้อม ๆ กันที่เป็นคุณธรรมเป็นคุณสมบัติของคนดีของผู้ดี
การพัฒนาก็ต้องมาพัฒนาเรานี้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ว่าเราจะดับทุกข์ได้ก็ต้องเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละเราก็ไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ เราก็ไม่มีทานศีลภาวนา เราก็ไม่มีปัญญา ความรู้ถึงเป็นคู่กับการประพฤติการปฏิบัติเพื่อทางวัตถุกับทางใจจะไปพร้อม ๆ กันเป็นทางสายกลาง
ธรรมะคือความพอดีคือความพอเพียงเพียงพอที่เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ธรรมะคือการยกเลิกตัวยกเลิกตนยกเลิกการทุจริต ปัญหาต่าง ๆ ของเราและคนอื่นมันอยู่ที่ทุจริต เราจะพัฒนาตัวเรา พัฒนาประเทศชาติบ้านเมือง เราต้องมาแก้ปัญหาด้วยการยกเลิกตัวยกเลิกตนยกเลิกการทุจริต
เราต้องรู้เข้าใจ ทำงานให้มีความสุขเพื่องาน รับราชการมีความสุขเพื่อราชการ เป็นนักการเมืองผู้บริหารบ้านเมืองให้มีความสุขด้วยการยกเลิกสิ่งที่ไม่ดีไม่ถูกต้อง มามีปิติมีความสุขในการบริหารบ้านบริหารเมือง มาเป็นพระมาเป็นพระธรรมพระวินัย ยกเลิกตัวตนถึงเป็นพระธรรมพระวินัย เราไม่ยกเลิกตัวตนจะเป็นพระธรรมเป็นพระวินัยได้อย่างไร เราทุกคนให้รู้ให้เข้าใจ รู้เข้าใจแล้วตั้งใจตั้งเจตนา เพื่อให้ปฏิปทามันติดต่อต่อเนื่องกันไปเป็นขบวนการ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี ต้องเข้าถึงความดับทุกข์ทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจในปัจจุบันนี้
เราอย่าไปคิดเหมือนแต่ก่อนว่าความดับทุกข์อยู่ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ อย่าไปคิดว่าพระนิพพานอยู่ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ คิดอย่างนั้นมันไม่ได้ มันใช่ ไม่ได้ มันอยู่ไกลเหลือเกินมันอยู่เบื้องหน้าโน้นเทอญ มันไม่ใช่ธรรมไม่ใช่ปัจจุบันธรรม มันเป็นความเพ้อฝันลม ๆ แล้ง ๆ เมื่อปัจจุบันเราไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ ไม่เอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ประพฤติไม่ปฏิบัติอย่างนี้ไม่ได้นะ
เราต้องรู้เข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นอยู่ที่รู้เข้าใจ ไม่ใช่เราไปตัดออกไม่ใช่เราไปเพิ่ม ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ มันเป็นสิ่งที่พอดี เป็นสิ่งที่เพียงพอ ให้เรารู้เข้าใจหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องพากันรู้หลักการรู้อุดมการณ์อุดมธรรม เราจะได้ยกเลิกอุดมหลง เดี๋ยวมันจะพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึกสตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน มันจะเป็นอย่างนั้นแหละ ไม่เป็นอย่างอื่น มันจะเป็นอย่างนั้นแหละ มันจะเป็นอย่างเดียวกับตึก สตง.
เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ เราต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราต้องรู้จักเรื่องของกาย เราต้องรู้จักเรื่องของใจ กายก็ต้องมีความเกิดแก่เจ็บตายพลัดพรากเป็นธรรมดา จะไม่อยากให้แก่ให้เจ็บให้ตายให้พลัดพรากความคิดอย่างนี้มันใช้ไม่ได้นะ ไม่ถูกต้องนะ มันเป็นลิดรอนสิทธิเสรีภาพของความจริงของความเป็นจริง ความคิดอย่างนี้เป็นความคิดที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพที่เราไม่อยากให้เราแก่เจ็บตายพลัดพราก ไม่อยากให้คนอื่นแก่เจ็บตายพลัดพราก มันเป็นความคิดที่ผิดเป็นความคิดที่ลิดรอนเสรีภาพ เราต้องรู้เข้าใจเราจะได้คืนสิทธิเสรีภาพให้กับปวงชน มันเป็นความคิดที่ผิดเข้าใจผิด เป็นความคิดที่ทุจริตเป็นตัวเป็นตัวตน ความคิดอย่างนี้มันเสียหายมันต้องพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึกสตง. ไม่มีผิดนะ
เราต้องรู้เข้าใจว่าพระธรรมพระวินัยที่เป็นสมมติบัญญัติทั้งหลาย สมมติบัญญัติทั้งหลายที่เค้าแต่งตั้งให้เราป็นข้าราชการนักการเมืองเป็นพ่อเป็นแม่ทั้งหลาย เราต้องเอาสมมติบัญญัติทั้งหลายมาประพฤติมาปฏิบัติให้มีความสุข เพราะนี้เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องพึงประพฤติพึงปฏิบัติให้ดี ๆ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราจะผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะได้ผ่านนิวรณ์ทั้ง ๕ ผ่านอคติที้ง ๔ ด้วยความรู้ความเข้าใจ เราต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ผ่านไปด้วยพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆที่มีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ เราต้องมารักพระธรรมรักพระวินัยรักข้อวัตรข้อปฏิบัติ เพราะอันนี้เป็นคุณธรรมเป็นความดีที่เราจะต้องพึงประพฤติพึงปฏิบัติ
ความเอร็ดอร่อยที่เกิดขึ้นกับเราทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ให้เรารู้เข้าใจ รู้เข้าใจแล้วก็ต้องมีสติมีสัมปชัญญะ เพื่อเราจะไม่ได้ตามความเอร็ดอร่ออยตามตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราไม่ต้องตามความเอร็ดอร่อยนั้นไป เราต้องรู้เข้าใจด้วยสติสัมปชัญญะ เพราะสิ่งต่าง ๆ นั้น เพราะสิ่งต่าง ๆ นั้นมันไม่จบหรอก มันมีสิ่งภายนอกภายใน มันเป็นขั้วบวกขั้วลบ เราต้องรู้เรื่องขั้วบวกขั้วลบ เรามีตารูปถึงมี เรามีหูเสียงถึงมี เรามีจมูกกลิ่นถึงมี เรามีลิ้นรสถึงมี เรามีกายสัมผัสถึงมี เรามีใจถึงมีเรื่องจิตเรื่องใจ เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องเอาความรู้ความเข้าใจ หยุดลงด้วยความรู้ความเข้าใจ เราต้องรู้เข้าใจ เราเห็นภัยในความเอร็ดอร่อย ด้วยเหตุผลนี้ถึงมีวันเสาร์วันอาทิตย์เพื่อเจริญสติสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะอันหนึ่งคืความสงบอันหนึ่งคือปัญญา เพื่อจะได้ภาวนา เพื่อเราจะได้ประพฤติปฏิบัติ เพื่อจะเอาปัญหาที่เกิดทางตาหูจมูกลิ้นกายใจเพื่อให้เกิดปัญญา ด้วยรู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ
เราต้องรู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้เข้าสู่ความสงบเข้าสู่ความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี เราจะได้ทำงานเพื่องาน ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ เข้าถึงความพอดีความพอเพียงคือสติคือสัมปชัญญะ เราทั้งหลายถึงมารู้เรื่องชาติคือความเกิดอย่างนี้ เข้าถึงศาสนาด้วยความรู้ความเข้าใจ เข้าถึงปัญญาที่บริสุทธิคุณที่เป็นอริยมรรคที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่ต้องเอามาใช้เอามาปฏิบัติ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราทั้งหลายเป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐเราต้องรู้ต้องเข้าใจ เพื่อจะไม่ได้ปล่อยโอกาสปล่อยเวลาให้ผ่านไปด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ เพื่อเอาปัญญาบริสุทธิคุณนำชีวิต คำว่ากษัตริย์หมายถึงตัวปัญญา ปัญญาบริสุทธิคุณที่ยกเลิกตัวตนที่เป็นนามธรรม เพราะเราต้องรู้เข้าใจว่ากายวาจากิริยามารยาทอาชีพนี้เป็นเพียงอุปกรณ์ของจิตของใจ เพื่อให้ใจเรารู้เข้าใจ ให้เรามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้ เราทำติดต่อต่อเนื่องกันไปที่เป็นขบวนการเป็นกระแสแห่งมรรคึผลพนิพพาน
เราทั้งหลายมาระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนที่เป็นบริสุทธิคุณทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพรวมลงที่ใจที่เจตนา เราทั้งหลายมาระลึกถึงคำสั่งสอนอันประเสริฐที่สั่งให้หยุดสั่งให้ทำ พระธรรมคำสั่งสอนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสโอวาทครั้งสุดท้ายก่อนที่จะท่านจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานไว้ว่า
เราขอเตือนท่านทั้งหลายไว้ว่า สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร
ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรมมาประพฤติมาปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง
ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น
---------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันพฤหัสบดีที่ ๒๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา