๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

พสกนิกรชาวไทยและชาวต่างประเทศได้มาร่วมรวมกันประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความโทมนัสและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน พระองค์ทรงเป็นดั่งแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและพระปรีชาสามารถ ทรงอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระราชหฤทัยในการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อธำรงไว้ซึ่งความผาสุกและความมั่นคงแห่งชาติไทย เราประชาชนชาวไทยต้องร่วมใจสมัครสมานสามัคคีทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่ออุทิศบุญกุศลน้อมเกล้าถวาย เพื่อเสด็จสู่สวรรคาลัย เข้าสู่สวรรค์มรรคผลพระนิพพาน

 

วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีที่ ๔ เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ฮิจเราะห์ศักราช ๑๔๔๖

 

ให้ทุกท่านทุกคนพากันนั่งให้สบาย หายใจเข้าให้สบายเพื่อเอาออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย หายใจออกเอาคาร์บอนไดออกไซด์เอาของเสียออกจากร่างกาย

 

เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เพราะทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี เราเอาพระรัตนตรัยนำชีวิต เอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน อดีตทั้งหลายก็มารวมกันที่ปัจจุบัน อนาคตที่ยังไม่มาถึงก็อยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องรู้เราต้องเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เรามามีปัญญาสัมมาทิฏฐิ มีความตั้งมั่น ความตั้งมั่นกับความยึดมั่นถือมั่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ความยึดมั่นตั้งมั่นนี้เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิที่เป็นปัญญาบริสุทธิคุณ เป็นการยกเลิกตัวยกเลิกตน เป็นทางสายกลาง เป็นการรู้แจ้งโลกรู้แจ้งธรรม รู้ทั้งโลกรู้ทั้งธรรม เป็นทางสายกลาง ไม่ไปตามผัสสะ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม เอาสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นข้อสอบเป็นข้อตอบ เอาปัญหาต่าง ๆ นั้นมาเป็นปัญญา เอาปัญญานั้นมาประพฤติมาปฏิบัติให้เป็นความสงบ ผู้มีปัญญามากถึงต้องมีความสงบมาก ๆ ผู้มีความสงบมาก ๆ ถึงต้องมีการเสียสละมาก ๆ

 

เราเป็นใครก็ดับทุกข์ได้พอ ๆ กันเหมือน ๆ กัน เป็นคนจนไม่มีทรัพย์สินเงินทอง ถ้ามีความรู้ความเข้าใจก็ดับทุกข์ได้ เพราะความดับทุกข์นั้นอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ มนุษย์เราถ้ามีสติมีสัมปชัญญะมนุษย์เราจะไม่มีความทุกข์เลย เป็นคนรวยเป็นคนมีปัญญาถึงต้องมีสติมีสัมปชัญญะ ถ้าไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะเราก็พัฒนาไปตั้งแต่ทางวิทยาศาสตร์ทางวัตถุ ไม่ได้พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน ไม่ใช่ทางสายกลาง จะเป็นคนจนคนรวยให้รู้ให้เข้าใจว่า จะไม่มีทุกข์ได้อยู่ที่มีสติมีสัมปชัญญะ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เราทุกคนพากันยึดมั่นถือมั่นในความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ความยึดมั่นถือมั่นนั้นเป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพื่อเป็นหลักการในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ เพื่อจะได้หยุดสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน ที่มีความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นเราเป็นคนอื่น ความยึดมั่นถือมั่นในพระพุทธเจ้า ในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความยึดมั่นในพระอริยสงฆ์

 

พระอริยสงฆ์คือผู้ที่ทำความดีประกอบด้วยปัญญา ผู้ที่ยกเลิกอัตตาตัวตน ไม่มีตัวไม่มีตน มีแต่สติสัมปชัญญะ นี้เรียกว่าพระอริยสงฆ์ คำว่าพระนั้นยกเลิกคำว่าคน คนนี้หมายถึงตัวถึงตน ทำทั้งดีทั้งชั่ว ทั้งผิดทั้งถูก วกไปวนมา เดินไปข้างหน้าแล้วก็ถอยกลับมาอยู่ที่เดิม ย่ำต๊อกอยู่ที่เก่าเค้าเรียกว่าคน เป็นผู้เอาความหลงนำชีวิต เอาความผิดนำชีวิต เอาทุจริตนำชีวิต ชีวิตนั้นก็ย่อมพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย ตึกที่ไหนเค้าก็ไม่พัง พังตึกเดียวเฉพาะตึกสตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย เพราะเอาความผิดนำชีวิตเอาทุจริตนำชีวิต

 

พระรัตนตรัยถึงเป็นที่พึ่งของเราสูงสุด เรามายกเลิกตัวตน ยกเลิกสัญชาตญาณ เราต้องผ่านด่านต่าง ๆ ไป ผ่านรายการต่าง ๆ ไป ด่านต่าง ๆ ก็ได้แก่ตาหูจมูกลิ้นกายใจ  เราต้องรู้ต้องเข้าใจด่านต่าง ๆ นะ เรามีตาก็ต้องมีรูปนั้นแหละคือด่าน เราต้องรู้เข้าใจ เราอย่าเห็นรูปสวย ๆ ก็ร้องโอย ๆ ไป เราต้องรู้จัก อันนี้คือด่านคือข้อสอบ เราต้องตอบด้วยความรู้ความเข้าใจว่า อันนี้เป็นหนทางที่เราจะต้องผ่าน

 

เราทุกคนต้องมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ อย่าได้ติดอกติดใจในรูปเสียงกลิ่นรสลาภยศสรรเสริญ เพราะอันนี้เป็นด่านของเราทุก ๆ คน เราเป็นคนมันจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ความรู้ความเข้าใจเราผ่านไปด้วยสติสัมปชัญญะ เราทุกคนถึงจะเป็นพระธรรมเป็นพระวินัย เป็นพระรัตนตรัย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เรารู้ให้เราเข้าใจอย่างนี้นะ เราต้องมารู้มาเข้าใจ มารู้แจ้งในหนทางที่เราจะต้องผ่านไป เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ว่างจากสิ่งที่ไม่มี ว่างจากสิ่งที่ไม่มีมันจะมีประโยชน์อะไร ต้องว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านทรงสั่งสอนน่ะ ท่านถึงให้เอาหลักอริยมรรมีองค์แปด สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ นี้ อยู่ที่มีความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้หลงไปตามผัสสะ จะไม่ได้หลงไปตามสิ่งแวดล้อม เราจะได้ผ่านผัสสะ ผ่านสิ่งแวดล้อม สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นจะได้จบลงที่ปัจจุบัน จบลงที่ผัสสะ เราทั้งหลายจะได้ผ่านด่านไปด้วยสวัสดิภาพ

 

เราทุกคนต้องรู้ต้องเข้าใจ ต้องพากันทำหน้าที่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในการทำหน้าที่ มีความสุขในการคิดดี ๆ พูดดี ๆ กิริยามารยาทดี ๆ อาชีพดี ๆ ที่ยกเลิกตัวตน เราทุกคนต้องมีความสุข ไม่ต้องมีความทุกข์อะไร ด้วยความรู้ความเข้าใจเราจะไปเป็นทุกข์อะไร เราจะไปคิดเองเออเองมันจะมีประโยชน์อะไร เอาคติธรรมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ ๙ ท่านตรัสกับพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกว่าเราต้องรู้เข้าใจในความดับทุกข์ เราต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เราอยากได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่าเท่าเดิม เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่าเท่าเดิม เราต้องรู้จัก เราจะได้รู้เข้าใจ จะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียง จะได้เข้าถึงความเต็ม ๆ ๆ เต็มด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะเมื่อไหร่เราจะเข้าถึงความเต็ม

 

เรามามีความสุขในการทำหน้าที่ เรามาเสียสละตัวเสียสละตน ผู้มีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ เราคิดดูดี ๆ นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ๒๔ ชั่วโมงท่านเสียสละ ๒๔ ชั่วโมงเลย เสียสละให้สรีระร่างกายได้บรรทมพักผ่อนนั้น ๔ ชั่วโมง เสียสละให้หมู่มวลมนุษย์เทพเทวาตลอดสรรพสัตว์ทั้งหลายวันละ ๒๐ ชั่วโมง รวมกับ ๔ ชั่วโมงที่บรรทมเป็น ๒๔ ชั่วโมง ผู้ที่เสียสละเท่านั้นถึงจะมีสติมีสมาธิ ถึงจะมีศีลมีสมาธิมีปัญญา ด้วยเหตุนี้ เราทุกคนถึงมีปิติมีความสุขในการทำงาน เพราะการทำงานนั้นคือการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมนั้นคือการทำงาน

 

การพักผ่อนคือการยกเลิกตัวยกเลิกตน ให้เราทุกคนเข้าใจ เราทั้งหลายเอาสมมติสัจจะทั้งหลายมาใช้มาปฏิบัติเพื่อทำหน้าที่อย่าไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย อย่าปล่อยวางสมมติสัจจะที่ได้รับการแต่งตั้ง ที่เค้าแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวชที่เป็นลายลักษณ์อักษรนี้คือตำแหน่งแต่งตั้งเพื่อให้มาเสียสละ เพื่อมาเป็นผู้ให้ ยกเลิกเป็นผู้เอา หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายต้องรู้ต้องเข้าใจเพื่อทำหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ เพราะธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ

 

มนุษย์เราก็ต้องรู้ต้องเข้าใจ มนุษย์เราต้องมีวีซ่าของความเป็นมนุษย์ ด้วยความรู้ความเข้าใจในสิ่งทั้งหลายทั้งปวง รู้เรื่องวัตถุ รู้เรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้องทำสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อให้เป็นธรรมเป็นปัจจุบัน เพื่อยกเลิกจากตัวเราและคนอื่น เพื่อเดินทางสายกลาง พัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กัน

 

เราต้องมีเอกภาพเป็นตัวของเราเอง ไม่เป็นทาสของใคร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านรู้เข้าใจ ท่านมายกเลิกทาส ยกเลิกชาติชั้นวรรณะ ยกเลิกญาติวงศ์ตระกูล เพื่อเป็นเอกภาพ เพื่อคืนอธิปไตยให้กับปวงชน ไม่เป็นทาสในสิ่งต่าง ๆ เพื่อยกเลิกทาส ข้อความในธรรมนี้มีความหมายว่า เราทุกคนต้องมีสติมีสัมปชัญญะ ถ้าเราไม่มีไม่มีสัมปชัญญะแล้วเราทุกคนจะกลายเป็นทาส ด้วยเอาความหลงนำชีวิต เอาความผิดนำชีวิต เอาทุจริตนำชีวิต

 

เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ความรู้ความเข้าใจสิ่งที่เราจะเอามาใช้ในนั้นคือสมมติสัจจะ เราถึงมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อยกเลิกทาสยกเลิกตัวตน สติสัมปชัญญะนั้นคือการหยุดคือการยกเลิกที่เป็นเอกภาพ เป็นความยึดมั่นถือมั่นที่ประกอบด้วยปัญญาที่ยกเลิกทาส เอกภาพของเราถึงอยู่ที่มีสติมีสัมปชัญญะ สิ่งที่สูงสุดของหมู่มวลมนุษย์คือสติคือสัมปชัญญะ ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะนั้นเราถึงจะเป็นตัวของเราเอง เป็นบริสุทธิคุณ เป็นความรู้ความเข้าใจไม่ใช่ความจำ เป็นคณิตคิดในใจในปัจจุบัน พระนิพพานถึงเป็นความรู้ความเข้าใจที่เป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ว่างจากสิ่งที่ไม่มี แต่ก่อนเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราก็ได้พากันแสวงหาความวิเวก

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เรารู้ให้เข้าใจ ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะเมื่อไหร่ เอาสมมติสัจจะที่เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย เอามาใช้เอามาประพฤติเอามาปฏิบัติ เพราะพระธรรมพระวินัยนั้นเป็นอุปกรณ์ เป็นกรรมกรที่เราจะต้องเอามาใช้เอามาประพฤติเอามาปฏิบัติ อุปกรณ์ในการเอามาใช้เอามาปฏิบัตินี้เป็นวีซ่าแห่งชีวิต ปัญญาสัมมาทิฏฐิคือความยกเลิกในการเดินทางผิด เราทั้งหลายถึงมีความยึดมั่นถือมั่น เพื่อจะได้ผ่านด่านทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจ เราเปรียบเทียบดูให้เกิดปัญญา สถานีโทรทัศน์ต่าง ๆ เค้าจัดรายการย่อมมีการโฆษณาสรรพสินค้าในการค้าการขายแลกเปลี่ยน เพื่ออำนวยความสะดวกความสบาย เราเข้าใจง่าย ๆ เรามีตาหูจมูกลิ้นกายใจนั้นแหละคือรายการอย่างเดียวเช่นเดียวกับรายการโทรทัศน์ไม่ผิด

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงบอกว่าอย่าไปหลงนิมิตทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เพราะนิมิตมันเกิดจากเพราะเรามีตามันก็มีรูป มีหูมันก็มีเสียง มีจมูกก็มีกลิ่น มีลิ้นก็ย่อมมีรส มีกายก็ต้องมีสัมผัส มีใจก็มีจิตนึกคิดที่เป็นอารมณ์ เราอย่าไปหลง อย่าไปหลงรายการอย่าไปหลงนิมิต ให้เรารู้ให้เข้าใจว่าอันนี้เป็นเพียงนิมิต เป็นเพียงอาคันตุกะชั่วครู่ชั่วคราว ชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น เราทั้งหลายต้องรู้จ้กต้องมีสติมีสัมปชัญญะ ทุกอย่างนั้นได้ล้วนแต่เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไปตามเหตุตามปัจจัย

 

เราทุกคนมาทำหน้าที่ของเราทุกคน หน้าที่ของพ่อของแม่ของลูก ของข้าราชการนักการเมืองของนักบวช เรามามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติในการทำหน้าที่ เพราะความสุขมันอยู่ที่มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติหน้าที่ เราต้องมีความสุขในการทำงานในปัจจุบัน เพราะอดีตก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตจะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบัน เพราะปัจจุบันนี้คือการทำที่สุดแห่งความทุกข์ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมีความเมตตาบอกภิกษุทั้งหลายว่า เธอทั้งหลายจงพากันทำที่สุดแห่งความทุกข์ ไม่มีความทุกข์ ให้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการยกเลิกตัวตน มามีความสุขในการทำหน้าที่ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด อย่าเอาความหลงนำชีวิต อย่าเอาความผิดนำชีวิต ทำอย่างไรมันก็แก้ปัญหาไม่ได้ มีแต่สร้างปัญหา หาเรื่องหาราวให้กับตัวเอง หาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น

 

เราพยายามพากันพัฒนาตัวเอง สิ่งไหนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านห้ามท่านให้หยุดต้องหยุด สิ่งไหนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสั่งให้ทำต้องทำ ต้องยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ถึงเวลานอนต้องนอนให้มีความสุข มนุษย์เรานี้ ๒๔ ชั่วโมงนอนพักผ่อน ๖ ชั่วโมงก็เพียงพอ เวลาตื่นขึ้นมีความสุขในการทำหน้าที่ เรามีความสุขในการทำหน้าที่ กายเราก็แข็งแรงดี ใจของเราก็มีความสุข มันได้ทั้ง ๒ อย่างเลย

 

มนุษย์ทั้งหลาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้พวกเรารู้ให้เราเข้าใจอย่างนี้ ให้มีความสุขในการทำหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ เรามีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติยกเลิกตัวตน เป็นคนมีศีลมีธรรม มีข้อวัตรข้อปฏิบัติ มีความสุขมีปิติมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในข้อวัตรข้อปฏิบัติ คนอื่นเค้าก็เคารพนับถือ เราเอาตัวตนนำชีวิต เป็นคนเห็นแก่ตัว ขี้เกียจขี้คร้าน ไม่เสียสละ เอาความผิดนำชีวิต เอาตัวเอาตนนำชีวิต ชีวิตนี้มันเป็นทุกข์ทั้งตัวเรา เป็นทุกข์ทั้งคนอื่น ชีวิตนี้เสียหาย ล้มละลายยิ่งกว่าตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย

 

อยู่ในส่วนราชการเค้าก็รังเกียจ ส่วนนักการเมืองเค้าก็รังเกียจ ส่วนนักบวชเค้าก็รังเกียจ ความมีตัวมีตนเป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นสิ่งที่เสียหาย ที่ท่านหลวงตามหาบัว ท่านเมตตาบอกกับพระไว้ว่า เราต้องเอาพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรเพื่อยกเลิกตัวตน เพราะตัวตนนั้นคือความเสียหายคือความเน่าความเหม็น มันไม่ใช่เหม็นธรรมดานะ เหม็นตั้ง ๓ แดนโลกธาตุ รู้มั๊ยเข้าใจมั๊ย มันเสียหายมาก ความรู้สึกที่เรามีอยู่ร่วมกันทุก ๆ คนมันถึงไม่เป็นมงคล มองดูหน้าข้าราชการหน้าเปรตหน้ามารหน้าโจรมันก็ลอยขึ้นมา มองดูหน้านักการเมืองก็ยิ่งเป็นหน้าเปรตหน้ายักษ์หน้ามารเป็นหน้าของมหาโจรที่ยิ่งใหญ่ มหาโจรที่มีการเรียนการศึกษาเพื่อเป็นโจรเป็นมหาโจร ยังให้ลูกให้หลายมาสืบทอดวงศ์ตระกูลแห่งความเป็นโจร มองเห็นหน้านักบวช ก็เห็นหน้าโจรหน้ามหาโจรหน้าสมี คำว่าสมีนี้ก็หมายถึงตัวถึงตน ถ้ามีตัวมีตนแปลเป็นรวม ๆ คือเป็นสมี ไม่ได้เป็นพระธรรมเป็นพระวินัยเป็นสมี

 

เราทุกคนพากันมาเน้นที่ตัวเรา เรามีสมมติสัจจะบริหารด้วยสมมติสัจจะ ข้าราชการนักการเมืองนักบวชคือเป็นการบริหารด้วยสมมติสัจจะด้วยการแต่งตั้งด้วยการทำหน้าที่ เพราะธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ถึงมีวาระในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อให้ความดีและปัญญาก้าวไปด้วยสุปฏิปันโนผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ปฏิบัติสมควร ผู้มีปัญญามาก ๆ ก็ต้องสงบมาก ๆ ผู้มีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ เพื่อเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมที่มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติที่เป็นความยึดมั่นถือมั่นที่ประกอบด้วยปัญญาที่ยกเลิกสัญชาตญาณที่เป็นตัวเป็นตนด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะถึงเป็นธรรมที่มีคุณมีอุปการมากแก่เราทุก ๆ คนนะ

 

หลักการของเราในชีวิตประจำวันให้เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในการทำหน้าที่ ตามหลักการในการบริหารมนุษย์ วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์ให้เป็นวันทำงานกับวันปฏิบัติธรรมไปพร้อม ๆ กัน ทำอย่างเดียวได้ทั้งเรื่องจิตเรื่องใจ ได้ทั้งวัตถุที่เป็นวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กันเพื่อไม่ให้เสียสละ ใครอยู่ที่ไหนปฏิบัติอะไรก็ให้มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติในการทำหน้าที่นั้น ๆ ยกเลิกตัวยกเลิกตน ให้ทำหน้าที่สิ่งที่ดี ๆ ที่ประกอบด้วยปัญญาอย่างนี้

 

วันเสาร์วันอาทิตย์ให้เป็นวันหยุดในการทำธุรกิจหน้าที่การงาน มาเน้นเรื่องจิตเรื่องใจ มามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการพัฒนาจิตใจ เพราะเหตุผลว่าเราต้องรู้ต้องเข้าใจ ต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ถึงเราจะรวยเราต้องแก่ต้องตายพลัดพราก ถึงเราจะมีอำนาจวาสนาเราต้องแก่ต้องตายต้องพลัดพราก เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นคือเหตุคือปัจจัย เพราะเหตุเพราะปัจจัยเท่านั้นเอง เราถึงมาเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ ยกทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เพื่อสติสัมปชัญญะของเราที่สมบูรณ์ เพื่อมาฝึกอานาปานสติหรือไปฝึกอานาปานสติ

 

ผู้ที่ถือศาสนาอะไรก็ไปในศาสนานั้น ๆ ความหมายของศาสนานี้เป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม เป็นความยึดมั่นถือมั่นที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่อยกเลิกอัตตาตัวตนด้วยหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม นี้เรียกว่าพระศาสนา พระศาสนานั้นถึงไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน พระศาสนาให้เข้าใจว่าคือทางสายกลางระหว่างเราพัฒนาใจกับวัตถุไปพร้อม ๆ กันเพื่อทางภายนอกเราก็สะดวกก็สบาย ทางจิตใจเราก็ไม่หลง สบายทั้งภายนอกภายใน สว่างว้าวว้าวทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจเป็นทางสายกลางอย่างนี้

 

เราทั้งหลายต้องเข้าใจเรื่องพระศาสนาอย่างนี้แหละ เราอย่าไปโง่หลงงมงายเอาพระศาสนาทะเลาะวิวาทกัน เพราะพระศาสนาเค้ายกเลิกตัวยกเลิกตนยกเลิกการทะเลาะวิวาทกัน เราเป็นคนดีเราก็ต้องมีปัญญาให้เข้าใจอย่างนี้ เรามีปัญญาเราก็ต้องสงบ เราจะได้เข้าถึงความพอดี เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ จะได้ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป เราจะได้เอาพระศาสนานั้นดับทุกข์ได้ เราจะได้เอาหลักการในการเจริญสติสัมปชัญญะ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายท่านเจริญอานาปาสติเพื่อเอาออกซิเจนดี ๆ เข้าไปเลี้ยงร่างกาย หายใจออกเอาคาร์บอนไดออกไซด์เอาของเสียออกไปเอาสิ่งปฏิกูลออกไป หายใจเข้าก็ให้มีความสุข ไม่ต้องมีความทุกข์อะไร หายใจออกก็ให้มีความสุขไม่ต้องมีความทุกข์อะไร ให้มีแต่ความสุขใจสบายใจ เราต้องการให้เกิดสติปัญญามากกว่านี้ หายใจเข้าก็ให้รู้ว่ามันเข้ามันก็ออกมันไม่แน่ไม่เที่ยงเลย มันเข้าไปแล้วก็ออกมา เอาของดีไปเลี้ยงร่างกาย เอาของเสียออกมา ไม่แน่ไม่เที่ยงเลย หายใจเข้าหายใจออกก็ล้วนแต่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันเป็นเพียงอาคันตุกะผ่านไปชั่วครู่ชั่วยาม

 

เราทั้งหลายต้องมาระลึกถึงสภาวธรรมที่เป็นธรรมชาติ เพื่อเราจะไม่ได้ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ เราจะได้คืนอธิปไตยให้กับปวงชนให้กับประชาชนให้กับมหาชน ด้วยมามีสติมีสัมปชัญญะ ให้เรารู้ให้เข้าใจว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดามีความตายเป็นธรรมดามีความพลัดพรากจากไปเป็นธรรมดา เราทั้งหลายให้รู้เข้าใจให้พากันมีสติสัมปชัญญะให้พากันปล่อยพากันวาง ให้มีปิติมีความสุขไม่ต้องไปมีความทุกข์อะไร

 

เราต้องรู้เข้าใจนะ เราทำงานก็เพื่อมีความสุขในการทำงานให้เข้าใจอย่างนี้ เราเรียนหนังสือก็เพื่อมีความสุขในการเรียนหนังสืออย่างนี้ เราเป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวชในการทำหน้าที่อย่างนี้ เราอย่าไปหวังอะไรตอบแทนในการทำหน้าที่ ให้เรารู้เข้าใจ เราเพียงทำหน้าที่ให้ถูกต้อง เราอย่าไปหวังอะไร เดี๋ยวความหวังนั้นแหละมันจะเป็นกับดัก เป็นความเครียด ให้มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ มีความยึดมั่นถือมั่นในการทำหน้าที่อย่างมีความสุข เพราะธรรมะนั้นเราต้องรู้เข้าใจ ไม่ใช่เอามาเพิ่มเอามาตัดเรามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ มีความเข้าใจสูงสุดด้วยปัญญา เป็นความยึดมั่นถือมั่นในหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม มีการปล่อยวาง ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ยกเลิกตัวเรา ยกเลิกคนอื่นด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ เข้าถึงสติถึงสัมปชัญญะด้วยปิติด้วยความสุขด้วยเอกัคคตา เราอย่าไปทำอะไรเพื่อจะเอาเพื่อจะมีเพื่อจะเป็นมันเป็นคนบ้าเป็นคนผีบ้าเป็นคนมีเชื้อบ้า

 

เรามาระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้แหละ ท่านมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติหน้าที่อย่างนี้ มีแต่ปิติมีแต่ความสุขมีแต่เอกัคคตา ให้เราระลึกถึงคติธรรมคำสั่งสอนในปัจฉิมโอวาทของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านตรัสปัจฉิมโอวาทครั้งสุดท้ายก่อนเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานไว้ว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรม                 ความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบัน                   ไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร

 

ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรมมาประพฤติมาปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง

 

 ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น

------------------------------------------

 โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันพฤหัสบดีที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

รายการล่าสุดที่คุณดู
Visitors: 103,776