๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันที่ ๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ของศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ของศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ของศาสนาอิสลาม

 

การประพฤติการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของเราทุก ๆ คน เป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมของเราทุก ๆ คน เน้นที่ตัวของเราเอง

 

การปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องเฉพาะตนรู้อริยสัจสี่ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม

 

โลกะวิทู มารู้แจ้งโลก รู้แจ้งกระบวนการของปฏิจจสมุปบาท เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี เพราะทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัย ไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน

ทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัย เอาศีลเอาสมาธิเอาปัญญาที่เป็นบริสุทธิคุณมาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติเน้นที่ตัวเราในปัจจุบัน

 

การประพฤติการปฏิบัติถึงเป็นเรื่องเฉพาะตน หลักการอุดมการณ์อุดมธรรม  เป็นพระธรรมเป็นพระวินัยเป็นธรรมเป็นธรรมนูญ การประพฤติการปฏิบัติเน้นมาที่ตัวของเราเอง

 

มนุษย์ในปัจจุบันนี้ถึงจะมีแปดพันกว่าล้านคนในโลกนี้ การประพฤติการปฏิบัติก็ไปในทางเดียวกันเน้นที่ตัวเราเอง

 

เป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม เป็นสัมมาทิฐิ เป็นปัญญาเข้าสู่การประพฤติการปฏิบัติ เพื่อความสมบูรณ์ทั้งอรรถะและพยัญชนะ ต้องเอาปัญญาที่เป็นปัญญาบริสุทธิคุณนำชีวิตเพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี

 

เราทุกคนเน้นมาที่ตัวเราเอง เพื่อเอาปัญญานำชีวิต เพราะทุกอย่างนั้นมันคือเหตุคือปัจจัย หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายเราต้องมีสัมมาทิฐิ ความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราจะเป็นได้แต่เพียงคน ไม่ใช่เป็นมนุษย์ เราจะเป็นได้แต่เพียงคน

 

คำว่าคนนี้แปลว่าความหลงไปไหนไม่ได้ วกวนอยู่ที่เก่า ย่ำต๊อกอยู่ที่เก่า ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ วกวนอยู่ที่เก่า เค้าถึงมีศัพท์ว่าเป็นได้แต่เพียงคน ไม่ใช่มนุษย์

 

หมู่มวลมนุษย์ต้องเอาปัญญาที่เป็นปัญญาบริสุทธิคุณนำชีวิตด้วยการประพฤติการปฏิบัติ

 

ความรู้ต้องคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อจะก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ  เพื่อเอาปัญญานำการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราพากันมาบวชเป็นพระเป็นสมณะหรือผู้ที่ไม่ได้มาบวชเป็นพระเป็นสมณะก็ใช้หลักการอันเดียวกัน คือเอาธรรมนำชีวิต มีพระวินัยเป็นข้อวัตรข้อปฏิบัติ

 

คำว่าพระนั้นคือพระธรรมคือพระวินัย รู้เข้าใจเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย เอาพระธรรมเอาพระวินัยนำชีวิต เราทั้งหลายต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ

สมมติทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกนี้ชี้ให้เราเห็นกรรมเห็นกฎแห่งกรรมผลของกรรมให้รู้เรื่องเหตุเรื่องปัจจัย เพราะทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัย เราต้องรู้เรื่องเหตุเรื่องปัจจัย พากันประพฤติพากันปฏิบัติ ทำหน้าที่ของตัวของเราให้สมบูรณ์

 

การประพฤติการปฏิบัติมันจะเป็นกระบวนการด้วยเหตุด้วยปัจจัย เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย

 

ทุกคนนั้นจะเหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมไม่มี เค้าถึงเรียกว่ากรรม กรรมฐาน

 

การกระทำทั้งกายทั้งวาจาทั้งใจทั้งกิริยามารยาทมันเป็นฐานของกรรมเค้าเรียกว่ากรรมเป็นพื้นฐาน กรรมฐานน่ะ

 

เราจะเป็นพระเราก็มาจากกรรม มาจากการกระทำ เพราะเรามีกรรมเป็นพื้นฐาน เค้าถึงเรียกว่าพระ เราจะเป็นพระได้ก็เพราะเรามีฐาน เค้าถึงเรียกว่ามาบวชเป็นพระกรรมฐาน

 

เราจะเป็นอะไรก็เข้าสู่การประพฤติการปฏิบัติ เพื่อให้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้ทำงานเพื่องาน มีความสุขในการทำงาน

 

อริยมรรคคือความรู้ความเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราทุกคนก็จะเป็นพระได้เหมือนกันทุก ๆ คน

 

เราทั้งหลายต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต ไม่เอาตัวเอาตนนำชีวิต ต้องเอาธรรมนูญนำชีวิต เพื่อเราทั้งหลายจะได้เข้าสู่หลักการอุดมการณ์อุดมธรรมเราทั้งหลายจะมีความสุขมีความดับทุกข์ทุก ๆ คน เพราะเราเอาธรรมนำชีวิต

 

เมื่อก่อนเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาความไม่รู้เอาความไม่เข้าใจนำชีวิต เราทั้งหลายจึงพากันมีความทุกข์ เพราะความไม่ถูกต้องน่ะเราทั้งหลายจึงพากันเป็นทุกข์เพราะมันไม่ถูกต้องมันก็ต้องเป็นทุกข์ มันไม่ใช่ทางดับทุกข์ มันเป็นไปเพื่อประกอบทุกข์

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงบอกกับพวกเราทั้งหลายว่า ให้พวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจนะ ต้องรู้กิจที่ต้องทำและกิจที่ไม่ต้องทำ เราต้องรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เพราะทุกอย่างนั้นมีกรรมเป็นพื้นฐานมีกรรมเป็นฐาน เราต้องรู้กรรมรู้กฎแห่งกรรมรู้ผลของกรรม

 

เราทั้งหลายต้องมีปัญญาสัมมาทิฐิ เราจะได้ไม่มีความทุกข์ เราต้องรู้เข้าใจในธรรมในสภาวธรรม เพราะทุกอย่างนั้นเป็นธรรมเป็นสภาวธรรมเป็นเหตุเป็นปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี

 

เราต้องรู้จักกรรมเป็นพื้นฐาน รู้จักกรรมฐาน เรารู้หลักการเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ให้เรารู้แจ้งโลกรู้แจ้งธรรมแล้วเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพื่อให้การประพฤติการปฏิบัติของเรานี้สมบูรณ์ พระธรรมพระวินัยเป็นหลักการ เป็นอุดมการณ์อุดมธรรม เป็นหลักการที่สมบูรณ์ เน้นการประพฤติการปฏิบัติที่ตัวเรา

 

เราต้องเข้าใจสมมติทั้งหลาย สมมติทั้งหลายน่ะเป็นสิ่งที่มีอุปการคุณ

 

เราต้องทำหน้าที่ประพฤติปฏิบัติ ทำงานเพื่องาน ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ ทั้งกิริยามารยาท ทั้งอาชีพเพื่อบริสุทธิคุณ

 

ตำแหน่งในการประพฤติการปฏิบัติของเราน่ะคือตำแหน่งของธรรมะ เป็นธรรมเป็นธรรมนูญ  

 

ให้พวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจนะ ตำแหน่งของเราคือตำแหน่งที่เราต้องทำหน้าที่เพื่อเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต เอาพระนิพพานนำชีวิต

 

พระนิพพานคือความรู้ความเข้าใจ ปฏิบัติกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพเป็นธรรมเป็นธรรมนูญ เพื่อกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพของเราจะเป็นพระนิพพาน ไม่ใช่เป็นนิติบุคคลตัวตน

 

เราต้องเข้าสู่ตำแหน่งแห่งมรรคในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะมันเป็นกรรมเป็นพื้นฐาน เราต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ความสงบต้องสงบจากปัญญาที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เราทั้งหลายถึงจะหยุดยาน หยุดสัญชาตญาณ เพื่อเราจะได้ข้ามสัญชาตญาณด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

ความสงบมันต้องสงบจากปัญญา

 

เราพากันคิดดูดี ๆ นะ คนที่มีปัญญามากเรียนมาก เอาตัวตนนำชีวิตเอาความหลงนำชีวิต มีใครที่ไหนไม่มีความทุกข์ มีความทุกข์ทั้งนั้น เพราะความร่ำรวยมหาศาล ทางวัตถุมีปัญญามากแต่เป็นปัญญาที่เป็นตัวเป็นตน เพราะตัวตนมันคือความทุกข์

ตัวตนนั้นเปรียบอุปมาอุปไมยว่าเหมือนทะเลไม่อิ่มด้วยน้ำ เหมือนไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อนะ มันบกพร่องอยู่ตลอดกาลตลอดเวลา มันเป็นทุกข์เพราะไม่รู้จักพอ ไม่เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ไม่เข้าถึงความพอดี

 

เราคิดดูดี ๆ นะ เราอยากได้มากมันก็ไม่มาก เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยเพราะมันเป็นธรรมเป็นสภาวธรรม

 

เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ เราทั้งหลายน่ะจะได้ไม่มีความทุกข์

 

ความมีตัวมีตนมันเผาเราอยู่ตลอดกาลตลอดเวลา

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องหยุดตัวเองด้วยความรู้ความเข้าใจ พากันมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติธรรมน่ะ

 

ต้องรู้จักหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ ต้องรู้จักฐานรู้จักกรรมฐาน เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจเรื่องทุกข์ เรื่องเหตุเกิดทุกข์ เรื่องข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์

เราอย่าไปแสวงหาความไม่ถูกต้อง อย่าไปแสวงหาสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่ทางเรียกว่าไม่มีทาง

เราพากันมาตั้งอกตั้งใจ ตั้งเจตนาในการประพฤติการปฏิบัติในตัวของเราเอง

 

เราคิดดูดี ๆ นะ อย่างพระพุทธเจ้าน่ะ ท่านก็เน้นที่ตัวของพระพุทธเจ้าเอง บำเพ็ญพุทธบารมี ๑๐ ทัศ ๒๐ ทัศ ๓๐ ทัศ ทั้งอย่างต้นอย่างกลางอย่างละเอียด ท่านก็เน้นที่ท่านน่ะ

 

สาวกพระอรหันต์ขีณาสพท่านก็เน้นที่ตัวท่าน ทำหน้าที่ของท่านให้สมบูรณ์ ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ ท่านไม่ได้ไปแก้ที่คนอื่นท่านแก้ที่ตัวของท่านเอง เพื่อให้ความดีที่ประกอบด้วยปัญญามันติดต่อต่อเนื่อง เพราะไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม

ความรู้ความเข้าใจนั้นมันจะไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม มันจะรู้จัก รู้แจ้ง ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม มันจะมีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม รู้จักข้อสอบรู้จักข้อตอบ รู้จักการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม มารู้แจ้งสิ่งแวดล้อม

 

เราทั้งหลายน่ะมีกายกับใจที่เดินไปพร้อม ๆ กันชั่วอายุขัยของพวกเรา

 

อายุขัยของพวกเราต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต ทั้งอย่างต้นอย่างกลางอย่างละเอียด ต้องเอาพระนิพพานนำชีวิต เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ยังไม่ตาย ไม่ต้องรอเมื่อร่างกายตายแล้ว

 

เมื่อปัจจุบันน่ะมันไม่ได้พระนิพพานอนาคตมันจะได้พระนิพพานได้อย่างไร เพราะพระนิพพานมันเป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม เป็นพระธรรม เป็นพระวินัย

 

ความรู้ความเข้าใจมันเป็นปิติเป็นความสุขเป็นเอกัคตตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราต้องเข้าถึงความดับทุกข์ในปัจจุบันนี้แหละ เพราะเราทุกคนน่ะไม่มีใครถึงอนาคตได้ อดีตมันก็มารวมที่ปัจจุบัน อนาคตน่ะฐานมันก็คือปัจจุบัน เรียกว่ามีกรรมเป็นพื้นฐาน

 

เราทั้งหลายต้องมีพระนิพพานเป็นพื้นฐาน เราจะได้ถึงกรรมฐานมีพระนิพพานเป็นพื้นฐาน ต้องรู้เข้าใจชีวิตของเราทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งกิริยามายาท ทั้งอาชีพมันถึงจะเป็นพระนิพพานน่ะ เราไม่ต้องรอตาย สร้างบารมีเพื่อไปพระนิพพานน่ะ

เราต้องเข้าใจเรื่องพระนิพพาน ต้องเน้นที่ปัจจุบันนี้แหละเพื่อความสมบูรณ์ทั้งอรรถะและพยัญชนะ เราอย่าตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง อย่าไปตั้งอยู่ในความหลงความเพลิดเพลินความประมาท ทำให้เราทุกคนเสียเวลา ไม่เห็นความสำคัญในธรรมะในกาลในเวลา

 

ปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เมื่อมันผ่านไปแล้วมันเป็นเมื่อวานนี้แล้วมันเอากลับคืนมาไม่ได้ เพราะว่ามันตายไปแล้ว มันผ่านไปแล้ว มันเอากลับคืนมาไม่ได้

 

เราอย่าให้ความประมาทความเพลิดเพลินความหลงมันครองใจของเราเพราะใจของเราน่ะมันมีวาระจิตเดียวเท่านั้น ถ้าเราเอาความประมาทความเพลิดเพลิน พุทธะก็เกิดขึ้นไม่ได้ ปิติสุขเอกัคคตาก็เกิดขึ้นไม่ได้ พระนิพพานก็เกิดขึ้นไม่ได้

 

เราต้องเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านบอกพวกเราทั้งหลายว่า พวกเราทั้งหลายอย่าพากันประมาท อย่าไปหลง อย่าไปเพลิดเพลิน ไม่มีใครเหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรม

 

ความประมาทนี้ทำให้เสียหาย ทำให้มีปมด้อย ไม่มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ตั้งอยู่ในความหลงในความเพลิดเพลินความประมาท ชีวิตของเราเลยเป็นปมเป็นปมด้อย ทำให้พลาดโอกาสพลาดเวลา เป็นผู้ที่ไม่รู้จักกาลไม่รู้จักเวลาไม่รู้จักการประพฤติการปฏิบัติตั้งอยู่ในความหลงความประมาท

 

ความหลงความเพลิดเพลินความประมาททำให้การประพฤติการปฏิบัติไม่ติดต่อต่อเนื่อง ไม่เอาธรรมนำชีวิต เมื่อเราไม่เอาธรรมนำชีวิตเราก็ไม่มีความสุขในการทำงาน ไม่มีความสุขในการเรียนหนังสือ ไม่มีความสุขในการพูดจากิริยามารยาทที่เอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต

 

เราไม่มีความสุขเราเลยมีปมด้อยน่ะ ตั้งอยู่ในความเพลิดเพลินตั้งอยู่ในความประมาท

 

เราเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้งปัญญามันไม่มี เพราะตัวตนคือปัญญามันไม่มีถึงเรียกว่าตัวตน

 

มนุษย์เราถ้าเอาความถูกต้องนำชีวิต เอาธรรมนำชีวิตมันถึงจะมีปัญญา มันถึงจะหยุดสัญชาตญาณหยุดปมด้อยของตัวเอง

 

เมื่อเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็ไม่ไปตามหลักการไม่ไปตามอุดมการณ์อุดมธรรมเพราะเราทั้งหลายตั้งอยู่ในความประมาท เมื่อมันมีปมด้อยมีความเพลิดเพลิน ความประมาท มันก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ธรรมะไม่ก้าวไป มันมีแต่นิติบุคคลตัวตนมีแต่ความหลงก้าวไป

 

ให้เข้าใจปัจจุบันมันเป็นข้อสอบเป็นการประพฤติการปฏิบัติ ข้อสอบและข้อตอบมันต้องอยู่ที่ปัจจุบัน

 

เราเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้งมันก็ไม่มีการประพฤติการปฏิบัติ หลายเดือนหลายปีบารมีความหลงมันก็ยิ่งใหญ่ใหญ่ยิ่ง ความเป็นตัวเป็นตนมันก็ยิ่งใหญ่ใหญ่ยิ่ง

 

เรามาคิดดูดี ๆ นะ ทำไมเรามีความทุกข์น่ะ เพราะเราเอาตัวตนนำชีวิต เอาความหลงนำชีวิตมันก็ต้องมีความทุกข์

 

ทำไมถึงคนอื่นเค้าไม่เคารพนับถือเรา เค้าไม่โอเคกับเรา เพราะเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ใครเค้าจะเคารพนับถือ ใครเค้าจะโอเค ลูกก็เถียงเราหลานก็เถียงเรา

 

ข้าราชการนักการเมืองนักบวชทั้งหลาย สมณะชีพราหมณ์ทั้งหลายเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ทุกคนก็ไม่มีใครเห็นด้วย ไม่มีใครลงใจ ไม่มีใครโอเค

 

เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ ปัจจุบันนี้เราทั้งหลายต้องตั้งใจตั้งเจตนา เพื่อให้ธรรมะให้ธรรมนูญมันติดต่อต่อเนื่อง เพื่อหยุดสัญชาตญาณ

 

เราจะไปอยู่ที่ไหนทำอะไร มันก็มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไป ทุกข์ยิ่งใหญ่ขึ้นไปเรื่อย ๆ อย่างทวีคูณน่ะ

 

เราทั้งหลายต้องเข้าสู่ภาคบำบัด เป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารเข้าสู่ภาคบำบัด ถ้าเราไม่เข้าสู่ภาคบำบัดนั้นมันไปไม่ได้ เราทั้งหลายต้องเข้าสู่ภาคบำบัด

 

วัดคือข้อวัตรข้อปฏิบัติ เราทั้งหลายต้องเข้าสู่ภาคบำบัด หยุดกระแสหยุดกรรมที่เป็นพื้นเป็นฐานแห่งการก้าวไปของกฎแห่งกรรมด้วยภาคบำบัด

 

ความสงบน่ะเป็นมรรคองค์สุดท้าย การฝึกสมาธิเป็นเรื่องสำคัญ

 

สัมมาสมาธิเป็นการยกเลิกกรรม ยกเลิกกฎแห่งกรรม ยกเลิกผลของกรรม

 

พวกเราทั้งหลายต้องมีสัมมาสมาธิ เห็นภัยในวัฏฏสงสารตั้งมั่นในสัมมาสมาธิที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่อให้ศีลสมาธิปัญญามันก้าวไปในปัจจุบันเพื่อจะเป็นมรรคเป็นอริยมรรคเพื่อเป็นความสงบเพื่อปัญญา

 

เราทั้งหลายต้องทุ่มเทลงที่ปัจจุบันน่ะ เพื่อหยุดกรรม ว่างจากอดีตอนาคต ปัจจุบันก็ให้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ

การปฏิบัติของเราจะได้ติดต่อต่อเนื่องด้วยปิติด้วยความสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติของเรา

 

เราทั้งหลายเข้าใจในเรื่องการประพฤติการปฏิบัติ

 

การประพฤติการปฏิบัติน่ะถึงต้องเน้นมาที่ตัวของเราเอง เราต้องหยุดกรรมหยุดการกระทำทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาททั้งอาชีพ เพื่อให้เป็นบารมี ๑๐ ทัศ ๒๐ ทัศ ๓๐ ทัศ

 

เราพากันมาคิดดูดี ๆ นะ มันจะมีประโยชน์อะไร ถึงเราจะอายุยืนนานเป็นหลายล้านปี มันจะมีประโยชน์อะไร เอาความทุกข์นำชีวิต เอาความหลงนำชีวิตมันจะมีประโยชน์อะไร

 

เราทั้งหลายต้องเห็นภัยในความไม่ถูกต้อง เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เข้าสู่ปัญญาสัมมาทิฐิ เอาศีลมาประพฤติมาปฏิบัติให้ติดต่อต่อเนื่องเป็นสัมมาสมาธิ สมาธิที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นสมถะเป็นวิปัสสนา

 

เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งน่ะ ต้นไม้ต้นหนึ่งหรือว่าต้นไม้ต้นนั้นต้องได้อาหารมาจาก ทุกทิศทุกทางของต้นไม้ ต้นไม้ต้นนั้นไม่ใช่ได้อาหารมาจากทางรากอย่างเดียวนะ ต้นไม้ต้นนั้นต้องได้อาหารมาจากทางรากทางกิ่งทางใบทางสาขาทางยอดตลอดปริมณฑล อากาศแสงแดดออกซิเจน ต้นไม้ต้องได้อาหารมาจากทุกทิศทุกทาง

 

ธรรมะที่รู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติมันถึงเป็นสมถะเป็นวิปัสสนา มันถึงเป็นพระนิพพานทุกแง่มุมในการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ใช่ได้เฉพาะสัมมาสมาธิอย่างเดียวน่ะ มันเป็นการปฏิบัติครบวงจรของ

 

การดำเนินชีวิตที่ประเสริฐของมนุษย์น่ะไม่ใช่เฉพาะทางใดทางหนึ่ง มันเป็นความรู้ความเข้าใจ แล้วเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เป็นทั้งสถะเป็นทั้งวิปัสสนา เป็นทั้งความสงบเป็นทั้งปัญญา เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา

 

ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายท่านทั้งหลายเป็นผู้ประเสริฐเป็นผู้ที่มีลมปราณ มีโอกาสมีเวลาเพื่อสร้างความดีประกอบด้วยปัญญา

---------------------------

 

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา 

Visitors: 91,926