๒๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (สวดพระอภิธรรม)

วันนี้เป็นวันที่ ๒๗  มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ของศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ของศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ของศาสนาอิสลาม

คืนนี้คณะสงฆ์ ญาติธรรม ครอบครัวได้บำเพ็ญบุญกุศลคืนที่สองให้กับ นายธนันชัย จันทรขจรสุข ที่ได้ละสังขารวายชนม์

มนุษย์เรามีหลักการในการดำเนินชีวิต มีหลักการ ๓ ได้แก่บุญ ได้แก่กุศลบุญก็ได้แก่ความดี กุศลได้แก่ปัญญา ระหว่างการกระทำและปัญญาไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้การประพฤติการปฏิบัติของหมู่มวลมนุษย์นั้นเป็นบริสุทธิคุณ เพื่อไม่ให้เป็นภพเป็นชาติ เป็นตัวเป็นตน ต้องเป็นบริสุทธิคุณ ให้เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา  เป็นปัญญาที่ประกอบด้วยความดี

การดำเนินชีวิตของมนุษย์เราน่ะ เพื่อเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญารู้อริยสัจสี่ รู้เหตุรู้ปัจจัย เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นคือเหตุคือปัจจัย ให้เข้าใจว่าเพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี ถ้าสิ่งนี้ไม่มีสิ่งต่อไปก็ไม่มี ขึ้นอยู่ที่เหตุขึ้นอยู่ที่ปัจจัย มนุษย์เราทั้งหลายถึงต้องมีปัญญาสัมมาทิฐิ เอาปัญญากับความดีไปพร้อม ๆ กัน เน้นการประพฤติการปฏิบัติให้สมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ

เรามีปิติมีความสุข มีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติถือว่านี้ถูกต้อง เพื่อให้เป็นหลักการเพื่อเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม การประพฤติการปฏิบัติปฏิบัติที่ปัจจุบัน ปัจจุบันถึงเป็นวาระแห่งการประพฤติการปฏิบัติ ถือว่าเป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ ทั้งกายทั้งวาจากิริยามารยาทอาชีพถือว่าเป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ

เราทั้งหลายต้องพากันรู้อริยสัจสี่ รู้เหตุรู้ปัจจัย

การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร มันเกิดได้มีได้เพราะเราไม่รู้เหตุไม่รู้ปัจจัย เมื่อเราไม่รู้ไม่เข้าใจก็ย่อมมีการเวียนว่ายตายเกิด เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี เพราะว่ามันมีเหตุมีปัจจัย

เราทั้งหลายต้องมารู้ธาตุรู้ขันธ์มารู้อายตนะ ที่มันได้ก้าวมาด้วยเหตุด้วยปัจจัยด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ เป็นกระบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นน้ำเป็นกระแสน้ำเป็นแม่น้ำเป็นทะเลมหาสมุทร เป็นความเกิดความแก่ความตายความพลัดพรากที่มันเป็นกระบวนการของเหตุของปัจจัย เป็นกระบวนการของกรรม กฎแห่งกรรม  ผลของกรรม

ความรู้ความเข้าใจเรียกว่าปัญญา เมื่อเรามีปัญญาแล้วเราก็ต้องเข้าสู่หลักการ อุดมการณ์อุดมธรรม เอาสมมติสัจจะทั้งหลายที่มีหลายล้านสมมตินี้มาประพฤติมาปฏิบัติ สมมติบัญญัติทั้งหลายจะหยุดการเวียนว่ายตายเกิด เพราะวาระกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพมันเป็นวาระแต่ละวาระ เป็นขณะแต่ละขณะ เมื่อเรารู้เราเข้าใจเราทั้งหลายก็หยุดด้วยความรู้ความเข้าใจ

เราทั้งหลายนั้นถึงต้องมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายถึงจะได้หยุดสัญชาตญาณที่มันมีความรู้สึกที่เป็นเราเป็นของของเราเป็นตัวเป็นตน เพราะทุกอย่างนั้นเป็นวาระแห่งชาติ รู้เข้าใจก็เอาสติมาเป็นความสงบที่ประกอบด้วยปัญญา ความสงบกับปัญญานี้ถึงเป็นธรรมถึงมีอุปการะมาก

ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บำเพ็ญพุทธบารมีหลายล้านชาติจนสมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ๒๐ พรรษาแรกแห่งการตรัสรู้พระพุทธเจ้าจะพูดแสดงเรื่องเหตุเรื่องผล เรื่องเหตุเรื่องปัจจัย แสดงเรื่องกระบวนการแห่งการเวียนว่ายตายเกิดของเหตุของปัจจัย พระพุทธเจ้าจะไม่บัญญัติพระวินัยผู้ฟังเข้าใจก็พากันมีปิติมีสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ท่านผู้นั้นก็ได้เป็นพระอริยเจ้า เป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกิทาคามี เป็นพระอรหันต์ ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยการประพฤติการปฏิบัติ

ความรู้ความเข้าใจที่เป็นปัญญาสัมมาทิฐิ เป็นอริยมรรค อริยมรรคเปรียบเสมือนต้นไม้ต้นหนึ่งนี้แหละ ต้นไม้ต้นหนึ่งเค้าต้องได้อาหารมาจากทุกทิศทุกทางของต้นไม้ ต้นไม้นั้นเค้าไม่ใช่ได้อาหารมาจากทางรากอย่างเดียวนะ ต้นไม้ต้องได้อาหารมาจากทุกทิศทุกทางของต้นไม้ จากทางกิ่งทางก้านสาขาทางใบทางยอดตลอดรอบปริมณฑลของต้นไม้ จากแสงแดดจากอากาศรอบทิศทางของต้นไม้

ฉันใดก็ฉันใด อริยมรรคมีองค์แปดเป็นทั้งความสงบเป็นทั้งปัญญา เรียกว่าอริยมรรคมีองค์แปดเป็นวิปัสสนาเป็นสมถะที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันของทุก ๆ คน เพื่อให้การประพฤติการปฏิบัติครบวงจร ไม่ใช่ได้มาจากสมาธิเพียงอย่างเดียว

ถ้าเราเอาแต่สมาธิอย่างเดียว การงานอย่างอื่นเราก็ไม่ได้ทำ อริยมรรคมีองค์แปดมันก็เป็นได้เพียงข้อที่ ๘ มันขาดข้อที่ ๑ ถึงข้อที่ ๗

อริยมรรคมีองค์แปดเปรียบเสมือนวิตามินโปรตีนเกลือแร่แร่ธาตุต่าง ๆ มันเป็นความสมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ

เราทั้งหลายต้องพากันรู้พากันเข้าใจเรื่องมรรคเรื่องอริยมรรคเรื่องการประพฤติการปฏิบัติ ทุก ๆ คนนั้นเมื่อเข้าใจก็ทำได้ปฏิบัติได้ ทุกคนก็เป็นพระได้ ทุกคนก็ไม่มีความทุกข์

ความไม่มีทุกข์นั้นคือพระ พระแปลว่าไม่มีความทุกข์ ตัวตนคือความหลง ความหลงคือทุกข์ ถ้าเรามีตัวมีตนเมื่อไหร่เราก็ทุกข์เมื่อนั้น เป็นใครที่ไหนก็ทุกข์ทั้งนั้นไม่มีใครยกเว้น

เราทั้งหลายพากันรู้พากันเข้าใจ พากันเอาธรรมนำชีวิต เอาความสงบเอาปัญญานำชีวิต อย่าไปเอาความฟุ้งซ่านความไม่รู้ไม่เข้าใจนำชีวิต ชีวิตของเราต้องมีความสงบมีปัญญา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการก้าวไป เมื่อมันผ่านไปแล้วก็ปล่อยวาง ที่ท่านตรัสว่ามายึดมั่นถือมั่นแล้วปล่อยวางเพราะมันผ่านไปแล้ว เมื่อวานมันผ่านไปแล้วก็ต้องปล่อยวาง ถ้าเราไม่ปล่อยวางมันก็ไปไม่ได้มันก็ติด

อดีตที่ผ่านมาแล้วน่ะ ต้องปล่อยวางให้หมด ถ้าเราไม่ปล่อยวางเรื่องอดีตมันก็จะไม่เป็นปัจจุบัน มันก็จะไม่เป็นธรรมไม่เป็นปัจจุบันธรรม มันจะไม่เป็นธรรมนูญไม่เป็นรัฐธรรมนูญ มันจะเป็นตัวเป็นตน

เราทั้งหลายต้องปล่อยวาง ถ้าเราเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้งเค้าเรียกว่าเป็นอดีตน่ะ  ถ้าผู้อยู่กับอดีตชื่อว่าเป็นผู้ที่ไม่รู้อริยสัจสี่ ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เราต้องยกเลิกตัวตนเราถึงจะเข้าถึงธรรมเข้าถึงปัจจุบันธรรม

สมมติสัจจะทั้งหลายที่มันมายกเลิกตัวยกเลิกตน ศีลสมาธิปัญญานี้เป็นธรรมเป็นสภาวธรรม เป็นสมมติสัจจะที่ให้พวกเราทั้งหลายมายกเลิกขบวนการแห่งการเวียนว่ายตายเกิด

ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันจะเป็นนิวรณ์ทั้ง ๕ เป็นอัตตาตัวตน มันจะเป็นอคติทั้ง ๔ เราทั้งหลายน่ะจะเป็นคนไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา เป็นนิติบุคคลตัวตน

เราทั้งหลายต้องรู้จักธรรมรู้จักสภาวธรรม รู้จักธาตุรู้จักขันธ์รู้จักอายตนะ มันเป็นสภาวธรรมที่พวกเราทั้งหลายไม่รู้ไม่เข้าใจพากันเวียนว่ายตายเกิด

เราต้องรู้เข้าใจ สภาวธรรมนี้มันเป็นประภัสสรน่ะ มันเป็นประภัสสรอย่างนี้ เป็นประภัสสรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด เพราะเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี มันถึงมีการเวียนว่ายตายเกิด เราต้องรู้เข้าใจ

ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกพวกเราทั้งหลายว่า เธอทั้งหลายจงพากันประพฤติพรหมจรรย์เถิด เพื่อหยุดสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตนเพื่อเราจะได้มาหยุดเวียนว่ายตายเกิด

การเวียนว่ายตายเกิดเราต้องรู้เหตุรู้ปัจจัย เราจะแก้ได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ  เอาสมมติสัจจะทั้งหลายนี้แหละมาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติ

ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ นี้  อยู่ที่เรารู้เราเข้าใจแล้วเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพื่อให้สมบูรณ์ด้วยความสงบสมบูรณ์ด้วยปัญญา สมบูรณ์ด้วยศีล ต้องตั้งใจตั้งเจตนา เพราะสิ่งนี้เป็นพื้นเป็นฐาน

ศีลนี้จะเข้าสู่ความว่างจากตัวจากตน จะยกเลิกนิวรณ์ทั้ง ๕ อคติทั้ง ๔ ศีลนี้เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาที่ประกอบด้วยความดี

เราจะไปทิ้งความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ไปทิ้งปัญญาที่ประกอบด้วยความดีนั้นไม่ได้ เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติในการปฏิบัติ

เราทั้งหลายไม่ต้องไปหาพระนิพพานที่ไหน พระนิพพานอยู่ที่เรารู้เราเข้าใจเรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

การเป็นพระอยู่ที่เรารู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ อยู่ในการประพฤติการปฏิบัติของพวกเรานี้เอง

พวกเราทั้งหลายไม่ต้องไปหาพระที่ไหน หาพระที่ตัวเรานี้แหละ

พระพุทธเจ้าท่านก็ทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้าทำพุทธกิจของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านก็ทำกิจของพระอรหันต์ ใครต่อใครก็ทำกิจของตัวเอง มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ทำอย่างนี้ดี ทำถูกต้องประกอบด้วยปัญญา

เราอย่าไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยไม่ได้นะ ไม่มีใครเหนือความถูกต้องไม่มีใครอยู่เหนือกฎแห่งกรรม อย่าไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย เพราะมันไม่ถูกต้อง เราต้องทำให้ถูกต้อง ต้องมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ

บุญกุศลเราก็ทำเองปฏิบัติเอง เราไม่ต้องให้ใครมาทำให้เราปฏิบัติให้เรา เราต้องประพฤติต้องปฏิบัติด้วยตนเอง ด้วยปลีแข้งด้วยลำแข้ง ด้วยความรู้ความเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติของเราเอง ของอย่างนี้แหละใครทำให้กันไม่ได้

ตำแหน่งที่เค้าแต่งตั้งที่เค้ารับรอง ตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอก หรือตั้งแต่นักธรรมตรีจนถึง ปธ.๙ หรือว่ายศตำแหน่งทั้งหลายน่ะ มันเป็นตำแหน่งของผู้อื่นเค้ารับรองเรานะ เมื่อเค้ารับรองการันตีถูกต้องตามกฎหมายก็ต้องเอาตำแหน่งนั้นมาใช้ มาปฏิบัติให้มีปิติความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเป็นพรหมจรรย์ เพื่อให้สมบูรณ์ถูกต้องตามตำแหน่งที่เราได้รับการแต่งตั้งนั้น

เพราะตำแหน่งการแต่งตั้งนั้นมันไม่ใช่ตำแหน่งของเรานะมันเป็นตำแหน่งที่คนอื่นเค้าสมมติให้แต่งตั้งให้ สมมติให้เราเป็นผู้หญิง สมมติให้เราเป็นผู้ชาย สมมติให้เราเป็นข้าราชการนักการเมือง สมมติให้เราเป็นนักบวช นี้เป็นตำแหน่งที่เค้าแต่งตั้งให้

ตำแหน่งของเราเราต้องเข้าใจ แล้วก็พากันมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะการประพฤติการปฏิบัติมันอยู่ที่ปัจจุบัน

เมื่อเรามีลมปราณเรามีโอกาสได้ประพฤติได้ปฏิบัติ เมื่อเราหมดลมปราณแล้วเราก็ไม่มีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติ เมื่อเราหมดลมปราณแล้ว ก็ต้องอาศัยคนอื่นทำบุญบำเพ็ญบุญกุศลให้ กลัวเราขาดตกบกพร่องก็พากันบำเพ็ญกุศลให้อุทิศกุศลให้ ถึงมีการทำบุญทำกุศลทำความดีเพื่อมอบให้ส่งให้ผู้วายชนม์ ที่เค้าทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ปัญญาประกอบด้วยความดีส่งให้ผู้วายชนม์น่ะ

อย่างงานผู้ที่ละสังขารวายชนม์นี้ถึงมีการบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศลเพื่อมอบให้ผู้วายชนม์ ที่มาร่วมรวมกันทั้งนักบวชทั้งข้าราชการนักการเมืองพ่อค้าประชาชน มารวมกันทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ปัญญาประกอบด้วยความดี เพื่อมอบบุญมอบกุศลให้ เพราะผู้นั้นได้หมดลมปราณหมดโอกาสหมดเวลาในการบำเพ็ญบุญกุศล ต้องอาศัยผู้ที่ยังมีลมปราณอยู่ทำบุญกุศลเพื่อมอบให้กับผู้วายชนม์

การทำบุญทำกุศลก็ต้องให้ถูกต้องอีกด้วย งานบุญงานกุศลน่ะถึงไม่ใช่งานบาปต้องเป็นงานบุญเป็นงานกุศล

ต้องเข้าใจเรื่องงานบุญงานกุศลนะ ต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก

งานบุญงานกุศลถึงยกเลิกตัวตน ยกเลิกโลกธรรม โลกธรรมนี้ยกเลิกไว้ก่อนแคนเซิลไว้ก่อน ให้เป็นงานบุญงานกุศล

อย่างงานบำเพ็ญบุญกุศลให้กับผู้วายชนม์นี้ งานนั้นต้องเป็นงานบริสุทธิคุณเป็นงานที่ทุกคนมาพร้อมเพรียงกันเสียสละ มาพร้อมเพรียงกันรักษาศีล มีศีลห้าเป็นพื้นฐาน พากันมาให้ทาน มาเป็นผู้ให้ผู้เสียสละ มีอะไรก็มาช่วยกัน ยกเลิกการฆ่าสัตว์การเล่นการพนัน ยกเลิกงานมหรสพ พากันมารักษาศีลปฏิบัติธรรมด้วยความสมัครสมานสามัคคี

พากันมาปลงสังเวชน่ะ ว่าทุกอย่างนั้นคือธรรมะคือธรรมชาติที่เกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี

อายุขัยของมนุษย์อยู่ได้ส่วนใหญ่ปัจจุบันนี้ก็ไม่เกินร้อยกว่าปี ถึงจะมีเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ก็อยู่ได้ส่วนใหญ่ไม่เกินร้อยกว่าปี

พากันมาปลงสังเวชน่ะ เราทั้งหลายจะได้เอาสรีระร่างกายมาบำเพ็ญความดีบำเพ็ญบารมีที่ประกอบด้วยปัญญา ประกอบไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา

เราทั้งหลายมาปลงสังเวช ว่าเราทั้งหลายมีความแก่ความเจ็บ ความตายความพลัดพรากมีการจากไปเป็นธรรมดา นี้เป็นภาพรวมของร่างกาย เราทั้งหลายก็จะเป็นอย่างนั้นไม่ได้เป็นอย่างอื่น เพราะอันนี้เป็นธรรมเป็นสภาวธรรม มันไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน มันเป็นธรรมเป็นสภาวธรรม

เราทั้งหลายพากันมาปลงธรรมสังเวช สิ่งไหนมันผ่านไปแล้ว สิ่งไหนมันแก้ไขไม่ได้ เราก็วางเฉย ไม่ต้องไปคิดไม่ต้องไปปรุงแต่งให้ตัวเองเป็นทุกข์ เพราะมันแก้ไขไม่ได้ เราก็ต้องอุเบกขาวางเฉย

เราเป็นคนดีเราก็ต้องมีปัญญาต้องรู้จักวางเฉยมาสงบระงับสังขารทั้งหลายมายกเลิกความปรุงแต่งทั้งหลายมันถึงไม่มีความทุกข์

ที่พระสวดบทอนิจจาวะตะสังขารา ว่าสังขารทั้งหลายทั้งปวงนี้มีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา เราทั้งหลายมารู้มาเข้าใจ มาสงบระงับสังขารทั้งหลาย ด้วยความรู้เข้าใจมาหยุดความปรุงแต่ง ใจของเราจะไม่ได้มีความทุกข์

เราไม่อยากให้มันแก่มันก็แก่ ไม่อยากให้มันเจ็บมันก็เจ็บ ไม่อยากให้มันตายมันก็ตาย เราจะไปทุกข์มันทำไม เราต้องรู้จักทุกข์ รู้จักเหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราจะไปทุกข์ทำไม สิ่งไหนมันแก้ไขไม่ได้เราก็อุเบกขาวางเฉยน่ะ เพื่อให้เป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม

เราพากันมาปลงสังเวช มาปลงตัวปลงตนด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ไม่ประมาท เราทั้งหลายจะได้หยุดเวียนว่ายตายเกิด เพราะเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายต้องเวียนว่ายตายเกิดอย่างนี้แหละ ต้องรู้เข้าใจ

เราทั้งหลายต้องมาปลงสังเวชกัน มามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ สิ่งภายนอกก็ให้เป็นสิ่งภายนอกไป ในใจของเราก็สงบมีปัญญา เราอย่าไปตามตาหูจมูกลิ้นกายใจไป ภายนอกก็ให้เป็นเรื่องภายนอก เรื่องใจของเราก็ให้มีความสุขมีปัญญา เราต้องมีศีลมีสมาธิมีปัญญา เราต้องอุเบกขาวางเฉย

เราเป็นคนดีเราก็ต้องมีปัญญา ถ้าเราเป็นคนดีไม่มีปัญญามันก็ใจอ่อนไปกับสิ่งแวดล้อม มันจะใจอ่อนไปตามสิ่งแวดล้อมน่ะ เห็นรูปสวย ๆ มันก็ร้องโอย ๆ ๆ ไป เสียงเพราะ ๆ ก็ร้อง โอย ๆ ๆ ไป เห็นคนเค้าแก่เค้าเจ็บเค้าตาย เห็นคนพิกลพิการ ก็สงสารเค้า หืม...เป็นคนดีแต่ไม่มีปัญญามันก็มีปัญหานะ

เป็นคนดีไม่มีปัญญา...เปรียบเสมือนคนมีรถดีแต่เบรกไม่มี อย่างนี้รถนั้นก็ต้องอุบัติเหตุแน่นอน เพราะเป็นคนดีไม่มีปัญญา เป็นคนดีมันต้องมีปัญญา เราจะไปตามสิ่งแวดล้อมไม่ได้ เราต้องมีปัญญา

เราทั้งหลายให้ถือว่าทุกอย่างน่ะมันเป็นกรรมของคนอื่น เป็นกรรมแล้วก็เป็นกรรมของเรา มีกรรมเป็นของของตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด เราอย่าไปใจอ่อน อย่าไปไหวหวั่นหวั่นไหวตามผัสสะตามสิ่งแวดล้อม เดี๋ยวมันจะมีแต่โอยกับโอยไป โอยก็หมายถึงความทุกข์น่ะ

มันจะเป็นคนไม่มีศีล เป็นคนไม่มีสมาธิ เป็นคนไม่มีปัญญา มันจะเป็นคนไม่มีหลักการ ไม่มีอุดมการณ์อุดมธรรม ไม่รู้เข้าใจ มันไปไหนไม่ได้ มันก็ย่ำต๊อกกับความหลง ย่ำต๊อกในความเป็นนิติบุคคลตัวตน มันก็เป็นวัฏฏสงสาร วัฏฏสงสารมันเป็นตัวเป็นตน วัฏฏสงสารคือความทุกข์ ความทุกข์กับซึมเศร้ามันก็คืออันเดียวกันนี้แหละ

เราทั้งหลายเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เราทั้งหลายก็เป็นโรคแห่งความทุกข์ เป็นโรคแห่งความซึมเศร้า เราไม่รู้เข้าใจ เราก็ไม่เข้าถึงปิติไม่เข้าถึงความสุขไม่เข้าถึงเอกัคคตาในปัจจุบันนะ

เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้เป็นคนใจอ่อนไปตามสิ่งแวดล้อม เราจะต้องเป็นคนมีศีลมีสมาธิมีปัญญารู้แจ้งธรรมสภาวธรรมน่ะ

เราเกิดมาเพื่อมารู้มาเข้าใจมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ชีวิตของเราจะได้เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาประกอบด้วยความดี ชีวิตของเราจะได้ไปตามหลักการ หลักการ ๓ อุดมการณ์ ๔  วิธี ๖ เราทั้งหลายต้องก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจอย่างนี้ เพราะชีวิตของเราปัจจุบันเป็นวาระสำคัญเป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อการประพฤติการปฏิบัติของเรามันจะได้ติดต่อต่อเนื่องกัน

การจัดงานให้กับผู้วายชนม์ทั้งหลายสมัยปัจจุบันนี้มันกลายเป็นธุรกิจกับคนตายไป เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ การบำเพ็ญบุญกุศลให้กับผู้วายชนม์เราต้องเข้าใจ เราทั้งหลายอย่าเป็นนิติบุคคลตัวตน เราอย่าฉวยโอกาสทำธุรกิจกับการตายของคนทั้งหลายน่ะ

ประเพณีนี้ดีแล้วถูกต้องอยู่แล้ว เราอย่ามาทำธุรกิจ ทำมาหาอยู่หากิน หรือว่าหาอยู่หาบริโภคกับคนอื่นที่เค้าตาย เราอย่ามาเอาจ็อบอย่ามารับจ็อบกับผู้ที่เค้าตาย

เราทุกคนต้องมาช่วยกัน มาสมัครสมานสามัคคีกัน เพื่อมอบบุญมอบกุศลให้กับผู้วายชนม์ งานนี้เป็นงานสมัครสมานสามัคคีเป็นงานบริสุทธิคุณ ในการจัดงานต้องยกเลิกโลกธรรม อย่าไปจัดงานเพื่อโลกธรรม เราอย่าไปจัดงานเพื่อความหลงเพื่อเอาหน้าเอาตาเอาชื่อเสียงเกียรติยศ

การจัดงานก็ต้องยกเลิกโลกธรรม เน้นบริสุทธิคุณ เน้นปัญญาบริสุทธิคุณมันเป็นงานยกเลิกโลกธรรม ให้เป็นงานธรรมนูญ มีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา รู้แจ้งอริยสัจสี่ รู้เรื่องธรรมรู้เรื่องสภาวธรรม

เราทั้งหลายน่ะ ชีวิตของเราเป็นชีวิตที่ประเสริฐ เราทั้งหลายต้องไม่ตั้งอยู่บนรากฐานของความหลงความเพลิดเพลินความประมาท เพราะการกระทำทุกอย่างนั้นมันเป็นกรรมเป็นกฎของกรรม

ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกพวกเราทั้งหลายว่าต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

เราทั้งหลายอย่าตั้งอยู่ในความประมาท เพราะปัจจุบันเป็นวาระสำคัญ เป็นวาระแห่งชาติ เราทั้งหลายต้องเอาธรรมนำชีวิต เพื่อความดี ปัญญาของเราจะได้ติดต่อต่อเนื่องกัน

เราทั้งหลายน่ะดำเนินชีวิตในชีวิตประจำวัน การทำงานกับการปฏิบัติธรรมให้เป็นเนื้อเดียวกัน การเรียนหนังสือกับการประพฤติปฏิบัติธรรมให้เป็นเนื้อเดียวกันการได้รับยศรับตำแหน่งรับหน้าที่ก็ให้เป็นการประพฤติการปฏิบัติธรรม ให้เป็นเนื้อเดียวกัน ชีวิตของเราทั้งหลายจะได้ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท ให้ตั้งมั่นในความดีที่ประกอบด้วยปัญญา

วันหนึ่งก็มี ๒๔ ชั่วโมง กลางวัน ๑๒ ชั่วโมง กลางคืน ๑๒ ชั่วโมง ให้จับหลักให้ได้ ให้เอาความสงบกับปัญญา หรือว่าการทำงานกับพักผ่อน แล้วก็มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเข้าสู่มรรคเข้าสู่อริยมรรค มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ชีวิตของเราจะได้เป็นทั้งความสงบเป็นทั้งปัญญา เป็นสมถะเป็นวิปัสสนา เป็นมรรคเป็นอริยมรรค ชีวิตของเราจะก้าวไปด้วยความดีด้วยบารมี ๑๐ ทัศ ๒๐ ทัศ ๓๐ ทัศ ให้สมบูรณ์ทั้งอรรรถะทั้งพยัญชนะ

ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลาย ท่าทั้งหลายเป็นทั้งคนดีคนมีปัญญา คนมีปัญญาเป็นคนดีที่ท่านทั้งหลายมีลมปราณ บุญกุศลที่พวกเราทั้งหลายได้บำเพ็ญในค่ำของวันที่ ๒๗ นี้ ด้วยความสมัครสมานสามัคคีกันมอบให้ส่งให้นายธนันชัย จันทรขจรสุข เพื่อเป็นพลังงานไปสู่มรรคผลพระนิพพาน

--------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในค่ำวันที่ ๒๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

Visitors: 91,914