๒๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
พสกนิกรชาวไทยและชาวต่างประเทศได้มาร่วมรวมกันประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความโทมนัสและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน พระองค์ทรงเป็นดั่งแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและพระปรีชาสามารถ ทรงอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระราชหฤทัยในการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อธำรงไว้ซึ่งความผาสุกและความมั่นคงแห่งชาติไทย เราประชาชนชาวไทยต้องร่วมใจสมัครสมานสามัคคีทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่ออุทิศบุญกุศลน้อมเกล้าถวาย เพื่อเสด็จสู่สวรรคาลัย เข้าสู่สวรรค์มรรคผลพระนิพพาน
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๒๘ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ฮิจเราะห์ศักราช ๑๔๔๖
ทุก ๆ คนต้องเอาธรรมนำชีวิต ให้เรารู้จักหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ เรามามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติในการปฏิบัติหน้าที่ เรามาเน้นมาประพฤติมาปฏิบัติในหน้าที่ในตัวเรา มาทำงานด้วยความตั้งใจตั้งเจตนาที่เป็นงานทางกายวาจากิริยามารยาทเป็นอาชีพ อาชีพของเราคือเอาธรรมนำชีวิต เพื่อพัฒนากายวาจากิริยามารยาทอาชีพ เพื่อเอาหลักการทางศาสนา ศาสนาทุกศาสนาก็มีความหมายอันหนึ่งอันเดียวกัน คือการพัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กันให้เป็นทางสายกลาง ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป เป็นทางสายกลาง เป็นความสงบและเป็นปัญญา เป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี ถึงเรียกว่าความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เป็นอริยมรรคเป็นหนทางประพฤติหนทางปฏิบัติที่ประเสริฐในการประพฤติในการปฏิบัติของเรา
เราต้องมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้ เราต้องผ่านสิ่งต่าง ๆ ในปัจจุบันด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้รู้แจ้งโลกแจ้งธรรมด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะได้ผ่านธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ ด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายสิ่งเก่า ๆ จะได้จบไป สิ่งใหม่ ๆ เราจะไม่ได้ทำความผิด เอาความถูกต้องที่เป็นทางสายกลาง ที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมที่ยกเลิกตัวตนที่เป็นทางสายกลาง ตัวตนนั้นมันเป็นไบโพล่าที่มันเป็นอารมณ์เหวี่ยงไปเหวี่ยงมาซ้ายจัดขวาจัด ทางหมอทางแพทย์ทางพยาบาลเรียกว่าโรคไบโพล่า
เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี
เราคิดดูดี ๆ นะ ถ้าเราคิดไม่ดีไม่รอบคอบ เราจะไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ลิดรอนสิทธิเสรีชน เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้คืนสิทธิเสรีภาพให้กับประชาชนให้กับปวงชน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านคืนสิทธิเสรีภาพให้กับประชาชนให้กับปวงชน เรามายกเลิกเรายกเลิกคนอื่น ถ้าเราไม่ยกเลิกเราไม่ยกเลิกคนอื่นเรก็จะไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ เราทั้งหลายก็จะไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา เราจะมีแต่อัตตาตัวตน ชีวิตเราจะเสียหายจะพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง.ของเมืองไทยประเทศไทย ตึกไหน ๆ เค้าก็ไม่พังทลาย พังตึกเดียวเฉพาะเจาะจงแต่ตึกสตง. ตึกอื่น ๆ มีใหญ่กว่าสูงกว่ามีมากมายแต่เค้าก็ไม่พังทลายเหมือนตึก สตง.
เราต้องรู้เข้าใจ เพื่อเราจะไม่ได้ตามอารมณ์ตามความจริงตามสิ่งแวดล้อม เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราจะได้จบลงได้ที่ผัสสะหรือว่าจบลงได้ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราจะได้เป็นผู้ที่เอาศีลเอาธรรมนำชีวิต ไม่ได้เอาความผิดนำชีวิต ไม่ได้เอาความทุจริตนำชีวิต มันเป็นการเสียหายมันเป็นการพังทลาย มันไม่ใช่การแก้ปัญหา
เราต้องเอาสิ่งต่าง ๆ ที่เมื่อก่อนเราว่ามีปัญหา เอาสิ่งต่าง ๆ นั้นมามีปัญญา เพื่อเป็นข้อวัตรกิจวัตรที่เป็นข้อสอบข้อตอบด้วยปิติด้วยความสุขด้วยเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้ว้าวว้าวทั้งภายนอกภายในทั้งจิตใจ เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอถึงความเต็มเต็มเต็ม ไม่ขาดตกบกพร่องเป็นความอิ่มความเต็มความพอเพียงเพียงพอ
เราทุกคนต้องมารู้มาเข้าใจ ต้องพากันมารักพระธรรมรักพระวินัยรักข้อวัตรข้อปฏิบัติ ต้องพากันมีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม ยกเลิกนิวรณ์ทั้ง ๕ ยกเลิกอคติทั้ง ๔ ด้วยความรู้ความเข้าใจ
เรามามีความสุขในการทำหน้าที่ มีความสุขในกายวาจากิริยามารยาทอาชีพที่ยกเลิกตัวตน ต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เมื่อมันผ่านไปแล้วก็ถือว่ามันผ่านไปแล้วมันเกษียณไปแล้วเราก็ต้องปล่อยต้องวาง ถ้าเราไม่ปล่อยไม่ว่างมันก็ไม่เป็นธรรมไม่เป็นปัจจุบันธรรม มันก็เป็นตัวเป็นตน ตัวตนนั่นแหละ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้รู้เข้าใจ ตัวตนนั้นมันจะไม่อิ่มไม่พอไม่เต็ม เปรียบเสมือนทะเลมหาสมทุรไม่อิ่มด้วยน้ำ เปรียบเสือนไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อของเพลิง มันจะขดาตกบกพร่อง มันจะไม่อิ่มไม่พอ มันจะมีความทุกข์อยู่ตลอด
ความทุกข์ให้รู้เข้าใจ ความทุกข์กับโรคซึมเศร้ามันคืออันเดียวกัน เราเอาตัวตนนำชีวิต ไม่เอาความสุขนำชีวิตมันก็ต้องเป็นโรคซึมเศร้า โรคซึมเศร้าคือโรคไม่อิ่มไม่เต็ม ไม่อิ่มไม่พอ เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะเมื่อไหร่เราจะเข้าถึงความอิ่มความเต็มความพอเพียงเพียงพอ
เราทั้งหลายต้องมาเน้นที่ตัวเราในการประพฤติการปฏิบัติของเรา เพราะโอกาสพิเศษได้เป็นของเราแล้ว เราได้รับทรัยพากรที่ประเสริฐแล้ว ทรัพยากรที่ทรงคุณค่าที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐ
มนุษย์คือผู้รู้เข้าใจเห็นภัยในวัฏฏสงสาร พัฒาวิทยาศาสตร์พัฒนาวัตถุไม่หลงในวิทยาศาสตร์ไม่หลงในวัตถุ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันเป็นเพียงเหตุเพียงปัจจัยเราจะไปหลงทำไม เพราะมันเป็นเพียงวัตุเพื่ออำนวความสะดวกความสบายในการดำรงชีวิตเท่านั้นเอง เราต้องเจริญสติสัมปชัญญะเพื่อจะได้ยกเลิกอดีตอนาคต ปัจจุบันเราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ว่างจากสิ่งที่ไม่มี รูปก็มีอยู เสียงก็มีอยู่ กลิ่นรสโผฏฐัพพะก็มีอยู่ รู้ด้วยความรู้ความเข้าใจ
เราทั้งหลายถ้ามีสติสัมปชัญญะเมื่อไหร่ก็มีสติสัมปชัญญะอยู่ทุกหนทุกแห่ง ความสงบกับความเคารพคือสิ่งอันเดียวกัน การยกเลิกตัวตนไม่เอาตัวตนนำชีวิตนี้แหละคือคุณธรรมคือคุณสมบัติของผู้ดี เป็นผู้ใจดีใจสบาย เป็นผู้มีความสงบมีปัญญา เป็นผู้รู้จักเรื่องอนัตตา ว่าทุกอย่างนั้นเป็นเพียงอาคันตุกะสัญจรไปมาชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น
เราทั้งหลายพากันมาบำเพ็ญความดีบำเพ็ญบารมีให้เรารู้เข้าใจในเรื่องการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันเราต้องรู้จักหลักการประพฤติการปฏิบัติด้วยการเจริญสติสัมปชัญญะ
ให้เรารู้เข้าใจ ปัจจุบันเป็นอย่างไรอนาคตก็เป็นอย่างนั้น จิตวาระสุดท้าย กายวาจากิริยามารยาทอาชีพวาระสุดท้ายเป็นสิ่งที่สำคัญ จิตในปัจจุบันเป็ฯสิ่งที่สำคัญของจิตวาระสุดท้าย จิตสุดท้ายกับจิตปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะเหตุผลว่าอดีตที่ผ่านมาทั้งหมดก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันถึงเป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ ด้วยเหตุผลนี้ปัจจุบันเราถึงมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ
อานาปานสตินี้เป็นหลักการของการประพฤติการปฏิบัติของเราทุกคน เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันมีมากมายที่จะให้เราไปตามสิ่งต่าง ๆ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราเอาหลักการง่าย ๆ คือให้มีสติสัมปชัญญะอยู่กับลมหายใจเข้าหายใจออก ลมหายใจเข้าหายใจออกใช้ได้กับเราทุกคนทุก ๆ อิริยาบถ ไม่ใช่ใช้เฉพาะตอนนั่งสมาธินะ ต้องเอามาใช้ทุกอิริยาบถเพื่อเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม พระพุทธเจ้าก็ใช้หลักการนี้แหละ พระอรหันต์ก็ใช้หลักการนี้แหละ สามัญที่กำลังบำเพ็ญบารมีอยู่ก็ใช้หลักการเดียวกันนี้แหละ เพื่อสติสัมปชัญญะของเราจะได้สมบูรณ์
ต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ต้องมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม ให้มีความสุขในการหายใจเข้า ให้มีความสุขในการหายใจออก ให้ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ เพราะธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่ได้ตัดไม่ได้เพิ่ม มันเป็นหน้าที่ทำหน้าที่ มันจะได้เป็นการทำงานเพื่องานเพื่อไม่หวังอะไรตอบแทน มันจะเป็นความสงบ เป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ ด้วยรู้เข้าใจไม่หวังอะไรตอบแทน ธรรมะต้องเป็นความพอดี ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป มันต้องยกเลิกเรื่องอดีตเรื่องอนาคต ปัจจุบันก็ต้องว่างด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ เพื่อทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์
เรามาระลึกถึงโอวาทของพระบรมศาสดาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสปัจฉิมโอวาทเพื่อให้เรารู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติเพื่อเราจะได้ไม่ประมาท เพราะปัจจุบันเป็นวาระสำคัญของเราทุก ๆ คน ท่านตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราขอเตือนเธอทั้งหลายว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงให้เรารู้ให้เราเข้าใจ เราจะได้เอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ที่ท่านตรัสเป็นภาษาบาลีว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร
ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรมมาประพฤติมาปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง
ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น
------------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันศุกร์ที่ ๒๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา