๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันอังคารที่ ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ของศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ของศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ของศาสนาอิสลาม

 

พวกเราทุก ๆ คนมีความทุกข์ทางกายเพราะความไม่เข้าใจ เรามีความทุกข์ทางใจเพราะมีความไม่เข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วเราทั้งหลายจะไม่ได้มีความทุกข์ทางกาย ไม่ได้มีความทุกข์ทางใจ

 

ทุกข์ทางกายมันก็มาจากเหตุจากปัจจัย ทุกข์ใจก็มาจากเหตุจากปัจจัย

 

สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นเกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย กายก็เป็นสภาวธรรมของเหตุของปัจจัย ใจก็เป็นสภาวธรรมของเหตุของปัจจัย

 

ความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องถึงเป็นมรรคเป็นอริยมรรค เป็นการประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องของเหตุของปัจจัย

 

เราทุกคนก็มาเข้าใจ เราพากันประพฤติพากันปฏิบัติของเราเองทุก ๆ คน เพราะทุกอย่างนั้นมันเป็นเหตุเป็นปัจจัย กรรมการกระทำที่กายที่วาจากิริยามารยาทอาชีพถึงเป็นฐาน เป็นสมุฐาน เป็นเหตุเป็นปัจจัย

 

พวกเราทั้งหลายต้องพากันรู้พากันไปประพฤติไปปฏิบัติ วาระแห่งการประพฤติการปฏิบัตินั้นก็อยู่ที่ปัจจุบันขณะ ปัจจุบันถึงเป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะปัจจุบันเป็นเหตุเป็นปัจจัย

 

เราทั้งหลายต้องพากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อการประพฤติการปฏิบัติของเราเองจะได้สมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ

 

ให้พวกเราทั้งหลายพากันมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม

 

เราทั้งหลายต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ มีฉันทะมีความพอใจในการประพฤติการปฏิบัติ ทำหน้าที่ของเราให้ดี ๆ ให้สมบูรณ์ เป็นผู้ปฏิบัตดี เป็นผู้ปฏิบัติชอบ เป็นผู้ปฏิบัติตรง เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ เป็นผู้ปฏิบัติสมควรเข้าถึงความพอดี

 

เราทั้งหลายต้องรู้ต้องเข้าใจนะ อยากให้มันมีมากได้มากอันนี้มันเป็นความคิด ของเราเอง ทุกอย่างมันก็เท่าเก่านั่นแหละ อยากให้มันมีน้อยหรือว่าไม่มีมันก็เท่าเก่านั่นแหละ

 

เราทุก ๆ คนต้องมีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ

 

เราทั้งหลายต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์

 

จุดมุ่งหมายปลายทางของเราทุกคนคือพระนิพพาน

 

พระนิพพานคือความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง

 

พระนิพพานคือความจริงคือความเป็นประภัสสรของทุกสิ่งทุกอย่าง มันเป็นความพอเพียงเพียงพอ มันเป็นความพอดีน่ะ มันเป็นการทำหน้าที่ของตัวเราให้สมบูรณ์ ด้วยสัมมาทิฐิความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง

 

พระนิพพานต้องมีอยู่กับเราด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

เราทุกคนต้องเข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ร่างกายของเรายังไม่ตาย เพราะปัจจุบันมันเป็นพื้นฐาน เป็นพื้นเป็นฐาน

 

สิ่งที่ผ่านไปถือว่ามันเอากลับคืนมาไม่ได้ อนาคตก็ยังมาไม่ถึง

 

เราทั้งหลายต้องมารู้เข้าใจ มีปิติมีความสุขเพื่อเอาธรรมนำชีวิต ตั้งใจตั้งเจตนาประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม รู้แจ้งในธรรมในสภาวธรรมไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม ไม่ไปตามผัสสะที่กระทบทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ  

 

ให้รู้ให้เข้าใจนี้คือข้อสอบและข้อตอบ เราทั้งหลายน่ะต้องรู้จักหน้าที่รู้จักการประพฤติการปฏิบัติของเรา

 

มีคำถามว่า การประพฤติการปฏิบัตินั้นจะปฏิบัติถึงไหนถึงจะได้หยุด

 

ให้พวกเราทั้งหลายรู้เข้าใจ การประพฤติการปฏิบัติเราต้องเอาความดีที่ประกอบด้วยปัญญาจนกว่าหมดลมหายใจ จนความสิ้นอายุขัยน่ะ

 

การคิดดี ๆ พูดดี ๆ กิริยามารยาทดี ๆ อาชีพน่ะยกเลิกอาชีพที่ไม่ถูกต้อง ไม่เอาความหลงนำชีวิต เอาธรรมนำชีวิต

 

ผู้ที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพก็ต้องเข้าสู่ภาคบำบัด

ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ขีณาสพก็เข้าสู่ภาคปฏิบัติน่ะ

 

เราต้องเข้าใจการประพฤติการปฏิบัติ การหยุดหรือการไม่หยุดมันเป็นความคิดของเราที่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน

 

ให้เราทุกคนพากันเข้าใจนะ อย่างคำว่าปฏิบัติไม่ปฏิบัติมันเป็นอาการของจิตมันเป็นอาการของใจนะ

 

เหมือนเราเดินทาง เดินทางอยู่ในกรุงเทพมหานคร อยู่ในปริมณฑล กรุงเทพมหานครน่ะมันเป็นศูนย์รวมผู้คนอาศัย ผู้คนทำงานมันมีมาก จราจรทางรถก็ย่อมติดขัด

 

เราต้องรู้ธรรมรู้สภาวธรรม เพราะคนมันมีมากรถมันมีมากมันก็ต้องติดขัด

 

ถ้าใจของเรารู้ธรรมรู้สภาวธรรมใจของเราก็จะไม่มีความรู้สึกว่ามันติดน่ะ ใจของเรามันจะไม่มีความรู้สึกว่าช้าไม่มีความรู้สึกว่าเร็ว อันนี้มันเป็นเหตุเป็นปัจจัยเรื่องภายนอกต่างหากล่ะ

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย ใจของเราจะไม่ได้ติด

ให้ตั้งแต่รถมันติดอย่าให้ใจของเรามันติด

อย่างเทศกาลสงรานต์เทศกาลปีใหม่ ประชากรเค้าก็กลับบ้านไปหาพ่อหาแม่หาครอบครัวน่ะ เทศกาลนั้นรถมันก็ติดเพราะเดินทางไปพร้อม ๆ กัน อันนี้มันเป็นเหตุเป็นปัจจัยภายนอก

 

เมื่อเรารู้เข้าใจเรื่องธรรมเรื่องสภาวธรรมใจของเราก็มีปัญญาน่ะ ว่านี้คือธรรมคือสภาวธรรม ใจของเราจะได้สงบใจของเราจะได้เย็น ใจของเรามันจะไม่ติดเพราะความติดนั้นคือความปรุงแต่ง

 

เราต้องรู้ต้องเข้าใจเรื่องความปรุงแต่ง ความปรุงแต่งทั้งหลายมีความทุกข์อย่างยิ่ง

 

ที่พระท่านสวดมาติกาบังสุกุล ท่านสวดว่า การมาสงบระงับสังขารทั้งหลายเป็นความสุขอย่างยิ่ง หมายถึงเรามารู้มาเข้าใจในธรรมในสภาวธรรม

 

เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ เราอยากให้มันเร็วมันก็เท่าเก่า อยากให้มันช้ามันก็เท่าเก่าไม่อยากให้มันแก่ให้มันเจ็บให้มันตายมันก็เท่าเก่า เพราะทุกอย่างนั้นมันเป็นธรรมเป็นสภาวธรรม มันไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน

 

ให้พวกเราทั้งหลายรู้เข้าใจในธรรมในสภาวธรรม เราทั้งหลายจะได้มีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ เข้าถึงความพอเพียเพียงพอ เข้าถึงธรรมเข้าถึงสภาวธรรมอย่างนี้เค้าเรียกว่า มันเป็นกระบวนการเหตุปัจจัยที่จะให้เราเป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม

 

สิ่งภายนอกน่ะมันเป็นสิ่งบรรเทา ด้วยหลักเหตุหลักผลหลักวิทยาศาสตร์

 

เราเอาหลักเหตุหลักผลหลักวิทยาศาสตร์มาใช้มาปฏิบัติเพื่ออำนวยความสะดวกความสบายในการดำเนินชีวิตที่เรากำลังเดินทาง เพื่อให้พระนิพพานของเราสมบูรณ์ สมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ สมบูรณ์ทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาททั้งอาชีพ

 

สิ่งภายนอกเป็นเพียงบรรเทา เป็นข้อสอบ จิตใจของเราเป็นผู้ตอบ เพื่อเป็น  บริสุทธิคุณ เป็นพรหมจรรย์ เราต้องรู้เข้าใจ

 

ทุกคนก็พากันมาประพฤติมาปฏิบัติที่ตัวของเราเอง

 

ร่างกายมันแก่ก็ให้มันแก่แต่เรื่องร่างกายอย่าให้ใจมันแก่ด้วย ร่างกายมันเจ็บก็ให้เจ็บแต่เรื่องร่างกายอย่าให้ใจมันเจ็บด้วย ร่างกายมันตายก็ให้มันตายแต่ร่างกายอย่าให้ใจมันตายด้วย

 

เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เพราะอันนี้มันเป็นเหตุเป็นปัจจัยไม่ใช่เราไม่ใช่คนอื่นนี้คือเหตุคือปัจจัย

 

เราทั้งหลายถึงต้องมีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทั้งหลายน่ะต้องพากันรู้พากันเข้าใจ ถ้าเราไม่เข้าใจเราก็จะไปแก้ตั้งแต่ภายนอก เราไม่ได้มาแก้เรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน เราไม่เข้าใจน่ะ

 

คนรุ่นใหม่คนสมัยใหม่นี้ไม่เข้าใจ ไม่รู้การประพฤติการปฏิบัติ เอาแต่ทางวัตถุอย่างเดียว เอาแต่เงินเอาแต่สตางค์ เอาตั้งแต่สิ่งของอย่างเดียว มีแต่ไปแก้ภายนอกยกเว้นการแก้ไขที่ตัวเองปฏิบัติที่ตัวเอง

 

คนรุ่นใหม่สมัยใหม่ต้องเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทั้งหลายจะได้มีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ เราจะได้รู้จักธรรมรู้จักสภาวธรรม

 

ความไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็ฟุ้งซ่านไปเรื่อย เป็นนิวรณ์ทั้ง ๕ เป็นทะเลไม่อิ่มด้วยน้ำเป็นไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ บกพร่องอยู่เป็นนิจ ฟุ้งซ่านอยู่ตลอดกาลตลอดเวลา ไหวหวั่นหวั่นไหว

 

เหมือนแผ่นดินไหวนี้แหละ ถ้ามันแผ่นดินไหวมาก ๆ อาคารบ้านช่องทุกอย่างน่ะพังทลาย ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเรื่องอริยสัจสี่ ไม่เข้าใจว่ารูปก็มีอยู่อย่างนั้น เสียงก็มีอยู่อย่างนั้น กลิ่น รส โผฏฐัพพะธรรมารมณ์ก็มีอยู่อย่างนั้นน่ะ

 

เราไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจก็ไปตามความไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็ไหวหวั่นหวั่นไหวเหมือนแผ่นดินไหวนี้แหละ มันพังทลายล้มละลายด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ

 

ความไม่รู้ไม่เข้าใจมันพังทะลาย

 

เหมือนตึก สตง. แห่งประเทศไทย ความไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันเลยเกิดทุจริต

 

คำว่าทุจริตนี้ก็หมายถึงตัวตน ตัวตนนั้นคือทุจริต ใครเอาความไม่ถูกต้องนำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิตบุคคลนั้นคือบุคคลที่ทุจริต ไม่รู้อริยสัจสี่ ไม่รู้ทุกข์ ไม่เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเค้าเรียกว่าบุคคลที่ทุจริต

 

เราไม่เข้าใจ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เราก็ไม่เห็นคุณเห็นประโยชน์ในธรรมในการประพฤติการปฏิบัติ เราก็ไม่มีความสุขในการทำงาน ไม่มีความสุขในการเรียนหนังสือ ทั้งที่ความดับทุกข์มันอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง

 

เรามีความสุขในการทำงาน เพราะเรามีร่างกายที่จะต้องบริโภคปัจจัย ๔ เราต้องมีความสุขในการทำงาน

 

ไม่เข้าใจว่าการเรียนการศึกษาน่ะเราต้องมีความสุขในการเรียนการศึกษา

 

ที่เราไม่มีความสุขในการเรียนการศึกษาเพราะใจของเรามันเป็นนิติบุคคลตัวตน ใจของเรามันทุจริต

 

เราทั้งหลายต้องพากันรู้นะ ตัวตนนั้นแหละคือความทุจริต สมมติสัจจะทั้งหลาย ที่มีอยู่ในโลกนี้หลายล้านสมมติ เค้าชี้ให้เห็นแง่มุมในการประพฤติการปฏิบัติเพื่อให้เกิดปัญญาสัมมาทิฐิ เพื่อเอามาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติ เป็นสิ่งที่ควรทำในสิ่งที่ถูกต้อง

 

เราต้องมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้อง

เราเอาตัวตนนำชีวิตมันใช้ได้อย่างไรล่ะ เพราะตัวตนมันคือไม่ถูกต้อง ตัวตนคือทุจริต

 

ธรรมนูญนชีวิตที่อยู่ในโลกนี้หลายล้านสมมติเค้าให้เรารู้เข้าใจ เราไม่รู้ไม่เข้าใจ เค้าก็มีหลักการมีอยู่แล้วน่ะ กฎหมายบ้านเมืองพระธรรมพระวินัยเค้ามีอยู่แล้ว

 

เราอย่าเป็นคนมีทิฐิมาก อัตตาตัวตนเอาตัวตนนำชีวิต เราต้องเอาธรรมเอาธรรมนูญนำชีวิต

เราอย่าเป็นคนมีทิฐิมานะอัตตาตัวตน เพราะธรรม ธรรมนูญ รัฐธรรมนูญ

เพราะการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบันมันเป็นวาระแห่งชาติ มันเป็นความเกิด เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี

 

เราทั้งหลายต้องรู้จักวัฏฏสงสารรู้จักพระนิพพาน

 

พระนิพพานมันเรื่องธรรมเรื่องปัจจุบันธรรมน่ะ เพื่อเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต

 

เราเอาตัวตนนำชีวิตเราก็เป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน เพราะตัวตนมันขี้เกียจขี้คร้าน ความขี้เกียจขี้คร้านนั้นเป็นนิติบุคคลตัวตน

 

เราต้องรู้เข้าใจว่าความขี้เกียจขี้คร้านมันเป็นนิติบุคคลตัวตน

 

ถ้าเราไม่เข้าใจเราก็เอาตัวตนนำชีวิตเอาความขี้เกียจขี้คร้านนำชีวิต

 

เราติดในความขี้เกียจขี้คร้านก็ได้แก่ติดในตัวในตนนี้แหละ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกพวกเราทั้งหลายว่า ความขี้เกียจขี้คร้านนี้เราต้องรู้เข้าใจ

เราจะยกเลิกความขี้เกียจขี้คร้าน เราต้องเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละเราก็เป็นคนไม่มีศีลไม่มีการประพฤติการปฏิบัติ

เราทั้งหลายก็จะตั้งอยู่ ในความหลงความเพลิดเพลินความประมาท

 

พระพุทธเจ้าท่านรู้เหตุรู้ปัจจัย พระอรหันต์ท่านรู้เหตุรู้ปัจจัย

ท่านไม่เอาตัวเอาตนนำชีวิต ไม่เอาความขี้เกียจขี้คร้านนำชีวิต ยกเลิกความขี้เกียจขี้คร้าน

รู้จักอาการของนิติบุคคลตัวตน มีปัญญาหยุดความขี้เกียจขี้คร้าน ที่ว่ามาสงบมาหยุดความขี้เกียจขี้คร้าน

เราทั้งหลายน่ะถึงจะมีความสุขอย่างยิ่ง

 

การงานทุกอย่างเราต้องมีความสุข

การเรียนหนังสือเราต้องมีความสุข

กิริยามารยาทเราทั้งหลายต้องลงรายละเอียด

อย่าขี้เกียจขี้คร้าน

อาชีพของเราก็ต้องยกเลิกตัวตน

ถ้าเราไม่ยกเลิกตัวตนอาชีพของเรามันก็เป็นอาชีพไม่บริสุทธิคุณ

มันก็เป็นอาชีพที่เป็นตัวตน

 

เราคิดดูดี ๆ นะ เรารวยน่ะเราเอาของมาจากไหน

ที่เรารวยเราก็เอาของมาจากคนอื่นสัตว์อื่นเอามาจากทรัพยากร

ตัวเองก็เป็นทุกข์เพราะตัวเองหลงไปเรื่อย

คนอื่นก็เป็นทุกข์เพราะถูกต้องเบียดเบียน

ทั้งเราและคนอื่นมันก็มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไปนอกจากทุกข์ไม่มีเลย มีแต่ความทุกข์

 

เราทั้งหลายน่ะพากันเข้าอกเข้าใจ

พากันไปประพฤติปฏิบัติที่บ้านของเรา

ที่ครอบครัวของเรา

ที่ทำการทำงานของเรา

ด้วยความรู้ความเข้าใจว่าความสงบอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ

อยู่ที่ทุกหนทุกแห่ง เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปแก้ที่ปลายเหตุ

 

เราคิดดูดี ๆ สิ แต่ละคนน่ะไม่มีใครได้มาแก้ไขตัวเองเลย มีแต่ไปแก้ไขแต่ภายนอก ไปแก้ไขแต่คนอื่น

ถึงได้มีคนหนุ่มสาวคนวัยทำงานพากันพลัดถิ่นไปทำงานในสถานที่อื่น

จากบ้านไปในทำงานในที่อื่น ไปทำงานราชการ ไปทำงานที่โรงงานบ้าง

ไปหาซื้อหาขายในที่อื่นมีแต่คนพลัดถิ่นทั้งนั้นแหละ

ปล่อยให้ตั้งแต่คนแก่ ๆ คนเฒ่าคนชราคนพิการที่ไปไหนไม่ได้ พากันอยู่บ้านหรือว่าคนพิการ

คนพิการมันไปไหนไม่ได้คนแก่คนชรามันไปไหนไม่ได้

เพราะความไม่รู้ไม่เข้าใจนี้เองถึงได้พากันพลัดถิ่นไปหาทำการทำงาน

ทิ้งไร่ทิ้งนาทิ้งสวนทิ้งพ่อทิ้งแม่ทิ้งคนแก่คนพิการ

 

เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ

เราทั้งหลายน่ะจะพากันเอาแต่ความหลงนำชีวิตเอาแต่วัตถุนำชีวิต

 

เราทั้งหลายต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน

เราทั้งหลายถึงจะมีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ

 

เราก็ไปมองแต่คนอื่นเราไม่ได้มองตัวเองแล้วไม่ได้ปฏิบัติตัวเอง

ไม่มีปิติมีความสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติตัวเอง

ฟุ้งซ่าน หวั่นไหวไหวหวั่นเหมือนแผ่นดินไหวนี้แหละ

มันจะเสียหายมากนะ

 

เราก็ไปมองดูคนอื่นเค้ารวยกัน ร่ำรวยวัตถุกัน

ไปเอาคนอื่นมาเปรียบเทียบน่ะ  

ว่าคนนั้นคนนี้เค้าทำอย่างนั้นอย่านี้เค้ารวยกัน

เค้าทำธุรกิจหน้าที่การงานอย่างนี้เค้ารวยกัน

 

เราไปมองแต่คนอื่น เราทั้งหลายน่ะไม่ได้มองดูตัวเองเลยนะ

เราไปมองแต่คนอื่น เราต้องมองดูทั้งคนอื่นมองดูทั้งตัวเอง

ต้องรู้เข้าใจทั้งภายนอกและภายใน

 

เราต้องมีทั้งตาเนื้อตาหนังตาจักขุทั้งตาปัญญา

มองดูทั้งภายนอกภายในไปพร้อม ๆ กันด้วยความรู้ความเข้าใจ

เราทั้งหลายถึงต้องมีความสงบมีปัญญา

มีแต่ความฟุ้งซ่านมีแต่ความหลงอย่างเดียวน่ะไม่ได้

มันเป็นความไม่สมบูรณ์ระหว่างรายรับกับรายจ่ายนะ

 

เราต้องรู้เข้าใจ เพื่อเราจะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม

เอาหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมมาใช้มาปฏิบัติ

 

ให้พวกเราทุกคนจับหลักให้ได้จับประเด็นให้ได้

อย่าไปเอาความไม่รู้ไม่เข้าใจนำชีวิต

 

เราให้อาหารกายให้เพียงพอ การนอนพักผ่อน

เราเป็นประชาชนไม่ได้บวช เราพากันนอนพากันพักผ่อน ๖-๘ ชั่วโมง

เราต้องนอนต้องพักผ่อนให้เพียงพอ

เพราะสรีระร่างกายของเราต้องนอนให้เพียงพอ พักผ่อนให้เพียงพอ

ยิ่งผู้ที่อยู่ในปริมณฑลอยู่ในเมืองหลวงค่าพีเอ็มของอากาศมันไม่ดี

ถึงจะทำบ้านทำอาคารติดแอร์อย่างเย็นแต่ออกซิเจนมันไม่ดีน่ะ

ต้องนอนต้องพักผ่อนให้เพียงพอ

 

ออกกำลังกายให้เพียงพอเพราะเราเป็นคนรุ่นใหม่คนสมัยใหม่ใช้ปัญญาเยอะ

มันไม่ค่อยจะได้ออกกำลังกายกัน

ต้องออกกำลังกายด้วยการออกกำลังกายอยู่ที่บ้าน

คนในเมืองกรุงก็ออกกำลังกายในห้องแอร์นั่นแหละ

 

ให้มีความสุขในการออกกำลังกาย

เพราะคนรุ่นใหม่สมัยใหม่

พากันใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงาน ทำงานออนไลน์กัน

 

เราต้องออกกำลังกาย ออกกำลังกายให้เพียงพอ

พักผ่อนให้เพียงพอ

มีความสุขในการทำงาน

ถ้าเราไม่มีความสุขในการทำงานเราก็มีความทุกข์ในการทำงาน

ความเป็นทุกข์นั้นเรียกว่าเป็นโรคซึมเศร้านะ

ความเป็นทุกข์เรียกว่าเป็นโรคซึมเศร้า

 

ถ้าเรามีความสุขในการทำงานในการพักผ่อนในการออกกำลังกาย

เรารู้อริยสัจสี่อย่างนี้

เรารู้เข้าใจเราก็จะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม

เรามีอายตนะทั้ง ๖ มีตาหูจมูกลิ้นกายใจ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ให้พวกเราทั้งหลายบริโภคสิ่งต่าง ๆ ทั้งตาหูจมูกลิ้นกายใจ

เราทั้งหลายต้องบริโภคสิ่งเหล่านั้นด้วยปัญญา

เราอย่าบริโภคสิ่งเหล่านั้นให้เป็นความหลง

เราต้องบริโภคสิ่งเหล่านั้นให้เกิดปัญญา

เราอย่าหลงงมงายไปกับสิ่งต่าง ๆ

 

เราต้องรู้เข้าใจในธรรมในสภาวธรรม

เราจะเป็นคนที่มีหลักการมีอุดมการณ์อุดมธรรม

เราจะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม

เราทั้งหลายถึงจะมีความสงบมีปัญญา

 

ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะหวั่นไหวไหวหวั่นไปตามสิ่งแวดล้อม

มันจะโยกไปโยกมาเหมือนแผ่นดินไหวนี้แหละ

เมื่อไม่เข้าใจแล้วก็มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น มีแต่ทุกข์ตั้งอยู่ มีแต่ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มี

ความทุกข์นี้ถึงเกิดจากความไม่เข้าใจ

 

เราทั้งหลายต้องพากันมารู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์

เราทั้งหลายจะได้เอาความถูกต้องกลับคืนมา เอาเอกราชกลับคืนมา

เราเอาตัวตน เป็นที่ตั้งมันเสียเอกราช

 

ตำแหน่งที่เค้าแต่งตั้งให้เราเป็น

ตำแหน่งที่เป็นพ่อเป็นแม่เป็นครูบาอาจารย์

เป็นตำแหน่งที่เค้าแต่งตั้งเค้าสมมติให้เรา

 

เราต้องรู้เข้าใจว่าเมื่อเค้าแต่งตั้งแล้ว

เราก็ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ

เราทุกคนเน้นมาที่ตัวของเราให้เต็มที่เลย

พากันมีความปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทั้งหลายอย่าพากันขี้เกียจขี้คร้าน

เราขี้เกียจขี้คร้านไม่ได้

การประพฤติการปฏิบัติของเราต้องไม่มีการขี้เกียจขี้คร้าน

 

เราต้องพากันประพฤติปฏิบัติในปัจจุบันให้มันสม่ำเสมอ

เหมือนกระแสไฟมันส่งไฟมาให้เราได้ใช้งาน

เหมือนกระแสน้ำที่มันส่งน้ำมาให้เราใช้งาน

 

ความรู้ความเข้าใจเราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจมันจะเป็นเหมือนน้ำ

เป็นเหมือนไฟเหมือนลมเหมือนอากาศ

มันเป็นธรรมชาติมันเป็นความประภัสสร

เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี เราต้องรู้เข้าใจ

 

เราทั้งหลายต้องพากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

พวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจนะ

 

เห็นมั๊ยน่ะวันก่อนพาไปเดินป่าพาไปเดินธุดงค์เดินหลายกิโลมันเหนื่อยน่ะ

เพราะเรานาน ๆ ทีไปเดิน เราไม่ได้เดินทุกวัน

ถ้าเราเดินทุก ๆ วันมันก็จะไม่เหนื่อย

เพราะปฏิปทาของเรามันสม่ำเสมอเหมือนกระแสน้ำที่มันไหลสม่ำเสมอ

ปฏิปทาสม่ำเสมอมันจะติดต่อต่อเนื่อง

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจเอาปัจจุบันให้ได้

 

การประพฤติการปฏิบัติเน้นที่ปัจจุบัน

ให้รู้วาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน

เราทั้งหลายต้องพากันมาเน้นที่ตัวเรานี้แหละ คนอื่นก็ช่างคนอื่น

เราเอาตัวเองให้ได้ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทตลอดถึงอาชีพ

 

เราทั้งหลายจะได้พากันมีความสุข

เราทั้งหลายจะไม่ได้มีความทุกข์

เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็มีความทุกข์

เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็เป็นโรคซึมเศร้า

โรคซึมเศร้าคือโรคความทุกข์น่ะที่เราไปหาหมอหรือคนอื่นไปหาหมอ เพราะว่ามีความทุกข์

มีความทุกข์ทางกายเราก็ไปหาหมอ แล้วก็เป็นทุกข์ทางใจ

 

หมอก็คือความรู้ความเข้าใจนี้แหละ

เราต้องรู้เข้าใจ

ถ้าเราไม่รู้เข้าใจ เราจะเผาเราเองนะ

เพราะทุกอย่างเป็นของเค้าอยู่อย่างนั้น

เป็นธรรมชาติเป็นประภัสสรอย่างนี้แหละ

อย่างความร้อนมันก็เป็นของเขาอยู่อย่างนี้แหละ

เราอยากให้มันเย็นหรือไม่เย็นก็เท่าเก่านี้แหละ

 

เหมือนที่กล่าวมาแล้วน่ะ เดือนเมษาสงกรานต์ปีใหม่อย่างนี้ รถมันติดน่ะ

รถมันติดเพราะมันเป็นทางเดียวกัน ที่จริงแล้วน่ะติดหรือไม่ติดไม่ใช่ความทุกข์นะ

ความทุกข์นี้มันคือเราไม่รู้ไม่เข้าใจ

เรามีความต้องการเร็วถึงว่ามันช้าอย่างนี้

ถ้าเรารู้ว่าเรามีความทุกข์เพราะเราไปอยากให้มันไม่ติดนี้แหละ

เราทั้งหลายน่ะไม่รู้เข้าใจ

เราเกิดมาก็จะไปแก้ไขตั้งแต่ภายนอก

มันต้องแก้ทั้งใจของเราแก้ทั้งภายนอก

ถ้าเราไม่แก้ที่ใจของเรา เราก็จะเอาแต่ความสงบ

เอาแต่ความสงบก็ไปติดในความสงบ

เพราะความสงบมันก็เป็นสมาธิสมาบัติ มันก็ไม่เป็นอริยมรรค

 

 

เราต้องเสียสละ ปรับเข้าหาการเสียสละ

เอาเวลานำชีวิตมีความสุขในการทำงาน

มีความสุขในทุกสิ่งทุกอย่างที่เราต้องเสียสละ

 

หมู่มวลมนุษย์เราต้องเสียสละ

เอาตัวตนเป็นที่ตั้งอย่างมากก็ได้แค่สมาธิสมาบัติ

มันไม่ใช่ธรรมะไม่ใช่ธรรมนูญ เป็นนิติบุคคลตัวตน

 

เราต้องเข้าถึงหน้าที่ของเราน่ะ สิ่งที่แล้วก็แล้วไป เอาใหม่

เรารู้เข้าใจ เราพากันมาเข้าคอร์สพากันมาปฏิบัติรู้แล้วก็กลับไปประพฤติกลับไปปฏิบัติ

เน้นมาที่เรานี้แหละ ทุกคนก็เน้นที่ตัวเอง อย่าไปเข้าใจเหมือนแต่ก่อน

 

เข้าใจเหมือนแต่ก่อนก็จะไปบ่นให้แต่ลูกให้แต่หลาน

ไปบ่นให้อากาศให้แสงแดดให้ฟ้าให้ฝน

เราไม่เข้าใจน่ะ เราต้องรู้เข้าใจเราไม่ต้องไปทุกข์กับอะไร

เราคิดดูดี ๆ เราจะไปบ่นมันทำไมเพราะเรารู้เข้าใจ

เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง

เอาเวียนว่ายตายเกิดมันก็ต้องมีความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก

 

เมื่อเรารู้เข้าใจเราก็ต้องหยุดกรรม

ว่าอันนี้เป็นสังขารเป็นเหตุปัจจัยให้เรามาเวียนว่ายตายเกิด

เราต้องรู้จักกรรมใหม่ที่มาสัมผัสทางภายนอก

เราต้องรู้เข้าใจ

เราต้องเข้าหาความสงบเข้าหาปัญญา

 

ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายนะที่เป็นผู้ที่มีปัญญามาก เป็นคนดีมาก

ที่มาร่วมรวมกันสมัครสมานสามัคคีกันมาเป็นทีมเวิร์ค

พากันทำความเข้าใจ

เมื่อเข้าใจแล้วก็พากันไปประพฤติปฏิบัติที่บ้านที่ทำงาน

เพื่อเป็นมรรคเป็นอริยมรรค

เพื่อเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์

ปฏิบัติเข้าถึงความพอดี ความพอเพียงเพียงพอ

 

เหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชท่านตรัสว่า

เราต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงทั้งนอกแก้ไขทั้งจิตใจไปพร้อม ๆ กัน

 

ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลาย

ท่านทั้งหลายต้องตั้งมั่นในความดี ในพระรัตนตรัย

เอาความดีที่ประกอบด้วยปัญญานำชีวิต

ชีวิตของเราจะได้โปร่งว่างเบาสบาย

 

เราทั้งหลายจะได้รู้ความหมายว่าเราเกิดมานี้เพื่อพระนิพพาน

กายวาใจกิริยามารยาทตลอดถึงอาชีพเพื่อพระนิพพาน

เพื่อดับไม่เหลือแห่งการเวียนว่ายตายเกิด

เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ยังไม่ตายเพื่อเป็นฐาน

เค้าเรียกว่ากรรมในทางที่ดีที่ถูกต้องที่ประกอบด้วยปัญญา

ที่เป็นฐานแห่งความดับทุกข์ ด้วยเหตุ ด้วยปัจจัย

 

บุญกุศลของพวกเราทั้งหลายที่ได้มาประพฤติมาปฏิบัตินี้

มันเป็นความดีเป็นบารมีของพวกเรา

เพื่อทดแทนบุญคุณแผ่นดินทดแทนบุญคุณชาติพระศาสนา

อุทิศบุญกุศลให้บิดามารดาอย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ

 

ขออำนวยอวยชัยให้ท่านทั้งหลาย

จงมีความสงบร่มเย็นเป็นพระนิพพานตั้งแต่ยังไม่ตาย

ด้วยกันทุกท่านทุกคน ณ โอกาสนี้ด้วยเทอญ

------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันพุธที่ ๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

Visitors: 91,914