๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นอังคารที่ ๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ของศาสนาพุทธ
คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ของศาสนาคริสต์
ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ของศาสนาอิสลาม
เราทุกคนต้องรู้เหตุรู้ปัจจัย เพราะทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัย
เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี เมื่อเรารู้เหตุรู้ปัจจัยเราก็หยุดเหตุหยุดปัจจัยด้วยการประพฤติด้วยการปฏิบัติ
สิ่งเหล่านั้นมันมีอยู่น่ะ แต่เรารู้เราเข้าใจ เราไม่ไปตามสัมผัสไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม ด้วยปัญญาที่เรารู้เราเข้าใจ เป็นหลักการในการประพฤติในการปฏิบัติของเรา
เราทั้งหลายพากันเข้าใจ เมื่อเรามีตาเราก็ต้องมีรูป เรามีหูก็ต้องมีเสียง เรามีจมูก ก็ต้องมีกลิ่น มีลิ้นก็ต้องมีรส มีกายก็ต้องมีสัมผัส มีใจก็ต้องมีอาการของจิตของใจ
เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ เรื่องธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เพราะอันนี้เป็นธรรมเป็นสภาวธรรม ปัญญารู้แจ้งเห็นจริง
พวกเราทั้งหลายเข้าสู่การประพฤติการปฏิบัติ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ พากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
การประพฤติการปฏิบัติต้องให้ติดต่อต่อเนื่องด้วยความตั้งใจด้วยเจตนา ให้มีปิติ มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เมื่อการประพฤติการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องน่ะ การประพฤติการปฏิบัตินั้นถึงเป็นสมาธิ การประพฤติการปฏิบัตินั้นจะมายกเลิกนิวรณ์ทั้ง ๕ จะมายกเลิกอคติทั้ง ๔
สัมมาทิฐิที่เอาสมมติสัจจะที่เป็นศีลมาประพฤติมาปฏิบัติ ศีลนี้ถึงเป็นพื้นฐาน เป็นบาทฐาน
เมื่อเราไม่มีศีล...เราก็ไม่มีสมาธิเราก็ไม่มีปัญญา เพราะศีลนั้นเป็นฐานของสมาธิ ฐานของปัญญา
ความตั้งใจตั้งเจตนาเป็นสิ่งที่สำคัญ ศีลนี้จึงเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียงเพียงพอ ความรู้ความเข้าใจแล้วเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ จะเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมเป็นสัมมาทิฐิเป็นปัญญา
เราทั้งหลายต้องเข้าใจเรื่องความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดีที่ประกอบด้วยปัญญา การยกเลิกด้วยความรู้ด้วยความเข้าใจเพราะสภาวธรรมความเป็นจริงมันอยู่ที่ความพอดีความพอเพียงเพียงพอ เราอยากได้มากมันก็ไม่มาก เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อย เพราะทุกอย่างมันคือความเป็นจริง
เราทั้งหลายถึงเข้าสู่ความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียงเพียงพอ
ถ้าเราไม่เข้าใจความไม่รู้ไม่เข้าใจก็จะเผาเราด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ ชีวิตของเรา ก็จะวิ่งตามความไม่รู้ไม่เข้าใจ มันจะเป็นเหมือนทะเลที่ไม่อิ่มด้วยน้ำ เหมือนไฟที่ไม่อิ่มด้วยเชื้อ ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจของเราเอง
การประพฤติการปฏิบัติของเราน่ะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเธอทั้งหลายจงพากันรู้เข้าใจ แล้วพากันประพฤติพรหมจรรย์เถิด เพื่อให้สมบูรณ์ทั้งอรรถะและพยัญชนะ แต่ละคนก็เน้นมาหาตัวเรานี้เอง ด้วยความตั้งใจด้วยเจตนา เอาความสงบเอาปัญญาไปพร้อม ๆ กันให้สมบูรณ์ ศีลกับปัญญาก็ให้ไปพร้อม ๆ กัน สมาธิกับปัญญาก็ให้ไปพร้อม ๆ กัน ให้เข้าถึงความพอดี ให้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียงเพียงพอ
คนเราน่ะอยากได้มากมันก็ต้องเป็นทุกข์ อยากให้ได้น้อยก็ต้องเป็นทุกข์
เราทั้งหลายต้องมารู้ความอยากของเรา เราต้องมาหยุดความอยากของเรา มารู้ความอยากของเราด้วยความรู้ความเข้าใจ อย่าให้ความอยากมันเผาเรา เพราะความอยากนี้มันเป็นสัญชาตญาณ มันเป็นนิติบุคคลตัวตน ความอยากนี้เปรียบเสมือนทะเลไม่อิ่มด้วยน้ำ เหมือนไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ มันไม่จบ เราต้องรู้เข้าใจแล้วเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ มามีความสงบมีปัญญา มามีความสุขในการเสียสละ
พระพุทธเจ้าคือใคร
พระพุทธเจ้าคือผู้รู้เข้าใจแล้วมาเสียสละ มาเสียสละมายกเลิกตัวตน เอาธรรมนำชีวิต ไม่เอาความหลงนำชีวิต ไม่เอาตัวตนนำชีวิต มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
เราหยุดความอยากเสียได้ก็มีความสุขน่ะ หยุดทั้งความอยากความไม่อยาก ความอยากกับความไม่อยากก็คือสิ่งเดียวกันนี้แหละมันเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา ภาษาแพทย์ภาษาหมอเรียกว่าไบโพล่า มันเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา มันก็เป็นนิติบุคคลตัวตนนี้แหละ เราต้องรู้จักความอยากความไม่อยาก อันนี้เพื่อเราจะรู้ธรรม รู้สภาวธรรมที่มันเวียนว่ายตายเกิด
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกพวกเราทั้งหลายว่า ความอยากไม่อยากเราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจเราทั้งหลายอย่าไปตรึกในความอยาก หรือว่าตรึกในกาม เราทั้งหลายอย่าไปตรึกในพยาบาท ความไม่พออกพอใจ เพราะวาระจิตของเรามันคิดได้ทีละอย่าง เรารู้เข้าใจ เราก็สงบ หยุดด้วยความรู้ความเข้าใจ
วาระเรื่องจิตเรื่องใจมันคิดได้ทีละอย่างตรึกได้ทีละอย่าง ถ้าเรามีการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องมันก็จะเป็นสัมมาสมาธิ
การประพฤติการปฏิบัติมันเป็นภาวนาวิปัสสนา มันจะแทรกอยู่กับความรู้ความเข้าใจในการดำรงชีวิตของเรา
เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งนี้แหละ ต้นไม้ต้นนั้นที่อุดมสมบูรณ์ด้วยวิตามินโปรตีนเกลือแร่แร่ธาตุต่าง ๆ นั้นเค้าจะไม่ได้อาหารมาจากทางรากอย่างดียว ต้นไม้ต้นนั้น เค้าจะได้อาหารมาจากทุกทิศททุกทางของต้นไม้นะ มาจากทางกิ่งทางก้านทางใบ ทางสาขาทางยอด ได้มาจากทุกทิศทุกทางของต้นไม้ ตลอดปริมณฑล แสงแดดอากาศออกซิเจนต่าง ๆ ต้นไม้เค้าต้องได้อาหารมาจากอย่างนั้น
การประพฤติการปฏิบัติถึงเป็นอริยมรรคมีองค์แปด นี้เป็นหลักการของการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ใช่ได้มาจากสมาธิอย่างเดียวนะ มันต้องได้มาจากการดำรงชีวิต ดำรงธาตุ ดำรงขันธ์ ดำรงอายตนะ อย่างนี้ถึงจะเป็นสมถะเป็นวิปัสสนา
นักปฏิบัติทั้งหลายน่ะ เราจะไปเน้นแต่เรื่องสมาธิ เรื่องเข้าคอร์สการประพฤติ การปฏิบัติอย่างนั้นน่ะถือว่ามันไม่ครบวงจรในการประพฤติการปฏิบัติ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็เป็นลูกหลานของศาสนาพราหมณ์มาก่อน ศาสนาพราหมณ์เน้นเรื่องสมาธิเน้นเรื่องสมาบัติมันถูกต้องในแง่มุมแง่หนึ่งน่ะ แต่ว่ามันไม่ครบวงจร การเข้าสมาธิเข้าสมาบัติมันเป็นมรรคมรรคหนึ่งมันไม่ครบวงจรของการดำเนินชีวิต
การได้มาในการประพฤติการปฏิบัติธรรมน่ะต้องได้มาครบวงจรของชีวิตทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาททั้งอาชีพต้องได้มาอย่างนี้ ไม่ใช่ได้มาจากสัมมาสมาธิ
เราทำอะไรปฏิบัติอะไรต้องเป็นมรรคเป็นข้อวัตรปฏิบัติ ต้องเป็นทั้งศีลทั้งสมาธิ ทั้งปัญญาไปพร้อม ๆ กันหมด เพราะวาระจิตวาระกายวาจาใจกิริยามารยาทของเราทุก ๆ คนมันก็คิดได้ทีละอย่าง พูดได้ทีละอย่าง ทุกอย่างมันได้ทีละอย่าง
เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้เอามรรคข้อวัตรข้อปฏิบัติไปใช้งานอยู่ทุกการดำเนินชีวิตของเราทุก ๆ คน เพราะความเป็นพระนั้นมันอยู่ที่เรารู้เข้าใจ ความเป็นพระนั้นมันเป็นได้ทุก ๆ คนที่เรารู้เข้าใจ ความเป็นพระนั้นมันอยู่ที่พระธรรมพระวินัย
เราเข้าใจเรามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเอาสมมติสัจจะนั้นมาใช้มาปฏิบัติให้มีปิติมีความสุขเอกัคคตา เพื่อหยุดเหตุหยุดปัจจัยด้วยความรู้ความเข้าใจ
การปฏิบัติมันต้องว่างจากสิ่งที่มีอยู่ด้วยความรู้ความเข้าใจ
เพราะรูปก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ เสียงก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ กลิ่นก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ ทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีอยู่น่ะ เมื่อเรารู้เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเค้าก็มีอยู่ของเค้าอย่างนั้น
เรามีสติคือความสงบ มีปัญญา รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์ลาภยศสรรเสริญเค้าก็จะมีเก้อ ๆ ของเค้าอยู่อย่างนั้น ด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยการประพฤติการปฏิบัติ
พระพุทธศาสนาคือปัญญาบริสุทธิคุณที่เป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่น่ะ ไม่ใช่เพียงหินทับหญ้า ไม่ใช่เพียงสมาบัติ เป็นปัญญาบริสุทธิคุณ
ต้องเอาศีลเอาสมาธิเอาปัญญามาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติ เพื่อยกนิวรณ์ทั้ง ๕ อคติทั้ง ๔ มีมามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อให้สมบูรณ์ทั้งอรรถะ ทั้งพยัญชนะในการประพฤติการปฏิบัติ
เราทั้งหลายมาเน้นมาประพฤติมาปฏิบัติที่ตัวของเราเอง พระพุทธเจ้าท่านก็เน้นที่พระพุทธเจ้าทำหน้าที่ทำพุทธกิจของท่าน พระอรหันต์ก็ทำกิจของพระอรหันต์เราเป็นนักบวชก็เน้นที่กิจของเรา เราเป็นข้าราชการนักการเมืองเป็นอะไรที่เค้าแต่งตั้งให้ถูกต้องตามกฎหมายเราก็มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
เราทั้งหลายต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ทั้งอรรรถะทั้งพยัญชนะ เราทั้งหลายจะได้มีหลักการมีอุดมการณ์อุดมธรรมไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม มีหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ จะได้รู้ความเป็นพระเป็นพระศาสนา เรารู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ
เราทั้งหลายต้องรู้จักแบรนด์เนมแต่ละอย่าง แบรนด์เนมก็คือสมมติแต่งตั้ง
แบรนด์เนมของทหาร แบรนด์เนมของตำรวจ แบรนด์เนมของผู้พิพากษาอัยการคุณครู พ่อค้าประชาชน อันนี้มันเป็นเพียงแบรนด์เนมเป็นการแต่งตั้ง เป็นผู้ที่ถูกแต่งตั้ง
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจเราจะได้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพราะตำแหน่งที่แต่งตั้งน่ะมันไม่ใช่ตำแหน่งของเรา เป็นตำแหน่งที่รับรองที่ถูกต้องตามกฎหมายมีลายเซ็นต์น่ะ เป็นนิติบัญญัติเป็นลายเซ็นต์น่ะ
เมื่อเราได้รับความรู้ความเข้าใจเราก็ทำหน้าที่ของเราให้มีความสุข ให้มีปิติมีความสุขเอกัคคตา มนุษย์เราถึงจะเป็นผู้เสียสละ เป็นผู้เอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต เอาสมมติสัจจะนำชีวิต เป็นข้อวัตรข้อปฏิบัติ เพราะทุกอย่างนั้นมันจะเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยเพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี
มนุษย์เราต้องพัฒนาหรือว่าประพฤติปฏิบัติทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ทำหน้าที่ด้วยปิติสุขเอกัคคตาให้สมบูรณ์ เพื่อหยุดสัญชาตญาณ หยุดความเป็นนิติบุคคลตัวตน ทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ เราทั้งหลายต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสารมีความเคารพในธรรมเป็นผู้ที่เคารพธรรมะ เคารพธรรมนูญเคารพรัฐธรรมนูญ
มีผู้ไปทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าที่ท่านเป็นพระพุทธเจ้าน่ะ พระพุทธเจ้าเคารพอะไร
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสตอบว่าท่านเคารพในพระธรรมเคารพในธรรมชาติ เคารพในความเป็นประภัสสร ยกเลิกทิฐิมานะอัตตาตัวตน เอาธรรมนำชีวิต เพราะว่าพระพุทธเจ้าน่ะคือธรรมะ ธรรมะคือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน
พระพุทธเจ้าคือผู้ที่รู้อริยสัจสี่แล้วหยุดเหตุหยุดปัจจัย ยกเลิกตัวตน เป็นผู้เคารพในธรรมในสภาวธรรมในความเป็นประภัสสรของธรรมะไม่ลิดรอนในความเป็นประภัสสรของธรรมะ
พระพุทธเจ้าเคารพคารวะในธรรม เอาธรรมนำชีวิต ยกเลิกนิติบุคคลตัวตน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเคารพในธรรม การที่จะหยุดวัฏฏสงสารได้เราทั้งหลายต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสารไม่เอาความหลงนำชีวิตไม่เอาตัวตนนำชีวิต เราทั้งหลายต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นผู้ที่มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เข้าใจเรื่องภัยในวัฏฏสงสาร
เมื่อเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเราก็ต้องเกิดน่ะ เราก็ต้องเข้าสู่กระบวนการของความเกิด เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี
เราทั้งหลาย... องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่าอย่าไปตรึกในกามอย่าไปตรึกในพยาบาท เราต้องรู้นะ อย่าไปตรึกในกามอย่าไปตรึกในพยาบาท จะตรึกในกามไม่ได้ตรึกในพยาบาทไม่ได้
เราต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ต้องมีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เพราะเราประพฤติปฏิบัติธรรมน่ะ เราจะสมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ สมบูรณ์ทั้งกายทั้งวาจาทั้งใจ
เรื่องจิตเรื่องใจคนอื่นเค้าไม่รู้ แต่เรารู้เราเข้าใจ เราอย่าไปให้เราตรึกในกามตรึกในพยาบาทไม่ได้ หัวใจที่ตรึกในกามในพยาบาท คือหัวใจแห่งความเกิดคือหัวใจแห่งวัฏฏสงสารนะ เป็นหัวใจที่มีผัวมีเมียมีบุตรมีธิดา มีความหลงต่าง ๆ นานานะ เป็นความหลงในตัวตนเป็นการเพลิดเพลินในความหลง
เรามาบวชเราต้องรู้เข้าใจ เราจะคิดเหมือนแต่ก่อนไม่ได้ เราจะไปตรึกนึกคิดเหมือนแต่ก่อนไม่ได้ เราต้องรู้การประพฤติการปฏิบัติของเรา
ถ้าเราตรึกในเรื่องราวต่าง ๆ ตรึกในกามตรึกในพยาบาท ตรึกในเรื่องกินเรื่องเที่ยวเรื่องเล่นเรื่องความเอร็ดอร่อยทางตาหูจมูกลิ้นกาย หัวใจของเรามันมีลูกมีเมียมีผัวหัวใจมันมีครอบครัว เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้บวชทั้งกายบวชทั้งใจ เรียกว่าเราทั้งหลายจะได้ปฏิบัติทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาททั้งอาชีพ
เราต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติเพื่อให้การประพฤติการปฏิบัติ เพื่อให้พรหมจรรย์ของเราสมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ ไม่ขาดตกบกพร่อง
เราทั้งหลายต้องมีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เราจะไปคิดเหมือนแต่ก่อนไม่ได้ เดี๋ยวเราไม่ได้ประพฤติไม่ได้ปฏิบัติ เราบวชแต่กาย ใจไม่ได้บวชนั้นไม่ได้
เราต้องบวชทั้งกาย บวชทั้งวาจา บวชทั้งกิริยามารยาท บวชทั้งใจ ต้องรู้ต้องเข้าใจ
เราทั้งหลายต้องมีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เราทั้งหลายน่ะจะได้เป็นพระทุก ๆ คน เพื่อจะหยุดสัญชาตญาณที่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน เราทั้งหลายจะได้ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกัน เราจะปล่อยใจให้ไปตามสัญชาตญาณไปตามความหลงไม่ได้
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องทวนกระแส เพื่อพวกเราจะได้ปฏิบัติให้มันติดต่อต่อเนื่องกัน
ถ้าอย่างนั้นน่ะ การประพฤติการปฏิบัติของเรามันไม่ก้าวหน้า มันจะวกวนยอกย้อน ย่ำต๊อกอยู่ที่เก่า เราทั้งหลายจะไม่ได้พากันเป็นพระธรรมเป็นพระวินัย เราทั้งหลายจะพากันเป็นได้แต่เพียงคน ย่ำต๊อกอยู่ในความเป็นคน ย่ำต๊อกอยู่ใน ความหลง
พระธรรมพระวินัย เราต้องรู้เข้าใจ เป็นสมมติสัจจะที่มีคุณมีอุปการะมาก
การประพฤติการปฏิบัติให้พวกเราเข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามผัสสะ จะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม
พวกเราทั้งหลายจะได้เป็นผู้มีศีลเป็นผู้มีสมาธิเป็นผู้มีปัญญา เราพากันปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกันเหมือนสายน้ำ เป็นกระบวนการเป็นการตกกระแสแห่งมรรคผลแห่งพระนิพพานในความรู้ความเข้าใจ ในการประพฤติการปฏิบัติ
เราเป็นข้าราชการเราก็เอาธรรมนำชีวิต เราเป็นนักการเมืองเราก็เอาธรรมนำชีวิต เราเป็นนักบวชเราก็เอาธรรมนำชีวิตไม่มีใครยกเว้น เหมือน ๆ กัน
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายเป็นพระได้ทุก ๆ คน เป็นพระได้ทุก ๆ ศาสนา ไม่ใช่เป็นได้แต่เฉพาะศาสนาพุทธนะ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาพราหมณ์ฮินดู ศาสนาอะไรต่าง ๆ เป็นพระได้ทุก ๆ ศาสนา
เรารู้เข้าใจ เรามองข้ามแบรนด์เนมไปเลย มองข้ามรูปแบบ มองข้ามสมมติสัจจะไปเลย
ให้เข้าใจความเป็นจริงน่ะ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างน่ะมันคือธรรมะมันไม่ใช่นิติบุคคลมันเป็นสากลมันเป็นความดับทุกข์นะ
เราอย่าไปหลงงมงาย หลงอยู่ในแบรนด์เนม หลงอยู่ในรูปแบบ ถ้าอย่างนั้นมันก็จะไปติดแต่เพียงรูปแบบ มันไม่เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ มันจะเป็นภาคแต่งตั้ง ข้าราชการแต่งตั้ง นักการเมืองแต่งตั้ง อย่างนี้มันไม่ใช่
เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องมองข้ามสมมติด้วยความรู้ความเข้าใจ ความเป็นพระธรรมพระวินัย เป็นธรรมเป็นธรรมนูญ มันต้องมีอยู่กับเราทุกคน ผู้ที่ไม่เอาความหลงนำชีวิตผู้ที่ไม่เอาตัวตนนำชีวิต ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปเห็นภัยในวัฏฏสงสารมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ทุกคนเป็นพระได้ เป็นพระศาสนาได้
เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้พากันประพฤติปฏิบัติครบวงจรทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาททั้งอาชีพ เพื่อเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต
เราทั้งหลายจะได้เป็นทั้งคนดีเป็นคนมีปัญญา เป็นคนมีปัญญาเป็นคนดี เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงปฏิบัติเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เราทั้งหลายจะไม่ได้มีความทุกข์ มีแต่ความดับทุกข์ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ
เราทั้งหลายให้เข้าใจนะเป็นผู้ประเสริฐเป็นผู้มีลมปราณต้องเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต
การทำงานของเราก็ต้องให้ได้พระนิพพานน่ะ ให้เข้าใจอย่างนี้ อย่าให้มันได้ความหลง อย่าให้มันได้ตัวตน การพูดจากิริยามารยาทของเราให้มันได้พระนิพพานอย่าให้มันได้อวิชชาความหลงอย่าให้มันได้ไสยศาสตร์ ต้องให้มันได้ปัญญาบริสุทธิคุณ
การทำอะไรเป็นอะไรต้องรู้เข้าใจ เป้าหมายของเราคือความดับทุกข์ ความดับทุกข์คือพระนิพพานนะ ตัวตนคือความทุกข์ให้เข้าใจ ความดับทุกข์ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทที่เป็นสัมมาทิฐิ มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติมันจะเป็นพระนิพพาน เป็นความดับทุกข์ได้ทุก ๆ ศาสนานะ
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องพากันเข้าสู่การประพฤติการปฏิบัติ ของตัวของเราเอง เราทั้งหลายก็จะได้เข้าสู่ความสงบความวิเวก
ความรู้ความเข้าใจแล้วเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติมันจะเข้าสู่ความวิเวก
เราทั้งหลายไม่ต้องคิดเหมือนแต่ก่อนจะว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่ จะพากันไปหาความสงบที่ทุ่งใหญ่นเรศวร ไปหาความสงบที่ห้วยขาแข้ง ไปหาความสงบที่ป่าที่เขาที่เขาใหญ่ ภูสอยเดือนสอยดาวสอยดวงอาทิตย์อะไรต่าง ๆ มันมันวิเวกภายนอกนะ
เราอยู่ที่ไปไหน ถ้าเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็ไม่วิเวกกอยู่อย่างนั้น เพราะตัวตนมันคือความไม่วิเวก
ความวิเวกอยู่ที่เรารู้เข้าใจ เราต้องยกทุกอย่าง ตาหูจมูกลิ้นกายใจเข้าสู่พระไตรลักษณ์
ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเราต้องบริโภคอะไรต่าง ๆ ที่เกิดจากตาหูจมูกลิ้นกายใจ บริโภคปัจจัยทั้ง ๔ ด้วยสติด้วยปัญญา อย่าไปบริโภคสิ่งเหล่านั้นด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ เราต้องบริโภคด้วยปัญญา เราต้องยกสิ่งนั้น ๆ เข้าสู่พระไตรลักษณ์ สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน
เราทั้งหลายต้องรู้จักธรรมรู้จักความเป็นสภาวะธรรมรู้จักความเป็นประภัสสร ของสิ่งต่าง ๆ เราต้องรู้เข้าใจเราจะได้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ
เราจะอยู่ที่ไหนเราจะเข้าถึงความสงบเข้าถึงปัญญา เข้าถึงปัญญาเข้าถึงความสงบ เราทั้งหลายจะได้ยกเลิกสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน
เราต้องรู้เข้าใจ ความเป็นพระจะได้มีได้ทั้งในกลางกรุงหรือปริมณฑลทั้งป่าทั้งเขาทั้งอะไรต่าง ๆ เป็นพระได้ทุกหนทุกแห่งด้วยการรู้เข้าใจด้วยการประพฤติการปฏิบัติ มีแต่ปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ความเป็นพระจะได้เป็นทุก ๆ ศาสนา
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เอาความถูกต้องกลับคืนมา เอาความสงบกลับคืนมา เอาออกซิเจนกลับคืนมา เอาคาร์บอนไดออกไซด์ เอาของเสียออกไป เอาความยึดมั่นถือมั่น เอาความหลงที่เป็นนิติบุคคลตัวตนออกไป ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยการประพฤติการปฏิบัติของเราให้ติดต่อต่อเนื่อง
เราพากันมาบวชมาปฏิบัติ เราทั้งหลายน่ะให้พากันตั้งอกตั้งใจประพฤติตั้งใจปฏิบัติ เพราะปัจจุบันเป็นสิ่งสำคัญเป็นของมีค่าเป็นของมีประโยชน์ เพราะอดีตมันผ่านไปแล้วมันเอากลับคืนมาไม่ได้ อย่างเมื่อวานเอาคืนมาไม่ได้ ความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากมันเอากลับคืนมาไม่ได้
การประพฤติการปฏิบัตินี้เป็นสิ่งที่สำคัญ เราอย่าเอานิติบุคคลตัวตน เพราะนิติบุคคลตัวตนมันอยากจะทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย
เราพากันมาบวชมาปฏิบัติให้พากันตั้งอกตั้งใจ เน้นการประพฤติการปฏิบัติ
ทุกคนก็มีสิทธิพอ ๆ กันไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่ากัน เวลาก็เท่ากัน
ให้เอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ไม่เอาโลกธรรมเป็นหลัก ให้เอาพระพุทธเจ้าเอาพระธรรมเอาพระวินัย เอาข้อวัตรปฏิบัติ
อย่าไปคิดว่าทำตามพระธรรมพระวินัยทำตามข้อวัตรกิจวัตรมันยุ่งยากเหลือเกิน ให้รู้เรื่องพระธรรมพระวินัย เรื่องข้อวัตรกิจวัตรมันจะยกเลิกความเป็นนิติบุคคลตัวตน ยกเลิกสัญชาตญาณของเรา
ให้รู้เข้าใจ เพราะสิ่งเหล่านี้ พระธรรมพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตรเป็นสิ่งที่มีอุปการะมาก เพราะเราอยู่ที่บ้านไม่เข้าสู่ทีมเวิร์คในการประพฤติการปฏิบัติเป็นหมู่เป็นคณะ มันก็เสียเวลา เมื่อเรามาสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติเราก็ต้องเห็นคุณค่าของเวลา
ช่างหัวมันมันจะยากลำบาก็ช่างมัน มันผอมเท่าไหร่ก็ช่างหัวมัน เราต้องรู้เข้าใจเพื่อการประพฤติการปฏิบัติของเราจะได้ติดต่อต่อเนื่อง
ให้ถือว่าการประพฤติการปฏิบัติเป็นสิ่งที่สำคัญ ใครไม่ตั้งใจก็ช่างเขาเน้นมาที่ตัวเรา เราอย่าไปมองคนอื่นมองที่ตัวเรา
-----------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันอังคารที่ ๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา