๑๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑๒ เมษายน

พุทธศักราช ๒๕๖๘ ของศาสนาพุทธ

คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ของศาสนาคริสต์

ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ของศาสนาอิสลาม

 

เดือนนี้เป็นเดือนเมษาหน้าแล้งฤดูร้อน

ประเทศไทยมี ๓ ฤดู ฤดูฝนฤดูหนาวฤดูแล้ง

 

เดือนเมษาเป็นเดือนของศาสนาพุทธ

ผู้ที่ถือศาสนาพุทธสรงน้ำพระพุทธรูป

ดูแลปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม โบสถ์ วิหาร ลานเจดีย์ ห้องน้ำห้องสุขา

 

ชาวพุทธในประเทศไทยและทุก ๆ ประเทศ

ได้เอาเดือนเมษาหน้าแล้งฤดูร้อนของทุก ๆ ปี

ปฏิบัติสืบทอดติดต่อกันมาหลายร้อยปี 

เป็นประเพณีตั้งแต่ดึกดำบรรพ์สมัยโบราณ

เริ่มต้นจากวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำเดือนเมษา

ไปถึงวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำเดือนพฤษภา

เป็นระยะเวลา ๑ เดือน

เป็นประเพณีของโบราณที่ทำสืบทอดกันมา

 

ปัจจุบันนี้ทางการทางส่วนราชการ

ให้วันที่ ๑๓ เมษา ถึงวันที่ ๑๖ เมษา ก็เพียงพอ

ไม่ต้องไปเอาทั้งเดือน

เป็นวันหยุดทำงาน หยุดราชการ

ให้เป็นวันสงกรานต์ เป็นวันหยุดของทุก ๆ ปี

 

เราทั้งหลายน่ะ

มนุษย์เราทั้งหลายเป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐ

เป็นผู้ที่มีลมปราณ

 

เราต้องมีปัญญาต้องมีสัมมาทิฐิ

มีความเห็นถูกต้อง

มีความเข้าใจถูกต้อง

ปฏิบัติถูกต้อง

 

ต้องเข้าสู่ความถูกต้อง

ต้องเห็นความถูกต้องเป็นเรื่องที่สำคัญ

เพื่อเข้าสู่กระบวนการของธรรมะ

เพื่อเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม

พากันเอาธรรมนำชีวิต

เอาธรรมนูญนำชีวิต

 

ปรับกายวาจากิริยามารยาทอาชีพเข้าสู่ธรรมะ

ปรับเข้าหาเวลา

 

พากันมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ

เพื่อทำหน้าที่ของตัวเราทุก ๆ คนให้มันสมบูรณ์

ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ

เพื่อเข้าสู่กรรมเข้าสู่กฎแห่งกรรม

เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นผลของกรรม

ผลของการกระทำ

เพราะทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัย   

 

ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสกับพวกเราทั้งหลายว่า

เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี

เราทั้งหลายต้องพากันเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ

จะได้เข้าถึงความถูกต้อง

เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ

เข้าถึงเศรษฐกิจเพียงพอ

เข้าถึงกฎแห่งกรรมของการประพฤติการปฏิบัติ

ที่เป็นเหตุเป็นปัจจัย

เราทั้งหลายถึงจะเข้าถึงความสงบ เข้าถึงปัญญา

 

พัฒนาใจด้วยความรู้ความเข้าใจ

พัฒนาวัตถุด้วยความรู้ความเข้าใจ

เพื่อชีวิตของเรามันจะได้สมบูรณ์

สมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ

 

ชีวิตของเราทุกคนนั้นมันเป็นรายรับรายจ่าย

เพื่อให้ความสมบูรณ์สมดุลทั้งรายรับรายจ่าย

 

ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกพวกเราทั้งหลายว่า

พวกเราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ

เพราะชีวิตของเรามันคือรายรับรายจ่าย

ต้องให้รายรับรายจ่ายนั้นสมดุลกัน

พากันเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ

 

ท่านบอกพวกเราทั้งหลายว่า

พวกเราทั้งหลายน่ะต้องเอาธรรมนำชีวิต

เอาความถูกต้องนำชีวิต

เอาธรรมนูญนำชีวิต

ที่สมัยทุกวันนี้เค้าสมมติกันว่า

คือธรรมนูญ รัฐธรรมนูญ

 

เมื่อครั้งพุทธกาลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า

พวกเธอทั้งหลายจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด

พรหมจรรย์ก็ได้แก่ธรรมนูญรัฐธรรมนูญนี้แหละ

คืออันหนึ่งอันเดียวกัน

เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นคือธรรมคือสภาวธรรม

 

ชีวิตของเราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

ชีวิตเราจะไม่ได้มีความทุกข์

ความทุกข์กับโรคซึมเศร้านี้คืออันเดียวกัน

ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง

เราทุกคนก็จะมีความทุกข์หรือว่าเป็นโรคซึมเศร้า

 

ชีวิตของเราจะได้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา

ไม่มีความทุกข์ไม่เป็นโรคซึมเศร้า

 

การประพฤติการปฏิบัติ

ต้องมีความสงบมีทั้งปัญญาไปพร้อม ๆ กัน    

เพราะความสงบกับปัญญาเป็นธรรมะที่มีอุปการคุณมาก

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกให้รู้เข้าใจว่า

ความรู้ความเข้าใจเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ

มีความตั้งใจที่เอาปัญญานำชีวิต

เข้าสู่การประพฤติการปฏิบัติ

ตั้งใจตั้งเจตนา

 

เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องน่ะ

เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา

เป็นปัญญาที่ประกอบด้วยความดี

 

เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม

จะได้มีหลักการมีอุดมการณ์อุดมธรรม

เป็นธรรมะ เป็นธรรมนูญ เป็นรัฐธรรมนูญ

หรือจะเรียกว่าเป็นพรหมจรรย์ก็ได้

 

พวกเราทั้งหลายต้องพากันบริโภคทุกอย่าง

ด้วยความรู้ความเข้าใจ

ด้วยความสุขด้วยปัญญา

 

เรามีตา ก็ต้องมีการบริโภครูปด้วยปัญญา

เรามีหู ก็บริโภคเสียงด้วยปัญญา

เรามีจมูก ก็บริโภคกลิ่นด้วยปัญญา

เรามีลิ้น ก็บริโภครสด้วยปัญญา

เรามีกาย สัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ ก็บริโภคด้วยปัญญา

เรามีใจ ก็บริโภคจิตด้วยปัญญา

 

เราต้องรู้เข้าใจทุกอย่างนั้นมันจะได้เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา

เป็นการสร้างบารมีเพื่อหยุดความไม่ถูกต้อง

มันเป็นความดีเป็นปัญญา

 

เราทั้งหลายต้องหยุดสัญชาตญาณด้วยความรู้ความเข้าใจ

เราจะได้เน้นมาที่ตัวของเรา

ด้วยความรู้ความเข้าใจ

ด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา

เพื่อให้การประพฤติการปฏิบัตินั้นติดต่อต่อเนื่อง

เป็นสัมมาสมาธิ

 

การทำอะไรประกอบด้วยปัญญา

ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง

ติดต่อต่อเนื่องนั้นมันจะเป็นสมาธิ

เป็นสัมมาสมาธิโดยธรรมชาติ

เป็นมรรค เป็นอริยมรรค

เป็นสมถะ เป็นวิปัสสนา

 

 บุคคลอื่นก็เน้นที่บุคคลอื่นเองน่ะ

เราจะปฏิบัติแทนกันไม่ได้

ไม่มีใครประพฤติปฏิบัติแทนกันได้

ตนแลเป็นที่พึ่งของตน

 

เราต้องประพฤติปฏิบัติด้วยปีกแข้ง

ด้วยลำแข้งของเราเอง

ไม่ต้องอาศัยใคร

 

ความคิดคำพูดการกระทำกิริยามารยาทอาชีพ

เราต้องปฏิบัติตัวของเราเอง

ไม่ต้องอาศัยบุคคลอื่น

 

เราไม่อาศัยใครแล้ว

เราก็ยังเป็นผู้ให้บุคคลอื่นอีก

 

ดูตัวอย่างแบบอย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ปฏิบัติตัวของท่านเอง

ด้วยความดีด้วยปัญญา ด้วยปัญญาด้วยความดี

เอาธรรมะนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต เอาความสงบนำชีวิต

ท่านก็ทำหน้าที่ทำพุทธกิจของท่าน

ท่านเป็นผู้ที่เสียสละ เอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต

 

วันหนึ่งคืนหนึ่งท่านทรงบรรทมพักผ่อนวันละ ๔ ชั่วโมง

อีก ๒๐ ชั่วโมงนั้น ท่านเสียสละ

เป็นผู้ให้ผู้เสียสละกับคนอื่นวันละ ๒๐ ชั่วโมงนะ

มีปิติมีสุขมีเอกัคคตาในการเสียสละ

 

เราทุกคนต้องเข้าใจ

ชีวิตของเราจะได้มีแต่ปัญญามีแต่ความสงบ

ชีวิตของเราจะได้มีพระนิพพานในปัจจุบันตั้งแต่ยังไม่ตาย

เบื้องต้นท่ามกลางที่สุด

ชีวิตของเราจะได้เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ยังไม่ตาย

 

ต้องรู้เข้าใจ

เป้าหมายชีวิตของเราทุกคนคือพระนิพพาน

พระนิพพานต้องมีอยู่กับเราตั้งแต่ปัจจุบัน

เพราะปัจจุบันเป็นวาระสำคัญ

อดีตก็คือปัจจุบันนี้แหละ

อนาคตก็คือปัจจุบันนี้แหละ

เพราะปัจจุบันเป็นพื้นฐานของอนาคต

 

 หยุดความทุกข์ด้วยความรู้ความเข้าใจ

ด้วยการประพฤติการปฏิบัติ

 

การเรียนการศึกษาของเราก็ให้เป็นพระนิพพาน

การเรียนหนังสือเพื่อความรู้ความเข้าใจ

เพราะมนุษย์เรามีตาเนื้อตาหนัง

มนุษย์เราต้องมีตาปัญญาไปพร้อม ๆ กัน

 

การเรียนการศึกษาน่ะจึงเป็นแสงสว่าง

ความรู้ความเข้าใจนี้ไม่ใช่ความจำ มันเป็นความเข้าใจ

ถ้าเป็นความจำแล้วมันจะลืม

แต่ถ้าเป็นความรู้ความเข้าใจแล้วมันจะไม่ลืม

 

การเรียนการศึกษาหรือการฟังหรือการค้นคว้า

ต้องเป็นไปเพื่อความรู้ความเข้าใจ

เมื่อรู้เข้าใจแล้วมันจะไม่ลืม

 มันจะเป็นธรรมเป็นสภาวธรรม

เป็นพระนิพพาน

เป็นปัญญา

เป็นความถูกต้อง

 

การเรียนการศึกษานั้นเราทั้งหลายต้องเรียนเพื่อความดับทุกข์น่ะ

ไม่ใช่เรียนเพื่อจะมีจะเป็น เพื่อจะเอา

 

เราเรียนศึกษาเพื่อเข้าใจ

เพื่อจะได้ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง

ความรู้ความเข้าใจอย่างนี้มันจะไม่เครียด

เพราะเรายกเลิกตัวตนมันจะไม่เครียด

เพราะตัวตนมันคือความเครียด

เพราะตัวตนคือความทุกข์

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตรัสบอกพวกเราทั้งหลายว่า

คือความทุกข์ที่เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป

นอกจากทุกข์ไม่มี

 

เราให้เข้าใจเรื่องตัวเรื่องตน

 

ตัวตนนั้นเปรียบเสมือนทะเลมันไม่อิ่มด้วยน้ำ

มหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำ

ไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ

มันบกพร่องอยู่เป็นนิจ

มันไม่อิ่ม

 

เราต้องรู้เข้าใจในการเรียนการศึกษา

เราต้องรู้เข้าใจ

เราทั้งหลายจะเรียนศึกษาเพื่อพระนิพพานน่ะ

ความเครียดมันจะไม่ได้มี

 

เราคิดดูดี ๆ นะ ความไม่รู้ความไม่เข้าใจมันเป็นความมืด

เมื่อเรารู้เข้าใจแล้วมันเป็นความสว่าง

มันถึงจะไม่เป็นความจำมัน จะเป็นความรู้

 

การที่เราไปเรียนหนังสือ

หนังสือถึงจะกองใหญ่กว่าภูเขา

ประเด็นสำคัญอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ

 

ความเข้าใจในการเรียนหนังสือหรือการจำการค้นคว้ามันอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ

ให้จับประเด็นให้ได้ว่า ความรู้ความเข้าใจนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ

 

การฟังเทศน์อย่างนี้...

เราฟังเทศน์หรือฟังการบรรยาย

ให้เราเข้าใจในความหมายนั้น ๆ

ไม่ใช่พากันมาจำ ให้พากันเข้าใจ

 

เพราะทุกอย่างนั้นมันไม่มีอะไร

มันผ่านไปผ่านมา

ถ้าเราไม่เข้าใจเราก็ทำไม่ได้ปฏิบัติไม่ถูกต้อง

 

ที่เราเป็นคนไม่มีศีล

ไม่มีสมาธิ

ไม่มีปัญญา

สาเหตุก็เพราะเราไม่รู้ไม่เข้าใจ

ความรู้ความเข้าใจถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ

 

มนุษย์มีความสำคัญอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ

 

มนุษย์ถึงมีการเรียนการศึกษาตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอก

ตั้งแต่นักธรรมตรีจนถึง ปธ.๙

แล้วก็เรียนพิเศษเป็นศาสตราจารย์พิเศษเฉพาะทาง

บารมีถึงมีอย่างต้นอย่างกลางอย่างละเอียด เฉพาะทาง

 

ความรู้ความเข้าใจสำคัญนะ

อย่างงานสงกรานต์ ปีใหม่ เทศกาลตรุษจีนอะไรต่าง ๆ

รถยนต์ติด หรือว่าเครื่องบินมันติด หรือว่าเรือขนานยนต์มันติด

 

เพราะเทศกาลมันเป็นกาลเป็นเวลา

มันไปที่ไหนพร้อมกัน

รถมันก็ติด เครื่องบินก็ติด เรือก็ติด

เราต้องเข้าใจว่านี้คือเหตุคือปัจจัย

 

เราไปตั้งวันหยุด

วันไป วันทำงาน วันไม่ทำงาน

มันคือเหตุคือปัจจัย

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ

ถ้าไม่เข้าใจแล้วเราก็จะเป็นทุกข์เพราะรถมันติด

เครื่องบินมันติดเรือมันติด

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย

เราเข้าใจเรื่องเหตุเรื่องผล เรื่องกรรมเรื่องวิบาก

ต้องเข้าใจเรื่องกรรมเรื่องกฎของกรรม

เราทั้งหลายนั้นจะได้รู้เหตุรู้ปัจจัย

จะได้มีความสงบมีปัญญา

จะได้มีปัญญามีความสงบ

 

ถ้าเรารู้เข้าใจเราก็อยู่เหนือกาลเหนือเวลา

อยู่เหนือผัสสะ

อยู่เหนือสิ่งแวดล้อม

เรียกว่าเป็นคนมีปัญญา

มีศีลมีสมาธิมีปัญญา

 

เราทั้งหลายพากันเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ

ถ้าไม่อย่างนั้นน่ะ เราจะเป็นคนไม่รู้ไม่เข้าใจ

ไม่มีความสุขในการทำงาน

ไม่มีความสุขในการเรียนหนังสือ

เอาความไม่รู้ไม่เข้าใจนำชีวิตนี้ไม่ได้

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงตรัสบอกพวกเราทั้งหลายว่า

พระอริยเจ้าทั้งหลายผู้ที่จะเป็นพระอรหันต์ขีณาสพทั้งหลาย

ต้องรู้เหตุรู้ปัจจัยรู้อริยสัจสี่

รู้กระบวนการของเหตุของปัจจัย

เรียกว่ารู้กระบวนการของกรรม ของกฎแห่งกรรม ผลของกรรม

 

เข้าใจเรื่องปฏิจจสมุปบาท

รู้ภายนอกภายใน

ภายนอกก็หกภายในก็หกมันคือเหตุคือปัจจัย

 

เราทั้งหลายจะได้มีความสงบมีปัญญา

เราจะได้อยู่เหนือกาลเหนือเวลา

เราจะไม่ได้เอาความหลงนำชีวิต

ไม่เอาไสยศาสตร์นำชีวิต

ไม่เอาโมหะนำชีวิต           

      

เราทุกคนเน้นมาที่ตัวของเราเอง

เพื่อเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต

มีปิติมีความสุขในการเรียนการปฏิบัติ

 

ให้เข้าใจว่าปัจจุบันคือการเรียนคือการปฏิบัติ

เพื่อให้ชีวิตนี้เป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม

 

ให้ชีวิตนี้เป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ

ปริยัติกับปฏิบัติมันแยกกันไม่ได้

ถ้าแยกกันเมื่อไหร่มันก็เป็นอดีตเป็นอนาคต

มันจะไม่เป็นธรรมไม่เป็นปัจจุบันธรรม

 

ให้เข้าใจ ถ้

าไม่เข้าใจแล้วเราจะไม่ได้เอาปริยัติมาประพฤติมาปฏิบัติ

ชีวิตของเรา มีตาก็ไม่มีปัญญา

มีหูมีจมูกมีลิ้นมีกายมีใจเราก็จะไม่มีปัญญา

เราทั้งหลายจะไม่ได้บริโภคทุกอย่างด้วยปัญญา

 

ปัจจเวกขณะ…

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ท่านถึงให้เราพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์

เพื่อเราทั้งหลายจะได้เข้าสู่ความสงบด้วยความรู้ความเข้าใจ

ด้วยการหยุดกรรม

เพื่อไม่ให้วิบากกรรมผลของกรรมมันดำเนินไปด้วยไม่หยุด

 

เราทั้งหลายพากันเน้นที่ตัวของเราในปัจจุบัน

การปฏิบัติของเรามันถึงติดต่อต่อเนื่อง

เพื่อเป็นกระบวนการ

เพราะวาระนั้นอยู่ที่ปัจจุบัน

ปัจจุบันขณะน่ะ      

       

เมื่อปัจจุบันเราตั้งอยู่ในความเพลิดเพลินตั้งอยู่ในความประมาท

ศีลเราก็ไม่มีสมาธิก็ไม่มีปัญญาก็ไม่มี

เพราะเราไม่รู้เรื่อง

ไม่เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ความสงบต้องอยู่ที่ปัจจุบัน

ปัญญาต้องอยู่ที่ปัจจุบัน

สมถะกับวิปัสสนาต้องไปพร้อม ๆ กัน

ศีลนี้แหละคือสมถะวิปัสสนาที่เป็นความรู้ความเข้าใจ

เพื่อใจของเราจะรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ

 

ถ้าการประพฤติการปฏิบัติของเราติดต่อต่อเนื่อง

สัมมาสมาธิมันถึงจะเกิดได้

ถ้าศีลเราขาดเราด่างเราพร้อย

สัมมาสมาธิมันก็เกิดไม่ได้

 

เราทั้งหลายต้องเห็นความสำคัญในเรื่องศีล

เพราะศีลนี้เป็นความสงบ

เมื่อความไม่สงบมันมี

มันคือเหตุคือปัจจัย

คือเราเป็นคนไม่มีศีลนะ

คนไม่มีศีล มันจะสงบได้อย่างไร

 

ศีลนั้นจึงเป็นสมถะเป็นความสงบด้วยปัญญา

ด้วยปริยัติที่เราเข้าใจ แล้วเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ

 

เราไม่รู้ไม่เข้าใจ ถือว่าศีลนี้ไม่สำคัญ เราจะไปเอาแต่เรื่องจิตเรื่องใจ

เราต้องรู้เข้าใจ ใจของเราจะเข้าถึงความว่าง

เข้าถึงความไม่มีตัวไม่มีตน เข้าถึงพระนิพพาน

 

เรื่องจิตเรื่องใจมันมาจากไหน

เรื่องจิตเรื่องใจมันก็เนื่องมาจากศีลนี้แหละ

เป็นฐาน เป็นพื้นฐาน เป็นกรรม

เรียกว่ามีกรรมเป็นพื้นฐาน

เรียกว่ากรรมฐาน

 

ศีลนี้เป็นพื้นเป็นฐาน

ถ้าไม่มีพื้นไม่มีฐานมันก็ตั้งไม่ได้

เพราะไม่มีพื้นไม่มีฐาน

มันไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย

 

ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า

เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี

 

ศีลนี้ถึงเป็นพื้นเป็นฐาน

เพราะให้สมาธิทำงานติดต่อต่อเนื่องไป

การปฏิบัติมันถึงติดต่อต่อเนื่องเพื่อเป็นกระแสเป็นกระบวนการ

กระแสทางตาทางหูจมูกลิ้นกายใจมันต้องเป็นพระธรรมเป็นพระวินัย

มันต้องเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญาด้วยการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง

เป็นศีล เป็นสมาธิเป็นปัญญา

มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

เพื่อเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม

 

ไก่มันฟักไข่ใช้เวลา ๓ อาทิตย์

จะฟักด้วยแม่ของไก่หรือฟักด้วยไฟฟ้า

ก็ใช้เวลา ๓ อาทิตย์

ตามหลักเหตุผล

ตามหลักวิทยาศาสตร์ที่นักวิทยาศาสตร์ค้นคว้า

 

 

เราทำอะไรติดต่อต่อเนื่อง ๓ อาทิตย์ขึ้นไป

ในความคิดก็ให้อยู่ในความถูกต้อง

คำพูดกิริยามารยาทหรืออาชีพที่ถูกต้อง

๓ อาทิตย์ขึ้นไป

จิตใจของเราถึงจะเปลี่ยน

 

ศีลนั้นจึงเป็นฐานเป็นพื้นฐาน

เพื่อหยุดกรรมหยุดกฎของกรรม

ด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ

การไปเรียนการไปศึกษา

ถึงมีหลักการมีอุดมการณ์อุดมธรรม

 

เราทั้งหลายต้องเอาธรรมนำชีวิต

เอาธรรมนูญนำชีวิต

เราจะเอาความไม่ถูกต้องนำชีวิตนี้ไม่ได้

มันเสียหายมาก

มันล้มละพาย

 

มันพังทะลายเหมือนตึก สตง.นี้แหละ

 

ประเทศไทยเรา

กรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีตึกใหญ่ตึกสูง

สูงมากกว่าตึก สตง.หลายตึก

หลายตึกนั้นเค้าก็ไม่พัง

ทำไมมันพังแต่ตึก สตง.น่ะ

 

ที่ตึก สตง.พัง เพราะมันโกงกินมาก

ตึกอื่นไม่ใช่ไม่โกงกินนะ

ตึกอื่นก็โกงกินแต่ว่าโกงกินน้อย

 

เราต้องรู้เข้าใจกรรมและกฎแห่งกรรมผลของกรรม

กรรมนั้นมันต้องมีแน่นอน

 

เราเดินไปที่ไหนก็มีเงาตามตัว

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ท่านถึงบอกเราท่านหลายตรัสแก่เราทั้งหลายว่า

เราอย่าไปประมาท

เดี๋ยวกรรมมันจะแก่กล้า

เดี๋ยวกรรมมันจะสุกงอม

 

ความรู้ความเข้าใจมันจะเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ

มันจะหยุดกรรมด้วยปริยัติและการประพฤติการปฏิบัติ

 

เอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้งมันก็เป็นสัญชาตญาณ

เป็นการเวียนว่ายตายเกิด

มันเป็นเหตุเป็นปัจจัย

 

เราคิดดูดี ๆ นะ

เราจะได้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ

เราจะได้หยุดกรรม หยุดกฎแห่งกรรม

 

เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งนี้ไม่ได้

เอาตัวตนเป็นที่ตั้งคือความเกิดคือวัฏฏสงสาร

 เอาตัวตนเป็นที่ตั้งหัวใจมันเป็นวัฏฏสงสาร

หัวใจมันเป็นครอบครัว หัวใจมีครอบครัว

 

เราคิดดูดี ๆ นะ

เอาตัวตนเป็นที่ตั้งหัวใจของเรามีครอบครัว

หัวใจของเรามีวัฏฏสงสาร เป็นวัฏกสงสาร

 

ผู้ที่มีปัญญาน้อยเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็เป็นวัฏฏสงสาร

ผู้มีปัญญามากเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็เป็นวัฏฏสงสาร

 

หัวใจมันก็เป็นนิติบุคคลตัวตน

หัวใจมันก็มีครอบครัว มันไม่พ้นครอบครัว

เพราะมันไม่รู้ไม่เข้าใจ

มันเป็นวงจรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด  

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกว่า

กรรมต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจ

เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ

 

เราคิดดูดี ๆ สิ ใครเอาความหลงเป็นที่ตั้ง

สัตว์เหล่าใดเอาความหลงเป็นที่ตั้ง

หัวใจมันก็เป็นวัฏฏสงสารน่ะ

เพราะมันเป็นสัญชาตญาณ

 

เราคิดดูดี ๆ นะ

พวกสัตว์ต่าง ๆ มันข้ามสัญชาตญาณไม่ได้

เพราะมันไม่รู้อริยสัจสี่

ไม่รู้ทุกข์

ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์

ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

ข้ามสัญชาตญาณไม่ได้

ทำไปตามสัญชาตญาณ

 

พวกสัตว์ต่าง ๆ ทุกสัตว์ไม่มียกเว้น

มันก็อยากมีผัวอยากมีเมียทั้งนั้นแหละ  

เพราะเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง

 

การมาประพฤติการปฏิบัติหรือการประพฤติการปฏิบัติ

เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ

หัวใจของเราจะไม่มีผัวมีเมีย

 

เราต้องรู้เข้าใจ

ถ้าไม่อย่างนั้นเราก็ไม่รู้วงจรในการประพฤติการปฏิบัติ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกเราทั้งหลายว่า

ร่างกายนี้แหละมันเป็นวงจร

ตั้งแต่เกิดแก่เจ็บตายพลัดพรากใช้เวลาร่วมร้อยปี

แต่เรื่องจิตเรื่องใจนี้ เราต้องรู้เข้าใจเรื่องความเกิด

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่าสัมมาทิฐิ

ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ

จะได้ไม่ตรึกในสิ่งไม่ถูกต้อง

หรือว่าไม่ตรึกในกามในพยาบาท

 

เราทั้งหลายน่ะถ้าเราไม่เข้าใจ

หัวใจของเราจะมีลูกมีเมียมีผัว

 

ถึงจะมาบวชมาปฏิบัติธรรม

ไม่รู้ไม่เข้าใจ

ปฏิบัติเพื่อจะเอาจะมีจะเป็น

นั่นแหละคือหัวใจกำลังเวียนว่ายตายเกิด

หัวใจกำลังมีลูกมีเมียมีผัว

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ

ต้องเห็นภัยในความคิดในความตรึก

คำพูดการกระทำกิริยามารยาท

เราทั้งหลายจะได้เห็นภัยในความเกิดเห็นภัยในวัฏฏสงสาร

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ

เราจะได้รู้การบำเพ็ญความดีที่ประกอบด้วยปัญญา

ปัญญาประกอบด้วยความดีน่ะ

 

สงกรานต์เรากลับบ้าน

เพราะบ้านของเราให้เรารู้เข้าใจนะ

บ้านของเราคือพระนิพพานนะ

พระนิพพานคือบ้านนของเรา

 

ความรู้ความเข้าใจ

มีปิติมีความสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

เอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต

เราทั้งหลายจะได้กลับบ้านกลับพระนิพพาน

ด้วยความรู้ความเข้าใจ

มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา

ในการประพฤติการปฏิบัติ

เราจะได้เป็นคนมีบ้านทั้งบ้านภายนอกทั้งบ้านภายใน

ทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพ

ต้องเป็นไปเพื่อพระนิพพาน

 

ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายนะ

ท่านทั้งหลายเป็นคนดีที่มีลมปราณ

ที่ได้มีโอกาสมีเวลาได้บำเพ็ญความดีบารมี

เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เหมือนพระอรหันต์ทั้งหลาย

 

เราต้องรู้เข้าใจการเดินทางกลับบ้าน

การเดินทางเข้าสู่พระนิพพาน

เพื่อให้สมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ

ทางกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพ

การประพฤติการปฏิบัติในตัวของเราเอง

ด้วยปลีแข้งของเราเอง

 

เพื่อจะได้เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง

ปฏิบัติเพื่ออกจากทุกข์ ปฏิบัติสมควร

เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ

เข้าถึงความดีเป็นความสงบเป็นปัญญา

--------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันเสาร์ที่ ๑๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

Visitors: 91,926