๒๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
พสกนิกรชาวไทยและชาวต่างประเทศได้มาร่วมรวมกันประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความโทมนัสและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน พระองค์ทรงเป็นดั่งแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและพระปรีชาสามารถ ทรงอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระราชหฤทัยในการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อธำรงไว้ซึ่งความผาสุกและความมั่นคงแห่งชาติไทย เราประชาชนชาวไทยต้องร่วมใจสมัครสมานสามัคคีทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่ออุทิศบุญกุศลน้อมเกล้าถวาย เพื่อเสด็จสู่สวรรคาลัย เข้าสู่สวรรค์มรรคผลพระนิพพาน
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๒๙ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ฮิจเราะห์ศักราช ๑๔๔๖
เมื่อวานวันที่ ๒๘ ท่านพระอาจารย์เอกราชได้นำสรีระสังขารคุณแม่ชีมาบำเพ็ญบุญกุศลที่วัดป่าทรัพย์ทวีฯ แห่งนี้ พรุ่งนี้วันที่ ๓๐ เวลา ๘ นาฬิกาก็จะได้รวมกันที่ศาลาเพื่ออุทิศบุญกุศลสวดมาติกาบังสุกุลให้คุณแม่ชี บรรยายพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ กัณฑ์ คงจะใช้เวลาถึง ๙ นาฬิกา นำสรีระไปประชุมเพลิง ณ วัดป่าทรัพย์ทวีฯ แห่งนี้ เพื่อให้ครูบาอาจารย์ที่เดินทางไกลกลับวัดตั้งแต่เช้า กลับถึงวัดไม่ดึกเกิน
คุณแม่ชีเสน โคตรธรรม คุณแม่ชียนต์ พันเพียง คุณแม่ชีจันที พันเพียง คุณแม่ชีกอง พันเพียง ๔ คนนี้เป็นญาติพี่น้องกัน
คุณแม่ชีบวชที่วัดหนองป่าพงกับท่านหลวงปู่ชา สุภัทโท
เมื่อหลวงปู่ชาขยายสาขาเพื่อเผยแผ่ธรรมะ หลวงปู่ชาให้หลวงปู่จันทร์กลับไปอยู่บ้านเกิด บ้านเกิดของหลวงปู่จันทร์ได้แก่บ้านกลางใหญ่ ตำบลกลางใหญ่ อำเภอเขื่องใน หลวงปู่ชาถึงให้แม่ชีหลายแม่ชีไปอยู่หลวงปู่จันทร์เพื่อพัฒนาวัด ทำความสะอาดวัด เพราะเหตุผลว่าพระขุดดินไม่ได้ ตัดต้นไม้ไม่ได้ พรากของเขียวไม่ได้ ต้องอาศัยประชาชน ถ้านักบวชก็พวกถือศีล ๘ หรือสามเณรศีล ๑๐ นี้ได้
หลวงปู่จันทร์เป็นพระดี นิสัยดี มีเมตตามาก เอาข้อวัตรกิจวัตรของหลวงปู่ชาอย่างดียิ่ง พระรุ่นเก่าสมัยเก่ามีหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์เป็นประธาน พระรุ่นนี้จะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ปฏิบัติเพื่อมรรคผลพระนิพพานอย่างเดียว ปฏิบัติมองดูแล้วน่ะ มองดูรูปไหนก็มีแต่รูปที่ขลังศักดิ์สิทธิ์ มีความพอดี ไม่ช้าเกินไป ไม่เร็วเกินไป เดินเหินนั่งนอนสง่างาม มีข้อวัตรกิจวัตรที่งดงามมาก รักษาพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ทุกสิกขาบทเลย ที่รู้เข้าใจต้องรักษาให้หมด นอกจากจะไม่รู้ พระสมัยเก่าสมัยโบราณจะฉันอาหารวันหนึ่งเพียงหนเดียว จะไม่มีใครดื่มน้ำปานะกัน ดื่มน้ำปานะเฉพาะเวลาเจ็บป่วยไข้ ถ้าไม่เจ็บไม่ป่วยไม่ไข้จะไม่มีใครฉันน้ำปานะ จะเน้นเรื่องการฝึกจิตฝึกใจฝึกปฏิปทา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการฝึกใจฝึกปฏิปทา เน้นที่ธรรมเน้นที่ปัจจุบันธรรม ถือเอาปัจจุบันเป็นวาระสำคัญของการประพฤติการปฏิบัติ เพราะอดีตก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบัน ให้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ต้องไปคิดว่าพระนิพพานอยู่ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ เน้นที่ปัจจุบัน ฉันอาหารในบาตร อะไรก็เอาลงใส่บาตรหมด ไม่เอาใส่ในฝาบาตร ของหวานของคาวอะไรก็เอาลงในบาตร มีการประพฤติการปฏิบัติเข้มข้น
หลวงปู่จันทร์สร้างวัดบึงเขาหลวงมาหลายปี หลวงปู่สอนเป็นคนบ้านกลางใหญ่ ได้เลื่อมใส เพราะหลวงปู่จันทร์ท่านเทศน์เก่งเทศน์ดี คนในหมู่บ้านนับถือหลวงปู่จันทร์มาก คนบ้านกลางใหญ่พระเดินไปที่ไหนใครทำอะไรอยู่ก็นั่งลงประนมมือ ไม่มีใครไม่ทำอย่างนั้น จะปั่นจักรยานหรือขับเกวียนหรือจูงควายก็พากันนั่งลงประนมมือ หลวงปู่สอนได้เข้าอุปสมบทหลวงปู่จันทร์หลายปี ได้เอาปฏิปทาของหลวงปู่จันทร์มาใช้มาปฏิบัติ เป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จึงได้ออกธุดงค์วิเวกกรรมฐานไปทางเหนือไปทางภาคเหนือ ไปทางจังหวัดอุตรดิตถ์ เด่นชัย แพร่ พะเยา ลำปาง เชียงใหม่เชียงราย แม่ฮ่องสอน ได้ไปพักประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่กับหลวงปู่ฉลวย สุธัมโม
หลวงปู่ฉลวย สุธัมโมก็เป็นพระสหธรรมิกกับหลวงปู่ชา สุภัทโท หลวงปู่สิม พุทธาจาโรโร หลวงปู่แว่น ธนปาโล ได้ไปจำพรรษาร่วมกันที่วัดใหญ่ชัยมงคลที่จังหวัดอยุธยา เมื่อสมัยก่อนที่วัดใหญ่ชัยมงคลเป็นที่รกร้างว่างเปล่าจากการมีพระสงฆ์ หลวงปู่ฉลวย หลวงปู่ชา หลวงปู่สิม หลวงปู่แว่น หลวงปู่เปลื้อง ๕ รูปก็ช่วยกันพัฒนาวัดใหญ่ชัยมงคลจนกลับฟื้นมาเป็นวัดในปัจจุบัน เมื่อเป็นวัดแล้วก็มอบให้ท่านหลวงปู่เปลื้องเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่นั่น
หลวงปู่ชาได้ไปเรียนพระธรรมพระวินัยอยู่ที่วัดเขาวงกต อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี เพื่อเอาหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม วัดเขาวงกต จังหวัดลพบุรี ใช้หลักการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ ๔ เอาหลักการของพระธรรมพระวินัย ยกเลิกความไม่ถูกต้อง เอาพระธรรมพระวินัย เอาสติสัมปชัญญะ หลวงปู่ชาได้ไปศึกษาพระธรรมพระวินัย เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย
พระธรรมพระวินัยนี้อยู่ที่เราตั้งใจตั้งเจตนา เป็นอริยมรรคมีองค์แปด เป็นความรู้ความเข้าใจไม่ใช่ความจำ เป็นคณิตคิดในใจ เป็นความรู้เฉพาะตน เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เข้าใจหลักการในการประพฤติการปฏิบัติเรื่องพระธรรมพระวินัย พระที่นั่นพากันพูดกันว่า ท่านพระอาจารย์เภาที่วัดวงกตนี้ละสังขารนิพพานแล้ว ให้ท่านไปเอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติกับท่านหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เดี๋ยวนี้ขณะนี้ ท่านกำลังจาริกกรรมฐานอยู่ในเขตจังหวัดสกลนคร ท่านกำลังเป็นพระอรหันต์ใหม่ไฟแรง ฟอร์มสด ท่านอาจารย์ชาถึงเดินทางจากบ้านทางภาคอีสาน อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ท่านถึงจาริกธุดงค์กรรมฐานไปหาหลวงปู่มั่น ไปกับสามเณรแดง เป็นญาติ ๆ กัน กับตาผ้าขาวเป็นญาติกัน คนเป็นตาผ้าขาวคือบุคคลที่ถือศีล ๘ อยู่ที่บ้านแต่ว่าถือศีล ๘ ใส่เสื้อผ้า เค้าเรียกว่าตาผ้าขาว
ท่านเดินทางไปหาหลวงปู่มั่น ไปกราบหลวงปู่มั่น ไปฟังธรรม สนทนาธรรมทุกแง่ทุกมุมเพื่อความรู้ความเข้าใจในการประพฤติในการปฏิบัติ เพื่อเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ความรู้ความเข้าใจนี้ให้เราทั้งหลายรู้เข้าใจนะ ความรู้ความเข้าใจนี้ไม่ใช่ความจำ มันเป็นคณิตคิดในใจ ท่านถึงเดินทางกลับที่อำเภอวารินฯ จังหวัดอุบลฯ ไปที่ป่าพง อยู่ท่ามกลางหลาย ๆ หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านก่อนอก บ้านก่อใน บ้านน้ำคำ บ้านโนนโหนน บ้านโนนผึ้ง บ้านโนนบก บ้านดอนกลาง บ้านคำนางรวย บ้านดอนจั่น ดงป่าพงนั้นจะอยู่ตรงกลาง คนหลาย ๆ หมู่บ้านส่วนใหญ่ก็จะเป็นญาติ ๆ กัน มีความผูกพันเกี่ยวข้อง มีความผูกพันทางสายเลือด
วัดหนองป่าพงเป็นที่สงบวิเวก ไม่มีใครกล้าไปตัดป่าเพราะเจ้าที่เจ้าทางที่นี่แรง ถ้าใครไปตัดต้นไม้ ไปล่าสัตว์นี้มีอันไปเป็นต่าง ๆ นานา
ดงป่าพงแห่งนี้ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เคยไปพักบำเพ็ญภาวนาก่อนหลวงปู่ที่จะไปอยู่ที่นี่อีก พระภูมิเจ้าที่นั้นได้กราบเรียนหลวงพ่อพุธว่า นี้ไม่ได้นะ เจ้าของที่นี่คือหลวงปู่ชา เดี๋ยวหลวงปู่ชาท่านจะเป็นผู้ที่มีอยู่ที่นี่ ให้หลวงพ่อพุธออกจากที่นี่ไปเสีย หลวงพ่อพุธถึงได้จาริกไปที่อื่น
หลวงปู่ชาได้เป็นญาติกับหลวงพ่อกัณหา โยมแม่ของหลวงพ่อกัณหาชื่อซ่อน เป็นลูกสาวของตาผ้าขาวสา ที่เป็นตาผ้าขาวพาหลวงปู่ชาเดินธุดงค์ไปหาหลวงปู่มั่นที่จังหวัดสกลนคร สามเณรแดงก็ได้แก่น้องชายของโยมแม่ซ่อน
หลวงตาสาท่านเป็นคนเกิดที่อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี เป็นคนเชื้อสายไทยพรวน ท่านได้มาการทหารที่จังหวัดอุบลฯ จึงได้มีภรรยาอยู่ที่จังหวัดอุบลฯ
แม่ใหญ่หลวงพ่อกัณหาชื่อแม่ใหญ่มา ที่เป็นญาติสายโลหิตกับทางฝ่ายแม่ท่านอาจารย์ชา หลวงพ่อกัณหา ได้เกิดที่โคกเซบูน ที่ตายายพาแม่ไปทำนาและได้สามีอยู่ที่นั่น จึงได้ย้ายมาอยู่ที่บ้านนาเจริญ ตำบลนาเจริญ อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี
ประเทศไทยสมัยก่อน ๒๕๐๐ ส่วนใหญ่ยังเป็นป่าเป็นเขา ไม่ได้เป็นนาเป็นทุ่งเหมือนสมัยทุกวันนี้ ต้องใช้เท้า ใช้เกวียน ใช้หาบ ยังมีสัตว์ป่านานาพันธุ์กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ที่บ้านนาเจริญ เดิมไม่ชื่อว่าบ้านนาเจริญ เดิมชื่อบ้านเริงบาก เริงบากนี้หมายถึงอุดมสมบูรณ์ ดินดำ มีต้นยางต้นใหญ่ต้นบาก สถานที่ดินดี ๆ เค้าถึงเรียกว่าที่นั่นว่าบ้านเริงบาก ต่อมาถึงมาเปลี่ยนชื่อใหม่ชื่อบ้านนาเจริญ ที่บ้านนาเจริญได้มีวัดพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ไปอยู่คู่ประชาชน เพื่อเป็นคู่บ้านคู่ประชาชน เพื่อเอาความดีคู่กับปัญญา เอาปัญญาคู่กับความดี ควบคู่กันไป คนเข้าวัดไปทำบุญสมัยก่อนไปถึงวัดต้องถอดรองเท้าไว้ที่ประตูวัด ไม่มีใครเดินสวมรองเท้าเข้าไปภายในวัด เพราะเค้าเคารพเค้าคารวะในสถานที่
พระรุ่นเก่าสมัยเก่านั้นปฏิบัติขลังศักดิ์สิทธิ์มาก ๆ ตัดเย็บย้อมจีวรด้วยมือของตัวเอง เอาแก่นขนุนมาสับมาต้มเคี่ยวให้น้ำมันเข้มมาย้อมจีวร ภายหลังพระรุ่นเก่านั้นแก่เจ็บตายพลัดพรากจากไป สิ่งที่ดี ๆ อย่างนั้นก็หายไปพร้อม ๆ กันโดยธรรมชาติ
หลวงพ่อกัณหาถึงได้รู้ได้เข้าใจทั้งเก่าทั้งใหม่ รู้เข้าใจเรื่องปฏิปทาเรื่องความดี ต้องเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ต้องเป็นความสงบและปัญญา ไม่ใช่เป็นตัวเป็นตน ต้องเป็นความสงบและปัญญา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นต้องจบลงที่ปัจจุบัน จบลงที่ผัสสะ ต้องรู้ต้องเข้าใจ ไม่ใช่ไม่รู้ไม่เข้าใจ ไม่รู้ไม่เข้าใจก็ย่อมเอาความหลงนำชีวิต เอาความผิดนำชีวิต ก็ย่อมเกิดความเสียหายย่อมเกิดการพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย
หลวงพ่อกัณหาเข้าวัดตั้งแต่ยังเด็ก ๆ เพราะเหตุว่าหลวงพ่อกัณหาเห็นพ่อใหญ่สา ที่เป็นพ่อของโยมแม่เป็นคนรักษาศีล ๘ รักษาศีล ๘ ทุก ๆ วันไม่รักษาศีล ๕ รักษาศีล ๘ ด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา ตั้งแต่เด็ก ๆ ได้เกี่ยวข้องกับลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น ได้เกี่ยวข้องกับปฏิปทาของลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น เกี่ยวข้องกับท่านหลวงปู่ชา สุภัทโท ได้เกี่ยวข้องกับพ่อใหญ่สา ผู้รักษาศีล ๘ ผู้ทานอาหารวันหนึ่งเพียงครั้งเดียว ไม่ยอมทานอาหารหลายครั้ง ทานอาหารวันหนึ่งเพียงครั้งเดียว
พ่อใหญ่สาภายหลังได้ไปบวชเป็นพระอยู่กับหลวงปู่ชา แล้วก็กลับมาที่บ้านนาเจริญเพื่อให้ลูก ๆ ได้ดูแลอุปถัมภ์อุปัฏฐากย์ เพราะอายุ ๘๐ กว่าปีแล้ว เพราะที่วัดหนองป่าพงมีการปฏิบัติเข้มข้น ยากที่พระแก่เฒ่าชราจะสู้ข้อวัตรข้อปฏิบัติได้ ท่านอาจารย์ชานั้นจะไม่เอาพี่เอาน้อง ท่านจะเอาส่วนรวม เอาข้อวัตรข้อปฏิบัติ ข้อวัตรปฏิบัติอาจารย์ชาจะเข้มข้น
พระหลวงตาสาได้พร่ำสอนหลวงพ่อกัณหาว่าอะไรก็สู้พุทโธไม่ได้นะ ให้เรามีสติสัมปชัญญะ เพราะทุกอย่างนั้นจะมารววมกันอยู่ที่ปัจจุบัน จะมารวมกันที่สติสัมปชัญญะ จะมารวมกันอยู่ที่พุทโธ ทำอะไรก็ให้รู้เข้าใจ ทำอะไรก็ให้มีพุทโธ ให้รู้เข้าใจ จะไม่ได้ไปตามอวิชชาไปตามความหลง เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราจะได้จบลงที่ปัจจุบันเราจะไม่ได้ไปตามผัสสะ จะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม เพราะสิ่งแวดล้อมมันไม่จบ เพราะมีตามันไม่จบ เรามีหูจมูกลิ้นกายใจมันไม่จบ ต้องรู้เข้าใจ สิ่งทั้งหลยายทั้งปวงนั้นจะบลงที่ปัจจุบันไม่ต้องไปตามผัสสะ เรามีสติสัมปชัญญะทุกอย่างก็จะจบลงที่ผัสสะ ให้เรารู้เข้าใจ พุทโธนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ
ความรู้ความเข้าใจที่หลวงพ่อกัณหาได้เกี่ยวข้องมันซึมซาบมาตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะเอาข้าวเอาอาหารไปถวายหลวงตาสาทุกวัน ใจหลวงพ่อกัณหาถึงอยากจะบวชตั้งแต่เด็ก ๆ อยากบรรพชาอุปสมบทตั้งแต่เด็ก ๆ เพียงแต่รอกาลรอเวลาให้อบรมบ่มอินทรีย์มาเรื่อย ๆ ยิ่งมาเห็นพี่ชายคนโตอายุ ๑๘ ได้มาตายจากไปกระทันหัน ป่วย ๓ วันก็จากไปก็ยิ่งเห็นภัยในวัฏฏสงสาร หลวงพ่อกัณหาถึงบวชมาห้าสิบกว่าปีเกือบจะหกสิบปีแล้ว ตั้งแต่บวชมาถึงไม่มีความคิดที่จะต้องลาสิกขา เพราะความรู้ความเข้าใจในการเห็นภัยในวัฏฏสงสาร จึงไม่ได้ปัญหาเรื่องผู้หญิงเรื่องมาตุคาม ไม่มีขั้วบวกขั้วลบเกี่ยวกับนารีสีกากับมาตุคามน่ะ เพราะรู้เข้าใจในวัฏฏสงสาร ความรู้ความเข้าใจนั้นจะเป็นเบรกเป็นเซฟตี้ที่เป็นความดีที่เอาปัญญามาใช้มาปฏิบัติ
หลวงพ่อกัณหาได้ศึกษาพระธรรมพระวินัยกับท่านหลวงปู่ชา ใช้เวลา ๓ ปี ให้รู้ให้เข้าใจทุกแง่ทุกมุม จึงได้ออกจาริกธุดงค์กรรมฐานกับพระรุ่นพี่ พระรุ่นพี่ได้ ๕ พรรษา หลวงพ่อกัณหาบวชได้ ๔ พรรษา ได้ออกธุดงค์กรรมฐานจากวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานีไปสู่จังหวัดสระบุรี แล้วไปกรุงเทพมหานคร พักอยู่วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน ที่เป็นสถานที่ที่ทางวัดป่าวัดกรรมฐานได้ไปประพฤติได้ปฏิบัติ ได้ไปเรียนไปศึกษา
ต่อจากนั้นจึงได้เดินทางลงไปที่ปักษ์ใต้ ลงไปที่ภูเก็ต เพื่อไปตามหาหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ทีมผู้ที่ไปเผยแผ่ธรรมะ หลังจากหลวงปู่มั่นเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว
ทีมหลวงปู่เทสก์ได้จาริกกรรมฐานไปเผยแผ่ทางภาคใต้ ไปทางชุมพร ระนอง พังงา สตูล ตะกั่วป่า ภูเก็ต ไปถึงจังหวัดระนองถามวัดเครือข่ายที่หลวงปู่เทสก์ไปเผยแผ่ เค้าบอกว่าท่านกลับภาคอีสานไปเมื่อปีที่แล้ว ไปก็ไม่เห็นท่าน เห็นแต่วัดของท่านและเครือข่ายพระของท่าน ก็เลยเดินทางกลับภาคเหนือ เพื่อไปหาหลวงปู่ฉลวย สุธัมโม เป็นสหธรรมิกกับท่านหลวงปู่ชา สุภัทโท ตำรวจที่ด่านทางหลวงฝากรถทัวร์ให้ไปลงราชบุรี ไปลงที่วัดเขาวัง ราชบุรี...
วัดเขาวัง ราชบุรี วัดเขาฉลาก เป็นเครือข่ายของอาจารย์เภา อาจารย์วัน เครือข่ายนี้รักษาพระธรรมพระวินัยนี้ เอาข้อวัตรข้อปฏิบัติดี
พระพี่เลี้ยงหลวงพ่อกัณหาชื่อพระอาจารย์หนูแดง ท่านบอกว่ารู้จักกับท่านพระอาจารย์มหาป้วยหง บอกว่าท่านพระอาจารย์มหาป้วยหงเคยไปวัดหนองป่าพง ไปพักวัดเขาวัง คืนหนึ่งท่านพระอาจารย์มหาป้วยหง บอกว่าเดินข้ามกรุงเทพฯลำบาก จะส่งท่านขึ้นลงไฟไปลงที่อยุธยาแล้วค่อยเดินทางไปภาคเหนือนะ ไปที่จังหวัดอยุธยาก่อน ก็ตกลงน่ะ ก็ลงรถไฟอยุธยาแล้วเดินทางไปทางภาชี ถึงอำเภอภาชีเจอพ่อค้าวัวที่เอาวัวไปซื้อไปขาย เค้าถามว่าจะไปไหน บอกว่าจะไปเด่นชัย จังหวัดแพร่ จะเดินไปน่ะ เค้าเลยพูดกันว่า เอาอย่างนี้ได้ไหม เค้าจะเสียเงินให้ท่านนั่งรถไฟไป ก็เลยตกลงนั่งรถไฟไป ลงจากรถไฟแล้วก็เดินไปทางตลาด สมัยเก่า สมัยปี ๒๕๑๕,๒๕๑๖ ตลาดสถานีรถไฟคึก เพราะทางรถยนต์อุตรดิตถ์เด่นชัยไม่มี จะมีทางรถยนต์ศรีสัชนาลัยเด่นชัย แพร่ งาว ลำปาง จะไม่มีทางรถยนต์เหมือนทุกวันนี้ คนแพร่คนน่านพะเยาเชียงรายเค้าก็ต้องมาขึ้นรถไฟที่อำเภอเด่นชัยนี้กัน เค้าจะส่งสินค้าต่าง ๆ นานา เค้าก็มาส่งที่เด่นชัย คนที่เป็นนายสถานีรถไฟ ถ้าใครได้มาเป็นสองสามปีถึงพากันรวยกันทุก ๆ คน เพราะได้ใต้โต๊ะบนโต๊ะกลางโต๊ะ ถ้าใครไม่ได้ก็ช้าหน่อย ถ้าอยากให้เร็วก็ต้องใต้โต๊ะบนโต๊ะกลางโต๊ะเอา
เดินทางออกจากสถานีไฟ เดินมาทางตลาด ๓ ทุ่มกว่า ๆ ๔ ทุ่มนี้ เค้ามีร้านขายข้าวต้ม ก็เลยแวะถามเค้าว่า รู้จักวัดธรรมยุติมั๊ย โอ้ เค้าบอกว่าเค้าจะไปส่ง ทหารเค้าจะไปส่ง แต่เค้าไปส่งวัดบ้านห้วยกูด อันนั้นเป็นดอยเหมือนกัน อยู่ใกล้ ๆ กัน ตอนเช้าบิณฑบาตฉันอาหารเสร็จ เก้าโมงกว่า ๆ สิบโมงถึงเดินมาวัดดอยธรรมยุติ มาถึงแล้วหลวงปู่ฉลวยที่เป็นสหธรรมิกกับท่านอาจารย์ชานี้เทศน์ใหญ่เลย เพียงรู้แต่ว่าเป็นลูกศิษย์อาจารย์ชานี้เทศน์ใหญ่เลย เทศน์เสียงดังฟังชัดได้ยินถึงสองสามเส้นน่ะตั้งร้อยกว่าเมตร ดังได้ยินตั้งร้อยกว่าเมตร
ประวัติหลวงปู่ฉลวย สุธัมโม ท่านเป็นคนจังหวัดอยุธยา เป็นคนจีน เป็นลูกคนรวย ท่านเป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารรูปหนึ่ง ท่านออกบวชด้วยความรู้ความเข้าใจเพราะเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ที่ท่านอยู่ร่วมรวมกันกับท่านอาจารย์ชาสุภัทโท ที่วัดใหญ่ชัยมงคล จนวัดชัยมงคลเป็นกลับคืนมาเป็นวัดที่มีพระสงฆ์อยู่ประจำ ท่านมีพระคู่หูที่สร้างบารมีร่วมกันได้แก่หลวงปู่ก้าน หลวงปู่ก้านเป็นคนจังหวัดอ่างทอง อ่างทองกับอยุธยาก็ใกล้กัน ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นทั้งคู่
ท่านหลวงปู่ฉลวยแต่งงานมีครอบครัว แต่งงานกับลูกสาวนายอำเภอ พ่อตาเป็นนายอำเภอ หลวงปู่ฉลวยเป็นคู่เขยกับพลเอกเผ่า ศรียานนท์ พลเอกเผ่าเป็นลูกเขยผู้น้อง หลวงปู่ฉลวยเป็นลูกเขยผู้พี่ แต่งกันเป็นเวลา ๓ ปี นอนอยู่ที่เดียวกับภรรยาไม่ได้ทำอะไร เพราะเอาการแต่งงานนั้นฝึกกรรมฐาน ฝึกสติฝึกสัมปชัญญะ หลวงปู่ฉลวยพูดให้หลวงพ่อกัณหาทำอย่างนี้ จนภรรยาไปสืบไปถามว่าเค้าไปมีอะไรกับผู้อื่นมั๊ย สืบดูแล้วก็ไม่มี จึงไว้ใจลงใจ หลวงปู่ฉลวยก็บอกว่าเดี๋ยวจะออกบวชเพื่อธรรมเพื่อการบรรลุธรรมต้องฝึกของจริงนี้แหละ ต้องว่างจากสิ่งที่มีอยู่อย่างนี้ คนเราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ สิ่งทั้งหลายก็จะจบลงที่ปัจจุบัน ถ้าเราไม่มีสติสัมปชัญญะมันก็จะไม่จบลงที่ปัจจุบัน
หลวงปู่ฉลวย ท่านเน้นที่ใจที่เจตนา ท่านบอกว่าศีลนั้นมันอยู่ที่ใจที่เจตนา เราต้องตั้งใจตั้งเจตนา เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ท่านเป็นคนพูดเสียงดังฟังชัด ท่านไม่กลัวใคร ไม่กลัวอะไร สมัยก่อนถ้าเจอกับหลวงปู่ฝั้นหลวงตามหาบัวหลวงปู่เทสก์ ท่านรู้ว่าเป็นหลวงปู่ฉลวย พวกท่านนั้นก็จะเงียบ เพราะธรรมะมันคือสติคือสัมปชัญญะ หลวงปู่ฉลวยท่านจะเลื่อมใสหลวงปู่มั่น เลื่อมใสท่านเว่ยหล่าง ท่านฮวงโป ท่านจะเลื่อมใสท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านบอกว่านี้เป็นหลักการอุดมการณ์ดี ทำให้เกิดสติเกิดสัมปชัญญะดี
กล่าวถึงหลวงพ่อสอนนะ หลวงพ่อสอนนี้ลูกศิษย์ของหลวงปู่จันทร์ หลวงพ่อพนมท่านอาจารย์กาศ เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อจันทร์ หลวงพ่อพนม หลวงพ่อสอนกลับไปอุบลฯแล้วจึงได้เดินธุดงค์ไปกับหลวงพ่อกัณหา
หลวงพ่อสอนได้มาประพฤติปฏิบัติอยู่ที่เด่นชัย ประชาชนทุกคนให้ความเคารพนับถือเลื่อมใส เพราะเห็นว่าท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ประชาชนทุกคนก็ให้ความเคารพนับถือเลื่อมใส สถานที่ใดมีพระธรรมพระวินัย สถานที่ใดมีสติสัมปชัญญะ สถานที่นั้นก็ย่อมเป็นที่สถานที่สงบเป็นสถานที่วิเวก
ได้ฟังธรรมะที่หลวงปู่จันทร์ได้บอกสั่งสอน ได้ไปพูดพระธรรมคำสอนที่หลวงปู่จันทร์เทศน์ให้ฟัง เทศน์ที่ไหนใครฟัง คนนั้นก็ต้องเลื่อมใส
พูดให้แม่ชีของหลวงพ่อจันทร์ฟัง จึงเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้คุณแม่ชีเสน คุณแม่ชียนต์ คุณแม่ชีจันที คุณแม่ชีกอง ๔ คนนี้เป็นญาติพี่น้องกัน เป็นคนจังหวัดสกลนคร เป็นคนหนองหาน ถ้าเราอยู่ทางหนองหานเค้าบอกว่ามองข้ามไป บ้านเค้าอยู่ทางทิศตะวันออกของจังหวัดสกลนคร พากันมาอยู่ประพฤติปฏิบัติธรรมที่เด่นชัย แม่ชี ๔ คนนี้บวชตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ๆ ยังเป็นสาว ๆ บวชจนแก่จนเฒ่าจนชราจนถึงวันตาย
เดี๋ยวนี้เวลาก็แก่เฒ่าชราพากันลาละสังขารวายชนม์ไปหมดทุกคนแล้ว คนสุดท้ายก็คือคุณแม่ชีจันทีนี้แหละเป็นคนสุดท้ายแล้ว คุณแม่ชีจันทีเป็นแม่ชีที่มาจากวัดหนองป่าพง มาจากวัดบึงเขาหลวง
แม่ชีจันที เมื่อละสังขารคนสุดท้าย เพื่อให้เกิดความสบายใจเกิดความลงใจจึงได้นำสรีระร่างกายมาบำเพ็ญกุศลประชุมเพลิง ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมารามแห่งนี้ เพราะปัจจุบันนี้หลวงพ่อกัณหาได้เผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมารามแห่งนี้
การบำเพ็ญกุศลประชุมเพลิง จะประชุมเพลิงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน เวลา ๘ นาฬิกามารวมกันที่ศาลาแห่งนี้ สวดมาติกาบังสุกุล แสดงธรรม อุทิศบุญกุศล นำสรีระไปประชุมเพลิง จะเสร็จลงในเวลา ๙ นาฬิกา
------------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันเสาร์ที่ ๒๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา