๑๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันที่
๑๐ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ของศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ของศาสนาคริสต์
ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ของศาสนาอิสลาม
เราทั้งหลายน่ะเป็นผู้ที่ประเสริฐ
เป็นทั้งคนดีเป็นทั้งมีปัญญา
เป็นทั้งคนมีปัญญาและคนดี
เราทั้งหลายต้องพากันรู้พากันเข้าใจ
ต้องรู้คุณรู้ประโยชน์
เพื่อจะได้เอาธรรมนำชีวิต
เอาความดีเอาความถูกต้องเอาปัญญนำชีวิต
เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงบริสุทธิคุณเพื่อเอาธรรมนูญนำชีวิต
มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
เราทั้งหลายน่ะจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ
เข้าถึงความพอดี
ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป
รู้อริยสัจสี่
รู้ทุกข์
รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์
รู้ธรรมรู้สภาวธรรม
รู้ความจริง
เราทั้งหลายจะได้มีแต่เหตุแต่ปัจจัย
เป็นไปเพื่อความสุข
ไม่มีความทุกข์
มีแต่ปิติมีแต่สุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
เราทั้งหลายต้องรู้ต้องเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ
เพื่อความสมบูรณ์แห่งความถูกต้องทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ
ทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาททั้งอาชีพที่ถูกต้อง
เป็นปัญญาสัมมาทิฐิ
ด้วยความตั้งใจตั้งเจตนาของเราที่มีแต่สติมีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา
มีความเข้าใจ มีสัมมาทิฐิมีปัญญานำชีวิต
เพราะความรู้ความเข้าใจนี้มันไม่ใช่ความจำมันเป็นความเข้าใจนะ
ความเข้าใจนี้มันจะไม่ลืม
แต่ความจำนั้นมันลืม
เราทั้งหลายต้องพากันทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ
อย่าได้ขาดตกบกพร่อง
ความสงบของเราต้องเพียงพอ
ปัญญาของเราต้องเพียงพอ
ศีลของเราน่ะอย่าให้ขาด
อย่าให้ด่าง
อย่าให้ขาดตกบกพร่อง
สมาธิความตั้งมั่นในธรรมในปัจจุบันธรรม
ในพระธรรมในพระวินัย
เอาธรรมนำชีวิต
เอาธรรมนูญนำชีวิต
ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้องทั้งหมด
ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสพวกเราทั้งหลายว่า
เราได้รู้จักเจ้าเสียแล้ว
สังสารวัฏในการเวียนว่ายตายเกิด
เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว
เจ้าจะทำบ้านทำเรือนสร้างภพสร้างชาติให้เราไม่ได้อีกต่อไป
ท่านได้หยุดวัฏฏสงสารด้วยความรู้ความเข้าใจ
เสวยวิมุติสุข
เราทั้งหลายจะได้หยุดภพหยุดชาติด้วยความรู้ความเข้าใจ
หยุดวัฏฏสงสารด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญาที่ติดต่อต่อเนื่อง
สัมมาสมาธิที่เป็นปัญญา
จะทำให้ศีลสมาธิปัญญาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เป็นเอกัคคตา คือการประพฤติการปฏิบัติให้ติดต่อต่อเนื่องไม่ขาดสาย
เป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม
ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อมน่ะ
