๒๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (เช้า)
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๒๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ของศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ของศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ของศาสนาอิสลาม
พวกเราทั้งหลายต้องรู้พากันเข้าใจในการประพฤติในการปฏิบัติของพวกเรา ถ้าเราไม่เข้าใจก็ไม่รู้การประพฤติการปฏิบัติ
เราทั้งหลายต้องเอาธรรมนำชีวิต ไม่ต้องเอาความหลงเอาตัวตนนำชีวิต ตัวตนนั้นคือความหลง เพราะทุกอย่างนั้นไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันคือเหตุคือปัจจัย
เราทั้งหลายต้องรู้ต้องเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ทุกอย่างนั้นคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม
เราทั้งหลายต้องพากันมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เพื่อเราทุกคนจะได้ไม่มีปัญหา จะได้หยุดปัญหา พากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญเป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ต้องผิดพลาด ไม่ต้องไปแก้ที่ปลายเหตุ ทุก ๆ อย่างนั้นแก้ปัญหาได้
เราต้องรู้ปัญหา แต่ก่อนเราไม่รู้ปัญหา เมื่อไม่รู้ปัญหาก็ไม่เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราเลยเป็นผู้ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา เพราะไม่รู้ปัญหาไม่รู้จักปัญหา คือเป็นผู้ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
การประพฤติการปฏิบัติให้พวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจ เพื่อให้การประพฤติการปฏิบัติสมบูรณ์ สมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ ลงรายละเอียดทั้งเบื้องต้นท่ามกลาง ในที่สุด ไม่มีใครเหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมได้ ต้องลงรายละเอียด
ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าท่านทั้งหลายหรือว่าเธอทั้งหลายจงตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ไม่หลงไม่เพลิดเพลิน ต้องรู้เข้าใจ เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงคือธรรมคือสภาวธรรม
เราต้องมีศีลมีศิลปะ อย่าไปตามสิ่งแวดล้อม เราต้องมีสมาธิ เพื่อเอาธรรมนำชีวิต ไม่เอาตัวตนนำชีวิต ยกเลิกตัวตน หรือว่ายกเลิกนิวรณ์ทั้ง ๕ ยกเลิกอคติทั้ง ๔ ยกเลิกให้หมด ต้องเอาธรรมนำชีวิต
ให้มีปิติให้มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติเต็มที่ มีเอกัคคตาในความเป็นหนึ่งเดียว ให้เอาธรรมนำชีวิต รู้เหตุรู้ปัจจัย อย่าไปติดอกติดใจ เพราะทุกอย่างนั้นมันคือเหตุคือปัจจัย เราต้องรู้ต้องเข้าใจ รู้กฏของเหตุของปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี
เราอย่าไปติดอกติดใจ เราต้องฝึกปล่อยฝึกวาง เราต้องผ่านไปด้วยความรู้ ความเข้าใจ จะได้เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาที่ประกอบด้วยความดี
สมมติสัจจะในโลกนี้มีหลายล้านสมมติ ชี้ให้เราเห็นแง่มุมต่าง ๆ สมมติสัจจะ มันเป็นอุปกรณ์แห่งการประพฤติการปฏิบัติ สมมติสัจจะมันเป็นยานเพื่อจะมาหยุดสัญชาตญาณ
เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเราก็มองไม่เห็นคุณไม่เห็นประโยชน์ เราไปปล่อยวางสิ่งที่ ไม่ถูกต้อง ปล่อยวางสมมติสัจจะที่ให้เราคิดดี ๆ พูดดี ๆ กิริยามารยาทดี ๆ ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ยกเลิกการไม่ทำบาป ตั้งมั่นในความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส จิตใจมีตัวมีตนคือใจเศร้าหมอง คือใจไม่ผ่องใส ต้องพากันรู้เข้าใจ
ทุกคนน่ะอยู่ด้วยตัวด้วยตน อยู่ในความเศร้าหมอง ตัวตนคือความเศร้าหมอง อย่าไปลูบคลำในตัวในตนในข้อวัตรปฏิบัติ อย่าได้พากันตั้งอยู่ในความประมาท เราก็จะไปในรูปเก่า ของเก่า
เราต้องรู้จักผิดรู้จักถูก รู้จักดีรู้จักชั่ว พากันมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าไม่อย่างนั้นน่ะเราจะเอาความไม่ถูกต้องนำชีวิต มันจะนำความทุกข์ให้เราทั้งกายทั้งใจ เรียกว่ามันเป็นโรคทั้งกายทั้งใจนะ
ดู ๆ แล้วน่ะทุก ๆ คนเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันเป็นโรคทั้งกายทั้งใจ โรคทางกายบางคนก็นาน ๆ ถึงเป็น แต่โรคทางใจที่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน มันเป็นโรคทางใจอยู่ตลอดเวลา
ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเราทุกคนก็เป็นโรคทางใจ เป็นโรคทางใจก็ไม่รู้เนื้อไม่รู้ตัว แล้วก็ไม่ได้แก้ตัวเอง มีแต่ไปเพิ่มเติมความหลงให้ตัวเอง
เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องรู้จักพอ รู้จักความพอเพียงเพียงพอ เราต้องสงบด้วยความรู้ความเข้าใจ เพื่อเอาความสงบกลับคืนมา เพื่อเอาอ๊อกซิเจนกลับคืนมา เอาสติกลับคืนมา เอาความสงบกลับคืนมา เอาปัญญากลับคืนมา ยกเลิกความหลง ยกเลิกอวิชชา เอาคาร์บอนออกไซด์ออกไป เอาของเสียออกไป เอาความหลง เอาความยึดมั่นถือมั่นออกไป เพื่อเราทั้งหลายจะได้เข้าถึงธรรมเข้าถึงปัจจุบันธรรม
เราทั้งหลายเน้นมาที่ตัวเรานี้แหละ อย่าคิดเหมือนแต่ก่อนน่ะ แต่ก่อนไม่รู้ไม่เข้าใจ มีแต่จะไปแก้สิ่งที่มันเป็นปลายเหตุน่ะ ไปหาแต่สิ่งที่มันแก้ปัญหาไม่ได้ มีแต่ไปสร้างปัญหา
ทางวิทยาศาสตร์เค้าก็พัฒนาทางวิทยาศาสตร์น่ะ น้ำเค็มก็พัฒนาเป็นน้ำจืด แห้งแล้งก็หาวิธีไม่ให้แห้งแล้ง น้ำท่วมก็หาวิธีไม่ให้น้ำท่วม เราต้องพัฒนาวิทยาศาสตร์ เราต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน
ทุกคนให้เข้าใจนะ ทุกคนก็เน้นมาที่ตัวเรานี้แหละ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
ทุกคนก็มีสิทธิพอ ๆ กันนั่นแหละ ไม่มีใครยิ่งกว่ากัน เพราะว่าความเป็นมนุษย์ก็เหมือนกัน เวลาก็เท่ากัน กลางวัน ๑๒ ชั่วโมง กลางคืน ๑๒ ชั่วโมงเท่ากัน
เราทุกคนต้องมาเน้นที่ตัวเรานี้แหละ ปฏิบัติทั้งต่อหน้าคนอื่น ลับหลังคนอื่นพอ ๆ กันนี้แหละ
เราต้องเป็นมนุษย์ผู้มีปัญญา เราต้องเป็นเทวดาผู้มีปัญญา เป็นเทพที่มีปัญญา เป็นผู้ประพฤติผู้ปฏิบัติพรหมจรรย์ที่มีปัญญา ไม่ใช่ไม่มีปัญญา
เอาตัวตนเป็นที่ตั้งพากันมาเซ่อ ๆ เบลอ ๆ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่ได้ เสียหาย เสียกาลเสียเวลา
เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
เราเกิดมาเพื่อมาสร้างความดีสร้างบารมี ๑๐ ทัศ ๒๐ ทัศ ๓๐ ทัศ ทั้งอย่างต้นอย่างกลาง อย่างละเอียด มามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ
เราต้องขอบใจทุกสิ่งทุกอย่างที่มันมาเกี่ยวข้องกับเรา ที่ให้เราได้มีโอกาสได้ประพฤติได้ปฏิบัติ
ถ้าไม่มีความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่มีความพลัดพราก ไม่มีหนาวไม่มีร้อน ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่มีคนดีคนชั่ว เราก็ไม่มีโอกาสที่จะได้ประพฤติได้ปฏิบัติธรรม
เราต้องเข้าใจ ถือว่าเราเป็นผู้ที่โชคดี อยู่ในท่ามกลางการประพฤติการปฏิบัติ
เราทั้งหลายต้องมีความสุขให้ได้ มีปิติมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติให้ได้
ถ้าเรารู้การประพฤติการปฏิบัติ ศีลสมาธิกับปัญญามันจะไปพร้อม ๆ กัน เสมอกันไป
ชีวิตของเราก็จะเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เพราะสัมมาทิฐิมันจะจัดการสิ่งภายนอกสิ่งภายใน สิ่งที่เป็นสัมมาทิฐินี้มันจะหยุดกรรมหยุดเวรหยุดภัย ไม่ให้เราไปตามสิ่งแวดล้อม
รูปมันก็จะเป็นรูปภายนอกเก้อ ๆ เสียงก็จะเป็นเสียงภายนอกเก้อ ๆ กลิ่นต่าง ๆ ก็จะเป็นภายนอกเก้อ ๆ น่ะ
ชีวิตของเราก็จะเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เพราะเรามีสมาธิมีปัญญา นี้เราไม่เข้าใจอริยสัจสี่ เราทั้งหลายน่ะเป็นผู้ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา ชีวิตของเราก็เป็นอย่างนี้แหละ
เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องเห็นคุณเห็นประโยชน์ในการหยุดวัฏฏสงสารด้วยความรู้ความเข้าใจ
เราไม่ต้องไปหาความดับทุกข์ที่ไหนหรอก ความดับทุกข์อยู่ที่เรารู้เข้าใจ ที่เราเอาศีลมาใช้ มาเอาสมาธิมาใช้ เอาปัญญามาใช้ อย่าเอาความหลงมาใช้ อย่าเอานิติบุคคลตัวตนมาใช้
เราเกิดมาเพื่อพุทธะ เกิดมาเพื่อรู้แจ้งทุกสิ่งทุกอย่าง เรียกว่ารู้แจ้งโลกรู้แจ้งธรรม เป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม เป็นปิติสุขเอกัคคตา เป็นปัญญาบริสุทธิคุณ รู้จักว่าอดีตมันผ่านไปแล้วเมื่อวานผ่านไปแล้วเอากลับคืนมาไม่ได้ อนาคตก็ยังมาไม่ถึง มารู้ธรรม รู้ปัจจุบันธรรม ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะไม่มีทุกข์อะไร มีแต่ปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
การประพฤติการปฏิบัติน่ะ วิปัสสนากับสมถะนี้แหละคืออริยมรรคมีองค์แปดอย่างนี้นะ สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ รู้เข้าใจแล้วมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ อริยมรรคมีองค์แปดถึงมีอยู่กับเราทุก ๆ คนที่รู้เข้าใจ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ
ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสบอกพวกเราทั้งหลายว่า สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ อยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มันเป็นสากล ไม่เกี่ยวกับชาติ ศาสนา มันเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เป็นสากล ทุกคนก็เป็นพระได้ เป็นผู้ไม่มีความทุกข์ได้ เพราะตัวตนคือไม่ใช่พระ เป็นภาระหนัก แบกความหลงพาไป ยิ่งกว่าแบกโลกแบกภูเขาเสียอีก
ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพวกเราทั้งหลายว่า พุทธะน่ะรู้แล้วไม่แบกของหนักพาไป ไม่แบกความหลงพาไป เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว เราต้องเอาธรรม นำชีวิต ไม่ต้องเอาความหลงนำชีวิต เจ้าจะสร้างบ้านสร้างเรือนสร้างวัฏฏสงสารให้เราไม่ได้อีกต่อไป สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ถึงมีกับเราทุก ๆ คน
เราเป็นมนุษย์จะเป็นใครอยู่ที่ไหนก็ไม่ต้องมีความทุกข์น่ะ เพราะว่าพระนิพพานหรือว่าความดับทุกข์ เป็นพระธรรมพระวินัย มีปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ มันจะมีอยู่กับหมู่มวลมนุษย์ อยู่ในข้าราชการนักการเมืองพ่อค้าประชาชน อยู่ในนักบวชที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
เราอย่าไปหลงงมงายว่าพระนิพพานมีเฉพาะศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาพราหมณ์ฮินดู หรือว่าศาสนาโน่นศาสนานี่ พระนิพพานมีอยู่ทุกศาสนานะ รู้เข้าใจมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติเราอยู่ที่ไหนก็มีพระนิพพานอยู่ทุกหนทุกแห่ง
เราไม่ต้องไปทะเลาะกัน ต้องรู้เข้าใจ เรายกเลิกตัวยกเลิกตนเมื่อไหร่เราก็หยุดทะเลาะกัน เหมือนธรรมกถึกวินัยธรไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย
ทุกคนเป้าหมายก็คือพระนิพพาน เอานิติบุคคลเป็นตัวเป็นตน เอาพระธรรมพระวินัยเป็นตัวเป็นตนก็เลยทะเลาะกัน
ถ้ารู้เข้าใจ ยกเลิกตัวตน เราก็ยกเลิกการทะเลาะทั้งหลายทั้งปวง มันก็ไม่มีสงครามแล้ว ถ้ายกเลิกตัวตนก็ยกเลิกความวุ่นวายยกเลิกความไม่สงบยกเลิกสงคราม
พระธรรมพระวินัย รู้เข้าใจ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ อย่างนี้ดีมาก อย่างนี้เป็นสุปฏิปันโน เป็นผู้ปฏิบัติดีเป็นผู้ปฏิบัติชอบ อุชุปฏิปันโน เป็นปฏิบัติตรง ญายะปฏิปันโน ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ ไม่ต้องมีทุกข์ สามีจิปะฏิปันโน ปฏิบัติสมควร ปฏิบัติพอดี พอเพียงเพียงพอน่ะ
อยากได้มากกว่านี้มันก็ไม่ได้เพราะว่ามันมีเท่านี้ อยากได้น้อยกว่านี้มันก็ไม่ได้เพราะมันเป็นอย่างนี้ ทุกอย่างมันเป็นความพอดี เป็นความพอเพียงเพียงพอ
ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ท่านพูดออกจากอริยสัจสี่ พูดออกจากสัมมาทิฐิว่าพสกนิกรชาวไทยชาวโลกว่า ต้องรู้จักธรรมรู้จักสภาวธรรม
เราทั้งหลายจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี
เราเป็นคนรวย เราจะไม่มีทุกข์เพราะรู้จักพอ เราเป็นคนจนเราก็ไม่มีทุกข์ เพราะมาแก้ไขที่ใจของเรา
เราทั้งหลายต้องรู้ความจริงรู้อริยสัจสี่ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เราทั้งหลายต้องมีปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
พวกเราทั้งหลายต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติเอาเอง ไม่มีใครมาประพฤติมาปฏิบัติให้เราได้ ถ้าเราประพฤติเราปฏิบัติอย่างนี้แหละ
เราก็มีความสุขเราก็มีความสงบเราก็มีปัญญาอย่างนี้ เรายกเลิกตัวตนน่ะทุกคนก็รักเรา เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งใครก็ไม่รักเรา เพราะตัวตนคือบุคคลไม่น่ารัก เพราะตัวตนมันคือความไม่น่ารัก เอาตัวตนเป็นที่ตั้งลูกหลานก็เถียงเรา
เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ข้าราชการนักการเมืองหรือนักบวชทั้งหลายเค้าก็ออกมาเดินขบวนมาต่อต้านว่าไม่ถูกต้อง ให้พากันออกไปออกไป ให้พากันหยุด ถ้าไม่อย่างนั้นก็พากันยุบพรรคเสียอย่างนี้ อันนี้ไม่ถูกต้อง
เราต้องเข้าใจ เรายกเลิกตัวตน เราทำไปปฏิบัติไปให้มันติดต่อต่อเนื่อง ชีวิตของเราจะได้สงบจะได้เย็น เย็นด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยสมมติสัจจะที่จะเข้าหาความสงบความวิเวก
เรามีปิติมีความสุขในการปฏิบัติต่อสมมติสัจจะ จิตใจของเราก็จะเข้าสู่ความวิเวก เราจะรู้จักความวิเวก
พระธรรมพระวินัย เรามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ใจของเราถึงจะสงบ ใจของเราถึงจะวิเวก เราต้องเข้าใจนะ
ความวิเวกก็รู้เข้าใจ เอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติ ยกเลิกในความคิด ในคำพูด ในกายวาจากิริยามารยาทอาชีพที่มันไม่ถูกต้อง มันจะเข้าสู่ความวิเวก
เราทั้งหลายอย่าไปเข้าใจเหมือนแต่ก่อน แต่ก่อนเราเข้าใจว่าจะให้มันว่างจากสิ่งที่ไม่มี จะไปแสวงหาความถูกอกถูกใจอันนั้นไม่ใช่นะ มันไปแสวงหาความหลงต่างหากล่ะ
แต่ก่อนเราไม่รู้เข้าใจ จะไปเอาความสงบที่ทุ่งใหญ่นเรศวรโน่น ไปเอาความสงบ ที่ห้วยขาแข้ง เอาความสงบที่เขาใหญ่ ที่ภูสอยเดือนสอยดาวสอยดวงอาทิตย์อันนี้ไม่ใช่
เราต้องเข้าใจ อันนั้นมันความสงบภายนอก ความสงบต้องเป็นสัมมาทิฐิ มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง เอาพระธรรมพระวินัยมามีปิติความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ
เราทั้งหลายจะเข้าถึงความดับทุกข์ เอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติ นี้ดีมากมีประโยชน์มากนะ เราต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ
ตำแหน่งที่เค้าแต่งตั้งให้เรา...
การสอบแข่งขันความรู้ตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอก เค้าให้ตำแหน่งเรา พัฒนาความรู้ของเรา เค้ารับรองถูกต้องตามกฎหมายอันนี้ถือว่าเป็นตำแหน่งที่คนอื่นเค้าให้นะ
ตำแหน่งของเราคือเรามามีปิติมีความสุขในการเสียสละอย่างนี้แหละ อย่าไปหลงในตำแหน่งที่เค้าแต่งตั้ง อันนั้นมันเป็นเพียงแต่งตั้ง มันเป็นใบประกอบการันตีน่ะว่าเราเป็นคนมีสติมีปัญญา
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราต้องเอาความรู้ความเข้าใจมามีปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
เราทั้งหลายอย่าเป็นนิติบุคคลตัวตน เราอย่าไปหลงงมงาย เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน
อย่าไปหลงงมงายในสมมติสัจจะทั้งหลายที่เค้าแต่งตั้งให้เรา
เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญาที่ยกเลิกตัวตนน่ะ เหมือนพระอรหันต์ เหมือนพระอริยเจ้าทั้งหลาย
เราต้องทั้งหลายต้องไม่เอาความหลงนำชีวิต
ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านรู้เข้าใจ ที่ท่านรับข้าวมัธทุปายาตจากนางสุชาดา
ท่านเสวยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราและอธิษฐานถาดทองคำที่นางสุชาดาถวายน่ะ
ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเรารู้เข้าใจแล้วเข้าสู่ทางสายกลาง
เหมือนรู้เรื่องพิณนี้แหละ เค้าดีดพิณตึงเกินไปมันก็ไม่ดี หย่อนเกินไปก็ไม่ดี มันต้องพอดี
เราทั้งหลายต้องรู้อริยสัจสี่อย่างนี้ เพื่อเอาความสุขนำชีวิต เพื่อทุกคนจะได้ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ
ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้รับหญ้าคาจากอุบาสกโสตถิยะที่ถวายหญ้าคาน่ะ
เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็คามันไปไหนไม่ได้ ก็ต้องเอาสมมติสัจจะมาประพฤติมาปฏิบัติ มีปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เอาโลกธรรมมานั่งทับไว้
รู้เข้าใจมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ยกทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างต้องรู้เข้าใจ เราต้องหยุดด้วยพระธรรมพระวินัย เข้าสู่ความวิเวก เราจะได้รู้จักความวิเวกที่ถูกต้อง
ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสบอกในใจว่า ท่านก็เป็นลูกหลานพราหมณ์มาก่อน พราหมณ์ก็เอาแต่สมาธิสมาบัติ การประพฤติการปฏิบัติมันก็ไม่ครบวงจร
คนเราจะเอาแต่สมาธิเอาแต่สมาบัติอย่างเดียวไม่ได้ เพราะชีวิตของเรามันต้องครบวงจร
เหมือนต้นไม้นี้แหละ ต้นไม้ต้นหนึ่งต้องได้อาหารมาจากทุกทิศทุกทางของต้นไม้ทั้งทางกิ่งทางใบทางก้านสาขา รอบทิศทางปริมณฑลของต้นไม้ทั้งแสงแดดทั้งอากาศออกซิเจนทุกทิศทุกทาง
ฉันใดก็ฉันนั้น
อริยมรรคมีองค์แปด ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องในชีวิตประจำวัน มีสัมมาทิฐิ
การประพฤติการปฏิบัติถึงไม่เลือกกาลไม่เลือกเวลา ต้องเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม มีปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
เราต้องคิดดี ๆ พูดดีๆ กิริยามายาทดี ๆ ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เอาธรรมนำชีวิตชีวิตของเราจะได้เป็นวิตามินโปรตีนเกลือแร่แร่ธาตุ เปรียบเสมือนต้นไม้นี้แหละ ไม่ใช่ได้อาหารมาจากทางรากอย่างเดียวนะ มันต้องได้มาจากทุกทิศทุกทาง
อริยมรรคมีองค์แปดถึงเป็นวิปัสสนาเป็นสมถะเป็นสมมติสัจจะ มีปิติมีความสุข ในการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้ เข้าสู่ความวิเวก เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม
เมื่อชีวิตของเราเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ชีวิตของเราก็ก้าวไป เพราะทุกอย่าง ก็เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เพราะจิตใจของมนุษย์ก็คิดได้ทีละอย่าง วาระจิตคำพูด ก็ได้ทีละอย่าง กิริยามารยาทก็ได้ทีละอย่าง อาชีพก็ได้ทีละอย่าง
เรารู้เข้าใจ ก้าวไปด้วยความรู้เข้าใจ มันจะเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาอย่างนี้
เราทั้งหลายน่ะต้องพากันหยุด พากันยกเลิก พากันมามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ
เราทั้งหลายต้องเน้นมารู้มาเข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าก็จะไปแก้ไขปลายเหตุน่ะ โรคจิตโรคประสาทโรคซึมเศร้าของเรามันจะไม่หาย เพราะเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันเรียกว่าเป็นโรคจิตโรคประสาทโรคซึมเศร้าน่ะ
ปัจจุบันนี้เราทั้งหลายไม่เข้าใจ ยิ่งเรียนมากก็ยิ่งมีความทุกข์มาก เป็นโรคจิตโรคประสาท โรคซึมเศร้ามาก เพราะเราทั้งหลายไปแก้ที่ปลายเหตุ ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุกลางเหตุ ปลายเหตุไปพร้อม ๆ กัน
เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ต้องเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจมันแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะนิสัยความเคยชินมันก็จะไปในร่องเก่ารอยเก่า ถ้าไม่อาศัยพระธรรมพระวินัย ไม่รู้ไม่เข้าใจ ไม่มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติมันก็จะแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะความไม่รู้ไม่เข้าใจมันแก้ปัญหาไม่ได้
ความรู้ความเข้าใจมันเป็นสัมมาทิฐิ สัมมาทิฐิเป็นปัญญาบริสุทธิคุณ มันไม่ใช่ความจำ ความจำนี้หลายวันหลายเดือนหลายปีมันลืมได้ แต่ความรู้ความเข้าใจมันเป็นแสงสว่างคือปัญญา มันเป็นแสงสว่างที่หยุดความมืด มันจะหยุดสัญชาตญาณด้วยความรู้ความเข้าใจอย่างนี้ มันไม่เหมือนความจำ เพราะความจำนั้นมันเป็นอดีต
ผู้ที่เรียนจบสูงน่ะ เรียนเพื่อตัวเพื่อตน มันก็ไมใช่ธรรมไม่ใช่ปัจจุบันธรรมมันเป็นตัวเป็นตนให้เข้าใจอย่างนี้
เรื่องพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องธรรมเรื่องปัจจุบัน เรื่องพระอรหันต์เป็นเรื่องธรรม เรื่องปัจจุบันธรรม เรื่องสัมมาทิฐิเราต้องเข้าใจอย่างนี้
ขออนุโมนากับท่านทั้งหลายนะ ท่านเป็นผู้ที่ประเสริฐท่านมีลมปราณได้เกิดมาเป็นมนุษย์
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าสิ่งที่ประเสริฐที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ได้มาประพฤติมาปฏิบัติ
ให้พากันมีปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
เพราะเราทุกคนต้องประพฤติต้องปฏิบัติเอาเอง ไม่มีใครปฏิบัติให้เราได้ เราต้องปฏิบัติของเราเอง
พระพุทธเจ้าก็ทำพุทธกิจของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์สาวกได้ฟังพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าท่านก็ทำกิจของพระอรหันต์
พวกเราทุก ๆ คนก็ทำหน้าที่ของเรา เพราะเราเป็นผู้ประเสริฐน่ะ
------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันศุกร์ที่ ๒๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ตำบลวังหมี อำเภอวังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา