๑ มีนาคม (สวดพระอภิธรรม คุณแม่สวาท ร่มโพธิ์)

วันนี้เป็นวันที่ ๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖

ค่ำวันนี้ได้บำเพ็ญบุญกุศลพิเศษให้กับคุณแม่สวาท ร่มโพธิ์ ที่ได้ละสังขารวายชนม์จากไปด้วยอายุขัย ........ปี

 

คืนนี้เป็นคืนบำเพ็ญกุศลคืนสุดท้าย พรุ่งนี้เวลาเช้า ๘ นาฬิกา ได้ถวายทานอุทิศบุญกุศล เวลา ๙ นาฬิกา ๓๐ นาที จะได้ร่วมรวมกันสวดมาติกาบังสุกุล แสดงธรรม อุทิศบุญกุศลนำสรีระไปประชุมเพลิง ณ เมรุวัดทับทิมแดงธรรมารามแห่งนี้

 

คุณแม่สวาท ร่มโพธิ์ ท่านเป็นคนดีมาก เป็นคนดีพิเศษ เป็นคนดีจริง ๆ  ถึงได้ถ่ายทอดดีเอ็นเอที่เป็นทั้งคนดีเป็นทั้งคนมีปัญญาเอาพระพุทธเจ้านำชีวิตทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพ ลูกหลานของท่านเป็นคนดี

 

การจัดงานก็เอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ยกเลิกโลกธรรม พากันเอาธรรมนำชีวิต อย่างนี้ดีมาก เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ยกเลิกโลกธรรม เอาธรรมนำชีวิต

 

มนุษย์เราทั้งหลาย มนุษย์เราคือผู้ที่ประเสริฐ

 

การดำเนินชีวิตให้พวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจ ทุกคนจะไปทำอะไรตามใจ ตามอัธยาศัยไม่ได้ ต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต พากันมีปิติ มีความสุข มีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะสิ่งเหล่านี้คือความถูกต้อง

 

เราทั้งหลายมาเน้นที่ตัวของเราเอง มาปฏิบัติที่ตัวของเราเอง ต้องปรับตัวเข้าหาธรรมะ เข้าหาธรรมนูญ เพื่อเป็นทางสายกลาง

 

ทางสายกลางก็ได้แก่ธรรมะ ธรรมนูญที่เป็นสมมติสัจจะ

 

สมมติสัจจะนี้ที่มีอยู่ทั้งหลาย หลายล้านสมมติสัจจะ

 

พวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจ บอกให้เราทราบทั้งความถูกต้องและความไม่ถูกต้อง ความดีความไม่ดี

 

พวกเราทั้งหลายต้องรู้ต้องเข้าใจ พวกเราทั้งหลายจะได้ก้าวไปด้วยธรรมะด้วยธรรมนูญ เพราะทุกอย่างคือกรรมคือกฎแห่งกรรมแล้วก็เป็นผลของกรรม                 

 

เมื่อเรายังไม่ทำถือว่ายังไม่ได้ไม่เสีย แต่เราทำไปแล้วมันเป็นกรรม เป็นกฎของกรรม แล้วก็เป็นผลของกรรม ไม่มีใครอยู่เหนือกฎของกรรม

 

เราทั้งหลายน่ะ เรานี้ก็หมายถึงทุก ๆ คน ทุกคนอยู่ในโลกใบนี้ โลกใบนี้ของเราที่หมุนรอบตัวเอง เป็นกลางวัน ๑๒ ชั่วโมง เป็นกลางคืน ๑๒ ชั่วโมง โลกใบนี้ขณะนี้เวลานี้มีประชากรของโลกหมู่มวลมนุษย์แปดพันกว่าล้านคน นับเป็นประเทศ ๑๙๕ ประเทศ ปัจจุบันนี้ ๑๙๕ ประเทศ

 

ต้องเอารัฐธรรมนูญนำชีวิต เพื่อจะไปในทางสายกลาง พัฒนาใจพร้อมกับพัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กัน

 

การพัฒนากับการปฏิบัติคืออันเดียวกัน เพราะสิ่งนี้เป็นธรรม เป็นการกระทำ เป็นกฎของกรรม แล้วก็ต้องได้รับผลของกรรม

 

มนุษย์เราต้องทำให้ถูกต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง เราทั้งหลายถึงไม่มีสิทธิที่จะไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย ต้องเอาธรรมนำชีวิต ให้มองเห็นสมมติสัจจะเป็นสิ่งที่สำคัญ

 

มนุษย์เราถึงมีการเรียนการศึกษาเรื่องสมมติสัจจะที่เป็นศาสตร์

 

มนุษย์เรามีการเรียนการศึกษาตั้งแต่โบราณกาลทั้งหมด ๑๘ ศาสตร์ เพื่อเป็นหลักการ เพื่อเป็นโครงสร้างของชีวิตเพื่อเป็นอุดมการณ์และอุดมธรรม ชีวิตของเรา จะได้สมบูรณ์ เป็นมรรคเป็นอริยมรรค ชีวิตของเราจะได้สมบูรณ์ด้วยวิตามินโปรตีนเกลือแร่แร่ธาตุ

 

มนุษย์เราต้องเข้าใจ ต้องมีปัญญา ต้องรู้แจ้งเห็นจริง การรู้แจ้งเห็นจริงนี้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกว่าอริยสัจสี่ เราจะได้รู้เรื่องของทุกข์ แล้วก็รู้เรื่องเหตุทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ แล้วพากันมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ พากันตั้งใจตั้งเจตนา ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง อย่างที่มีความสุขในปัจจุบัน

 

ปิติสุขเอกัคคตาถึงเป็นสิ่งที่นำพาหมู่มวลมนุษย์ก้าวไปด้วยความสงบด้วยปัญญา ชีวิตของเราก็จะมีแต่ปิติมีแต่ความสุขมีแต่เอกัคคตา

 

พวกเราทั้งหลายให้พากันเข้าใจอย่างนี้

 

สมมติสัจจะนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ เราทั้งหลายต้องปฏิบัติต่อสมมติสัจจะให้ถูกต้อง

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพวกเราทั้งหลายว่า อย่าไปประมาทต้องโฟกัสในการประพฤติการปฏิบัติ อย่าไปประมาท ต้องเห็นความสำคัญมั่นหมายในการประพฤติการปฏิบัติ เมื่อเรายังไม่ได้ทำเรายังเป็นเจ้านาย

 

ก็เหมือนที่พวกเราทั้งหลาย เมื่อเรายังไม่ได้กู้เงินธนาคารเราก็ยังไม่เป็นหนี้ธนาคาร เมื่อเราไปกู้เงินธนาคารเมื่อไหร่ เราก็เป็นลูกหนี้ของธนาคาร

 

การประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบันถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ปัจจุบันจึงเป็นวาระแห่งการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันเป็นวาระแห่งชาติ

 

ปัจจุบันสำคัญนะ ปัจจุบันถือเป็นวาระแห่งชาติ ความคิด คำพูด การกระทำ กิริยามารยาททั้งอาชีพ ถือว่าเป็นวาระสำคัญเป็นวาระแห่งชาติ

เมื่อเราคิดพูดทำกิริยามารยาททั้งอาชีพ มันจะเป็นกรรมเป็นกฎของกรรมที่เรียกว่ากรรมกร อุปกรณ์ของการก้าวไป

 

ความคิดคำพูดกิริยามารยาททั้งอาชีพมันจะเป็นกรรมกรเป็นอุปกรณ์

 

ให้พวกเราทั้งหลายต้องมีปัญญาสัมมาทิฐิ

 

เราทั้งหลายน่ะต้องตั้งอกตั้งใจให้ดี ต้องทำให้ถูกต้อง เพราะความถูกต้องเป็นสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่เราไปตัดออกไปมีเพิ่ม มันมีอยู่มันเป็นความพอดี เป็นความพอเพียง

 

เหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ท่านทรงตรัสโอวาทแก่พสกนิกรชาวไทยและชาวโลกว่า เราทั้งหลายต้องรู้จักรู้แจ้งการประพฤติ การปฏิบัติ

 

เราจะได้เข้าถึงการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เราจะได้เข้าถึงการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน รู้เรื่องการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี ให้อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่กับความสงบอยู่กับปัญญา อยู่กับปัญญาอยู่กับความสงบ

 

เราจะได้โฟกัสในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะก้าวไปด้วยความพอเพียงเพียงพอ

 

ความรู้ความเข้าใจจะเป็นสัมมาทิฐิ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจมันจะเป็นนิติบุคคลตัวตน ความรู้ความเข้าใจนี้มันจะเป็นธรรมะเป็นธรรมนูญ

 

เราทั้งหลายต้องรู้จัก เราจะไม่ได้มีความทุกข์ทางใจ เราจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ มีมากก็ต้องพอเพียงเพียงพอ มีน้อยก็ต้องพอเพียงเพียงพอ มีปานกลางก็พอ ไม่มีเลยก็พอ พอเพียงเพียงพอ

 

เราต้องรู้จักทุกข์เหตุเกิดทุกข์ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์

 

เมื่อเราแก้ไขทางภายนอกไม่ได้ก็ต้องแก้ไขที่ใจของเรา เพราะมันมีสองอย่างที่จะต้องให้เราแก้ไขอยู่แล้ว

 

เราต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ

 

เราเป็นคนไม่มีวัตถุเราก็ไม่ต้องไปทุกข์มัน เพราะเราต้องรู้ทุกข์ เราจะไปคิดทำไมเมื่อมันเป็นไปไม่ได้ก็อย่าไปคิดมัน อย่าไปปรุงแต่งมันเพราะมันเป็นไปไม่ได้

 

อย่างคนแก่อย่างนี้แหละ เราไม่อยากให้แก่มันก็ต้องแก่ เพราะอันนั้นเป็นธรรมชาติเป็นประภัสสร

 

อย่างความเจ็บอย่างนี้มันก็เป็นธรรมชาติของมัน เราไม่อยากให้มันเจ็บมันป่วย มันก็เป็นธรรมชาติของมันเป็นประภัสสร

 

เราทั้งหลายต้องรู้จักต้องมีปัญญา เราจะต้องรู้จักความพอเพียงเพียงพอ

 

เราเป็นคนจนเราจะได้ไม่ต้องมีความทุกข์ เราเป็นคนรวยเป็นคนมีสิ่งเพรียบพร้อมด้วยวัตถุสิ่งอำนวยความสะสบาย เราต้องรู้จักเพียงพอและมีปัญญาด้วย ถ้าอย่างนั้นเราจะเป็นคนไม่รู้จักพอ เรียกว่าคนรวยถ้าไม่เข้าใจก็จะเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะไม่รู้จักพอ

 

สรุปแล้วคนรวยกับคนจนเอาตัวตนเป็นที่ตั้งก็เป็นทุกข์พอ ๆ กันนี้แหละ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พวกเราทั้งหลายพากันรู้อริยสัจสี่ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ พวกเราทั้งหลายจะได้มีปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้รู้จักธรรม รู้จักสภาวธรรม รู้จักความเป็นประภัสสร เราจะไม่ได้ลิดรอนสิ่งที่เป็นประภัสสร

 

ทุกอย่างมันเป็นธรรมเป็นสภาวธรรม

 

เราทั้งหลายพากันรู้พากันเข้าใจ

ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสธรรมเทศนาให้แก่ปัญจวัคคีย์ทั้งห้าที่ป่าอิติปตนมฤคทายวัน เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเสวยวิมุติสุข แล้วเสด็จไปบอกไปสอน ไปบอกปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิติปตนมฤคทายวัน ให้รู้เข้าใจเรื่องอริยสัจสี่เรื่องเหตุเรื่องผล เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราไม่รู้เข้าใจเราเป็นคนจนก็ทุกข์เพราะไม่มี เราเป็นคนรวยก็ทุกข์เพราะไม่รู้จักพอ ไม่เข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียงเพียงพอ

 

ปัญจวัคคีย์ทั้งห้ารู้เข้าใจว่าทุกอย่างคือเหตุคือปัจจัย แล้วอุทานในใจว่าจักขุเกิดขึ้นแล้วแก่ ญาณเกิดขึ้นแล้วแก่เรา แสงสว่างเกิดขึ้นแก่เรา ที่เราไม่เคยรู้เข้าใจมาแต่ก่อน แต่ก่อนเรามีแต่ตาเนื้อตาหนังตาไม่มีตาปัญญา

 

มนุษย์เราต้องมีตาเนื้อตาหนังตาปัญญาไปพร้อม ๆ กัน เราทั้งหลายจะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้มีความสงบ ไม่ได้ไปตามสิ่งที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ  ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม เพราะสิ่งแวดล้อมเขาก็มีอยู่อย่างนั้น รูปก็มีอยู่อย่างนั้น เวทนาก็มีอยู่อย่างนั้น สัญญา สังขาร วิญญาณเค้าเป็นประภัสสรอยู่อย่างนั้น

 

เรารู้เข้าใจเราจะรู้จักรู้แจ้ง เราจะได้ทำจิตใจสงบที่ประกอบด้วยปัญญา ทำปัญญาให้สงบไม่เอาความหลงนำชีวิต เอาพุทธะนำชีวิตพากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ปัญวัคคีย์รู้เข้าใจ ท่านก็มีปิติสุขเอกัคคตา พวกเราทั้งหลายพากันรู้เข้าใจนะ  ความเป็นพระน่ะมันเป็นได้ทุก ๆ คน

 

รู้เข้าใจแล้วก็มีปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ความเป็นพระอยู่กับเราทุก ๆ คน

 

หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายแปดพันกว่าล้านคนเป็นพระได้ทั้งหมด ให้เข้าใจอย่างนี้เพราะพระคือผู้ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง คือผู้ที่รู้อริยสัจสี่รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์

 

พวกเราทั้งหลายต้องรู้จักความเป็นพระ มาเน้นที่ตัวเราปฏิบัติที่ตัวเรา

 

เราทั้งหลายไม่ต้องไปหาพระที่ไหน หาพระที่เรานี้แหละ ที่ความคิดของเราคิดดี ๆ ที่ประกอบด้วยปัญญา พูดดี ๆ ทำดี ๆ กิริยามารยาทดี ๆ ที่ประกอบด้วยปัญญา อาชีพของเราที่เอาธรรมนำชีวิต ไม่เอาตัวตนนำชีวิต มีความสุขในการทำงาน พวกเราทั้งหลายก็เป็นพระแล้ว

 

เป็นมนุษย์ที่ประเสริฐ เป็นมนุษย์ที่มีปัญญาสัมมาทิฐิ เป็นเทวดาที่มีปัญญาสัมมาทิฐิ เป็นพรหมจรรย์ที่มีปัญญาสัมมาทิฐิ ชีวิตของเราก็เป็นพระได้ทุก ๆ คน

 

เราทั้งหลายต้องเข้าใจความเป็นพระ และเข้าใจเรื่องความเป็นมนุษย์

 

เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเราก็เป็นมนุษย์ไม่ได้ เราก็เป็นได้แต่เพียงคน

 

คนแปลว่าความหลงอยู่ที่เค้าเรียกว่าคนคน มันวกวนอยู่ที่เก่า มันย่ำต๊อกอยู่ที่เก่า

 

 ภพภูมิของความเป็นคนจึงมีหลายภพภูมิ มีทั้งหมด ๓๑ ภพภูมิ ในส่วนร่างกายของมนุษย์ภพภูมิอยู่ ๓๑ ภพภูมิ

 

เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่ได้ ต้องรู้เข้าใจ เราต้องเอาพระธรรมนำชีวิต

 

พวกเราทั้งหลายต้องหยุดภพภูมิต่าง ๆ ด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้มีสัมมาทิฐิความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง

 

เราต้องเห็นความสำคัญในการประพฤติการปฏิบัติ

 

พวกเราทั้งหลายต้องเอาธรรมนำชีวิตในชีวิตประจำวัน เรารู้เข้าใจ เรามีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เอากายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพมาประพฤติมาปฏิบัติ เพื่อเป็นมรรคเป็นหนทางเดิน เพื่อทำที่สุดแห่งความไม่มีทุกข์ของเราทุก ๆ คน

 

เราทั้งหลายมาปฏิบัติที่ตัวเอง

 

พวกเราเป็นมนุษย์พากันนอนพากันพักผ่อนวันละ ๕,๖,๗,๘ ชั่วโมงนะ

 

เราต้องทำให้ถูกต้อง เราต้องพากันนอนพักผ่อน ๕,๖,๗,๘ ชั่วโมง

 

วันไหนมันบีบตัวธุรกิจหน้าที่การงานมากต้องให้นอนพักผ่อน ๕,๖ ชั่วโมง

 

ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ไม่ได้ สุขภาพร่างกายของเราจะเสีย ร่างกายของเรามันจะรวน

 

เป็นมนุษย์เราต้องนอนพักผ่อน ๕,๖,๗,๘ ชั่วโมง

 

มนุษย์ที่เป็นข้าราชการนักการเมืองเป็นพ่อค้าประชาชนที่ไม่ได้บวช เค้าเรียกว่าเป็นฆราวาส

 

ฆราวาสก็ต้องเอาธรรมนำชีวิตไม่ใช่เอาตัวตนนำชีวิต ต้องพากันมาพักผ่อน ๕,๖,๗,๘ ชั่วโมง

 

มนุษย์เราต้องพากันออกกำลังกายด้วย เพราะการงานนี้ บางคนก็เป็นงานที่ไม่ได้ออกกำลังกาย เป็นงานที่ใช้ระบบสมองสติปัญญา

 

มนุษย์เราต้องออกกำลังกาย พวกที่ทำงานใช้สมองใช้สติปัญญา ใช้คอมพิวเตอร์ ก็จะต้องออกกำลังกาย

 

ด้วยความไม่เอาใจใส่ไม่เห็นความสำคัญในการปฏิบัติธรรม ไม่ออกกำลังกายกัน

 

การออกกำลังกายนี้ต้องออกกำลังกาย สถานที่ออกกำลังกายก็คือที่บ้านของเรา ที่อยู่ที่อาศัยของเรา ทุกวันนี้ก็สะดวกสบายด้วยห้องแอร์ที่บ้านเรา เราก็ออกกำลังกายที่บ้านของเรา เราต้องออกกำลังกายที่นั่นแหละ

 

ไม่เหมือนแต่ก่อนไม่เหมือนสมัยโบราณ เค้ามีที่อากาศดี เค้ามีที่ออกกำลังกาย ปัจจุบันนี้ค่าพีเอ็มมันเยอะ ต้องทำโยะออกกำลังกายที่บ้านที่อยู่อาศัย

 

เราต้องออกกำลัง ถ้าไม่อออกกำลังกายมันไม่แข็งแรง คนเราจะแข็งแรงได้ด้วยการออกกำลังกาย

 

พวกทำงานเกษตรกรอุตสาหกรรมพวกนี้ เค้าออกกำลังกายไปอยู่ในตัวอยู่แล้ว แต่สิ่งที่สำคัญ ผู้ที่ทำงานต้องมีความสุข ต้องมีปิติมีสุขมีเอกัคคตาในการทำงาน

 

การทำงานทุกอย่างก็ต้องมีความสุขต้องมีปิติมีความสุขในปัจจุบัน ให้ใจของเรามีปิติมีความสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะความสุขความดับทุกข์ มันต้องมีอยู่กับเราทุกคนในปัจจุบัน เพราะชีวิตของเราทุกคนเป็นปัจจุบัน

 

สิ่งที่มาผัสสะทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายทางใจมันเป็นสิ่งที่มาผัสสะ

 

เพราะเรามีตาก็ต้องมีรูป มีหูมันก็มีเสียง มีจมูกมันก็มีกลิ่น มีโผฏฐัพพะธรรมารมณ์มันเป็นสิ่งที่ผัสสะ แต่ทุกอย่างให้พวกเรารู้เข้าใจมันก็เป็นปัจจุบัน การหมุนเวียนการโคจรของโลกของดวงอาทิตย์มันหมุนเวียน แต่ทุกอย่างอยู่ที่ปัจจุบัน

 

เราทั้งหลายต้องพากันออกกำลังกายกัน พากันเสียสละต้องเห็นความสำคัญในการออกกำลังกาย

 

พระพุทธเจ้าก็ออกกำลังกายทุกวัน พระพุทธเจ้าก็เดินจงกรมทุกวัน เดินจงกรมออกกำลังกาย พระอรหันต์ก็เดินจงกรมทุกวันเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ที่อยู่ที่อาศัยที่บ้านของเรา

 

เราทุกคนต้องลงรายละเอียด ที่บ้านของเราที่อยู่ที่อาศัยต้องมีออกซิเจนดี

พระธรรมคือพระธรรมคือพระวินัยให้ทำข้อวัตรกิจวัตร ให้ปัดกวาดเช็ดถูดูแลความสะอาด ดูแลออกซิเจนในที่อยู่ที่อาศัย ที่อยู่ที่นอนก็สะอาด ห้องน้ำห้องสุขาก็สะอาดอากาศถ่ายเท ที่อยู่ที่อาศัยต้องไม่ต้องสกปรก ห้องน้ำห้องสุขาภาชนะต่าง ๆ ต้องไม่สกปรก ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่เอาใจใส่ ไม่ใส่ใจ ความเป็นนิติบุคคลตัวตนมันจะกลับมาเล่นงานเรา

 

การประพฤติการปฏิบัติถึงเป็นความสะอาดทั้งทางกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพที่อยู่ที่อาศัย ที่ประเทศเค้าเจริญ บ้านเค้าถึงสะอาด ที่อยู่ที่อาศัยถึงสะอาดที่ปลูกหญ้าตัดหญ้า ทำอะไรให้สะอาด ไม่ให้รกรุงรังไม่ให้เป็นสลัม ไม่ให้เป็นที่หมักหมม

 

ตัวตนมันหมักหมม มันเป็นนิตุบคคลตัวตน ตัวตนมันเหม็นนะ

 

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านบอกว่า เอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่ได้ มันเหม็น เหม็นหลายแดนโลกธาตุ ต้องเข้าใจ

 

ที่อยู่ที่อาศัยของเราต้องสะอาด

 

พระกรรมฐานหรือว่าพระธรรมพระวินัย ถึงให้ผู้ที่มาบวชเน้นเรื่องความคิด คำพูดการกระทำ กิริยามารยาท ตลอดที่อยู่ที่อาศัยต้องให้ยกเลิกตัวตน ถ้าเราไม่ยกเลิกตัวตนมันสกปรกน่ะ ที่อยู่ที่อาศัยห้องน้ำห้องสุขามันสกปรก ถ้วยโถโอจานอะไรก็เกะกะไปหมด เราต้องเข้าสู่การประพฤติการปฏิบัติธรรม

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกว่าอย่าเป็นนิติบุคคลตัวตน ตัวตนมันจะขี้เกียจขี้คร้านมันไม่เสียสละ

ถ้าเราไม่เสียสละ มันก็เป็นนิติบุคคลตัวตน ตัวตนน่ะที่มันเป็นความเสียหาย    

         

เราต้องเสียสละ

มนุษย์เราคือผู้ที่เสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละเราก็ไม่ใช่มนุษย์ เราก็เป็นได้แต่ความหลง เป็นได้แต่เพียงคน

มนุษย์เราต้องเสียสละ สิ่งที่ผ่านมาแล้วยกเลิกหมด สิ่งที่เป็นอนาคตก็ไม่ต้องไปคิดไปวิตกกังวล เอาปัจจุบันนี้เป็นความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ให้มีปิติมีสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ให้เน้นมาที่เราปฏิบัติที่เรา เอาเหมือนพระพุทธเจ้า

 

พระพุทธเจ้าท่านก็ปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าท่านก็มีพุทธกิจของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ก็มีกิจของพระอรหันต์ เราได้รับการแต่งตั้งอะไรก็มีกิจมีธุรกิจในสิ่งเหล่านั้น ต้องมีปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ อย่าเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ตัวตนมันขี้เกียจขี้คร้าน แม้แต่หายใจก็ยังไม่อยากหายใจ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความขี้เกียจขี้คร้าน นั้นไม่ใช่คนมีปัญญาเรียกว่าคนมีตัวตน

 

ตัวตนนั้นมันเป็นสัญชาตญาณ ตัวตนมันยึดมั่นถือมั่น

 

เราต้องมามีปิติมีความสุขในการเอาธรรมนูญนำชีวิตเอาการประพฤติการปฏิบัตินำชีวิต

 

เราต้องเสียสละตัวตนน่ะ เราทุกคนถึงจะเป็นผู้มีศีลสมาธิปัญญา

 

เราต้องยกเลิกความชอบความไม่ชอบ ความชอบไม่ชอบก็คืออันเดียวกัน

 

ดีใจเสียใจก็คืออันเดียว

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราอย่าไปสนใจ เราต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

เมื่อมันผ่านมาแล้วเรารู้เข้าใจเราก็ต้องเสียสละ เมื่อเราไม่เสียสละเราก็มีหนี้มีสิน เราไม่เสีสละ

 

การมีหนี้มีสินกับความยึดมั่นถือมั่นก็คืออันเดียวกันนั่นแหละ

 

การรักษาศีลหรือว่าปฏิบัติธรรมคือการทำให้ถูกต้อง มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติให้ถูกต้องคือการเสียสละตัวตนน่ะ

 

เราเอาตัวตนเป็นตที่ตั้ง ตัวตนนั้นจะกลับมาเล่นงานด้วยวัฏฏสงสาร ด้วยกรรมด้วยการกระทำ

 

เรามีตัวมีตนเราขี้เกียจขี้คร้านผลลัพธ์ของเราก็คือความยากจน เราไม่มีสติไม่มีปัญญา เราจะจนเพราะไม่รู้จักพอ

 

ความยึดมั่นถือมั่นกับท้องผูกนี้คืออันเดียวกันนะ

 

มนุษย์เรานี้ทานอาหารเท่าไหร่ก็ให้ระบายไปเท่านั้น เรียกว่าของเก่าไปของใหม่มา เพื่อความสมดุลไม่ขาดดุล เพื่อความไม่มีหนี้ไม่มีสิน

 

มนุษย์ของเราต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยปัญญา เรียกว่าสิ่งที่ผ่านมาแล้วเกษียณแล้ว เราต้องละต้องวาง ด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่น เพราะมันผ่านไปแล้ว เมื่อวานผ่านไปแล้วเอาคืนมาไม่ได้

 

พ่อแม่ก็ตายไปแล้วเอากลับคืนมาไม่ได้ สิ่งมันแตกหักพังมันผ่านไปแล้ว เอาคืนมาไม่ได้

 

เราต้องรู้เข้าใจ ว่าอันนี้เป็นธรรมเป็นสภาวธรรมที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป

 

เราต้องรู้เข้าใจ เอากลับคืนมาไม่ได้

 

อย่าให้ความเป็นนิติบุคคลตัวตน กลับมาเล่นงานเรา ต้องเสียสละ อย่าให้ยึดมั่นถือมั่นหรือว่าอย่าให้ท้องผูก

 

มนุษย์เรานี้วันหนึ่งต้องดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อไม่ให้ท้องผูก

 

เราไปหาหมอ หมอก็บอกว่าต้องดูแลโภชนาการทานอาหารให้ถูกต้อง อย่าให้ท้องผูก ต้องดื่มน้ำวันละ ๒ ลิตรอย่างนี้เป็นต้น เพื่อความหวานความเปรี้ยว ความมันจะไม่เข้มข้น มันจะพอดี ต้องดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่าให้ท้องผูก เพื่อของเก่าไปของใหม่มา

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เรื่องอาหารกาย อาหารวาจา อาหารกิริยามารยาท อาหารอาชีพ

 

เราต้องเรื่องรู้อาหารน่ะ ทุกอย่างคืออาหาร ทุกอย่างมันคือรายรับรายจ่าย

 

ต้องรู้เข้าใจ ว่าอาหารนี้มันได้มาทุกทิศทุกทาง ทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพ เราต้องได้อาหารที่ถูกต้อง อาหารเก่าไปอาหารใหม่มา

 

มนุษย์เราต้องมีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ เพราะธรรมชาติเค้าก็พอดีอยู่แล้ว กลางวัน ๑๒ ชั่วโมง กลางคืน ๑๒ ชั่วโมง มันเป็นความพอดีมันเป็นความพอเพียงเพียงพอ ความสงบกับปัญญาคู่กันอยู่แล้ว

 

มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติแล้วก็มีความสุขในการปล่อยการวางเพราะเป็นอดีตไปแล้วมันผ่านไปแล้ว

 

เราทั้งหลายต้องขอบใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เปิดโอกาสให้เราได้ประพฤติปฏิบัติธรรมเราได้ทำความดี บำเพ็ญบารมีเบื้องต้น ๑๐ ทัศ ท่ามกลาง ๒๐ ทัศ สูงสุดหรือว่าละเอียด ๓๐ ทัศ เราต้องก้าวไปด้วยความดี ด้วยบารมี ด้วยธรรม ด้วยปัจจุบันธรรม

 

ขอชื่นชมขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายนะที่เป็นผู้ประเสริฐ ที่เอาธรรมนำชีวิตที่ได้มาร่วมรวมกันบำเพ็ญบุญกุศลเพื่อกตัญญูกตเวที ให้กับคุณแม่สวาท ร่มโพธิ์ เพื่อบำเพ็ญบุญกุศลเพื่อในการไปสู่สุคติสรวงสวรรค์มรรคผลพระนิพพาน

 

ความดีของพวกเราทั้งหลาย พวกเราทั้งหลายต้องเอาความดีนำชีวิต เอาบริสุทธิคุณนำชีวิตเราทั้งหลายจะได้เป็นสุปฏิปันโน เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติสมควร ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์

 

เพื่อพวกเราทั้งหลายจะได้ส่งความถูกต้องหรือว่าส่งดีเอ็นเอแห่งความดีมอบให้กับโลกนี้ ส่งให้ลูกหลานเพื่อทำในสิ่งที่ถูกต้อง ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาที่บริสุทธิคุณ

 

----------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในงานสวดพระอภิธรรมและบำเพ็ญกุศลพิเศษให้แก่ คุณแม่สวาท ร่มโพธิ์   

ณ วัดทับทิมแดงธรรมาราม ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี

ค่ำวันที่ ๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘          

Visitors: 91,914