เพราะสัมมาทิฐิเป็นความรู้ความเข้าใจ
มันไม่ใช่เป็นความจำเหมือนแต่ก่อน
มันเป็นความรู้ความเข้าใจ
เป็นทั้งสมถะเป็นทั้งวิปัสสนา
ไม่ใช่เป็นสมาธิเป็นสมาบัติเหมือนตั้งแต่ก่อนน่ะ
เป็นความว่างจากความรู้ความเข้าใจ
ว่างจากสิ่งที่มีอยู่
ว่างด้วยความรู้ความเข้าใจ
แล้วก็เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ
เราทั้งหลายเข้าถึงพระนิพพานยังตั้งแต่ที่เรายังไม่ตาย
เราไม่ต้องรอให้เราตายไปก่อนเราจึงจะเข้าถึงพระนิพพาน
ปัจจุบันเรายังไม่มีพระนิพพาน
อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร
เพราะปัจจุบันนี้มันเป็นพื้นเป็นฐานของอนาคตนะ
อดีตก็มารวมที่ปัจจุบัน
อนาคตก็เป็นฐานจากปัจจุบันนี้แหละ
เราทั้งหลายต้องมีพระนิพพานอยู่ที่ปัจจุบันนี้ด้วยความรู้ความเข้าใจ
เป็นสัมมาทิฐิ
เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญาที่ติดต่อต่อเนื่อง
เป็นกระแส เป็นกระบวนการของมรรคผลพระนิพพาน
เราทั้งหลายต้องพากันเข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ยังไม่ตายนะ
เราต้องรู้จักการประพฤติการปฏิบัติ
เพื่อการประพฤติการปฏิบัติจะติดต่อต่อเนื่องไม่ขาดสาย
ประกอบด้วยปัญญาบริสุทธิคุณ
คือปัญญาที่ประกอบด้วยบริสุทธิคุณจะเป็นปฏิปทา
ที่ติดต่อต่อเนื่องด้วยความรู้ความเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ
การดำเนินชีวิตของเราทั้งหลายก็จะมีแต่ความสุขมีแต่ปิติมีแต่สุขเอกัคคตา
ทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาททั้งอาชีพ
ที่เป็นปัญญาบริสุทธิคุณ
เราทั้งหลายน่ะจะได้เข้าถึงความไม่มีทุกข์
มีแต่ความสุขกันทุก
ๆ คนด้วย
ความรู้ด้วยความเข้าใจในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ
เพราะเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต
เราจะมีความสุขกันทุก
ๆ คน ไม่มีใครยกเว้น
ด้วยความรู้ความเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ
เราทั้งหลายต้องเข้าใจ
พากันเน้นมาที่ตัวของเรา
มาปฏิบัติที่ตัวของเรา
มาประพฤติมาปฏิบัติในตัวของเรานะ
ถ้าเรารู้การประพฤติการปฏิบัติก็จะได้สร้างเหตุสร้างปัจจัย
ถ้าไม่รู้การประพฤติการปฏิบัติก็ไม่เข้าใจการประพฤติการปฏิบัติ
ก็ไม่ได้สร้างเหตุสร้างปัจจัยในการประพฤติการปฏิบัติ
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างน่ะมันเกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย
เกิดจากกรรมเพราะมีกรรมเป็นพื้นฐาน
เราอย่าเอาตัวเอาตนเป็นพื้นฐาน
ต้องเอาธรรมะเป็นพื้นฐาน
ไม่เอาตัวตนเป็นพื้นฐาน
ไม่เอาความหลงเป็นพื้นฐาน
เอาธรรมะเป็นพื้นฐาน
เอาธรรมเอาธรรมนูญเป็นพื้นฐาน
เราถึงจะพากันมีพระธรรมมีพระวินัยเป็นพื้นฐาน
เพราะเราทุกคนมีกรรมเป็นพื้นฐาน
เหตุอย่างไรผลก็ต้องเป็นอย่างนั้น
คนรุ่นใหม่สมัยใหม่ต้องพากันเข้าใจ
ถ้าเราไม่เข้าใจเราจะเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง
ความหลงนั้นคือความไม่สงบน่ะ
ความหลงนั้นได้แก่นิวรณ์ทั้ง
๕
นิวรณ์ทั้ง ๕
คือความหลง
ความไม่รู้ไม่เข้าใจเค้าเรียกว่าความหลง
เราเอาความหลงเป็นที่ตั้ง
เรามีตัวมีตนเรียกว่าความหลง
เราต้องพากันมีปัญญานะ
ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง
๕ อายตนะทั้ง ๖
เป็นธรรมเป็นสภาวธรรม
ไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน
ตัวตนนั้นคือเหตุคือปัจจัยที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจ
มันเป็นธรรมเป็นสภาวธรรมแห่งความหลงน่ะ
ความหลงนั้นคือความวกวน
ความวกวนคือนิติบุคคลตัวตนที่เค้าเรียกว่าคนคนน่ะ
คำว่าคนแปลว่าวกวน
เป็นสังสาระ
สังสารวัฏน่ะ
เป็นวงกลมมันไปไหนไม่ได้
มันย่ำต๊อกอยู่ที่เก่าเค้าถึงเรียกว่าคนน่ะ
ปัญญาสัมมาทิฐิ
เราจะได้หยุดสัญชาตญาณด้วยความรู้ความเข้าใจ
รู้จักสังสาระ
รู้จักการเวียนว่ายตายเกิด
เราทั้งหลายต้องมาสงบด้วยความรู้เข้าใจ
เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ
มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ
เพราะวาระจิตวาระใจของเรานั้น
มันเป็นวาระมันเป็นขณะ
ความรู้ความเข้าใจนี้ถึงเป็นปัญญาบริสุทธิคุณ
เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย
เป็นธรรมนูญรัฐธรรมนูญน่ะ
ธรรมนูญทั้งหลายในโลกนี้ชี้ให้เห็นในเรื่องผิดเรื่องถูก
เรื่องดีเรื่องชั่ว
เรื่องไม่ผิดไม่ถูกไม่ดีไม่ชั่ว
เราต้องเข้าใจ
เราพากันเอาธรรมนูญ
เอารัฐธรรมนูญมาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติ
เพราะเราทั้งหลายน่ะปัจจุบันนี้แหละจะหยุด
เพราะปัจจุบันมันเป็นปัจจุบันขณะ
ความไม่ถูกต้องมันก็เป็นชั่วขณะ
ความถูกต้องมันก็เป็นชั่วขณะ
ถ้าเราเอาธรรมนำชีวิตตัวตนก็เกิดไม่ได้
เราเอาความหลงนำชีวิตธรรมะก็เกิดไม่ได้
เพราะทุกอย่างมันอยู่ที่ขณะจิตขณะกาย
วาจาใจกิริยามารยาทอาชีพ
สัมมาทิฐิคือความเห็นถูกต้อง
ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง
ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญ
เป็นวาระแห่งชาติของเราทุกคน
การประพฤติการปฏิบัติ
ให้เราทุกคนให้มองเห็นวาระแห่งชาติ
ชาติก็คือความเกิด
เราเอาความหลงนำชีวิตเราก็เวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น
มันเป็นวงกลม
มันเป็นได้แต่เพียงคนเป็นได้แต่ความหลง
เอาความหลงเป็นที่ตั้งเราก็เป็นคนพลัดถิ่นน่ะ
คนพลัดถิ่นก็คือคนไม่ได้อยู่กับความสงบไม่ได้อยู่กับปัญญา
ไม่ได้อยู่กับปัญญา
ไม่ได้อยู่กับความสงบนั้นเค้าเรียกว่าคนพลัดถิ่นน่ะ
คนพลัดถิ่นก็คือคนอพยพน่ะ
ร่างกายเค้าก็ยังมีบ้านมีที่อยู่มีที่อาศัย
ใจของเราน่ะถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ
ใจของเราก็จะไม่มีบ้าน
ไม่มีความสงบไม่มีปัญญา
ไม่มีปัญญาไม่มีความสงบ
เรียกว่าหัวใจพลัดถิ่นน่ะ
หัวใจอพยพน่ะ
เพราะเราเอาความหลงเป็นพื้นฐาน
เอาความไม่รู้ไม่เข้าใจเป็นพื้นฐาน
ช่างหัวมัน
สิ่งที่แล้วก็แล้วไป
เราต้องเข้าใจ
ให้พากันตั้งใจใหม่
เพื่อเอาความถูกต้องนำชีวิต
เอาความสงบเอาปัญญานำชีวิต
เราพากันทิ้งความถูกต้อง ทิ้
งศีลทิ้งสมาธิทิ้งปัญญา
เอาความหลงนำชีวิต
เอาความวุ่นวายนำชีวิต
มันก็ไม่สงบมันก็วุ่นวาย
มันก็ไม่ต่างอะไรกับแผ่นดินไหวที่ประเทศพม่าเมื่อวันที่
๒๘ มีนาคม
ที่มัณฑะเลย์มันพังพินาศพังทะลายคนตายตั้งหลายพันคนน่ะ
ความไม่รู้ความไม่เข้าใจมันก็พังพินาศ
เพราะเอาความไม่ถูกต้องนำชีวิต
ชีวิตของเราก็ต้องพังพินาศ
ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ
เราก็พากันทิ้งความถูกต้องทิ้งความสงบทิ้งปัญญา
ทิ้งศีลทิ้งสมาธิทิ้งปัญญา
ทิ้งสิ่งที่เป็นอุปการะมากที่เป็นอุปการะคุณ
ความไม่รู้ไม่เข้าใจทำให้เราทิ้งสิ่งที่ถูกต้อง
ทิ้งสิ่งที่เป็นอุปการะคุณน่ะ
เราดูภาพรวมของโลกของประเทศ
ความไม่รู้ไม่เข้าใจเอาความหลงนำชีวิต
พัฒนาตั้งแต่วิทยาศาสตร์อย่างเดียว
ไม่ได้พัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม
ๆ กัน
ทิ้งสิ่งที่มีอุปการะคุณไป
คนหนุ่มคนสาวพากันทิ้งพ่อทิ้งแม่
ทิ้งคนพิการ
ทิ้งถิ่นฐานไปหากินในต่างแดน
เพราะความไม่รู้ไม่เข้าใจ
ถ้าเรารู้เข้าใจเราทั้งหลายจะไม่ทิ้งที่ถูกต้อง
จะไม่ทิ้งธรรมทิ้งธรรมนูญรัฐธรรมนูญ
เพราะธรรม
ธรรมนูญ รัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่มีอุปการคุณ
ว่าธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้นมีอุปการะคุณต่อพวกเราทั้งหลายมาก
เป็นเหตุเป็นปัจจัย
เพราะทุกอย่างมันคือเหตุคือปัจจัย
เราจะทิ้งเหตุทิ้งปัจจัยนั้นไม่ได้
มนุษย์เราถึงต้องมีการเรียนการศึกษาเพื่อให้เกิดปัญญา
มีปัญญา
มนุษย์เรามีตาเนื้อตาหนังอย่างเดียวไม่เพียงพอมันต้องมีตาปัญญา
พวกเราทั้งหลายต้องพากันมารู้เรื่องของพระนิพพานนะ
พระนิพพานเป็นสัมมาทิฐิที่มีความเห็นถูกต้อง
ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง
เป็นสิ่งที่ไม่ได้เอามาตัดออกหรือว่าไม่ได้เอาไปเพิ่ม
มันเป็นความพอดี เป็นความเพียงพอพอเพียง
มันเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมเป็นบริสุทธิคุณ
การเรียนหนังสือก็เพื่อปัญญาบริสุทธิคุณ
การทำงานก็เพื่อปัญญาบริสุทธิคุณ
อริยมรรคที่ประกอบด้วยกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพที่ประกอบด้วยบริสุทธิคุณ
ความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้อง
ปฏิบัติถูกต้องมันจะเข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่เรายังไม่ตาย
เรียกว่าความรู้ความเข้าใจ
เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ
มันจะดำเนินทางไปสู่หนทางที่ประเสริฐ
มันเป็นกระบวนการ
เป็นเหตุเป็นปัจจัยของพระนิพพาน
เป็นผู้เข้าสู่ซุปเปอร์ไฮเวย์แห่งความดับทุกข์
เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ยังไม่ตายนี้แหละ
เราต้องเข้าใจเรื่องพระนิพพานนะ
เราทั้งหลายอย่าเอาพระนิพพานมาเป็นนิติบุคคลตัวตน
เพราะว่าพระนิพพานไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน
เป็นความดีเพื่อความดี
เป็นศีลเพื่อศีล
เป็นสมาธิเพื่อสมาธิ
เป็นปัญญาเพื่อปัญญา
ชีวิตนี้ก็จะมีแต่ปิติมีแต่สุขมีแต่เอกัคคตา
เป็นปัญญาบริสุทธิคุณน่ะ
เราพากันเรียนหนังสือ
เราให้ลูกให้หลานไปเรียนหนังสือเพื่อความรู้ความเข้าใจ
เพื่อจะมีปัญญาสัมมาทิฐิ
เราต้องรู้ความหมายแห่งการเรียนหนังสือ
เราเรียนหนังสือ
ก็เพื่อเราจะดำเนินชีวิต เพื่อมรรคผลพระนิพพาน
แล้วก็รู้ความหมายในการทำงานอีกด้วยการทำงานนี้ก็ทำงานเพื่อพระนิพพาน
เราทั้งหลายจะได้รู้เข้าใจว่าชีวิตของเรานี้เกิดมาเพื่อความดีเพื่อปัญญา
เพื่อปัญญาเพื่อความดี
เป็นบารมี ๑๐ ทัศเบื้องต้นของบารมี
เป็นบารมี ๒๐ ทัศท่ามกลาง
เป็นบารมีสูงสุด
๓๐ ทัศ
สมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ
เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ
เข้าถึงความพอดี
เหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่
๙
ท่านตรัสกับพสกนิกรชาวไทยชาวโลก
ให้เข้าอกเข้าใจในธรรมในสภาวธรรม
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจเรื่องความพอเพียงเพียงพอ
เราอยากให้มันมากมันก็ไม่มาก
เราอยากให้มันน้อยมันก็ไม่น้อย
เราต้องรู้จักความพอเพียงเพียงพอ
เราทั้งหลายจะได้มีความสงบมีปัญญา
อย่างเทศกาลสงกรานต์ปีใหม่อย่างนี้เป็นต้น
คนทั้งหลายเค้าไปทำงานอยู่ที่ปริมณฑลอยู่ในเมืองหลวงเมืองกรุง
เวลาเค้ากลับบ้านเพราะส่วนราชการเค้าหยุดเพื่อให้ทุกคนได้กลับบ้านสถานที่
เมื่อมันกลับพร้อมกันรถมันก็ติด
อันนี้เราต้องเข้าใจเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย
เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี
ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจอริยสัจสี่
เราไม่เข้าใจเรื่องเหตุ
เรื่องปัจจัยเราก็เป็นทุกข์เพราะรถมันติดน่ะ
ถ้าเรารู้เข้าใจอันนี้มันเป็นธรรมเป็นสภาวธรรม
มันกลับบ้านพร้อม
ๆ กัน รถมันก็ต้องติดอย่างนี้
เราทั้งหลายก็ต้องมารู้จักความพอเพียงเพียงพอ
เราทั้งหลายก็ต้องมามีความสงบมีปัญญา
เรื่องกายมันก็ติดอย่างนี้แหละ
ใจของเราก็อย่าไปติด
เพราะคนเราน่ะคิดดูดี
ๆ นะ
เราอยากจะให้มันยาวเราก็ว่าอันนั้นมันสั้น
อยากจะให้มันสั้นก็ว่าอันนี้ยาว
อยากให้มันเร็วก็ว่าอันนี้มันช้า
อยากให้มันช้าก็ว่ามันเร็ว
ที่แท้จริงมันเป็นความไม่พอดีเป็นความไม่เพียงพอ
เราต้องรู้เข้าใจ
เราอยู่ที่ไหนเราจะไม่ได้เผาตนเอง
ไม่ได้เผาคนอื่น
เราทั้งหลายจะได้มีความสงบมีปัญญา
มีปัญญามีความสงบน่ะ
เราทั้งหลายต้องรู้จักธรรมรู้จักสภาวธรรม
เพราะทุกอย่างมันเป็นประภัสสรของเหตุของปัจจัย
รูปมันก็เป็นเหตุเป็นปัจจัย
เสียงมันก็เป็นเหตุเป็นปัจจัย
ทุกอย่างเป็นเหตุเป็นปัจจัย
เราต้องรู้เหตุรู้ปัจจัย
เราทั้งหลายจะไม่ได้มีความทุกข์อะไร
เพราะเรารู้เหตุรู้ปัจจัย
เราทั้งหลายจะได้รู้ธรรมรู้สภาวธรรม
รู้ความเป็นประภัสสรน่ะ
เราต้องปรับใจเข้าหาความพอเพียงเพียงพอ
เข้าหาความพอดี
เราทั้งหลายต้องมีความสงบมีปัญญา
มีปัญญามีความสงบ
เราทั้งหลายน่ะต้องพากันรู้เหตุรู้ปัจจัย
เราทั้งหลายต้องมีความสงบมีปัญญา
รู้เหตุรู้ปัจจัย
ไม่ต้องไปวุ่นวายอะไรตามสิ่งต่าง ๆ น่ะ
มีแต่ความสงบมีปัญญาด้วยความรู้ความเข้าใจ
เราทั้งหลายต้องพากันรู้พากันเข้าใจ
ต้องขอบคุณสิ่งต่าง
ๆ ที่เปิดโอกาสให้เราได้สร้างบารมี
เพื่อเป็นมรรคเป็นอริยมรรค
เพื่อมรรคผลนิพพานของเราจะได้สมบูรณ์
ถ้าทุกอย่างมันได้ไปตามความหลงมันก็คงหลงไปเรื่อยน่ะ
ขนาดไม่ได้ตามความหลงก็ยังหลงอยู่
เราต้องขอบใจสิ่งทั้งหลายที่เปิดโอกาสให้เราได้ประพฤติปฏิบัติ
ถ้าไม่มีความแก่
ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก
เราจะเอาที่ไหนมาประพฤติมาปฏิบัติ
เพราะไม่มีเหตุมีปัจจัยให้เราได้มาประพฤติมาปฏิบัติ
พวกเราทั้งหลายให้พากันเข้าใจนะ
ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเราก็จะไม่ได้รู้การประพฤติการปฏิบัติ
เราจะพากันเอาความหลงนำชีวิตไปเรื่อย
ๆ น่ะ
เราทั้งหลายต้องรู้ธรรมรู้สภาวธรรม
เราพากันประพฤติปฏิบัติในปัจจุบัน
ปัจจุบันต้องให้มีความสงบ
เพราะความสงบต้องเป็นพื้นฐาน
ความสงบเบื้องต้นท่ามกลางที่สุดน่ะ
ความสงบที่เราเอามาใช้งานในปัจจุบัน
มันเป็นความรู้ความเข้าใจเป็นสัมมาทิฐิ
ว่าเราต้องเอาธรรมนำชีวิต
ไม่เอาความหลงนำชีวิต
ที่มันอยู่ในระดับที่เป็นศีลน่ะ
มันเป็นความรู้ความเข้าใจธรรมสภาวธรรมน่ะ
เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม
มันเป็นปัญญาสัมมาทิฐิ
มันจะไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม
มันจะรู้ธรรมรู้สภาวธรรม
มันไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม
มันเป็นสัมมาทิฐิ
เป็นความรู้ความเข้าใจไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม
เอาปัญญานำชีวิตเอาธรรมนำชีวิต
ความเข้าใจระดับนี้มันเป็นศีลกับปัญญาไปพร้อม
ๆ กัน
เป็นสมถะเป็นวิปัสสนาไปพร้อม
ๆ กัน
เป็นอริยมรรคมีองค์แปดน่ะ
ความรู้ความเข้าใจจะได้เอาธรรมนำชีวิต
เอาธรรมนูญนำชีวิต
รู้เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างมันมีอยู่
เพราะเรามีตามันก็มีรูป
มีหูก็มีเสียง
มีจมูกก็มีกลิ่น
มีลิ้นก็มีรส
มีกายก็มีสัมผัสน่ะ
มีใจก็มีจิต
เราต้องรู้เข้าใจ
ระดับความรู้ความเข้าใจอย่างนี้แหละมันระดับของศีลน่ะ
เราต้องรู้เข้าใจว่ามนุษย์เรานี้ต้องรู้เข้าใจ
มีปัญญาสัมมาทิฐิ
ไม่เอาความไม่รู้
ไม่เข้าใจนำชีวิต
ชีวิตของเราจะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อมด้วยความรู้ความเข้าใจ
เราทั้งหลายถึงมีศีลเป็นพื้นฐาน
มีปัญญาเป็นพื้นฐาน
สองอย่างนี้
ศีลกับปัญญาต้องไปพร้อม ๆ กัน
เราทั้งหลายต้องพากันรู้นะ
ศีลกับธรรมต้องเป็นพื้นฐานกับเราทุก
ๆ คนนะ
เราปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องอย่างนี้มันก็จะเป็นสมาธิโดยธรรมชาติ
เปรียบเสมือนต้นไม้ต้นหนึ่งนี้แหละ
ต้นไม้ต้นหนึ่งเค้าได้อาหารของต้นไม้
เค้าไม่ใช่ได้จากส่วนใดส่วนหนึ่งนะ
เค้าต้องได้มาจากทุกชิ้นทุกส่วนตลอดปริมณฑลของต้นไม้
ต้องได้อาหารมาจากทางกิ่งทางก้านทางใบทางสาขาทางยอด
ตลอดปริมณฑล
แสงแดด
อากาศ ออกซิเจน
ต้นไม้นั้นจึงได้วิตามินโปรตีนเกลือแร่แร่ธาตุอย่างสมบูรณ์
ความรู้นั้นจึงเป็นสัมมาทิฐิ
ศีลนั้นเปรียบเสมือนสมถะ
ศีลนั้นจึงมาหยุดสัญชาตญาณ
ไม่เป็นนิติบุคคลตัวตน
ศีลเท่านั้นถึงจะหยุดสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน
อันนี้ไม่คิดไม่พูดไม่ทำ
ศีลเท่านั้นที่จะหยุดนอกจากศีลไม่มี
เพราะศีลเป็นพื้นฐานเป็นกรรมเป็นฐาน
เค้าเรียกว่าเป็นฐานที่เกิดสมาธิธรรมชาติน่ะ
พระศาสนานี้คือรู้อริยสัจสี่
รู้ทุกข์
รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
มีศีลเป็นพื้นฐาน
มีธรรมนูญเป็นพื้นฐาน
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ
เราจะได้มีศีลเป็นพื้นฐาน
เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงคือเหตุคือปัจจัย
ถ้าเราตัดเรื่องภายนอกออกไป
เน้นมาที่ปัจจุบันมันก็เป็นสมาธิ
เรายกเลิกสิ่งภายนอกหมดอยู่กับความสงบมันก็จะเป็นสมาธิ
ยกเลิกภายนอกหมดสมองของเราก็จะได้ออกซิเจน
การได้ยกเลิกภายนอก
แล้วกลับมาหาความสงบ กลับมาหาความถูกต้องสมองเราจะได้ออกซิเจน
จะได้เอาความถูกต้องกลับคืนมา
เอาคาร์บอนไดออกไซด์เอาออกเสียออกไป
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ
ถ้าเราทั้งหลายปฏิบัติเอาตั้งแต่สมาธิสมาบัติน่ะมันไม่ได้นะ
ความเข้าใจเรื่องพระศาสนามันต้องเข้าใจ
พระศาสนาเปรียบเสมือนต้นไม้ต้องได้อาหารมาจากทุกทิศทุกทางของต้นไม้
อริยมรรคมันต้องได้มาจากทุกทิศทุกทาง
ต้องรู้เข้าใจ
เราทั้งหลายจะได้มีความสงบมีปัญญา
มีปัญญามีความสงบน่ะ
เราทั้งหลายน่ะต้องรู้เข้าใจ
ศีลของเราเพื่อยกเลิกตัวยกเลิกตน
เรียกว่ายกเลิกโลกธรรม
ไม่เอาตัวตนนำชีวิต
ไม่เอาโลกธรรมนำชีวิต
อย่าให้โลภมันมาครองใจ
ต้องเอาธรรมนูญมาครองใจ
เอารัฐธรรมนูญมาครองใจ
เราทุกคนต้องเข้าอกเข้าใจ
เราทั้งหลายจะได้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
เมื่อมันผ่านไปแล้วเราทั้งหลายก็พากันปล่อยพากันวาง
เพราะมันผ่านไปแล้วสิ้นอายุขัยแล้วเอากลับคืนมาไม่ได้
เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ
ทุกคนทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้แหละ
ก็จะมีความดับทุกข์ได้ทุก
ๆ ท่านทุก ๆ คน
ทุกคนก็เป็นพระได้
เพราะคำว่าพระคือปัญญาสัมมาทิฐิ
ความเห็นถูกต้อง
เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ทุกคนก็เป็นพระได้
คนที่เป็นพระไม่ได้คือคนไม่รู้ไม่เข้าใจเอาความหลงนำชีวิต
นี้เป็นพระไม่ได้
ความเป็นพระถึงเป็นสากล
ทุกชาติทุกศาสนาทุกประเทศเป็นพระได้
เพราะอันนี้เป็นความรู้ความเข้าใจมันเป็นสากล
ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
เราทั้งหลายต้องพากันรู้ความเข้าใจ
เพราะมันไม่ใช่ความจำ
มันเป็นความรู้ความเข้าใจ
มันเป็นปัญญาสัมมาทิฐิ
เราทั้งหลายเป็นผู้มีลมปราณเป็นผู้ประเสริฐ
ต้องเอาธรรมนำชีวิต
เอาความถูกต้องนำชีวิต
ชีวิตของเรามันมีคุณมีประโยชน์เราต้องรู้เข้าใจ
เราจะได้รู้ว่าชีวิตของเรานี้เกิดมาเพื่อจุดมุ่งหมายปลายทางคือพระนิพพาน
ไม่ใช่นิติบุคคลตัวตนน่ะ
เราทั้งหลายพากันรู้เข้าใจธรรมะเข้าใจสภาวธรรม
ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกพวกเราทั้งหลายว่า
อย่าได้พากันตั้งอยู่ในความประมาท
เราต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ
-----------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันพฤหัสบดีที่
๑๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี
อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา