๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
พสกนิกรชาวไทยและชาวต่างประเทศได้มาร่วมรวมกันประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความโทมนัสและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน พระองค์ทรงเป็นดั่งแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและพระปรีชาสามารถ ทรงอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระราชหฤทัยในการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อธำรงไว้ซึ่งความผาสุกและความมั่นคงแห่งชาติไทย เราประชาชนชาวไทยต้องร่วมใจสมัครสมานสามัคคีทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่ออุทิศบุญกุศลน้อมเกล้าถวาย เพื่อเสด็จสู่สวรรคาลัย เข้าสู่สวรรค์มรรคผลพระนิพพาน
วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ ๑ เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ฮิจเราะห์ศักราช ๑๔๔๖
ความไม่มีทุกข์ความดับทุกข์ของมนุษย์อยู่ที่มีความรู้ความเข้าใจ ความรู้ความเข้าใจที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่ความจำ เป็นความรู้ความเข้าใจ ความรู้ความเข้าใจนั้นจะไม่ไปตามผัสสะ จะจบลงที่ผัสสะ
เราทุกคนเกิดมาเป็นมนุษย์ที่เกิดมาให้เราพากันเข้าใจ ความรู้ความเข้าใจเราจะไม่ได้ไปตามผัสสะ จะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันจะได้จบลงที่ปัจจุบัน จบลงที่ผัสสะ ด้วยอาศัยการประพฤติการปฏิบัติที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่เป็นการอบรมบ่มอินทรีย์ในปัจจุบัน เพราะอดีตทั้งหลายทั้งปวงก็มารวมลงที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบัน
ปัจจุบันนี้ให้พวกเราพากันตั้งใจตั้งเจตนา เราทุกคนต้องเบรกตัวเองให้อยู่ ต้องสต๊อปตัวเองให้อยู่ รถเค้าก็ยังมีเบรก เครื่องบินก็ยังมีเบรก เรือก็ยังมีเบรก พระธรรมพระวินัยเป็นทั้งคำสั่งเป็นทั้งคำสอน สั่งให้หยุด เป็นเบรก เป็นเซฟตี้ ให้เราตั้งใจตั้งเจตนา มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน สั่งให้ไป อย่าขี้เกียจขี้คร้าน ผู้มีปัญญามาก ๆ ถึงต้องมีความสงบมาก ๆ ผู้มีความสงบมาก ๆ ถึงต้องเสียสละมาก ๆ เพื่อการประพฤติการปฏิบัติจะได้ก้าวไปในปัจจุบัน เราทุกคนต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้
คำว่ายึดมั่นถือมั่น หมายถึง เราเอาปัญญาสัมมาทิฏฐิ เอาความรู้ความเข้าใจ เอามาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติ เอามาบำบัด เป็นความยึดมั่นถือมั่น เพราะความรู้ความเข้าใจในเรื่องพระธรรมพระวินัย ข้อวัตรข้อปฏิบัติ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นยาน เราจะเดินทางไกลก็ต้องอาศัยยาน อาศัยรถ อาศัยเครื่องบิน ถ้าเดินทางไปทางบกน่ะ ถ้าเราไปทางน้ำไปทางมหาสมุทรก็ต้องอาศัยเรือเป็นยาน พระธรรมพระวินัยให้เราเข้าใจว่า อันนี้มันเป็นยาน เพื่อจะให้เราออกจากวัฏฏสงสาร เราจะเดินทางไกลเราต้องอาศัยยาน
การประพฤติการปฏิบัตินั้นไม่มีใครประพฤติไม่มีใครปฏิบัติแทนเราได้ มีแต่ตัวของเราเองเท่านั้นเป็นผู้ประพฤติผู้ปฏิบัติเอาเอง ให้เราเข้าใจอย่างนี้ เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา ต้องตั้งใจตั้งเจตนาในการประพฤติการปฏิบัติ การประพฤติการปฏิบัติของเราต้องให้เด็ดขาด เฉียบขาด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราลูบคลำในศีลข้อวัตรข้อปฏิบัติ ไม่ให้เราคิดว่าค่อยเป็นค่อยไป คิดอย่างนี้ไม่ได้ มันเป็นการลูบคลำในศีลในข้อวัตรข้อปฏิบัติ
การปฏิบัติของเราอยู่ที่ปัจจุบัน อดีตมันผ่านมาแล้วเราก็ปฏิบัติไม่ได้ ให้เรารู้เข้าใจ อนาคตที่ยังมาไม่ถึงก็ปฏิบัติไม่ได้ ให้เรารู้เข้าใจ ปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญ เราต้องประพฤติต้องปฏิบัติในปัจจุบัน เราอย่าตั้งอยู่ในความหลงเพลิดเพลินความประมาท ต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ การปฏิบัติของเราจะยืดเยื้อเสียโอกาสเสียเวลาเสียหาย
เราอย่าไปลูบคลำในการประพฤติการปฏิบัติ ให้ทุกคนรู้เข้าใจ ความคิดอย่างนี้ความเข้าใจอย่างนี้ทำให้เราทุกคนลูบคลำในศีลในข้อวัตรข้อปฏิบัติ ต้องตั้งใจให้มากกว่านี้ ตั้งเจตนาให้มากกว่านี้ ศีลนั้นคือความตั้งใจ ตั้งเจตนา สมาธินั้นคือความตั้งใจ ตั้งเจตนา มีความยึดมั่นถือมั่น มีความรักมีความพอใจในพระธรรมในพระวินัย ในข้อวัตรข้อปฏิบัติในปัจจุบัน เพราะศีลนั้นเป็นยาน สมาธิความตั้งมั่นเป็นยาน ปัญญาบริสุทธิคุณเป็นยาน ให้เราทุกคนพากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา มีความยึดมั่นถือมั่นในพระธรรมในพระวินัย ข้อวัตรข้อปฏิบัติ ถ้าเรายึดมั่นถือมั่นในพระธรรมพระวินัย ข้อวัตรปฏิบัติ เราต้องรู้เข้าใจนะ การยึดมั่นถือมั่นในพระธรรมพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตรนี้ถึงจะยกเลิกตัวยกเลิกตนได้
เมื่อเหตุการณ์ที่ผ่านมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราปล่อยเราวาง อย่าไปยึดมั่นถือมั่น เพราะมันเป็นอดีตแล้วมันเกษียณแล้ว เราต้องปล่อยต้องวาง ไม่ต้องมีหนี้มีสินอะไรกันอีก ต้องเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม พระธรรมพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตรนั้นคือความยึดมั่นถือมั่น มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา มีความตั้งในความยึดมั่นถือมั่น ให้เราคิดอย่างนี้ เราจะไม่ได้ไปตามผัสสะที่เกิดจากอายตนะในปัจจุบัน นี้เป็นเวทีในการประพฤติในการปฏิบัติ เราทุกคนต้องรู้เรื่องการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้เราทำอย่างนี้ถึงจะดับทุกข์ได้ ความดับทุกข์นั้นอยู่ที่เรารู้เข้าใจ อยู่ที่เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติต่อพระธรรมต่อพระวินัย ต่อสมมติสัจจะ สมมติสัจจะทั้งหลายมีหลายล้านสมมติ เราต้องมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติในการทำหน้าที่
การปฏิบัตินั้นคือสติ ความรู้ความเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติคือสัมปชัญญะ คือตัวปัญญา สติสัมปชัญญะที่เกิดจากความตั้งใจตั้งเจตนา ๒ สิ่งนี้จะรวมกันเป็นหนึ่ง ไม่มีสอง ไม่มีความปรุงแต่ง เป็นสติเป็นสัมปชัญญะ ศีลเป็นสติ สมาธิเป็นสติปัญญา เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เป็นความสุขเป็นความดับทุกข์ของเราทุก ๆ คน
เราทุกคนมาเน้นที่ปัจจุบัน ให้เข้าใจว่า ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการทำหน้าที่ เพื่อความดีและปัญญาได้ก้าวไปในปัจจุบัน ความยึดมั่นถือมั่นนั้นเป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เป็นสติเป็นสัมปชัญญะ เป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม
มนุษย์เราทุกคนต้องใช้หลักการอันเดียวกันนี้หมด เพราะหลักการนี้ให้รู้เข้าใจว่า อันนี้เป็นสากล ความเกิดความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากมันเป็นสากล เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เรามารู้จัก มารู้แจ้ง มามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เราต้องรู้เข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ทั้งในส่วนของเราเองทั้งสิ่งภายนอก เราจะได้ปฏิบัติต่อภายในภายนอกให้ถูกต้อง
ให้เรารู้เข้าใจ สิ่งภายนอกนั้นก็คือธรรมชาติ สิ่งภายในนั้นก็คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เราเกิดมาเพื่อมารู้เข้าใจทั้งภายนอกภายใน ให้ทุกคนมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในการทำหน้าที่ เราทุกคนมาทำหน้าที่ของตัวเอง
เรามาคิดดูดี ๆ อย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ทำหน้าที่ของท่านในการบำเพ็ญพุทธบารมีที่จะเป็นพระพุทธเจ้า จนท่านได้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สมบูรณ์ เราทุกคนให้พากันรู้เข้าใจ เรามาอาศัยสรีระร่างกายนี้เพื่อมาบำเพ็ญบารมี เพื่อให้ความดีและปัญญาก้าวไปในปัจจุบันที่เป็นปัจจุบันธรรม เป็นทางสายกลางระหว่างการพัฒนาวัตถุกับจิตใจไปพร้อม ๆ กัน
เราทุกคนต้องมีปิติมีความสุข มีความยึดมั่นถือมั่นในยานคือพระธรรมคือพระวินัย เราอาศัยสรีระร่างกายนี้ เราทุกคนอย่าไปหลงประเด็น ต้องพากันรู้พากันเข้าใจ ต้องรู้เข้าใจ รู้เข้าใจอะไร รู้เข้าใจว่าเพราะเรามีตารูปนั้นถึงมี รู้ในใจว่าเมื่อเรามีหูเสียงนั้นถึงมี เมื่อเรามีจมูกกลิ่นนั้นถึงมี เมื่อเรามีลิ้นรสนั้นถึงมี เมื่อเรามีกายสัมผัสต่าง ๆ นั้นถึงมี เมื่อเรามีใจเราถึงมีเรื่องจิตเรื่องใจ มีความรู้สึกนึกคิด
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราจะไม่ได้ไปตามผัสสะที่มากระทบ ให้เอาผัสสะนั้นเป็นข้อสอบ ตอบด้วยการปฏิบัติ สติสัมปชัญญะนี้จะเป็นข้อสอบข้อตอบ สติสัมปชัญญะเป็นหลักการของการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเรารู้เข้าใจ เราอาศัยความรู้ความเข้าใจเป็นสติเป็นสัมปชัญญะที่เป็นความยึดมั่นถือมั่น ที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เป็นบริสุทธิคุณด้วยปัญญา ด้วยเหตุผลนี้ ผู้มีปัญญามาก ๆ ก็ต้องสงบมาก ๆ ผู้มีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ ถึงจะเป็นสติถึงจะเป็นสัมปชัญญะ
เราทุกคนต้องรู้เข้าใจ รู้เข้าใจยังไม่พอ ต้องตั้งใจตั้งเจตนา ศีลสมาธิปัญญานี้ต้องเป็นหนึ่งไม่มีสอง เป็นหนึ่ง เพื่อสติเพื่อสัมปชัญญะจะสมบูรณ์ ธรรมะที่ตัดสินอยู่ที่สติอยู่ที่สัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะนั้นเป็นธรรมะตัดสินพระธรรมพระวินัย ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะเป็นการปฏิบัติไม่ผิด เป็นทางสายกลาง ไม่เคร่งเกินคำสอน ไม่หย่อนตามตัณหา เป็นสติเป็นสัมปชัญญะ จะเป็นความพอเพียงเพียงพอ ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ไม่ได้เอามาเพิ่ม ไม่ได้ตัดออก
เราตั้งใจตั้งเจตนา เพราะธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราพากันทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ในปัจจุบัน เรานอนเราพักผ่อนให้เพียงพอ เราทำการทำงานให้เต็มที่เพื่อให้เป็นความพอดีความเพียงพอ ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ไม่ต้องเอาความผิดพลาดนำชีวิต ไม่ต้องเอาความผิดไม่ต้องเอาทุจริตนำชีวิต เดี๋ยวมันจะเกิดความเสียหายเกิดการพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของประเทศไทย ตึกไหน ๆ เค้าก็ไม่พัง ใหญ่กว่าสูงกว่าตึก สตง. ไปพังตึกเดียวเฉพาะเจาะจงตั้งแต่ตึก สตง. เท่านั้น
เราอาศัยสมมติสัจจะที่เราเรียนเราศึกษาเพื่อเอาสติสัมปชัญญะนำชีวิต เราทั้งหลายจะได้เป็นมนุษย์ผู้มีความรู้ความเข้าใจ ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราจะได้เป็นข้าราชการนักการเมืองนักบวชผู้รู้ผู้เข้าใจ ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ พากันมาเสียสละ มาทำหน้าที่ มามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการเสียสละในการทำหน้าที่
เราคิดดูดี ๆ นะ ถ้าเราไม่มีปิติมีความสุขไม่มีเอกัคคตาในการเสียสละ ในการทำหน้าที่ เราจะมีความสุขได้อย่างไร จะได้ความสุขมาจากที่ไหน เพราะความสุขความดับทุกข์อยู่ที่เรารู้เข้าใจ อยู่ที่เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในการทำหน้าที่ในปัจจุบันนี้นะ ไม่ใช่มีความสุขที่อนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ ความสุขความดับทุกข์ของเราต้องอยู่ในปัจจุบัน ในการคิดในการพูดในการกระทำกิริยามารยาทในอาชีพของเราในปัจจุบันนี้ ไม่ใช่อยู่ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ คำว่าเทอญมันไกลเหลือเกิน มันเป็นความละเมอเพ้อฝัน มันไม่ใช่ปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ผู้มีปัญญามาก ๆ ก็ต้องมีความสงบมาก ๆ ผู้มีความสงบมาก ๆ ก็อย่าไปติดความสงบติดความสะดวกความสบาย ก็ต้องเสียสละมาก ๆ อยู่ในปัจจุบันนี้แหละ
เราเอาความสุขทั้งกายวาจากิริยามารยาทมาใช้มาปฏิบัติในปัจจุบันในการทำหน้าที่ เพราะธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่นั้นคือธรรมะ เราต้องรู้เข้าใจ ใครได้รับแต่งตั้งเป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวช ก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเราให้ดี ๆ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติในการทำหน้าที่ เราทั้งหลายต้องมีปัญญา ต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเราจะไม่รู้จักคำว่าหน้าที่ เราจะไม่รู้จักคำว่าธรรมะ มันจะกลายเป็นนิติบุคคลตัวตน มันจะเกิดความยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวกูของกู ว่ากูเก่งกว่าเค้า กูสำคัญมากกว่าเค้า มันจะไม่มีปัญญา แล้วมันจะกลายเป็นอัตตา
เราทุกคนต้องยกเลิกอัตตา ยกเลิกตัวตน เอาธุรกิจหน้าที่การงานมายกเลิกตัวกูของกู ตัวเราของเขา ยกเลิกอีโก้ ยกเลิกตัวตน เพื่อคืนอธิปไตยให้กับปวงชน ให้กับประชาชน ให้เข้าใจว่า ระบบข้าราชการนักการเมืองนักบวช เป็นหลักการเป็นทางสายกลาง เพื่อให้เราทุกคนได้อบรมบ่มอินทรีย์ ให้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในการทำหน้าที่ ไม่ใช่เอาหน้าที่มาเป็นตัวเราของเรา เป็นตัวกูของกู ว่าเราดีกว่าเขาเก่งกว่าเขา เราทุกคนมีปัญญามาก ๆ ก็ต้องสงบมาก ๆ อย่ายกหูชูงวง
เราต้องพากันคิดดูดี ๆ เพื่อเอาตำแหน่งเอาหน้าที่มาปฏิบัติต่อหน้าที่ของเราอย่างมีความสุข ยกเลิกสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน อดีตที่ผ่านมาต้องลบออกจากใจเราด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่น อย่าไปเก็บไว้ในใจ เพราะความยึดมั่นถือมั่นนั้นคือขยะที่เราเก็บไว้ในใจ ความยึดมั่นถือมั่นเราจะหยุดได้อย่างไร หยุดได้ที่เราทุกคนมีสติมีสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะนั้นจะยกเลิกนิวรณ์ทั้ง ๕ ให้เรารู้เข้าใจ สติสัมปชัญญะนั้นจะยกเลิกอคติทั้ง ๔ ให้เรารู้เข้าใจ อดีตที่ผ่านมาคือเกษียณแล้ว อนาคตที่ยังไม่ถึงก็ยังไม่ถึงการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันนี้เราเป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวช เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ มีความยึดมั่นถือมั่นด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ
ให้เรามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าใครมีสติมีสัมปชัญญะ ผู้นั้นก็ไม่มีความทุกข์ ให้เข้าใจอย่างนี้ เราคิดดูดี ๆ นะ ถ้าเราเป็นคนรวยที่สุดของโลก ถ้าเราไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ เราก็ย่อมมีความทุกข์ เราเป็นผู้ที่มีอำนาจมากกว่าใคร ๆ ทั้งหลายทั้งปวงในโลกนี้ ความมีอำนาจนั้นก็ย่อมมีแต่ทุกข์ ผู้มีอำนาจถึงต้องยกเลิกตัวตน ใครมีตัวมีตน บุคคลนั้นก็มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มีเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ตัวตนนั้นคือความไม่อิ่มไม่เต็ม เป็นคนจนก็ทุกข์ เป็นคนรวยก็ทุกข์ เป็นคนปานกลางก็ทุกข์ เปรียบเสมือนทะเลมหาสมุทรที่ไม่อิ่มไม่เต็มด้วยน้ำ เปรียบเสมือนไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อของเพลิง มีความบกพร่องอยู่เป็นนิจ
เราทุกคนพากันรู้จักปัญหา ปัญหาต่าง ๆ นี้อยู่ที่เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ความรู้ความเข้าใจนี้เราต้องเอามาใช้เอามาปฏิบัติเพื่อทำหน้าที่ เพื่อให้ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ทางสายกลางของหมู่มวลมนุษย์ก็ได้แก่ การพัฒนาธุรกิจหน้าที่การงานที่เป็นทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ทางวิทยาศาสตร์ก้าวหน้า เพื่อให้โลกได้พัฒนาก้าวไปในทางวัตถุ เพื่อพัฒนาจิตใจไปพร้อม ๆ กัน
โครงสร้างของมนุษย์ วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์ถึงเป็นวันทำงานกับวันปฏิบัติธรรม ๒ อย่างนี้ทำไปพร้อม ๆ กัน วันเสาร์วันอาทิตย์ถึงเป็นวันหยุดทำงานเพื่อปฏิบัติธรรม เน้นเรื่องจิตเรื่องใจ เพื่ออบรมบ่มอินทรีย์ ถือเนกขัมมะบารมี เราทุกคนมารู้มาเข้าใจร่วมกัน จะได้ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ จะได้ทำหน้าที่ของเราให้ถูกต้อง ให้มีสติมีสัมปชัญญะอย่างนี้ ให้ทำหน้าที่ของตัวเองในปัจจุบัน ตำแหน่งที่เราได้รับการแต่งตั้งอะไร ให้เราทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ถ้าเราไม่ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ เราจะเป็นคนบกพร่องในการทำงานในการทำหน้าที่ เราจะเป็นบุคคลทุจริต
การบริหารข้าราชการนักการเมืองนักบวช เงินทุกบาททุกสตางค์นั้นเก็บมาจากภาษีอากรของประชาชนที่อยู่ในประเทศ ใครอยู่ในประเทศ การใช้สอยการบริโภค การทำธุรกิจหน้าที่การงาน มีการหักเอามาในตัวอยู่แล้วเป็นภาษีอากร ผู้ที่มาจากประเทศอื่นก็ต้องมาเสียภาษีอากร เราเป็นข้าราชการนักการเมืองเป็นนักบวช เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในการทำหน้าที่
ประเทศไทยของเรายังเป็นประเทศที่ยังไม่ได้พัฒนาเดินทางสายกลางระหว่างวัตถุกับจิตใจไปพร้อม ๆ กัน ยังเป็นประเทศที่มีการโกงกินคอร์รัปชั่นอยู่ในระดับต้น ๆ ของโลก ปี ๒๕๖๗ ประเทศไทยเราระบบการโกงกินคอร์รัปชั่นอยู่ ๑๐๘ ของโลก ปี ๒๕๖๘ ประเทศไทยเราลดจาก ๑๐๘ มา ๑๐๗ ในโลกนี้มีทั้งหมด ๑๙๕ ประเทศ ใครเป็นคนมาคอร์รัปชั่นกัน ผู้มีมาคอร์รัปชั่นก็ได้แก่ข้าราชการ นักการเมือง และนักบวชนี้แหละที่มาคอร์รัปชั่นกัน
ทุกวันนี้ความรู้สึกของประชาชนทุกคน เห็นหน้าข้าราชการหน้าโจรก็ลอยมาโดยธรรมชาติเลย เห็นหน้านักการเมืองก็ยิ่งเห็นหน้ามหาโจรใหญ่ลอยขึ้นมาเลย เห็นหน้านักบวชก็เห็นหน้าโจรมหาโจรลอย ความรู้สึกของประชาชนทุกคนมีความรู้สึกอย่างนี้นะ เราต้องรู้เข้าใจในเรื่องปัญหา ปัญหาที่เราจะต้องแก้ไขคือมาแก้ไขเรื่องทุจริต การแก้ไขให้เราพากันเข้าใจง่าย ๆ การแก้ไขนั้นเราไม่ได้แก้ไขที่คนอื่น เราแก้ไขที่ตัวของเราเอง แล้วมาทำหน้าที่ของตัวของเราเอง เราเป็นใคร ใครเป็นใครก็ต้องแก้คนนั้น มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติของตัวเอง
ให้รู้เข้าใจ เพราะธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่นั้นคือธรรมะ เราเอาความหลงนำชีวิต เอาความผิดนำชีวิต เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มันไม่ใช่ความสงบและปัญญา เราทุกคนให้รู้เข้าใจเรื่องการแก้ไข พระพุทธเจ้าท่านก็แก้ไขที่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ตั้งแต่ก่อนท่านเป็นสามัญชน ท่านได้ฟังพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็แก้ที่ท่าน ให้เรารู้เข้าใจ ให้เราแก้ที่ตัวของเราเอง เราต้องรู้จักปัญหา เราจะได้เอาความสงบและปัญญาเอามาใช้พร้อม ๆ กัน คุณสมบัติของผู้ดี คิดดี ๆ พูดดี ๆ กิริยามารยาทดี ๆ อาชีพดี ๆ ยกเลิกตัวตนนี้คือความดี นี้คือบารมีที่เราต้องยกเลิกทุจริต มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม
เราต้องรู้เข้าใจ สิ่งทั้งหลายนี้จะได้จบลงที่ปัจจุบัน จะไม่ได้เอาความหลงนำชีวิต จะไม่ได้เอาทุจริตนำชีวิต เราจะพากันแก้ปัญหาเราต้องรู้จักปัญหา ถ้าเราไม่รู้จักปัญหาเราจะพากันไปสร้างปัญหา เดี๋ยวเราจะไปหาเรื่องหาราวให้กับประเทศ ไปหาเรื่องหาราวให้คนอื่น หาเรื่องหาราวให้กับตัวเอง ไม่มีเรื่องจะไปสร้างเรื่อง ไม่มีปัญหาก็จะไปสร้างปัญหา
ข้าราชการนักการเมืองนักบวชพากันรู้ปัญหานะ ให้เรารู้เข้าใจ ปัญหาไม่อยู่ที่ใกล้ที่ไกล อยู่ที่กายวาจากิริยามารยาทอาชีพ อยู่ที่ตัวเรานี้แหละ เรามามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติของเราเอง เพราะให้รู้เข้าใจว่าธรรมะนั้นคือหน้าที่ หน้าที่นั้นคือธรรมะ ทุกคนต้องมีสติมีสัมปชัญญะ ทุก ๆ คนตั้งใจที่แก้ไขที่ตัวเองนะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯก็ต้องแก้ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้ายู่หัว สมเด็จพระราชินีก็ต้องแก้ที่สมเด็จพระราชินี นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีทุกคนก็ต้องแก้ที่ตัวเอง ข้าราชการนักการเมืองนักบวชก็ต้องแก้ที่ตัวเอง ตัวเองก็ยังไม่ได้แก้ไขเลย ไปแก้ไขคนอื่นได้อย่างไร
ให้รู้เข้าใจ เราต้องรู้จักหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ วาระต่างๆ วาระต่าง ๆ เค้าถึงมีหลักการ อย่างหลักการนักการเมืองนี้เค้าให้มีวาระ ๔ ปี การทำอะไรติดต่อต่อเนื่องกัน ๓ อาทิตย์ขึ้นไป ความคิดอย่างนี้ไม่คิด คำพูดอย่างนี้ไม่พูด กิริยามารยาทอาชีพนี้ไม่ทำ อาชีพอย่างนี้ไม่ถูกต้องไม่ทำ ต้องทำติดต่อต่อเนื่องกัน ๓ อาทิตย์ขึ้นไปถึงจะเปลี่ยนแปลงเรื่องกรรมเรื่องกฎของกรรมได้ สิ่งเหล่านั้นจะเป็นชิฟฝังอยู่ในขันธ์อยู่ในสัญญาขันธ์ อยู่ในหน่วยความจำอยู่ในหน่วยของเมมโมรี่
เราคิดดูดี ๆ สิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญพุทธบารมีหลายล้านชาติหลายล้านปี บารมีของท่านถึงสมบูรณ์ ด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ ใช้เวลาหลายล้านปี เอาความดีและปัญญาควบคู่กันไป เป็นหลักการในการดำเนินชีวิต เราทุกคนต้องมายกเลิกตัวตน เพื่อไม่เอาตัวตนนำชีวิต เพื่อเอาสติเอาสัมปชัญญะนำชีวิต เพื่อมาแก้ปัญหาเรื่องตัวเรื่องตน เพื่อเราจะมาแก้ปัญหาเรื่องทุจริต เราอย่าไปคิดเรื่องที่จะไปแก้คนอื่น เราต้องคิดเรื่องที่จะต้องแก้ไขตนเอง แล้วมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการที่จะประพฤติปฏิบัติตัวเอง
ทุกคนให้พากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในตัวของเราเอง เรามาหยุดที่จะมาเอาความสุขจากความหลง เราต้องมาเอาความดับทุกข์อยู่ที่มีสติมีสัมปชัญญะอยู่ที่เสียสละ ผู้บริหารเก่งคือผู้บริหารตัวเองนะ ผู้บริหารกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ บริหารตัวเองด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา ยกเลิกทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน เราทุกคนต้องมารู้จักปัญหา ปัญหานั้นก็จะกลายเป็นปัญญา ให้เรารู้เข้าใจ ปัญหานั้นคือปัญญา เราทุกคนอย่าไปกลัวปัญหา เพราะปัญหานั้นคือปัญญา ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะ ปัญหานั้นย่อมไม่มี เราทั้งหลายต้องพากันมารู้ปัญหาอย่างนี้
เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่นั้นจะมีประโยชน์อะไร ให้เราเอาปัญหานั้นมาเป็นปัญญา ให้เอาความวุ่นวายให้กลายเป็นความสงบ เราต้องขอบใจขอบคุณกับสิ่งต่าง ๆ ที่ให้เราได้สร้างความดีบำเพ็ญบารมี
เราทุกคนมาระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นความรู้ความเข้าใจ เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เป็นความยึดมั่นถือมั่นที่เป็นบริสุทธิคุณ เป็นการปล่อยวางความไม่ถูกต้อง ให้เราระลึกถึงปัจฉิมโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนที่ท่านตรัสเป็นภาษาบาลีว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร
ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรมมาประพฤติมาปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง
ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น
-------------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันจันทร์ที่ ๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา