๓๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

พสกนิกรชาวไทยและชาวต่างประเทศได้มาร่วมรวมกันประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความโทมนัสและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน พระองค์ทรงเป็นดั่งแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและพระปรีชาสามารถ ทรงอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระราชหฤทัยในการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อธำรงไว้ซึ่งความผาสุกและความมั่นคงแห่งชาติไทย เราประชาชนชาวไทยต้องร่วมใจสมัครสมานสามัคคีทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่ออุทิศบุญกุศลน้อมเกล้าถวาย เพื่อเสด็จสู่สวรรคาลัย เข้าสู่สวรรค์มรรคผลพระนิพพาน

 

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๓๐ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

 

หลักการในการดำเนินชีวิตของหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายต้องให้เป็นไปในทางสายกลาง ทางสายกลางก็ได้แก่วัตถุกับจิตใจไปพร้อม ๆ กัน จึงได้มีหลักการในการประพฤติในการปฏิบัติ วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำงาน วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำงาน เพื่อประพฤติปฏิบัติบำเพ็ญเพียรเรื่องจิตเรื่องใจ เอาพระศาสนานำชีวิต ศาสนานี้คือทางสายกลาง เป็นการพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจ พัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กัน ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ผู้มีปัญญามากก็ต้องสงบมาก ๆ ผู้มีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ เพื่อให้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี  

 

วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำงานกับเป็นการปฏิบัติธรรมไปพร้อม ๆ กัน เพื่อเอาทั้งสองอย่างไปพร้อม ๆ กัน เอาทางวัตถุและเอาเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้ได้ทั้งสองอย่าง อันหนึ่งได้ธุรกิจหน้าที่การงานที่มีการพัฒนาเพื่อให้วัตถุด้วยอาศัยทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อให้ทันโลกทันสมัย อีกอย่างหนึ่งพัฒนาจิตพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน เพื่อจะได้มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ

 

วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำงาน ไม่ต้องทำธุรกิจหน้าที่การงาน ให้เน้นเรื่องจิตเรื่องใจ เจริญสติสัมปชัญญะ ถือเนกขัมมะบารมี นี้เป็นหลักการเป็นข้อประพฤติข้อปฏิบัติของหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลาย เราทุกคนต้องพากันรู้พากันเข้าใจ เพราะทุกอย่างนั้นมันคือเรื่องเหตุเรื่องผล เรื่องเหตุเรื่องปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี อดีตทั้งหลายก็ได้มารวมกันที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญแห่งชาติ ปัจจุบันถึงเป็นอริยมรรคทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ เป็นอริยมรรคในปัจจุบัน

 

เราทุกคนต้องรู้ต้องเข้าใจ เพราะทุกอย่างนั้นคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราทุกคนต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติในการปฏิบัติในการทำหน้าที่ เรารู้เราเข้าใจ ความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ

 

เข้าสู่หลักการในการประพฤติการปฏิบัติของเราทุก ๆ คน ไม่มีใครยกเว้นในทุกกรณี ให้เรารู้ให้เข้าใจ กายวาจากิริยามารยาทอาชีพเป็นอุปกรณ์ของใจ ใจของเราต้องรู้ต้องเข้าใจ ต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพื่อเราจะไม่ได้เอาความหลงนำชีวิต ไม่ได้เอาความผิดนำชีวิต เดี๋ยวมันจะเกิดความเสียหาย มันจะพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย

 

ความดับทุกข์ของเราน่ะ อยู่ที่เรารู้เข้าใจ อยู่ที่เราประพฤติปฏิบัติ อยู่ที่เราทำหน้าที่ที่ดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพราะธรรมะนั้นคือสภาวธรรมตามความเป็นจริง  ไม่ใช่เอามาตัดออกและไม่ใช่เอาไปเพิ่ม

 

ธรรมะนั้นคือความถูกต้อง เป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี ไม่มากเกินไม่น้อยเกิน เป็นความสงบและปัญญา เป็นอนิจจัง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน ด้วยเหตุนี้ปัจจัยนี้ เราทั้งหลายถึงต้องมาทำหน้าที่ สมมติสัจจะในหมู่มวลมนุษย์นี้มีสมมติสัจจะอยู่หลายล้านสมมติ สมมติว่าผิดว่าถูกว่าดีว่าชั่ว ไม่ผิดไม่ถูกไม่ดีไม่ชั่ว เพื่อชี้ให้เห็น ให้เรารู้เราข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดอย่างดีที่สุด เราทุกคน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในการทำหน้าที่ ให้เรามีความตั้งมั่นยึดมั่นถือมั่นในความดีในหน้าที่ ระบบความคิดคำพูดการกระทำกิริยามารยาทอาชีพ มันจะเป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรม เขาจะทำหน้าที่ของเขาเอง

 

ปัจจุบันนี้ถือว่าเป็นวาระสุดท้าย ปัจจุบันถึงว่าเป็นวาระชีวิตที่จะก้าวไป ปัจจุบันเป็นวาระที่ยกเลิกนิติบุคคลตัวตน เพื่อเอาธรรมนำชีวิตด้วยการเจริญสติสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะนี้ถึงเป็นธรรมะที่มีคุณมีอุปการะมาก

 

ความดับทุกข์ของเราน่ะ เรามีความดับทุกข์ได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ความรู้ความเข้าใจนั้นไม่ใช่ความจำ มันเป็นความรู้ความเข้าใจ ถ้าความจำนั้นมันจะลืม ถ้าความรู้ความเข้าใจนั้นมันจะไม่ลืม เราอยู่ที่ไหนทำอะไร เราทุกคนก็ดับทุกข์ได้พอ ๆ กัน เป็นคนรวยก็ดับทุกข์ได้เพราะยกเลิกตัวตน มีสติมีสัมปชัญญะ เป็นคนจนก็ดับทุกข์ได้เพราะรู้เข้าใจ เพราะมีสติมีสัมปชัญญะ ผู้ที่มีสติสัมปชัญญะนั้นถึงเป็นผู้มีศีลมีสมาธิมีปัญญา

 

มนุษย์เรามีหลักการในการดำเนินชีวิต เพื่อให้เป็นทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุ เพื่อเป็นหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันมนุษย์เราต้องมีสติมีสัมปชัญญะ สติคือความสงบ สัมปชัญญะคือตัวปัญญา สติและปัญญาต้องเป็นปฏิปทาที่เดินไปพร้อม ๆ กัน ความรู้ความเข้าใจ ที่จะต้องเป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพื่อความสงบและปัญญาเดินทางไปพร้อม ๆ กัน

 

มนุษย์เราต้องมีปิติมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติที่จะได้ทำหน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ปัจจุบันเป็นการประพฤติเป็นการปฏิบัติ เพราะเหตุผลว่าอดีตก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้เอง ปัจจุบันเราต้องรู้ต้องเข้าใจ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันคือเหตุคือปัจจัย เรารู้เหตุเรารู้ปัจจัย เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่

 

ว่างอย่างไรจากสิ่งที่มีอยู่ล่ะ..? ว่างด้วยความรู้ความเข้าใจ ว่างนี้ไม่ใช่นิติบุคค ไม่ใช่ตัวตน นี้มันคือเหตุคือปัจจัย เมื่อเรามีตารูปนั้นถึงมี เมื่อเรามีหูเสียงนั้นถึงมี เมื่อเรามีจมูกกลิ่นนั้นถึงมี เมื่อเรามีลิ้นรสมันถึงมี เมื่อเรามีร่างกายสัมผัสต่าง ๆ นั้นถึงย่อมมี เมื่อเรามีใจก็ย่อมมีจิตมีความรู้สึกนึกคิด ความรู้ความเข้าใจในเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ว่างด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยเหตุผลนี้ เราทุกคนถึงต้องมาเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ เพื่อเราจะได้รู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่มากระทบมาผัสสะจะได้จบลงที่ปัจจุบัน เพื่อไม่ให้เกิดเวทนาเกิดความปรุงแต่งเกิดภพเกิดชาติอีกต่อไป

 

เราทุกคนต้องพากันมารู้เข้าใจในการประพฤติในการปฏิบัติของตนเอง เราจะได้มีเครื่องอยู่ เครื่องอยู่ของเรานั้นเป็นความรู้ความเข้าใจ เป็นสติเป็นสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะนั้นเป็นที่อยู่ เป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ อานาปานสตินี้ได้แก่ลมหายใจ เมื่อเรามีชีวิตอยู่เราก็ย่อมมีลมหายใจมีลมปราณ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้ใช้หลักการของการประพฤติการปฏิบัติ ให้เราทุกคนจะได้เอาหลักการในการเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ เพื่อเราจะได้อยู่กับสติอยู่กับสัมปชัญญะ

 

ให้เราเข้าใจคำว่าอยู่ คำว่าอยู่ก็คือไม่ได้ไป ร่างกายของเราก็ย่อมมีที่อยู่ที่อาศัย มีบ้าน ใจของเราก็ต้องมีบ้าน บ้านของใจนั้นคือสติคือสัมปชัญญะ เรามีสติมีสัมปชัญญะอยู่ที่บ้านอยู่กับอานาปานสติ หายใจเข้าก็ให้เรามีความสุขในการหายใจเข้า หายใจออกก็ให้มีความสุขในการหายใจออก ให้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการหายใจเข้าหายใจออก เพื่อใจของเราจะได้มีบ้านมีที่อยู่มีที่พัก ใจของเราต้องมีบ้าน ความสงบและปัญญาคือสติคือสัมปชัญญะ

 

เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ เรามีปัญญามาก ๆ เราก็ต้องสงบมาก ๆ เมื่อเรามีความสงบมาก ๆ เราก็ต้องเสียสละมาก ๆ ถ้าเราไม่เสียสละมันก็ไปไม่ได้ เราต้องเสียสละถึงจะไปได้ ด้วยเหตุผลนี้ ผู้มีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละ เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเสียสละตลอด ๒๔ ชั่วโมง ท่านเสียสละให้กับร่างกายเพื่อบรรทมเพื่อพักผ่อนวันละ ๔ ชั่วโมง เสียสละให้หมู่มวลมนุษญ์เทพเทวาอินพรหมสรรพสัตว์ทั้งหลายวันละ ๒๐ ชั่วโมง รวมกันเป็น ๒๔ ชั่วโมง วันหนึ่งคืนหนึ่งมีแต่เสียสละ การเสียสละนั้นเป็นการก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจว่า เมื่อเรามีความสงบมาก ๆ เราก็เสียสละมาก ๆ จนกว่าเราทั้งหลายจะหมดลมปราณ หมดลมหายใจ

 

มนุษย์เราต้องพากันรู้พากันเข้าใจ เข้าใจเรื่องเหตุเรื่องผล เพื่อจะได้เอาความดีกับปัญญานำชีวิต เรามารู้เข้าใจ ว่าเราทุกคนจะไปทำอะไรจากที่ไม่รู้ไม่เข้าใจนั้นไม่ได้ เราต้องทำจากความรู้ความเข้าใจ  ความรู้ความเข้าใจนั้นถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ความรู้ความเข้าใจจะเป็นเหมือนเลขคณิตคิดในใจ คณิตคิดในใจนี้จะเป็นความสงบ เป็นความเคารพ เป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป เป็นความพอเพียงเพียงพอ สติสัมปชัญญะนั้นถึงเป็นทางสายกลาง ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป

 

ความดับทุกข์ความไม่มีทุกข์ของเราทุกคนต้องอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องทำหน้าที่ด้วยต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ ให้เราเข้าใจว่า หน้าที่ของเรา การทำความเพียรของเรา เป็นความรู้ความเข้าใจ เราต้องทำหน้าที่ด้วยปิติด้วยความสุขด้วยเอกัคคตาในการเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ เพื่อหยุดความฟุ้งซ่านด้วยการเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ

 

เราทุกคนต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ให้พากันรู้สัญชาตญาณที่เป็นตัวเป็นตน ตัวตนมันจะขี้เกียจขี้คร้าน ตัวตนนั้นจะไม่อยากเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ต้องมีสติมีสัมปชัญญะ ถ้าเราไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้หายใจเข้าให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจออกให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม เพื่อสติสัมปชัญญะของเราจะได้ชัดเจน เพื่อสติสัมปชัญญะนั้นจะได้เป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตารมณ์

 

ถ้าเราเจริญอานาปานสติหายใจเข้ามีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจออกมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมแล้วมันยังไม่หยุดไม่สงบ เราหยุดลมหายใจ เรากลั้นลมหายใจไว้ เพื่อเราจะได้มีสติสัมปชัญญะ ใจจะขาดพอขาดอากาศหายใจเดี๋ยวมันก็จะสงบเอง เราต้องรู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ รถเค้าถึงมีเบรก มีเกียร์ ๑ เกียร์ ๒ เกียร์ ๓ เกียร์ ๔ เกียร์ ๕ เกียร์เดินหน้าและเกียร์ถอยหลัง เกียร์ว่าง การประพฤติการปฏิบัติธรรมของเราก็ต้องใช้หลักการเหมือนรถเหมือนเรือเหมือนเครื่องบิน อย่างเดียวเช่นเดียวกัน

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราอยู่กับหน้าที่ อยู่กับการงาน การงานที่เป็นกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ ที่เป็นอริยมรรคในการดำเนินชีวิตของเราทุก ๆ คนในปัจจุบัน ในชีวิตประจำวัน ให้อยู่ด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ ให้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาอยู่กับสติสัมปชัญญะ เพราะเหตุผลว่า ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ต้องให้สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เราอย่าไปประมาท เพราะปัจจุบันนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับปัจจุบันแล้ว เพื่อชีวิตของเราจะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจที่เอาความสงบและปัญญา ที่เป็นปฏิปทา เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราต้องรู้เรื่องการประพฤติการปฏิบัติของเราอย่างนี้

 

การปฏิบัติธรรมของเรานั้นอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ ไม่เลือกกาลไม่เลือกเวลาไม่เลือกสถานที่ ปัจจุบันเราอยู่ที่ไหน เรานึกคิดอะไร พูดจากิริยามารยาทอาชีพอะไร เราต้องเอาปัจจุบันนั้นมาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติ เพื่อให้ความดีและปัญญาก้าวไปด้วยปฏิปทาที่เป็นความสงบและปัญญา

 

เราอย่าไปคิดว่าการประพฤติการปฏิบัติต้องปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัด อยู่ที่โบสถ์ ที่มัสยิด อยู่ในป่าในเขาในที่สงบในที่วิเวก ให้เรารู้เข้าใจ ความสงบความวิเวกอยู่ที่เรารู้เข้าใจในสิ่งนั้น ๆ เมื่อเรามีสติมีสัมปชัญญะ รู้เข้าใจ ไม่ไปตามความหลง ไม่ไปตามผัสสะ เรามีสติมีสัมปชัญญะ ความสงบของเราก็จะอยู่ทุกหนทุกแห่งที่เป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่

 

วัดนั้นหมายถึงข้อวัตรข้อปฏิบัติ หมายถึงเราคิดดี ๆ เพื่อยกเลิกตัวตนที่ประกอบด้วยปัญญา เราก็จะเกิดความสงบ เกิดสติเกิดสัมปชัญญะ เราต้องรู้เข้าใจ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่มาสัมผัสกับเรา ที่มาสัมผัสกับธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ เราต้องรู้เข้าใจ เมื่อมันมีเหตุมีปัจจัยมันก็มีสัมผัสอย่างนี้ เราต้องรู้เข้าใจ เพื่อไม่ให้จิตใจของเราเกิดความปรุงแต่ง สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นเราจะได้จบลงที่ปัญญาสัมมาทิฏฐิ จบลงที่ผัสสะนี้แหละ สิ่งเหล่านี้มันจะจบได้ก็เพราะเรามีสติมีสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะจะเป็นความสงบและปัญญา เป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ เราทุกคนจึงต้องรู้จักข้อวัตรข้อปฏิบัติ

 

ให้เรารู้เข้าใจ เพื่อจะได้เอาความสงบและปัญญามาใช้มาปฏิบัติในปัจจุบัน เราจะได้รู้ข้อวัตรกิจวัตร ข้อวัตรข้อปฏิบัติของเรา เราต้องรู้จักปัญหา เราต้องรู้จักผัสสะ ให้เข้าใจว่าปัญหานั้นคือปัญญา ถ้าเราไม่มีปัญหาจะมีปัญญาได้อย่างไร ถ้าเราไม่มีผัสสะเราจะมีการประพฤติการปฏิบัติได้อย่างไร เราทั้งหลายให้รู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องสงบด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ ที่ไหนมีสติมีสัมปชัญญะที่นั่นมีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา ที่นั่นก็มีแต่พระนิพพาน พระนิพพานเป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เป็นพระนิพพานน้อย ๆ หรือพระนิพพานกลาง ๆ พระนิพพานสูงสุด ด้วยการปฏิบัติของเรา ที่เราต้องเข้าใจเรื่องการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้รู้เรื่องการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้รู้จักข้อวัตรข้อปฏิบัติ เราจะไม่ได้ไปกับตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราจะได้รู้จักข้อวัตรกิจวัตร เราจะได้รู้จักที่อยู่ที่อาศัย ที่อยู่อาศัยคือความรู้ความเข้าใจ คือความสงบและปัญญา คือข้อวัตรข้อปฏิบัติที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา

 

เราต้องรู้เข้าใจ พระนิพพานอยู่ที่ศีล อยู่ที่สมาธิ อยู่ที่ปัญญา พระนิพพานคือที่อยู่ที่อาศัย ที่เป็นสติเป็นสัมปชัญญะ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในข้อวัตรกิจวัตร ในพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยนี้เป็นสมมติสัจจะที่หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการปฏิบัติต่อสมมตินั้น ๆ ต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการปฏิบัติต่อพระธรรมพระวินัยที่เป็นทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตใจกับเรื่องวัตถุ เราทั้งหลายจะได้เอาความดับทุกข์ ความไม่มีทุกข์ในปัจจุบัน

 

เราจะไปคิดเหมือนแต่ก่อนไม่ได้ แต่ก่อนคิดว่าพระนิพพานอยู่ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ มันไกลเหลือเกิน มันไม่ใช่ธรรมไม่ใช่ปัจจุบัน ไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญา มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจ เพื่อให้ศีลให้สมาธิให้ปัญญาให้เป็นพระนิพพาน เป็นความสงบและปัญญา ไม่ต้องคิดเหมือนแต่ก่อนแล้วว่าความดับทุกข์หรือว่าพระนิพพานจะอยู่ที่อนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ

 

เราต้องคิดดูดี ๆ ปัจจุบันไม่มีพระนิพพานอนาคตมันจะมีพระนิพพานได้อย่างไร คิดดูแล้วมันก็เป็นไปไม่ได้ หัวมันจะระเบิด สมองมันจะระเบิด ด้วยเหตุผลนี้เราถึงต้องมีสติมีสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ ทั้งกายวาจากิริยามารยาทที่ยกเลิกตัวตนในปัจจุบัน ปัจจุบันนี้ก็ดับทุกข์ อนาคตก็ดับทุกข์ เพราะเราต้องเข้าใจ ว่าทุกคนไม่สามารถที่จะไปถึงอนาคตได้ เพราะมันจะเป็นปัจจุบันอยู่อย่างนี้แหละ ให้รู้เข้าใจ สิ่งที่สัญจรไปมามันเป็นดวงอาทิตย์ที่หมุนรอบตัวเองโลกที่หมุนรอบตัวเอง ผัสสะที่เป็นรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณมันหมุนรอบตัวเอง เราต้องรู้เข้าใจว่าทุกอย่างนั้นมันคือธรรมคือปัจจุบันธรรม เราทั้งหลายต้องรู้เรื่องของการประพฤติการปฏิบัติ

 

ที่มันแก่มันเจ็บมันตายมันพลัดพรากอันนี้ไม่ใช่เรื่องของใจเลยนะ อันนี้มันเรื่องของกาย เราต้องรู้เข้าใจ วัตถุนั้นก็อย่างหนึ่ง ใจก็อย่างหนึ่งนะ ใจกับวัตถุมันคนละอย่างกัน กายนั้นคือความเกิดแก่เจ็บตายพลัดพรากนะ แต่ใจของเรานั้น เราต้องรู้เข้าใจ ใจของเราจะได้เป็นประภัสสร จะของเราจะไม่ได้แก่เจ็บตายพลัดพราก ใจของเราจะได้มีความสงบมีปัญญา ใจต้องรู้ใจต้องมีปัญญา ใจนั้นจะได้จบลงที่ปัจจุบัน จบลงที่ผัสสะ เมื่อเรามีสติมีสัมปชัญญะ มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อมมันจะจบลงที่ปัจจุบัน จบลงที่ผัสสะ จบลงที่ความพอเพียงเพียงพอ จบลงที่ความพอดี การประพฤติการปฏิบัติให้พวกเราทุกคนพากันประพฤติพากันปฏิบัติอย่างนี้

 

เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการทำหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการทำหน้าที่กายของเราก็จะได้มีความสุข ใจของเราก็จะได้มีความสุข ไม่มีความทุกข์อะไร มีแต่ปิติมีแต่ความสุขมีแต่เอกัคคตา เมื่อมันผ่านไปแล้วก็ปล่อยก็วาง เพราะมันผ่านไปแล้วมันเกษียณไปแล้ว มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจในหน้าที่ เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติต่อหน้าที่ ให้ถือเอาปัจจุบันเป็นวาระสำคัญในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะ ชีวิตของเรานั้นมันจะยกเลิกนิวรณ์ทั้ง ๕ ไปในตัว มันจะยกเลิกอคติทั้ง ๔ ไปในตัว ชีวิตของเรามันจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เป็นชีวิตที่สุคโต ยืนเดินนั่งนอนทำงานก็มีแต่ปิติมีแต่ความสุขมีแต่เอกัคคตา เป็นความดีเป็นคุณธรรมเป็นคุณสมบัติของผู้ดี

 

เราคิดดูดี ๆ นะ ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะ ใจของเราก็จะดีใจของเราก็จะสบาย นี้แหละคือหลักการในการประพฤติการปฏิบัติของเรา เราต้องปฏิบัติในปัจจุบันอย่างนี้แหละ เราทุกคนอย่าไปคิดว่าความดับทุกข์นั้นความไม่มีทุกข์นั้นจะมีอยู่ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ เรามารู้อย่างนี้เรียกว่ามันฝัน ฝันกลางวันฝันกลางคืนนะ มันอยู่กับความฝัน ไม่ได้อยู่กับสติสัมปชัญญะ มันอยู่กับความฝันลม ๆ แล้ง ๆ นี้เสียหายมาก เสียหายระดับพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย ตึกไหน ๆ เค้าก็ไม่พัง มันไปพังตึกเดียวเฉพาะเจาะจงเฉพาะตึก สตง. เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจ ชีวิตของเรานั้นก็ย่อมพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง. อย่างเดียวกันเลยไม่มีผิด

 

ถ้าเรารู้เราเข้าใจ ว่าพระธรรมพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ นั้นเป็นสิ่งที่ดีมาก เป็นสิ่งที่มีคุณมีประโยชน์มาก ไม่มีอะไรมีประโยชน์เท่ากับพระธรรมพระวินัย ข้อวัตรปฏิบัติที่เป็นสมมติสัจจะที่เป็นทั้งคำสั่งให้ทำ คำสั่งให้หยุดการกระทำ เป็นทั้งคำสั่งเป็นทั้งคำสอน กลั่นกรองมาจากปัญญาสัมมาทิฏฐิ เป็นสิ่งที่ดีมากประเสริฐมาก

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้พออกพอใจ เราจะได้ตั้งใจตั้งเจตนา เราจะได้มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะการประพฤติการปฏิบัติตามพระธรรมพระวินัยนั้นเป็นสิ่งที่มีคุณมีประโยชน์มาก เป็นประโยชน์ทั้งตัวเราเอง เป็นประโยชน์ทั้งผู้อื่น เราทุกคนต้องรู้เข้าใจ เราไม่ต้องไปแก้ใครที่ไหน แก้ที่ตัวของเราเอง อย่างพระพุทธเจ้าท่านก็แก้ที่พระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้แก้ที่ใครที่ไหน พระอรหันต์ขีณาสพผู้ฟังพระธรรมคำสั่งสอน ที่เป็นทั้งคำสั่งให้หยุด เป็นทั้งคำสั่งให้ประพฤติปฏิบัติ พระอรหันต์ท่านก็ปฏิบัติของท่าน เราเป็นใครอยู่ที่ไหนเราก็ปฏิบัติของเรานี้แหละ เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้มีความสงบมีปัญญา เอาความสงบและปัญญานี้แหละเป็นสติเป็นสัมปชัญญะ

 

เราต้องรู้เข้าใจ สติสัมปชัญญะนี้จะเป็นเหตุเป็นปัจจัย ยกเลิกเรื่องอดีต ยกเลิกเรื่องอนาคต ปัจจุบันก็ว่างจากตัวจากตน ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ว่างจากสิ่งที่ไม่มี ต้องว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่มันจะมีประโยชน์อะไร เราทั้งหลายต้องเข้าถึงความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่มีอยู่ที่เป็นภายนอก ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะสิ่งภายนอกนั้นก็หยุดไป สิ่งภายในถ้าเรามีสติสัมปชัญญะสิ่งภายในนั้นก็หยุดไป สติสัมปชัญญะถึงเป็นสิ่งที่หยุดทั้งภายนอกทั้งภายใน

 

ให้เรารู้ให้เราเข้าใจนะ เราต้องรู้เข้าใจ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติต่อหน้าที่ หน้าที่ที่เรารู้เข้าใจ แล้วประพฤติปฏิบัติ เราจะได้อบรมบ่มอินทรีย์ของเราในปัจจุบัน เพราะเรารู้เข้าใจแล้วว่าการดับทุกข์ของเราอยู่ที่ปัจจุบันไม่ใช่อยู่ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญที่มันไกลเหลือเกิน เราต้องคิดให้มันถูกต้อง พูดให้ถูกต้อง กิริยามารยาทให้ถูกต้อง อาชีพให้ถูกต้อง ความถูกต้องก็ได้แก่รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราต้องรู้เข้าใจว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันไม่จบ มันก็จะไปของมันเรื่อย ๆ เป็นวัฏฏสงสาร มันจะหมุนรอบตัวของมันเอง หรือว่าหมุนรอบโลก ความรู้ความเข้าใจมันจะหยุดลงในปัจจุบันด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ

 

ความดับทุกข์ของมนุษย์นั้นเราต้องรู้เข้าใจ มันจะดับได้ที่สติสัมปชัญญะ ดับได้ที่กายวาจากิริยามารยาทอาชีพที่ยกเลิกตัวตน เราทุกคนต้องรู้เข้าใจ ไม่ต้องไปพึ่งพาอาศัยอะไร ต้องพึ่งพาอาศัยความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ตนแลเป็นที่พึ่งของตน เราต้องเป็นนักคณิตคิดเลขในใจพร้อมทั้งการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน ต้องพึ่งพาอาศัยความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ เพื่อเราทุกคนจะได้จบลงที่ปัจจุบัน จะได้หมดหนี้หมดสิน ไม่ต้องมีหนี้มีสิน เราแก่เราเจ็บเราตายเราพลัดพราก ที่สาเหตุมาจากหนี้จากสิน ที่มาจากกรรมจากกฎแห่งกรรม ที่เป็นผลของกรรม

 

เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรม อยู่เหนือกฎแห่งกรรม อยู่เหนือผลของกรรม เราต้องหยุดกรรม หยุดการกระทำทั้งทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่เจตนา เราจะหยุดเวทนาได้ด้วยการเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ เพื่อเอาพระธรรมเอาพระวินัยเอาข้อวัตรกิจวัตรเป็นเครื่องอยู่ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาเป็นเครื่องอยู่ การประพฤติการปฏิบัติของเราเราต้องทำอย่างนี้

 

วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ทำธุรกิจหน้าที่การงานพร้อมทั้งพัฒนาจิตใจไปพร้อม ๆ กัน จะไปเอาแต่ธุรกิจหน้าที่การงานอย่างเดียวก็ไม่ได้ จะไปเอาแต่เรื่องจิตเรื่องใจอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องเอาทั้งธุรกิจหน้าที่การงานเอาเรื่องจิตใจไปพร้อม ๆ กันจะได้เป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะได้รู้ว่าทุกอย่างมันคือกรรม คือกฎแห่งกรรม คือผลของกรรม กรรมทางกายทางวาจากิริยามารยาทกรรมทางอาชีพ เราจะได้มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราต้องรู้เรื่องกรรม เราจะหยุดกรรมได้ก็เมื่อเรารู้เข้าใจ เมื่อเรารู้เข้าใจเราก็เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ สติสัมปชัญญะที่เอาพธะรรมพระวินัยเป็นข้อวัตรข้อปฏิบัติจะสมบูรณ์ทั้งทางวัตถุสมบูรณ์ทั้งทางจิตใจไปพร้อม ๆ กันเพื่อหมู่มวลมนุษย์จะได้มีหลักการในการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้

 

วันเสาร์วันอาทิตย์ถึงเป็นวันที่ยกเลิกธุรกิจหน้าที่การงาน ไปเน้นเรื่องจิตเรื่องใจด้วยการเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ เพื่อเราจะได้ถือเนกขัมมะ ยกเลิกความปรุงแต่ง เพราะความปรุงแต่งนี้ทำให้มันไหลลื่นอย่างไม่จบ มาเจริญสติสัมปชัญญะ ไม่ตรึกนึกคิดในเรื่องกามเรื่องความสุขความสะดวกความสบายความเอร็ดอร่อย ไม่ระลึกถึงความปฏิฆะพยาบาท มายกเลิกกาม มายกเลิกพยาบาท ด้วยมีสติมีสัมปชัญญะ มาฝึกมาเจริญสติสัมปชัญญะ ความหลง ความไม่รู้ไม่เข้าใจ มันทำให้เราขาดสติขาดสัมปชัญญะ มันทำให้เราเกิดความปรุงแต่ง ความปรุงแต่งนั้นมันจะเป็นกรรม จะทำให้เกิดกฎของกรรม

 

เราต้องรู้จักความปรุงแต่ง เราจะหยุดความปรุงแต่งได้ด้วยการเจริญสติสัมปชัญญะ ด้วยความรู้ความเข้าใจ เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ความปรุงแต่งให้พวกเรารู้เข้าใจ ความปรุงแต่งนั้นมันทำให้ใจของเราก่อภพก่อชาติ ทำให้หัวใจของเรามีลูกมีผัวมีเมียมีครอบครัว ร่างกายไม่มีภรรยาสามี แต่จิตใจของเราเมื่อเราปรุงแต่งเมื่อไหร่ เราต้องรู้เข้าใจ การปรุงแต่งนั้นมันคือการมีครอบครัว มีลูกมีผัว มีบ้านมีครอบครัว

 

วันเสาร์วันอาทิตย์วันหยุดเป็นวันที่มาเจริญสติสัมปชัญญะ มาเจริญสติสัมปชัญญะเพื่อหยุดตรึกในการหยุดตรึกในพยาบาท เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เห็นภัยในความเกิดแก่เจ็บตายพลัดพราก

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงให้มีหลักการของมนุษย์ ให้มนุษย์ทั้งหลายมีหลักการ ให้พากันภาวนาวิปัสสนาเพื่อให้เกิดความสงบก็ยังไม่พอ ต้องให้เกิดปัญญา ให้ทุกคนมาพิจารณาสรีระร่างกายของตัวเราเอง ว่าร่างกายของมนุษย์มีชิ้นส่วนอยู่ ๓๒ ชิ้นส่วน ให้แยกออกเป็นชิ้นเป็นส่วน ให้ออกทีละชิ้น ๆ ๆ จนครบอาการ ๓๒ แล้วให้เอามาประกอบเข้ากันใหม่ เพื่อเราจะได้เกิดความสงบเกิดปัญญา เกิดทั้งสมถะเกิดทั้งวิปัสสนา

 

ผู้ที่จะบรรพชาอุปสมบทเพื่อเอาพระธรรมพระวินัยนำชีวิต ผู้ที่บรรพชาอุปสมบทพระอุปัชฌาย์ถึงบอกกรรมฐานคือบอกธุรกิจหน้าที่การงานเพื่อเอาไปใช้เอาไปปฏิบัติ เพราะเอาแต่เจริญสติสัมปชัญญะยังไม่พอ ต้องเอาร่างกายมาเจริญวิปัสสนา ถึงได้บอกกรรมฐานก่อนที่จะครองผ้ากาสาวพัสตร์ว่า การบรรพชาอุปสมบทนี้คือมายกเลิกนิติบุคคลตัวตน ต้องไม่มีตัวไม่มีตน มีแต่พระธรรมพระวินัย มีแต่สติสัมปชัญญะ เรามีสติมีสัมปชัญญะ เราถึงจะเป็นพระธรรมพระวินัย ถ้าเราไม่มีสติสัมปชัญญะเราจะไม่มีพระธรรมพระวินัย

 

เราต้องเอาพระธรรมพระวินัยที่มีสติสัมปชัญญะเป็นเครื่องอยู่ เราทุกคนถึงจะเป็นพระธรรมพระวินัย เราถึงจะยกเลิกนิติบุคคลตัวตน แล้วก็ให้การงานให้ไปภาวนาไปปฏิบัติ ถึงได้กล่าวเป็นภาษาบาลีว่า เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกศา แยกออกเป็นชิ้นเป็นชิ้นแล้วประกอบเข้ากันใหม่ ทำอย่างนี้แหละทุก ๆ วัน  ซ้ำ ๆ อันเดิมนี้แหละจนเกิดนิมิต ยกเลิกนิมิตที่เป็นตัวตน เกิดนิติทางธรรมว่าทุกอย่างนั้นเป็นธรรมะไม่ใช่ตัวตน ให้เกิดนิมิตทางธรรม จะได้เบื่อหน่ายคลายความยึดมั่นถือมั่น จะได้ไม่หลงไปตามผัสสะตามสิ่งแวดล้อม

 

นี้เราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราพากันหลงไปตามผัสสะตามสิ่งแวดล้อม เห็นรูปสวย ๆ ก็ร้องโอย ๆ  เสียงเพราะ ๆ ก็ร้องโอย ๆ ได้กลิ่นดี ๆ ก็ร้องโอย ๆ ได้รสดี ๆ ก็ร้องโอย ๆ ได้สัมผัสดี ๆ ก็ร้องโอย ๆ ไป ไม่รู้เข้าใจเลยมีแต่ทุกข์เกิดขึ้นทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไป ชีวิตนี้ถึงพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง.

 

เราทุกคนต้องรู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติของเรา เพราะเราทุกคนไม่อยู่เหนือกรรม เหนือกฎแห่งกรรม การปฏิบัติธรรมนั้นถึงเป็นหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะนั้นเป็นสากล เราทุกคนต้องเอามาใช้เอามาปฏิบัติ ประชาชนของโลกที่มีอยู่แปดพันกว่าล้านคนก็ใช้หลักสากลอันเดียวกันนี้แหละ เพราะการเกิดแก่เจ็บตายพลัดพรากมันเป็นสากล ความทุกข์ทางกายความทุกข์ทางใจมันก็เป็นสากล เราต้องรู้เข้าใจ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพานก็คือสิ่งเดียวกันนี้แหละ เราทั้งหลายเราพากันเข้าใจ เพราะธรรมะนั้นคือความสงบและปัญญาที่เป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นความดับทุกข์ได้ที่ปัจจุบัน เราทั้งหลายมาเห็นคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พวกเราทั้งหลายอย่าพากันตั้งอยู่ในความประมาท ท่านถึงตรัสปัจฉิมโอวาทไว้ว่า ให้พวกเราทั้งหลายตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เพราะปัจจุบันเป็นวาระสำคัญแห่งชาติของเราทุก ๆ คน เราทั้งหลายอย่าพากันประมาท ท่านตรัสโอวาทไว้ว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร

 

ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรมมาประพฤติมาปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง

 

 ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น

 

-------------------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันอาทิตย์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

Visitors: 104,506