๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ให้พากันนั่งให้สบาย วันนี้เป็นวันที่ ๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

 

พสกนิกรชาวไทยและต่างประเทศได้มาร่วมรวมกันประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความโทมนัสและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน พระองค์ทรงเป็นดั่งแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและพระปรีชาสามารถ ทรงอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระราชหฤทัยในการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อธำรงไว้ซึ่งความผาสุกและความมั่นคงแห่งชาติไทย เราประชาชนชาวไทยต้องร่วมใจสมัครสมานสามัคคีทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่ออุทิศบุญกุศลน้อมเกล้าถวาย เพื่อเสด็จสู่สวรรคาลัย เข้าสู่สวรรค์มรรคผลพระนิพพาน

 

มนุษย์เราคือผู้ที่ประเสริฐ อายุขัยของหมู่มวลมนุษย์ปัจจุบันอยู่ได้ประมาณร้อยปี การดำเนินชีวิตเอาความดีและปัญญาเพื่อเป็นการดำเนินชีวิต เพื่อให้เกิดความสงบและปัญญา ชีวิตอยู่ด้วยบุญด้วยกุศลที่เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นสติเป็นสัมปชัญญะ ชีวิตที่ประเสริฐนั้นต้องเป็นบุญเป็นกุศล ก้าวไปด้วยบุญด้วยกุศล

 

วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำบุญทำกุศล พัฒนาใจกับพัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กัน วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำงานภายนอก มาเน้นเรื่องจิตเรื่องใจด้วยการบำเพ็ญความดี เนกขัมมะบารมี เพื่ออยู่กับสติและสัมปชัญญะ เพื่อมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่กับสติสัมปชัญญะ ยกเลิกเรื่องอดีตเรื่องอนาคต ปัจจุบันก็เข้าสู่ความว่างจากตัวตน เจริญสติสัมปชัญญะ ยกทุกอย่างเข้าสู่ความว่างจากตัวจากตน จากสัตว์บุคคลด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ

 

มนุษย์เราต้องมีบ้านมีวัดมีโรงเรียน บ้านภายนอกก็ได้แก่ที่อยู่ที่อาศัย ได้แก่สรีระร่างกายที่กว้างศอกยาววาหนาคืบ บ้านภายในก็ได้แก่สติได้แก่สัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะนี้ถึงเป็นธรรมะที่มีคุณมีอุปการะมาก เราทุกคนต้องพากันมารู้มาเข้าใจ เพื่อเราทั้งหลายจะได้ดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ พากันมารู้แจ้งโลกรู้แจ้งธรรม โลกก็หมายถึงวัตถุที่เป็นสิ่งภายนอก ที่เป็นกายวาจากิริยามารยาท อย่างนี้ถือว่าโลกถือว่าเป็นวัตถุ มารู้เรื่องภายใน คือเรื่องจิตเรื่องใจ ใจของเรานั้นเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า เป็นประภัสสร ไม่มีแก่ไม่มีเฒ่าไม่มีแก่ไม่มีเจ็บไม่มีตายไม่มีพลัดพราก เป็นประภัสสร ใจของเราต้องมี ใจของเราต้องสงบต้องมีปัญญา ใจของเราจะต้องว้าวว้าวเป็นสีขาวไม่ใช่สีเทาสีต่าง ๆ น่ะ ใจของเราต้องมีปัญญา

 

เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ เราทุกคนจะได้จบเรื่องราวทั้งหลายที่ปัจจุบัน จบเรื่องราวทั้งหลายลงที่ผัสสะ เพื่อไม่ให้เอาความหลงนำชีวิต ไม่เอาความผิดนำชีวิต ไม่เอาความปรุงแต่งที่เป็นอวิชชาเป็นความหลงนำชีวิต ที่เราทุกคนได้ท่องเที่ยวในวัฏฏสงสาร มันเป็นการที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาความไม่รู้ไม่เข้าใจนำชีวิต เอาความหลงผิดนำชีวิต มันเป็นโปรแกรมเมอร์สีเทาแห่งชีวิต

 

ระบบข้าราชการนักการเมืองนักบวชมันเป็นโปรแกรมเมอร์สีขาว ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ ในการดำเนินชีวิต เราไปทำหน้าที่ไม่ถูกต้อง เราไปเรียนหนังสือก็เพื่อตัวเพื่อตน ไปทำงานก็เพื่อตัวเพื่อตน เป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวชก็เพื่อตัวเพื่อตน ตัวตนนั้นมันคือโปรแกรมเมอร์สีดำสีเทา สีสกปรก มันไม่ใช่สีขาว ถึงคราวถึงเวลาแล้วทุก ๆ คนต้องพากันรู้จักตัวเอง มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม เพื่อให้เกิดความสงบเพื่อให้เกิดปัญญา ยืนเดินนั่งนอนทำงาน พูดจากิริยามารยาทอาชีพ ต้องพากันมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม สติสัมปชัญญะเป็นความสงบและปัญญา เป็นความดับทุกข์ของเราทุก ๆ คน คนไหนมีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อมคนนั้นก็ไม่มีทุกข์ ความไม่มีทุกข์อยู่ที่มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม

 

เราทุกคนต้องพากันมารู้มาเข้าใจความดับทุกข์ของเรานั้นจะดับทุกข์ได้ด้วยการมีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม เอาสมมติสัจจะทั้งหลายนี้มาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติ สมมติทั้งหลายมีไว้ในโลกนี้มีหลายล้านสมมติ ชี้ให้เห็นคุณเห็นประโยชน์เห็นโทษ อันนี้ดีอันนี้ชั่วอันนี้ผิดอันนี้ถูก อันนี้ไม่ดีไม่ชั่ว ไม่ผิดไม่ถูกต้อง

 

เราต้องเอาสมมติสัจจะมาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เพราะเหตุผลว่าอดีตทั้งหลายก็มารวมกันอยู่แล้วที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันนี้เป็นวาระแห่งชาติของการประพฤติของการปฏิบัติของเราทุก ๆ คน เราอาศัยสมมติสัจจะมาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติมาทำหน้าที่

 

เราทุกคนมาเน้นที่ตัวเรานี้เอง เพราะทุกอย่างนั้นมันคือกรรมคือกฎแห่งกรรมแล้วก็ต้องเป็นผลของกรรม เพราะกรรมนั้นมันเกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงให้เอากรรมดีที่ประกอบด้วยปัญญา เอาปัญญาแล้วต้องประกอบด้วยกรรมดี ด้วยความดี เพื่อเป็นทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับทางวัตถุที่เราพัฒนาจากทางวิทยาศาสตร์

 

ชีวิตของเราให้เรารู้เข้าใจ ชีวิตของเราต้องทำบุญทำกุศล ต้องก้าวไปด้วยบุญด้วยกุศล การพูดดี ๆ กิริยามารยาทดี ๆ อาชีพดี ๆ ยกเลิกตัวตนนี้คือบุญคือกุศล ชีวิตของเราต้องก้าวไปด้วยบุญด้วยกุศลอย่างนี้ เราต้องอาศัยกรรม อาศัยการกระทำทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพด้วยความยึดมั่นถือมั่น ความยึดมั่นถือมั่นในความดีที่ประกอบด้วยปัญญานี้เป็นการยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เป็นการยกเลิกอวิชชา ยกเลิกความหลง เป็นการหยุดตัวหยุดตนให้ทุกคนเข้าใจ จะได้รู้หลักการ รู้อุดมการณ์อุดมธรรม จะได้มีกำลังใจ จะได้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ความยึดมั่นถือมั่นความตั้งมั่นในศีลในสมาธิในปัญญานี้ไม่ใช่อัตตาไม่ใช่ตัวตน นี้เป็นปัญญาบริสุทธิคุณ

 

ให้ทุกคนรู้เข้าใจ เราจะได้ทำงานเพื่องาน ไม่มีอวิชชาไม่มีความโง่ไม่มีความหลงที่หวังอะไรตอบแทน ทำงานเพื่องาน รักษาศีลเพื่อศีล ทำสมาธิเพื่อสมาธิ เจริญปัญญาเพื่อปัญญา เพื่อยกเลิกอัตตายกเลิกตน นี้มันเป็นสติเป็นสัมปชัญญะ เป็นปัญญาบริสุทธิคุณ เป็นทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับวัตถุไปพร้อม ๆ กัน เมื่อมันผ่านไปแล้วก็ต้องปล่อยก็ต้องวาง เพราะมันผ่านไปแล้วเกษียณไปแล้ว จะดีจะชั่วจะผิดจะถูกก็ช่างหัวเผือกช่างหัวมันเพราะมันผ่านไปแล้ว ถือคติธรรมที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชตรัสว่าสิ่งที่ผ่านมาแล้วก็แล้วไป ช่างหัวเผือกช่างหัวมันเพราะมันผ่านไปแล้วเกษียณไปแล้ว

 

เราต้องมีสติมีสัมปชัญญะ ให้เราเอาปัจจุบันนี้แหละ ปัจจุบันเราให้มีความสุข หายใจเข้าให้สบาย หายใจออกให้สบาย มีความสุขในการทำธุรกิจหน้าที่การงาน อย่าไปขี้เกียจขี้คร้าน ต้องมีความสุขในการเสียสละ ชีวิตของเราจะได้ว้าวว้าวด้วยความรู้ความเข้าใจ สว่างไสวทั้งเรื่องจิตเรื่องใจ ทั้งเรื่องพัฒนาวัตถุเพื่ออาศัยหลักการของทางวิทยาศาสตร์ ระบบข้าราชการนักการเมืองนักบวชนี้เป็นโปรแกรมเมอร์สีขาว ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะยกเลิกตัวตน ชีวิตของเราถึงจะเป็นโปรแกรมเมอร์สีขาว เป็นความว่างจากนิติบุคคลตัวตน

 

เราอาศัยสมมติสัจจะที่เค้าแต่งตั้งให้เราเป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวช มามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติที่เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญาที่เรียกว่าบุญเรียกว่ากุศล เราทุกคนพากันมาเน้นที่ตัวเรา ไม่มีสิทธิเสรีภาพที่จะไปวุ่นวายก้าวก่ายกับคนอื่น เน้นมาที่ตัวเรา พากันมาคิดดี ๆ พูดดี ๆ กิริยามารยาทดี ๆ อาชีพดี ๆ แล้วยกเลิกตัวตน

 

ความทุกข์ของมนุษย์มันทุกข์อยู่ที่ใจ ใจไม่มีความสงบไม่มีปัญญา ถ้าใจของเรามีสติมีสัมปชัญญะ ความทุกข์ของเราจะไม่มี ด้วยเหตุนี้เราถึงเอาความดีที่เป็นบุญเป็นกุศลที่จะเอามาใช้เอามาประพฤติมาปฏิบัติเอามาทำหน้าที่ให้ถูกต้อง เพราะธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ สติสัมปชัญญะนั้นถึงเป็นหน้าที่ของเรา กายวาจากิริยามารยาทอาชีพนั้นไม่มีความทุกข์นะ เพราะกายวาจากกิริยามารยาทอาชีพให้เรารู้ไว้ อันนี้เป็นเพียงอุปกรณ์หรือว่าเป็นเพียงกรรมกรของใจเท่านั้น ถ้าใจของเรามีสติมีสัมปชัญญะความทุกข์ทั้งหลายจะไม่มีกับเราเลยนะ

 

ด้วยเหตุผลนี้แหละเราต้องมีสติมีสัมปชัญญะ เพื่อเราจะไม่ได้มีความทุกข์ใจ ใจมีทุกข์ได้เพราะเราไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ การปฏิบัติของเราถึงเป็นอริยมรรคมีองค์แปด เพื่อเราจะไม่มีความทุกข์ในปัจจุบัน ปัจจุบันถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะความทุกข์นั้นก็จะไม่มี ปัจจุบันนั้นถ้าเราทำงานเพื่องาน พูดจากิริยามารยาทก็เพื่อพูดจากิริยามารยาท อาชีพก็เพื่อทำหน้าที่ ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะความทุกข์นั้นก็จะไม่มี

 

หลักการดำเนินชีวิตของมนุษย์ถึงต้องมีสติมีสัมปชัญญะ ข้าราชการนักการเมืองนักบวชพร้อมทั้งพ่อค้าประชาชนทั้งหลาย ต้องรู้ต้องเข้าใจ ต้องเอาสมมติสัจจะมาใช้มาปฏิบัติ เราอย่าไปมองข้ามสติอย่างไปมองข้ามสัมปชัญญะ เพราะตัวดับทุกข์ของหมู่มวลมนุษย์อยู่ที่มีสติมีสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะนั้นจะหยุดเรื่องอดีตอนาคต ปัจจุบันก็ว่างจากตัวตน เป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ รูปก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ เสียงก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ กลิ่นก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ รสก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ โผฏฐัพพธรรมารมณ์ก็เป็นสิ่งที่มีอยู่

 

เรารู้เข้าใจด้วยการมีสติสัมปชัญญะ ใจของเราจะได้ว้าวว้าวเป็นโปรแกรมเมอร์สีขาวสว่างไสวด้วยความรู้ความเข้าใจที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมเป็นความสงบเป็นปัญญา ที่เป็นบุญเป็นกุศล เราทุกคนพากันมารู้เข้าใจ พากันมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติต่อสมมติสัจจะ ต่อพระธรรมพระวินัยทั้งน้อยทั้งใหญ่ที่มีแต่คุณมีแต่ประโยชน์หาโทษมิได้เลย

 

วันหนึ่งคืนหนึ่ง ๒๔ ชั่วโมง เราทุกคนต้องพากันนอนพากันพักผ่อนอย่างที่มีความสุขที่สุดในโลก นอนพักผ่อนวันละ ๖ ชั่วโมงก็เพียงพอสำหรับผู้ใหญ่น่ะ สำหรับเด็กอาจจะมากกว่านั้น เวลาเราตื่นอยู่เราต้องรู้เข้าใจ เอาพระธรรมเอาพระวินัยที่เป็นสมมติสัจจะมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจที่เจตนา ให้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อให้ระบบสมองกับลมหายใจมันไปพร้อม ๆ กันอย่างที่มีความสุข

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราใช้หลักการ ให้พากันเจริญอานาปานสติ ให้พากันหายใจเข้าหายใจออกให้มีความสุขสะดวกสบาย เพื่อเราทั้งหลายจะได้ฝึกเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามผัสสะ ไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม ให้เราอยู่กับลมหายใจเข้าหายใจออกให้สบาย การหายใจเข้าสบายออกสบายไม่ใช่ใช้เฉพาะตอนนั่งสมาธินะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เราใช้ทุกอิริยาบถ เวลาเราทำอริยมรรคข้ออื่น เราก็มีความสุขในการมีสติมีสัมปชัญญะในการทำอริยมรรค์นั้น ๆ ด้วยปิติด้วยสุขด้วยเอกัคคตาในการทำหน้าที่ เพราะชีวิตของเราต้องไม่มีความทุกข์อะไร ต้องมีแต่ปิติมีแต่ความสุขในการประพฤติการปฏิบัติในการทำหน้าที่ ให้ถือว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรม

 

ในชีวิตประจำวันให้เรามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติเพราะอันนี้เป็นความดี อันนี้คือปัญญา เราต้องรู้ต้องเข้าใจ มีความยึดมั่นถือมั่น มีความตั้งมั่นในความดีและปัญญาที่ป็นสัมมาทิฏฐิ อันนี้มันไม่ใช่ความยึดมั่นถือมั่นที่เป็นตัวเป็นตน เป็นความยึดมั่นถือที่ประกอบด้วยปัญญาเป็นสติสัมปชัญญะนะ เราทุกคนจะบริสุทธิ์ได้เพราะปัญญาสัมมาทิฏฐิที่มีสติมีสัมปชัญญะอย่างนี้

 

เราทุกคนต้องยกเลิกการไปเอาความสุขจากความหลง กิน กาม เกียรติ นั้นเป็นความสุขจากอวิชชาจากความหลงนะ เราต้องรู้เข้าใจ สติสัมปชัญญะที่เป็นธรรมะอยู่นอกเหตุเหนือผลเป็นธรรมะที่อยู่เหนือความปรุงแต่ง เป็นการทำความดีเพื่อความดี ปฏิบัติธรรมเพื่อธรรม เป็นสภาวธรรมอยู่นอกเหตุเหนือผล อยู่นอกเหนือความปรุงแต่งของเรา เราจะดับทุกข์ได้ด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ

 

เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราจะเข้าใจได้เราก็ต้องมีสติมีสัมปชัญญะ ถ้าเราไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะนั้นเราก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ การอบรมบ่มอินทรีย์ต้องอาศัยการเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ เพื่อให้สติสัมปชัญญะนั้นเป็นปฏิปทาที่ติดต่อต่อเนื่องกันเป็นขบวนการ เป็นพลังงานของศีลของสมาธิของปัญญา เราต้องรู้ต้องเข้าใจว่าทุกคนทำได้ปฏิบัติได้ ไม่มีปัญหา ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะนั้นแหละเราทำได้แล้ว ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เรามีหน้าที่ในการประพฤติในการปฏิบัติ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติเพื่อทำหน้าที่ เราประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ ให้เราเข้าใจในเรื่องการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราอย่าไปคิดว่าเราประพฤติปฏิบัติไม่ได้ เพราะการปฏิบัติธรรมนั้นมันไม่ใช่ได้ไม่ใช่เสีย ไม่ใช่ให้เรามาเอามามีมาเป็น เราต้องมารู้มาเข้าใจ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ

 

เราอย่ามามีตัวกูของกู เราอย่ามาเป็นผู้ได้ผู้เสีย เราอย่ามาเป็นคนดีคนเก่งคนฉลาดที่เป็นตัวกูของกู อย่างนี้มันใช้ไม่ได้นะ อันนี้เป็นคนผีบ้า เป็นบักผีบ้า อีผีบ้า มันมีเชื้อบ้า ให้เรารู้ให้เข้าใจนะ

 

เราพากันเข้าใจให้ดี ๆ นะ เราอย่ามาเอาอะไร ให้เรารู้ให้เข้าใจ เรามาทำหน้าที่ มาทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญาเพื่อมาเสียสละ เพื่อให้เกิดศิลปะ เกิดสมาธิ เกิดปัญญา การประพฤติการปฏิบัติของเราให้เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติที่เป็นความยึดมั่นถือมั่น ที่เป็นปัญญา ที่เป็นบุญเป็นกุศล ที่เป็นหลักการที่บำเพ็ญบารมีความดีและปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์สาวกทั้งหลาย เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ปฏิบัติสมควรให้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี เป็นกลาง ๆ ไม่ตึงเกินไปไม่หย่อนเกินไป

 

ให้เรารู้ให้เข้าใจ เราจะคิดตั้งแต่เป็นผู้เอา ถ้าคิดว่าไม่ได้อะไรก็จะไม่พากันประพฤติพากันปฏิบัติ อันนี้ให้เรารู้ให้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ การดำเนินชีวิตของเราก็จะเป็นโปรแกรมเมอร์สีเทาสีดำสีสกปรก นี้มันเป็นไวรัสที่มันเป็นภูมิแพ้ มันเป็นความไม่รู้ไม่เข้าใจทำร้ายในตัวของมันเอง มันเป็นกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ มันทำร้ายตัวเองไปในตัว มันเป็นโปรแกรมเมอร์ที่ทำร้ายตัวเองไปในตัว ด้วยเหตุผลนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้เรารู้ทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ การปฏิบัติธรรมเป็นการทำหน้าที่ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า เธอทั้งหลายจงพากันประพฤติพรหมจรรย์เถิด

 

จุดมุ่งหมายของการประพฤติพรหมจรรย์ในพระสมณโคดม มีอะไรบ้าง ?

 

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกปริพพาชกผู้ถือลัทธิอื่นพึงถามเธอทั้งหลายว่า.... ท่านทั้งหลายอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อประโยชน์อะไร เธอทั้งหลายพึงชี้แจงแก่พวกปริพพาชกเหล่านั้นอย่างนี้ว่า เราทั้งหลายอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค เพื่อสำรอกราคา....เพื่อละสังโยชน์.... เพื่อถอนอนุสัย...เพื่อรู้รอบสังสารวัฏอันยืดยาว....เพื่อความสิ้นอาสวะ เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งผลคือวิชชา และวิมุตติ...เพื่อฌาณทัศนะ เพื่อปรินิพพานอันปราศจากอุปาทาน...”

 

คำว่าพรหมจรรย์นี้แหละหมายถึงเราทุก ๆ คนนะ  หมายถึงทั้งข้าราชการนักการเมืองพ่อค้าประชาชนทุกชาติทุกศาสนา พระราชดำรัสขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้หมายเฉพาะนักบวช คำว่าภิกษุแปลได้ ๒ ความหมาย

 

ภิกษุมีความหมายว่า

ผู้ที่มีชีวิตอยู่เพื่อภิกขาจารเลี้ยงชีพ ฉันอาหารวันหนึ่งเพียงหนเดียว ไม่เก็บสะสมอะไรไว้ ไม่รับเงินไม่รับสตางค์ ไม่เก็บสังฆทาน ไม่เก็บอะไรไว้ มีชีวิตอยู่ด้วยภิกขาจาร ฉันอาหารวันหนึ่งเพียงหนเดียว เป็นผู้ยกเลิกทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน เพื่อดำรงตนไว้ด้วยอาศัยพระธรรมคำสั่งสอนที่เป็นสมมติสัจจะแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ เป็นทั้งคำสั่งและคำสอน เพื่อเอาหลักการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลักการของการประพฤติของการปฏิบัติ นี้เป็นความหมายหนึ่ง

 

ความหมายอีกความหมายหนึ่ง ภิกษุคือผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร มีความรู้มีความเข้าใจในเรื่องทุกข์เรื่องเหตุเกิดทุกข์จึงได้ถือเอาหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม มาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติ

 

ทีนี้จะบรรยายเพื่อให้เกิดประโยชน์เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อมหาชน ว่าภิกษุนั้นเป็นผู้รู้ผู้เข้าใจ ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร จะเป็นเด็กเป็นหนุ่มเป็นสาวเป็นคนกลางคนแก่คนเฒ่าคนชรา เป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวช ก็ต้องรู้ต้องเข้าใจ ก็ต้องเป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารถึงจะเป็นผู้รู้ทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เพื่อหมู่มวลมนุษย์จะได้เอาไปใช้เอาไปประพฤติเอาปฏิบัติเหมือนกันได้ทุก ๆ ท่านทุก ๆ คน

 

จะบรรยายตรงไปตรงมาเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อมหาชน ไม่ใช่เอาไปใช้เฉพาะนักบวช ต้องใช้ได้กับทุก ๆ คน

 

ข้าราชการนักการเมืองนักบวชก็อยู่ในฐานะอย่างเดียวเช่นเดียวกันที่ได้งบประมาณมาจากภาษีอากรของประชาชนทุก ๆ คนผู้ที่อยู่ในประเทศจะต้องเสียภาษีอากร ผู้ที่มาจากต่างประเทศก็ต้องมาเสียภาษีอากร หลักการในการบริหารประเทศ ข้าราชการนักการเมืองนักบวชนี้คือผู้ที่อยู่ด้วยเงินเดือนจากการทำงานส่วนราชการในการพัฒนาการเมือง เพื่อให้การเมืองขับเคลื่อนไปด้วยความดีที่ประกอบด้วยปัญญา สำหรับนักบวชนั้นก็ได้รับการสนับสนุนจากข้าราชการนักการเมืองพ่อค้าประชาชนถวายทาน เพื่อทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา และได้รับการสนับสนุนเงินเดือนจากการบริหารประเทศ เจ้าอาวาส เจ้าคณะต่าง ๆ พวกที่มียศมีตำแหน่งพวกนี้แหละเป็นผู้ที่รับเงินเดือนเหมือนข้าราชการนักการเมือง ไม่เหมือนครั้งพุทธกาล ครั้งพุทธกาลไม่มีเงินเดือน ไม่มีนิตยภัตต์เหมือนทุกวันนี้ ถ้ามีเงินเดือนมีนิตยภัตต์ถือว่าไม่ถูกต้องตามพระธรรมพระวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทำงานท่านเสียสละไม่เอาอะไรเลยแม้แต่คำว่าขอบคุณ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ไม่ต้องการ เพราะท่านมีสติมีสัมปชัญญะ

 

เหตุการณ์ที่ผ่านมาชักจะไปกันใหญ่ โปรแกรมเมอร์สีขาวมันจะกลายเป็นสีเทาสีดำสีสกปรก ด้วยเหตุนี้ข้าราชการนักการเมืองนักบวชต้องพากันมามีสติมีสัมปชัญญะ เพื่อเอาสติสัมปชัญญะนำชีวิต เพื่อไม่เอาทุจริตนำชีวิต จะทำให้โครงการสีขาวหรือว่าโปรแกรมเมอร์สีขาวมันจะเสียหายมันจะพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศ ตึกไหน ๆ เค้าก็ไม่พัง ไปพังตึกเดียวเฉพาะเจาะจง เฉพาะตึก สตง. ทั้ง ๆ ที่ตึกต่าง ๆ อยู่ในเมืองกรุงปริมณฑลเค้าสูงกว่าใหญ่กว่ามีอยู่มากมายเค้าก็ไม่พัง ด้วยเหตุนี้แหละ เราทุกคนต้องพากันมามีสติมีสัมปชัญญะ เพื่อพัฒนากายวาจากิริยามารยาทอาชีพเพื่อเป็นโปรแกรมเมอร์สีขาวที่จะออกจากใจออกจากความตั้งใจ เพื่อจะได้เอาความถูกต้องนำชีวิต เอาสติเอาสัมปชัญญะนำชีวิต

 

เราทั้งหลายต้องพากันรู้พากันเข้าใจ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญพุทธบารมีมาด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยสติด้วยสัมปชัญญะที่เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญาที่เป็นสติสัมปชัญญะ ที่จะเกิดความสมบูรณ์ทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจที่เจตนา ด้วยปิติด้วยความสุขด้วยเอกัคคตา

 

เราทั้งหลายมาระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ประเสริฐสุด เป็นบริสุทธิคุณอย่างหาที่สุดหาประมาณมิได้

เรามาระลึกถึงปัจฉิมโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านตรัสปัจฉิมโอวาทครั้งสุดท้ายไว้ว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร

 

ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรมมาประพฤติมาปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง

 

 ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น

 

-----------------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันเสาร์ที่ ๖ เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา

 

Visitors: 103,789