๑๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

 

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๑๓ เมษายน

พุทธศักราช ๒๕๖๘ ของศาสนาพุทธ

คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ของศาสนาคริสต์

ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ของศาสนาอิสลาม

 

เดือนนี้เป็นเดือนเมษาหน้าแล้งฤดูร้อน

ประเทศไทยมี ๓ ฤดู ฤดูฝนฤดูหนาวฤดูแล้ง

 

เดือนเมษาเป็นเดือนของศาสนาพุทธ

ผู้ที่ถือศาสนาพุทธสรงน้ำพระพุทธรูป

ดูแลปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม

โบสถ์ วิหาร ลานเจดีย์ ห้องน้ำห้องสุขา

 

ชาวพุทธในประเทศไทยและทุก ๆ ประเทศ

ได้เอาเดือนเมษาหน้าแล้งฤดูร้อนของทุก ๆ ปี

ปฏิบัติสืบทอดติดต่อกันมาหลายร้อยปี 

เป็นประเพณีตั้งแต่ดึกดำบรรพ์สมัยโบราณ

เริ่มต้นจากวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำเดือนเมษาไปถึงวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำเดือนพฤษภา

ระยะเวลาเป็นเวลา ๑ เดือน

เป็นประเพณีของโบราณที่ทำสืบทอดกันมา

 

ปัจจุบันนี้ทางการทางส่วนราชการ

ให้วันที่ ๑๓ เมษา ถึงวันที่ ๑๕ เมษา ก็เพียงพอ

ไม่ต้องไปเอาทั้งเดือน

เป็นวันหยุดทำงาน หยุดราชการ

ให้เป็นวันสงกรานต์ เป็นวันหยุดของทุก ๆ ปี

 

วันนี้เป็นวันที่ ๑๓ เมษา

หลังจากฟังพระธรรมเทศนาเราจะได้กล่าวคำขอขมาพระรัตนตรัย

ขอขมาพระมหากษัตริย์

พ่อแม่ครูบาอาจารย์

พ่อแม่บรรพบุรุษน่ะ

พร้อมทั้งอุทิศบุญกุศล

 

เราทั้งหลายน่ะเป็นมนุษย์เป็นผู้ที่ประเสริฐ

ชีวิตของเราทุกคนอายุขัยร่วมร้อยปี

เราทั้งหลายจะได้เอาความดีที่ประกอบด้วยปัญญานำชีวิต

เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติสมควร ปฏิบัติ เพื่อออกจากทุกข์

เป็นความดีเป็นความเพียงพอ

เพื่อเอาธรรมนำชีวิต

รู้แจ้งเห็นจริงในความเป็นจริง

 

ทุก ๆ คนพากันมีหลักการมีอุดมการณ์อุดมธรรมด้วยความรู้ความเข้าใจ

บริโภคทุกอย่างด้วยความรู้ความเข้าใจ

ด้วยความสงบด้วยปัญญา

เน้นการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน

เพราะปัจจุบันนั้นเป็นวาระแห่งชาติ

 

อดีตก็คือปัจจุบันนี้แหละ

ฐานที่จะเป็นอนาคตก็คือปัจจุบัน

การประพฤติการปฏิบัติเป็นวาระแห่งชาติของเราทุก ๆ คน

ความสงบกับปัญญาเป็นสิ่งที่คุณมีอุปการะมาก

ความสงบกับปัญญาเป็นสิ่งที่มีคุณมีประโยชน์มาก

 

เหมือนกลางคืนน่ะเป็นความมืด เป็นการพักผ่อน

เหมือนกลางวันเป็นแสงสว่าง เป็นการทำงาน

 

ปัญญาเป็นแสงสว่าง ความสงบเป็นการพักผ่อน

ปัญญารู้ความจริงของทุกสิ่งทุกอย่าง

เราไม่เป็นไปตามสิ่งแวดล้อม

เพื่อมีหลักการเพื่อมีอุดมการณ์อุดมธรรม

เพื่อจะได้บริโภคทุกอย่างด้วยปัญญา

 

เพื่อให้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเรานี้บริโภคสิ่งที่มาสัมผัสอายตนะทั้ง ๖

สัมผัสสิ่งต่าง ๆ นั้นให้เกิดปัญญา

 

ชีวิตของเราถึงก้าวไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา

ด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

ให้ทุกท่านทุกคนถือว่าเกิดมาเพื่อมารู้แจ้งโลกรู้แจ้งธรรม

มารู้แจ้งธรรมมารู้แจ้งโลกเพื่อ

มาเอาอายุขัยที่ร่วม ๆ ร้อยปีมาประพฤติมาปฏิบัติ

เพื่อความสมบูรณ์ทุกแง่ทุกมุม

ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ

พากันมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา ในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ชีวิตของเราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

ไม่ต้องมีความทุกข์ ไม่ต้องเป็นทุกข์น่ะ

มีแต่ปิติมีแต่ความสุขมีแต่เอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทุกคนมาเน้นที่เรานี้เอง

 

สมมติสัจจะทั้งหลายในโลกนี้มีหลายล้านสมมติ

ชี้ให้พวกเราเห็นในแง่มุมทั้งหลาย

ทั้งผิดถูกดีชั่ว ไม่ผิดไม่ถูก ไม่ดีไม่ชั่ว

ให้เรามองเห็น

เมื่อเห็นเมื่อรู้เมื่อเข้าใจ

ให้มีปิติมีความสุขเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ

 

ความรู้ความเข้าใจคนละอย่างกับความจำ

 

การเรียนการศึกษาการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์

การฟังจากท่านผู้รู้ทั้งหลายน่ะ

ความหมายเพื่อความรู้ความเข้าใจ

เน้นที่ความรู้ความเข้าใจ

 

มนุษย์เรานี้ปัญญาสัมมาทิฐิความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ

อริยมรรคมีองค์แปดนี้การดำรงชีวิตที่ประเสริฐ

ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาททั้งอาชีพต้องเอาปัญญานำ

สิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้มันมีหลายล้านสมมติ

 

ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจนั้นไม่ได้

ปัญญานี้จะพาเราเดินไปสู่ความถูกต้อง  

เข้าสู่ความวิเวก เข้าสู่ความถูกต้อง

สิ่งต่าง ๆ น่ะมันมากมาย

 

เราทั้งหลายต้องเข้าสู่ความถูกต้องเข้าสู่ความวิเวก

ไม่ใช่ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นไม่มี

สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่

 

เรารู้เราเข้าใจเราจะได้เข้าสู่ความวิเวก

เราต้องรู้จักความวิเวก

ปัญญานี้แหละจะพาเราเข้าสู่ความวิเวก

 

ความรู้ความเข้าใจในสังสารวัฏในการเวียนว่ายตายเกิด

เพื่อพัฒนาปัญญาบารมี

เพื่อให้ความดีที่ประกอบด้วยปัญญา

ปัญญาประกอบด้วยความดี

ปัญญานั้นจะพัฒนาเข้าสู่ความวิเวก

 

รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์เป็นสิ่งที่มีอยู่

 

เมื่อเรารู้เข้าใจ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะธรรมารมณ์สิ่งต่าง ๆ นั้นก็มีอยู่ เค้าก็เป็นความเก้อ ๆ เป็นธรรมชาติของเค้าที่มีอยู่น่ะ

เราทั้งหลายต้องพากันมารู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เข้าสู่ความวิเวก

เราต้องรู้เข้าใจ เรามีตาก็ต้องมีรูป มีหูก็ต้องมีเสียง มีจมูกก็ต้องมีกลิ่น มีลิ้นก็ต้องมีรส มีใจก็ต้องมีอารมณ์ มีใจก็มีจิตมีวาระจิต

เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องรู้เหตุรู้ปัจจัย รู้เหตุภายนอกภายใน

เมื่อเราเข้าใจแล้วเราทั้งหลายจะได้ยกทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเขาสู่ความรู้ความเข้าใจเรียกว่าเข้าสู่ความว่างจากนิติบุคคลตัวตน นี้ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนนี้คือเหตุคือปัจจัย

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เข้าสู่ความวิเวกด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม เราจะไม่ได้ไปตามสิ่งที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ

เราทั้งหลายต้องกลับมาหาความสงบ กลับมาหาปัญญา สิ่งภายนอกมันเป็นสิ่งที่มีอยู่น่ะ

อย่างก้อนหินนี้ ก้อนหินก้อนนี้มันมีอยู่ ถ้าเราไม่ไปยกไปแยกมัน ก้อนหินเค้าก็อยู่อย่างนั้น

เราเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เข้าสู่ความสงบความวิเวก

ศีลนี้คือการมาหยุดวิเวกทางกายทางวาจา กายกับวาจานี้ก็หยุดด้วยศีลน่ะ

กายวาจากิริยามารยาทต้องหยุดด้วยศีลความรู้ความเข้าใจ

เราทั้งหลายจะได้เข้าสู่ความวิเวก

ศีลนี้คือสมมติสัจจะ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านวางหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม พระธรรมพระวินัยทั้งหลายอยู่ในพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เพื่อหยุดเพื่อยกเลิกเพื่อเข้าสู่ความวิเวกน่ะ

ให้เรารู้เข้าใจ เพื่อเราจะจัดการให้ถูกต้องด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยศีลน่ะ

ถ้าเราเอาปัญญาสัมมาทิฐิ เอาศีลนำชีวิตที่ติดต่อต่อเนื่องกัน มันก็จะเป็นสัมมาสมาธิ เป็นสมาธิธรรมชาติที่ประกอบด้วยปัญญา

เรามองดูภาพรวม ๆ น่ะ มันเป็นสมถะเป็นวิปัสสนา

เปรียบเสมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง ต้นไม้ต้นนั้นเค้าต้องได้อาหารมาจากทุกทิศทุกทางของต้นไม้ ไม่ใช่ต้นไม้ต้นนั้นได้อาหารมาจากทางรากอย่างเดียวนะ ต้นไม้ต้นนั้นต้องได้อาหารมาจากทางกิ่งทางใบทางยอดตลอดถึงแสงแดดออกซิเจน ถึงเป็นวิตามินโปรตีน เกลือแร่แร่ธาตุ

ความรู้ความเข้าใจถึงเป็นสัมมาทิฐิ เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา

ให้พวกเราเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ

อริยมรรคทุกแง่ทุกมุมต้องสมบูรณ์ สมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งกิริยามารยาท ทั้งอาชีพ

เราต้องเอาธรรมนำชีวิต มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ เราทุกคนก็จะมีแต่ปิติมีแต่ความสุขมีเอกัคคตา ความทุกข์มันก็ไม่มี เพราะอันนี้มันเป็นความดีความถูกต้องที่ประกอบด้วยปัญญา

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจในการประพฤติในการปฏิบัติ

เราทั้งหลายน่ะจะไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยไม่ได้ ต้องเอาตามพระธรรมเอาตามพระวินัย ที่มีปัญญาเป็นพื้นฐาน เพื่อเป็นหลักการ เป็นอุดมการณ์อุดมธรรมในการประพฤติการปฏิบัติ

ถามว่าปฏิบัติไปถึงไหนถึงจะได้หยุดน่ะ

การประพฤติการปฏิบัติเราต้องรู้เข้าใจ การประพฤติการปฏิบัติตลอดอายุขัย อายุขัยของเราจะกี่สิบปีกี่ร้อยปี ก็ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติการปฏิบัติ

ความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ

เราก็คิดดี ๆ ที่ประกอบด้วยปัญญาพูดดี ๆ กิริยามารยาทดี ๆ อาชีพดี ๆ ประกอบด้วยปัญญา ยกเลิกตัวตนเพื่อเข้าถึงความเป็นบริสุทธิคุณตลอดอายุขัยน่ะ

เพราะเราคิดดีพูดดี ๆ กิริยามารยาทดี ๆ ประกอบด้วยปัญญา มันก็มีความสุข มันก็มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

เราทั้งหลายจะไม่ได้มีความรู้สึกว่าหยุดหรือไม่หยุดน่ะ

เพราะอันนี้มันเป็นสัมมาทิฐิ เป็นความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องมันจะเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา

เราทั้งหลายน่ะ ต้องพากันรู้เข้าใจการประพฤติการปฏิบัติ

การประพฤติการปฏิบัติ ถึงไม่เลือกกาลไม่เลือกเวลา มันเป็นมรรคเป็นอริยมรรคในการประพฤติการปฏิบัติ

อย่างวันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดราชการในการทำงาน อย่างวันเทศกาลวันตรุษจีนปีใหม่สงกรานต์อย่างนี้ หรือวันสำคัญที่เค้าแต่งตั้งให้สำคัญมัน เป็นวันหยุด

 การประพฤติการปฏิบัติถึงไม่เลือกกาลไม่เลือกเวลา มีแต่ปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ให้เราเข้าใจอย่างนี้แหละ

ให้เราเข้าใจเหมือนที่เราไปยืมเงินธนาคารเค้านะ เราไปยืมเงินธนาคารเค้าน่ะ ดอกเบี้ยธนาคารมันไม่มีวันหยุด เรานอนหลับดอกเบี้ยธนาคารก็มีตลอดน่ะ

การประพฤติการปฏิบัติก็เหมือนกับธนาคารเค้าน่ะ เพราะชีวิตของเรามันคือรายรับรายจ่าย

การประพฤติการปฏิบัติมันต้องสมดุลกันนะ รายรับรายจ่ายสมดุลกันได้มาเท่าไหร่ก็จ่ายไปเท่านั้นให้มันสมดุลกัน ให้มันสงบให้มีปัญญา

อดีตมันผ่านไปแล้วเป็นเมื่อวานนี้แล้วมันเกษียณไปแล้วก็ต้องปล่อยต้องวางอนาคตยังมาไม่ถึงเราก็ไม่ต้องไปคำนึงมัน ปัจจุบันนี้แหละมันจะเป็นพื้นเป็นฐานเป็นกรรมของชีวิต

เราทั้งหลายต้องพากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

เราทั้งหลายจะได้หยุดกาลหยุดเวลา รู้การประพฤติการปฏิบัติ

เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ เพราะการโคจรของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมันก็ไม่จบหรือว่าโลกหมุนรอบตัวเอง หมุนรอบดวงอาทิตย์มันก็โคจร แต่ทุกอย่างมันเป็นปัจจุบันนะ ทุกอย่างมันเป็นเรื่องโคจร มันคือเหตุคือปัจจัย

เราทั้งหลายต้องรู้เหตุรู้ปัจจัย เราจะได้อยู่เหนือกาลเหนือเวลา หยุดกาลหยุดเวลา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันไม่ได้ มันไม่ถูกต้อง เพราะตัวตนมันมีแต่ความทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มี มันเผาตัวเราเอง เผาทั้งตัวคนอื่นด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ

เราทั้งหลายเกิดมาเพื่อมารู้มาเข้าใจ มามีปิติมีความสุขด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยการประพฤติการปฏิบัติ เพราะการประพฤติการปฏิบัตินั้นมันไม่เลือกกาลไม่เลือกเวลา มันเป็นปิติเป็นความสุขเป็นเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

เราทำหน้าที่ของตัวเราให้สมบูรณ์

เรียนหนังสือก็มีความสุขในการเรียนหนังสือให้เต็มที่

ทำงานก็มีความสุขในการทำงานให้เต็มที่

พูดจากิริยามารยาทก็มีความสุขให้เต็มที่

อาชีพก็มีความสุขให้เต็มที่ด้วยความรู้ความเข้าใจ

ความสุขก็หมายถึงไม่มีควาทุกข์นั่นแหละ เรารู้เข้าใจเราจะไปทุกข์ทำไม

เราต้องรู้จักกาลรู้จักเวลา รู้จักนิติบุคคลตัวตน เพราะตัวตนมันคือความทุกข์

เราต้องรู้ว่าทุกอ่างนั้นมันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันคือเหตุคือปัจจัย มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนมันคือเหตุคือปัจจัย เราจะได้รู้ธรรมรู้สภาวธรรม

เรามีตัวมีตนน่ะเดี๋ยวเราทุกคนมันจะพังนะ เพราะตัวตนมันพังน่ะ

มันพังยังไง... มันก็พังเหมือนตึก สตง.นี้แหละ พังทลาย

แผ่นดินไหวที่ประเทศพม่า ที่เมืองมัณฑะเลย์ กรุงเทพมหานครอยู่ห่างไกลจากศูนย์กลางแผ่นดินไหวเกือบถึงพันกิโล

แผ่นดินไหวที่ประเทศพม่า ทำให้ตึก สตง.ต้องพัง ทำไมตึกอื่นมีตั้งหลายร้อยตึกสูงกว่าตึก สตง.เสียอีกเค้าไม่พัง ที่ไม่พังเพราะเค้ามีการโกงกินน้อย ตึกสตง. โกงกินมากเกินมันเลยพัง

ความไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็พังเหมือนตึก สตง.นี้แหละ

ความไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็ไม่สงบมันก็วุ่นวาย โยกไปโยกมาไม่สงบน่ะ

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เอาธรรมะนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิตจะได้ทำความดีบำเพ็ญบารมีของเราทุก ๆ คน

เราทุกคนต้องปฏิบัติด้วยตัวเองปีกแข้งตัวเอง ไม่มีใครประพฤติปฏิบัติให้

เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติของเราเอง เน้นมาที่ตัวเรานี้แหละ ไม่มีใครทำให้ปฏิบัติให้เราได้

เราบรรลุนิติภาวะแล้ว

เราคิดดูดี ๆ สิ เด็กสมัยครั้งพุทธกาลรู้เข้าใจเรื่องเหตุเรื่องผลเรื่องอริยสัจสี่ เด็ก ๗ ขวบได้ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้เข้าใจ มีปิติมีความสุข มีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ท่านก็ได้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ ด้วยความรู้ความเข้าใจ

เพราะธรรมะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ไม่เกี่ยวกับเด็ก ไม่เกี่ยวกับผู้ใหญ่ ไม่เกี่ยวกับข้าราชการนักการเมือง ไม่เกี่ยวกับนักบวชนะ

ความรู้ความเข้าใจก็มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เน้นมาที่ตัวเรานี้แหละ เราทุกคนก็มีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ

เราเอาตัวตนน่ะเราทุกคนเห็นแก่ตัว ขี้เกียจขี้คร้าน ตัวตนมันขี้เกียจขี้คร้าน ตัวตนน่ะมันไม่อยากทำงาน ไม่อยากเรียนหนังสือ ไม่อยากประพฤติปฏิบัติธรรม เอาตัวตนนำชีวิต เอาความหลงนำชีวิตมันไม่ใช่

เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็ไม่อยากแก้ไขตัวเอง มันก็อยากจะไปแก้ไขคนอื่น อยากไปบริโภคของคนอื่น อยากไปเอาของคนอื่น ตัวตนนั้นมันเป็นแต่ผู้เอา ตัวตนนั้นมันจะไม่เป็นผู้เสียสละ ตัวตนนั้นแหละจะเป็นผู้ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา

เราทั้งหลายพากันเข้าใจนะ ตัวตนนี้คือเจ้าอันตราย คือเจ้าเสือร้ายนะ

ตัวตนนั้นมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มี เพราะมันมีตัวมีตนมันจึงขี้เกียจขี้คร้าน

ตัวตนนี้แหละองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าอย่างมากก็เป็นเพียงสมาธิสมาบัติ ไม่ใช่ปัญญาบริสุทธิคุณนะ เพราะตัวตนมันคือตัวตน อย่างมากก็เป็นแต่สมาธิสมาบัติ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเข้าใจ เพราะท่านบำเพ็ญพุทธบารมี หลายล้านชาติหลายล้านปี

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นลูกหลานของพราหมณ์มาก่อน

ท่านมาต่อยอดจากสมาธิให้เป็นปัญญาบริสุทธิคุณน่ะ เพื่อเอาทุกอย่างทุกแง่มุมมาประพฤติมาปฏิบัติ ไม่ใช่เอาองค์มรรคเฉพาะสมาธิ ต้องเอาทุกแง่มุม

เหมือนต้นไม้ที่กล่าวมานี้แหละ ต้นไม้ต้องได้อาหารวิตามินเกลือแร่แร่ธาตุ มาจากทุกทิศทุกทางของต้นไม้

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบำเพ็ญพุทธบารมีเพื่อมายกเลิกตัวตน ยกเลิกสิ่งที่ตกต่ำ เรียกว่าอบายมุขอบายภูมิ

ถ้าเราเอาตัวนเป็นที่ตั้ง เราก็จะไม่เสียสละ ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา ไปเอาความสุขจากความหลง ไปเอาความสุขจากผู้อื่น

ตัวตนนี้แหละจะทำให้เราเป็นอบายมุขอบายภูมิ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกพวกเราว่า ต้องมีสัมมาทิฐิ มีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง

เราทั้งหลายน่ะจะได้เป็นผู้ให้ ไม่ได้เป็นผู้เอาน่ะ

ตัวตนนี้แหละมันมีความทุกข์ทุก ๆ คนน่ะ คนหนึ่งก็ทุกข์เพราะไม่มี คนหนึ่งก็ทุกข์เพราะไม่รู้จักพอ สองคนนี้ก็เป็นุทกข์พอ ๆ กัน นี้แหละ

เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็ไม่เสียสละ เราก็จะเป็นคนเอาของคนอื่น

อบายมุขอบายภูมิน่ะคือตัวตนนะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบำเพ็ญพุทธบารมีมาเพื่อยกเลิกตัวตนเรียกว่ามายกเลิกบ่อนคาสิโนบ่อนแห่งความหลง

เรียกว่าบ่อนคาสิโส บ่อนแห่งความหลง

เราทั้งหลายต้องเข้าใจนะ ตัวตนนั้นคือบ่อนคาสิโน

 

พระพุทธเจ้าบำเพ็ญพุทธบารมีมาเพื่อมาหยุดบ่อนคาสิโน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชในหลวงรัชกาลที่ ๙ ท่านบำเพ็ญบารมีมาเพื่อยกเลิกบ่อนคาสิโน

ประเทศไทยร่วมร้อยปีหรือหลายร้อยปีมานี้มหากษิชัตริย์ทุกพระองค์ ท่านบำเพ็ญบารมีมาเพื่อยกเลิกบ่อนคาสิโน

เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง รัฐบาลไหนมาเป็นรัฐบาล มีตัวมีตนก็จะพากันมาตั้งแต่บ่อนคาสิโน

เราจะไปเปรียบเทียบกับประเทศสิงคโปร์ที่เค้ารวยเพราะเค้าตั้งบ่อนคาสิโนที่มาเก๊าประเทศจีนเค้าตั้งบ่อนคาสิโน นั้นไม่ได้

สถานที่นั้นคิดดูดี ๆ นะ สถานที่นั้นเค้าไม่มีที่ทำมาหากิน ไม่มีที่ดินมีแต่ทะเล มหาสมุทร เค้าเลยพากันตั้งบ่อนคาสิโน เพราะในโลกนี้คนโง่มีมากกว่าคนฉลาดบ่อนคาสิโนหากินกับคนโง่คนไม่ฉลาด เราต้องเข้าใจอย่างนี้

เราทั้งหลายต้องเข้าใจนะ อย่าเอาความหลงนำชีวิต อย่าเอาบ่อนคาสิโนนำชีวิต

เราทั้งหลายต้องยกเลิกอบายมุขที่เป็นตัวเป็นตน ยกเลิกอบายมุขที่เป็นตัวเป็นตนเข้าถึงความสงบเข้าถึงปัญญา เข้าถึงปัญญาเข้าถึงความสงบ

เราทั้งหลายเข้าสู่การประพฤติการปฏิบัติอริยมรรค เพราะทุกอย่างนั้นมันต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง

ฝนไม่ตกก็ทำให้ตกได้ มันแห้งแล้วก็ทำให้ชุ่มชื่นได้ น้ำท่วมก็แก้ปัญหาได้

ทุกอย่างเรายกเลิกตัวตน เราทุกคนจะมีความสงบมีปัญญา

เราทั้งหลายต้องพากันเข้าใจ ไม่เข้าใจเดี๋ยวเราทั้งหลายจะเป็นคนไม่สงบจะเป็นคนพลัดถิ่นนะ

เราดูดี ๆ สิ เราไม่รู้ไม่เข้าใจประชากรของประเทศไม่รู้ไม่เข้าใจ พากันพลัดถิ่น  พากันทิ้งคนเฒ่าคนชรา คนพิกลพิการ ไปหากินไปหาหลงในต่างถิ่นน่ะ มันเสียหายมากนะ

เราทั้งหลายต้องมีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ

เราจะเอาตัวตนนำชีวิตมันเป็นทุกข์ ความทุกข์มันก็จะพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้แหละ ที่เป็นนิติบุคคลตัวตน มันพังทะลาย

เราจะได้เป็นมนุษย์ไม่ได้เป็นได้แต่เพียงคน จะไม่ได้ย่ำต๊อกในความหลง ย่ำต๊อกในความเป็นคน

คำว่าคนแปลว่าความหลงนะ ไปไหนไม่ได้ วกวนอยู่ที่เก่า

โน่น คนโน้นคนนี้ที่สำคัญมั่นหมายว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นเขา เป็นคนหนุ่มคนสาว คนแก่คนเฒ่าคนชรา เป็นคนรวยคนจน เป็นคนดีกว่าเค้า เก่งกว่าเค้ามีเพาเวอร์กว่าเค้า

เราต้องเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้มีความสงบมีปัญญา จะได้มีปัญญามีความสงบน่ะ

เราทั้งหลายจะได้เป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐเพื่อเอาธรรมนำชีวิต

เราจะเป็นมนุษย์เพราะเอาความถูกต้องนำชีวิต

ท่านพุทธทาสภิกขุเป็นคนดีเป็นพระดีของโลกของประเทศ ท่านได้พูดจากใจจากพระนิพพานว่า

เราทั้งหลายเป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐ ต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาพระนิพพานนำชีวิต เราทั้งหลายถึงจะไม่ตกอยู่ในอบายมุขอบายภูมิ เป็นได้แต่เพียงความหลง เป็นไสยศาสตร์ เป็นได้แต่เพียงคน ท่านถึงได้ตรัสจากจากพระนิพพานว่า

 

เป็นมนุษย์  เป็นได้  เพราะใจสูง      เหมือนหนึ่งยูง  มีดี  ที่แววขน

ถ้าใจต่ำ  เป็นได้  แต่เพียงคน         ย่อมเสียที  ที่ตน  ได้เกิดมา

 

ใจสะอาด  ใจสว่าง  ใจสงบ            ถ้ามีครบ  ควรเรียก  มนุสสา

เพราะทำถูก  พูดถูก  ทุกเวลา        เปรมปรีดา  คืนวัน  ศุขสันติ์จริง

 

ใจสกปรก  มืดมัว  และร้อนเร่า       ใครมีเข้า ควรเรียก  ว่าผีสิง

เพราะพูดผิด  ทำผิด  จิตประวิง      แต่ในสิ่ง นำตัว กลั้วอบาย

 

คิดดูเถิด  ถ้าใคร  ไม่อยากตก         จงรีบยก  ใจตน รีบขวนขวาย

ให้ใจสูง  เสียได้  ก่อนตัวตาย         ก็สมหมาย  ที่เกิดมา อย่าเชือน เอย ฯ

 

ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายนะ ท่านทั้งหลายเป็นทั้งคนดีคนมีปัญญา เป็นคนมีปัญญาเป็นคนดี ต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมูญนำชีวิต เข้าสู่มาตรฐาน เข้าสู่ มอก. แห่งชีวิตที่ประเสริฐ

 

การประพฤติการปฏิบัติไม่เลือกกาลไม่เลือกเวลา เราต้องรู้เข้าใจการประพฤติการปฏิบัติ ที่แล้วก็แล้วไป เอาใหม่ เราต้องเข้าสู่ความรู้ความเข้าใจมีปิติมีสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

เราทั้งหลายจะได้ยกเลิกสิ่งที่เป็นทุกข์หรือว่ายกเลิกโรคซึมเศร้าที่เป็นนิติบุคคลตัวตน ชีวิตของเราจะไม่ได้เหวี่ยงไปเหวี่ยงมาที่ภาษาหมอพูดว่ามันเป็นโรคไบโพล่าน่ะ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ

 

----------------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

ให้ไว้ในเช้าวันที่ ๑๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

 

Visitors: 91,914