๑๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๑๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ วันนี้เป็นวันวิสาขบูชาของพระพุทธศาสนา วันวิสาขะปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ วันวิสาขะเป็นวันที่ตรงกับวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านประสูติ ตรัสรู้ เสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพาน
คำว่าเต็มหมายถึงความพอเพียงเพียงพอ เป็นความสมบูรณ์ของบารมี ๑๐ ทัศ ๒๐ ทัศ ๓๐ ทัศ เป็นความบริสุทธิบริบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ เป็นความรู้ความเข้าใจแล้วเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติทั้งกายทั้งวาจาทั้งใจทั้งกิริยามารยาททั้งอาชีพด้วยความรู้ความเข้าใจ เป็นบารมีเป็นความดี เป็นความบริสุทธิคุณทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพเป็นบริสุทธิคุณ เป็นมรรคเป็นอริยมรรคเป็นการบรรลุธรรมที่บริสุทธิบริบูรณ์ เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม
เราทั้งหลายพากันมาระลึกถึงนึกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านบำเพ็ญพุทธบารมีที่ติดต่อต่อเนื่องใช้เวลายาวนานหลายล้านปี หลายอสงไขย ไม่ทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย เอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต ไม่ประมาทไม่เพลิดเพลินตามสิ่งแวดล้อม เป็นความรู้จักรู้แจ้งเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา ไม่ไปตามผัสสะ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม เรียกว่าบรรลุธรรมตรัสรู้ธรรม
เราทุกคนพากันมาระลึกนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน คือธรรมะคือสภาวธรรม ให้พวกเรารู้เข้าใจ จะได้เอาหลักการเดียวกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าพระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน พระพุทธเจ้าคือธรรมะ
ให้ทุกท่านทุกคนเน้นที่ตัวของเราเอง มีความตั้งใจตั้งเจตนา เน้นที่ตัวของเราเอง ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ด้วยความตั้งอกตั้งใจ ไม่ประมาท ต้องเห็นปัจจุบันเป็นวาระสำคัญ ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติอย่าได้ประมาท ถ้าไม่อย่างนั้นน่ะเราจะเป็นผู้ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา เราจะไปตามสิ่งแวดล้อม
เราต้องรู้เราต้องเข้าใจต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต พากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตามีความเป็นหนึ่งในการประพฤติการปฏิบัติ เป็นตัวของตัวเอง ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม ถ้าเราไปตามสิ่งแวดล้อมไม่ได้ เราจะไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา
เราจะอยู่ที่ไหนเราก็พากันปฏิบัติได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ เพราะพระศาสนานี้เป็นความรู้ความเข้าใจ เป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ สิ่งต่าง ๆ นั้นมีอยู่ไม่ใช่ไม่มีน่ะ มันมีเพราะเหตุเพราะปัจจัย ที่อายตนะภายนอกอายตนะภายในมันสัมผัสกัน เรามีตารูปถึงมี เรามีหูเสียงถึงมี เรามีจมูกถึงมีกลิ่น เรามีลิ้นถึงมีรส เรามีร่างกายถึงมีสัมผัส เรามีใจถึงมีเรี่องจิตเรื่องใจ ให้เรารู้เข้าใจว่าเพราะสิ่งนี้มีถึงต่อไปมันถึงมี
เราต้องรู้เหตุปัจจัย เราต้องว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ความรู้ความเข้าใจนี้มันจะเป็นปัญญาบริสุทธิคุณ
ทางวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาเรื่องเหตุเรื่องผล พัฒนาเหตุพัฒนาปัจจัย เพื่อให้สิ่งนี้ดีขึ้น ทางวิทยาศาสตร์ก็ยังพัฒนาเพื่อเป็นนิติบุคคลตัวตน การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ถึงต้องพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจพัฒนาเรื่องปัญญาสัมมาทิฐิไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้ความดีนั้นเป็นบารมี
คำว่าบารมีนั้นเป็นการพัฒนาวิทยาศาสตร์พร้อมกับพัฒนาจิตใจไปพร้อม ๆ กันเพื่อให้เป็นทางสายกลาง ทางวิทยาศาสตร์ก็ดีด้วยความรู้ความเข้าใจ ทางจิตใจปัญญาสัมมาทิฐิก็ดี มันจะเป็นความพอดี เป็นทางสายกลาง เป็นความพอเพียงเพียงพอ
เราทั้งหลายไม่ต้องอาศัยใครนะ อาศัยความรู้ความเข้าใจ อาศัยการประพฤติการปฏิบัติของเราเอง อาลัยปลีแข้งในการฝึกการปฏิบัติของเราเอง
เราทั้งหลายต้องเป็นผู้บรรลุนิติภาวะ ไม่อาศัยใคร อาศัยความรู้ความเข้าใจเสียสละความไม่ถูกต้อง เสียสละตัวตน มีความตั้งใจมีเจตนา มีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเป็นศิลปะของชีวิต มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติให้ติดต่อต่อเนื่อง การที่มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติที่ต่อเนื่อง มันจะเป็นสัมมาสมาธิ มันจะเป็นธรรมเป็นสภาวธรรรม
การทำอะไรติดต่อต่อเนื่องกัน มันจะเป็นกระบวนการเป็นกระแสของสิ่งนั้น ๆ เราเอาความหลงเป็นที่ตั้งมันก็เป็นกระแสแห่งความหลง เอาธรรมเป็นที่ตั้งมันก็เป็นกระแสของปัญญาสัมมาทิฐิ มันกระแสเหมือนกันน่ะ
เราทั้งหลายต้องรู้อริยสัจสี่ด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะได้หยุดกระแสของการเวียนว่ายตายเกิด เราจะได้หยุดโลกธรรม
เราเอากระแสที่มันเป็นกระบวนการของปฏิจสมุปบาท ที่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน มันก็จะไปตามเหตุตามปัจจัย เราจะหยุดกระบวนการหยุดกระแสได้ก็เพราะความรู้ความเข้าใจ ความรู้ความเข้าใจปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องที่มันเป็นศีล ศิลปะชีวิตถึงเป็นกระบวนการแห่งการปฏิบัติธรรมเป็นการบรรลุธรรม เป็นผู้เอาธรรมนำชีวิต เป็นผู้เอาธรรมนูญนำชีวิต ธรรมนูญถึงเป็นสิ่งที่มีอุปการคุณกับเราทุกคน
ให้เราทั้งหลายรู้เข้าใจนะ ธรรมนูญเป็นสิ่งที่เป็นอุปการคุณกับเราทุก ๆ คน เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาที่ประกอบด้วยความดี
เราทั้งหลายพากันมารู้มาเข้าใจ เข้าสู่หลักการอุดมการณ์อุดมธรรมเพื่อความสมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสกับเราทุกคนว่าเธอทั้งหลายจงพากันประพฤติพรหมจรรย์เถิด พรหมจรรย์นี้หมายถึงธรรมนูญนี้แหละ อย่าได้ตั้งอยู่ในความเพลิดเพลิน อย่าได้ตั้งอยู่ในความประมาทให้เสียเวลาเสียกาลเสียเวลา ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ให้มีความสุขมีปิติมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
ทุกคนน่ะทำได้ปฏิบัติได้ รู้เข้าใจ เรามีธาตุทั้งสี่มีขันธ์ทั้ง ๕ มีอายตนะทั้ง ๖ ภายใน ๖ ภายนอก ๖ เป็น ๑๒ น่ะ เราอยู่ที่ไหนเรารู้เข้าใจเราปฏิบัติได้ทุกหนทุกแห่ง เป็นปัญญาสัมมาทิฐิเป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ด้วยความรู้ความเข้าใจ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ถึงมีอยู่ที่รู้เข้าใจ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติทุกคนปฏิบัติได้หมดถ้ารู้เข้าใจ พร้อมทั้งมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ทุกชาติทุกศาสนาไม่เลือกชั้นวรรณะเพราะธรรมะนั้นเป็นสากล ไม่เฉพาะเจาะจง เป็นสากล ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากมันเป็นสากล
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เราทำไปอย่างนี้ติดต่อต่อเนื่อ มันเป็นความดีเป็นบารมี เราต้องเข้าถึงความรู้ เข้าถึงการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เพราะอดีตที่มันผ่านมาแล้วมันเกษียณแล้ว อดีตมันปฏิบัติไม่ได้ มันหมดวาระหมดโอกาสหมดเวลา อนาคตที่ยังมาไม่ถึงมันก็ปฏิบัติไม่ได้เพราะอยู่ที่อนาคต เรารู้เข้าใจ อนาคตมันก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้แหละ เราทำบารมีความดีที่ประกอบด้วยปัญญาให้สมบูรณ์
เราทั้งหลายต้องเข้าใจว่า เราทั้งหลายต้องมีสัมมาทิฐิ รู้เข้าใจ เราจะได้เข้าถึงธรรมถึงปัจจุบันธรรมตั้งแต่ยังไม่ตาย มีความสุขในการทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ด้วยความตั้งใจด้วยเจตนาในปัจจุบัน เพื่อเราจะได้เข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบัน ไม่ต้องรอตาย ไม่ต้องรอชาติหน้า เพราะปัจจุบันมันเป็นพื้นเป็นฐานเป็นความดีเพื่อบารมี ๑๐ ทัศ ๒๐ ทัศ ๓๐ ทัศ
เราทั้งหลายต้องเข้าใจนะ ต้องมีปัญญาสัมมาทิฐิ ปัญญาความรู้ความเข้าใจ เข้าสู่การประพฤติการปฏิบัติมันจะเป็นความพอเพียงเพียงพอ
เหมือนแพทย์เค้าผ่าตัดนี้แหละ เค้ารู้เข้าใจในสรีระร่างกายที่เค้าผ่าตัดสมอง สมองของมนุษย์มันมีเส้นประสาทเยอะ ผู้ที่ผ่าตัดต้องมีปัญญา รู้เข้าใจแล้วก็มีความสงบ ความสงบกับปัญญามันถึงเป็นความพอดี เป็นความพอเพียงเพียงพอมันจะเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา มันจะเป็นความพอดี ไม่มากเกินไม่น้อยเกิน อย่างนี้ถึงจะปลอดภัยถึงจะไม่มีปัญหา การผ่าตัดถึงจะปลอดภัย หรือเหมือนกับแพทย์ผ่าตัดหัวใจ หัวใจมันเป็นศูนย์รวมของการส่งเลือดไปเลี้ยงสรีระร่างกายต่าง ๆ แพทย์ผู้ผ่าตัดต้องมีปัญญา มีความรู้ความเข้าใจ แล้วก็มีความสงบแล้วก็มีปัญญ เพื่อผ่าตัด ต้องโฟกัสในปัจจุบันให้ดี อันนี้ก็คือความพอเพียงเพียงพอ มันเป็นความเต็ม เต็มเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราคิดดูในแง่มุม ประสูติก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ตรัสรู้ก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานมันเป็นความพอดี ความพอเพียงเพียงพอ ให้เข้าใจนะ
อย่างที่คนโบราณเค้าเย็บผ้าเค้าต้องอาศัยเข็ม เข็มเล็ก ๆ เค้าใช้กับงานละเอียดประณีต เข็มมันเล็กรูก็เล็ก เราก็ต้องมีความสงบมีปัญญามีความนิ่ง ความนิ่งมันเป็นการโฟกัสในปัจจุบันนะ เป็นการโฟกัสเป็นความไม่ประมาท ด้วยความรู้ความเข้าใจ การแหย่รูเข็มด้วยด้ายถึงจะแหย่เข้ารูเข็มได้
เราทั้งหลายความสงบนี้มีอุปการะมากกับเราทุกคนนะ ปัญญาที่เป็นปัญญาบริสุทธิคุณถึงมีอุปการะกับเราทุกคนมากนะ
เราคิดดูดี ๆ นะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงตรัสรู้ ๒๐ พรรษาแรกแห่งการตรัสรู้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านยังไม่ได้วางหลักพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ท่านพูดเรื่องอริยสัจสี่ให้รู้ให้เข้าใจ แล้วพูดเรื่องอริยมรรคมีองค์แปดเพื่อให้ทุกคนพากันเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต เน้นโฟกัสความรู้ความเข้าใจ เพื่อให้สมบูรณ์ทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาททั้งอาชีพที่ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท
เห็นความสำคัญในปัจจุบัน การเห็นความสำคัญในปัจจุบันนี้คือความสงบนะ คือการโฟกัสในกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพเพื่อให้เป็นบริสุทธิคุณ ผู้ที่รู้เข้าใจถึงเป็นวิปัสสนาพร้อมทั้งเป็นสมถะที่มันเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม
ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ นี้มันเป็นความรู้ความเข้าใจคู่การประพฤติการปฏิบัติ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกผู้ประพฤติผู้ปฏิบัติต้องตั้งใจตั้งเจตนาให้มีความสุขมีปิติในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเรามีปิติมีความสุขในการประพฤติ การปฏิบัติ ทุกข์มันก็ไม่มีอยู่แล้ว เพราะเราทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะวาระจิตของเราคิดได้ทีละอย่าง เรามีปิติมีความสุขในสิ่งที่ถูกต้อง ทุกข์มันก็ไม่มี
ความทุกข์กับโรคซึมเศร้ามันคืออันเดียวกันนะ ทางภาษาแทพย์เค้าเรียกว่าโรคซึมเศร้า ทางภาษาพระศาสนาเรียกว่าความทุกข์
เน้นมาเรื่องจิตเรื่องใจ เพราะกายนั้นแหละมันเป็นะรรมเป็นสภาวธรรม การพัฒนาวิทยาศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาความทุกข์ทางร่างกาย การพัฒนาจิตใจ เป็นการพัฒนาอยู่เหนือวิทยาศาสตร์อีกน่ะ เพราะเราจะได้ไม่มีความทุกข์ใจ
ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราไม่มีก็เป็นทุกข์เพราะไม่มี เรามีอยู่แล้วมันก็มีทุกข์เพราะไม่รู้จักพอ มันเป็นการที่ไม่เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอไม่เข้าถึงความพอดี สองบุคคลนี้คือมีความทุกข์พอ ๆ กัน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าให้พวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจนะ เราทั้งหลายจะได้รู้อริยสัจสี่ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เป็นคนจนก็ทุกข์เพราะไม่มี เป็นคนรวยก็ทุกข์เพราะไม่รู้จักพอ
เราต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี เราทั้งหลายต้องรู้จักความเป็นประภัสสร ทุกอย่างเป็นประภัสสรเป็นใหญ่ในสิ่งนั้น ๆ ความแก่ก็เป็นใหญ่ของความแก่ ความเจ็บก็เป็นใหญ่ของความเจ็บ ความตายก็เป็นใหญ่ของความตาย ความพลัดพรากก็เป็นใหญ่ของความพลัดพรากเปลี่ยนแปลง ความรู้ความเข้าใจอย่างนี้เรียกว่ารู้ธรรมรู้สภาวธรรม เมื่อเรารู้เข้าใจแล้วเราอย่าไปลิดรอนสิทธิในสิ่งนั้น ๆ ที่เราชอบพูดกันว่าอย่าไปลิดรอนสิทธิของคนอื่น อย่าไปก้าวก่าย
ใจของเราต้องมีปัญญานะ อย่าไปลิดรอนความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากเพราะอันนั้นเป็นธรรมเป็นสภาวธรรม
เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้มีปัญญาสัมมาทิฐิเราทั้งหลายจะได้ไม่ไปลิดรอนสิทธิใคร มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้มีศีลมีสมาธิมีปัญญา รู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ การประพฤติการปฏิบัติจะเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญานี้ป็นบารมีนะ ถ้าอย่างนั้นไม่ใช่บารมี ถ้าเรียกว่าบารมีก็เป็นบารมีแห่งความหลงนะ ความหลงก็เป็นบารมีเหมือนกันนะ เป็นบารมี แห่งความหลง ไม่ใช่ปัญญาบารมีน่ะ
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันมีอยู่ ถ้าเรารู้เราเข้าใจความแก่ความเจ็บยความตายความพลัดพรากมันมีอยู่ เรารู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายก็เป็นประภัสสรของมันอยู่อย่างนั้นเรียกว่าสิ่งภายนอกก็เป็นภายนอก สิ่งภายในที่รู้เข้าใจก็เป็นภายใน ทุกอย่างจะไม่ก้าวก่ายกันเรียกว่า มันคนละอย่างกัน
ชีวิตของเราอายุขัยของเรามันอยู่ได้ร่วมศตวรรษหนึ่งนะ ศตวรรษหนึ่งคือร้อยปี พัฒนาใจพัฒนาวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กัน ให้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อความสมบูรณ์ในธรรมนูญของเราทุกคนนะ
เราทั้งหลายจะได้รู้ว่าเราเกิดมาเพื่อความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่อพระธรรมเพื่อธรรมนูญ เพราะชีวิตของเรานี้เป็นชีวิตที่ประเสริฐที่มีลมปราณ
ต้องรู้คุณค่าต้องเห็นคุณค่าว่าเราเกิดมาเพื่อความดีเพื่อบารมี ไม่ใช่เพื่อความหลงด้วยความรู้ความเข้าใจ เป็นผู้บรรลุนิติภาวะ
เราทุกคนก็พากันเป็นพระได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ความรู้ความเข้าใจจึงไม่ใช่ความจำนะ มันเป็นความรู้ความเข้าใจที่เราไปเรียนหนังสือ ถึงหนังสือจะมากมายก่ายกอง กองใหญ่เท่ากับภูเขาหรือยิ่งกว่าภูเขาสำคัญอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจไม่ใช่ความจำนะ
การที่เราค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์จะค้นคว้าด้วยตนเองหรือเป็นทีมก็อยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ การฟังการบรรยายก็อยู่ที่ความรู้ความเข้าใจไม่ใช่ความจำนะ เพราะความจำมันยังเป็นนิติบุคคลตัวตนมันลืมนะ ถ้าความเข้าใจแล้วมันจะไม่ลืมน่ะ เราเข้าใจอะไรแล้วมันจะไม่ลืม สิ่งที่ไม่ลืมนั้นมันฝังอยู่ในธาตุในขันธ์ในอายตนะเค้าเรียกว่ามันฝังในธาตุในขันธ์ในอายตนะ มันเป็นชิฟเป็นเมมโมรี่ฝังอยู่ในธาตุในขันธ์ในอายตนะ
เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องจับหลักจับประเด็นให้ได้ แล้วพากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาแล้วเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ถ้าไม่มีการประพฤติ การปฏิบัติมันก็จะไปอย่างเก่าไปตามระนาบเก่า เหมือนรถมันติดหล่มมันก็ติดหล่มอย่างนั้นแหละมันไปไม่ได้
ความไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็จะเอาความว่างสิ่งที่ไม่มีอยู่ ความว่างจากสิ่งที่ไม่มีก็เท่ากับคนอัมพฤกษ์อัมพาตคนไข้นอนติดเตียงนะ
ให้รู้เข้าใจเราทั้งหลายเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เอาความไม่ถูกต้องเป็นที่ตั้งมีค่ามีความเสมอเท่ากับคนอัมพฤกษ์อัมพาตน่ะ ให้รู้เข้าใจ เพราะบุคคลนั้นว่างจากความดีว่างจากบารมี ไม่มีการประพฤติการปฏิบัติ
เราต้องเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกพวกเราทั้งหลายอย่าเอาความรู้สึกนำชีวิตนะ ต้องรู้จักธรรมรู้จักสภาวธรรมต้องเอาธรรม ธรรมนูญนำชีวิตเราจะได้เอาความรู้สึก เอาธาตุเอาขันธ์เอาอายตนะนำชีวิตได้อย่างไร เพราะอันนี้มันเป็นธาตุเป็นขันธ์เป็นอายตนะ
เราต้องรู้เข้าใจเราจะได้รู้จักข้อสอบข้อตอบ เราต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะไม่ได้อยู่ในระนาบเดียวกับคนอัมพฤกษ์อัมพาต คนที่เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเค้าเรียกว่ายังไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องอริยสัจสี่นะ เราไม่รู้ไม่เข้าใจเราเรียนหนังสือก็เพื่อจะเอาเพื่อจะมีเพื่อจะเป็น เราทำงานก็เพื่อจะเอาเพื่อจะมีเพื่อจะเป็น เรามาประพฤติปฏิบัติธรรมก็เพื่อจะเอาเพื่อจะมีเพื่อจะเป็นให้รู้ให้เข้าใจ อันนั้นเราทำอะไรเพื่อจะเอาเพื่อจะมีเพื่อจะเป็นอันนี้ ไม่ใช่บารมี มันเป็นนิติบุคคลตัวตน ให้เรารู้เข้าใจนะ
การประพฤติการปฏิบัติให้เรารู้เข้าใจ เราเรียนหนังสือก็เพื่อความรู้ความเข้าใจ เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการเรียนหนังสือมันก็ไม่มีทุกข์อะไร เราทำงานก็เพื่อเสียสละเพราะเราเป็นนิติบุคคลตัวตนมันก็ขี้เกียจขี้คร้าน มันก็ไม่อยากทำงานไม่อยากเสียสละมันก็คือระนาบเดียวกันตำแหน่งเดียวกันน่ะ มันเป็นหัวใจอัมพฤกษ์อัมพาต หัวใจเป็นนิติบุคคลตัวตน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อนิติบุคคลตัวตน มันเป็นความขี้เกียจขี้คร้านนะมันไม่อยากเสียสละเพราะเอานิติบุคคลตัวตนมันไม่อยากเสียสละเค้าจะไม่มีความสุขในการเรียนหนังสือการทำงาน
เราต้องรู้เข้าใจว่าเราต้องก้าวไปด้วยรู้จักรู้แจ้งในการประพฤติปฏิบัติ
เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันมีความทุกข์นะ หัวใจเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต หัวใจที่มีตัวตนน่ะ เราต้องรู้เข้าใจตัวตนนั้นคือความถูกต้องตัวตนนั้นคือทุจริตนะ ใครมีตัวมีตนเรียกว่าบุคคลนั้นทุจริตนะ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเรียกว่าไม่ถูกต้อง ตัวตนนั้นคือปัญหาคือการสร้างปัญหา มันไม่รู้ไม่เข้าใจ ไม่มีความสุขในการเรียนหนังสือ ไม่มีความสุขในการทำงาน ไม่มีปิติมีความสุขในการตั้งใจตั้งเจตนาที่เสียสละ เรียกว่าไม่มีความสุขในการมีศีลมีสมาธิมีปัญญา
มีความเห็นผิดเข้าใจผิดคิดว่าเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิตคิดว่ามันลิดรอนสิทธิ ลิดรอนความสุขของตัวเองน่ะ
อันนี้นะ ให้รู้เข้าใจมันไม่ลิดรอนสิทธิของความถูกต้องนะ มันลิดรอนจริง มันลิดรอนสิ่งไม่ถูกต้องน่ะ
เราต้องเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติถ้าเราไม่เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติเราจะเป็นคนขี้เกียจขี้คร้านนะ ไม่อยากทำงานไม่อยากเสียสละ การเสียละนี้ถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม
ให้เรารู้ให้เราเข้าใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านแสดงธรรม ท่านพูดเรื่องการเสียสละ เบื้องต้นต้องเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละก็ไม่มีการประพฤติการปฏิบัติ ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา
เราทั้งหลายต้องให้ทาน ทานมันออกไปเสียสละมันออกไป อย่าเป็นนิติบุคคลตัวตน ต้องเสียสละ สัมมาทิฐิความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เราทั้งหลายต้องเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละเราก็เป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน
ให้เราเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจในการบำเพ็ญความดีของเรา บำเพ็ญบารมีของเรา เราจะได้มีสัมมาทิฐิความเห็นถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เราจะไม่ได้พากันบำเพ็ญความหลงกัน เราจะได้รู้บารมีจะได้รู้ความดี เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ชีวิตของเราทั้งหลายมันก็ต้องพังทลายเพราะมันไม่ถูกต้องมันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง. นี้แหละ
ตึก สตง.ที่อยู่กรุงเทพมหานครอยู่เมืองหลวงอยู่เมืองกรุง เป็นศูนย์รวมของประเทศ เหมือนสมองเป็นศูนย์รวมของร่างกาย เหมือนหัวใจเป็นศูนย์รวมของสรีระร่างกาย
สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินที่บริหารประเทศ บริหารแผ่นดินไม่เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เอาแต่ความรู้เอาแต่วิทยาศาสตร์เอาแต่ตัวเอาแต่ตนไปแก้แต่สิ่งภายนอก ไม่ได้แก้ตัวเองไปพร้อม ๆ กัน
การพัฒนาวิทยาศาสตร์มันต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันมันถึงถูกต้องนะ พัฒนาทั้งภายนอกภายในด้วยความรู้ความเข้าใจให้ครบวงจร อริยมรรคองค์แปดถึงเป็นความรู้ความเข้าใจ เพื่อการประพฤติการปฏิบัติมันจะได้สมบูรณ์ สมบูรณ์ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพด้วยความถูกต้อง มันต้องรู้ธรรม รู้ปัจจุบันธรรม รู้ธรรมธรรมนูญน่ะ ถ้าเราไปจัดการแต่สิ่งภายนอก เราไม่ได้จัดการตัวเองมันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้นะ
การบริหารตัวเองบริหารบุคคลอื่น มันต้องรู้เข้าใจแล้วมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติเพื่อทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ถ้าเรามีปิติมีสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติมันก็ไม่มีความทุกข์อยู่แล้ว ด้วยความรู้ความเข้าใจ เราต้องรู้จักการประพฤติการปฏิบัติ ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพ
เราต้องเน้นมาที่ตัวเราในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อทำหน้าที่ของตัวเองให้มันสมบูรณ์ เราทั้งหลายจะไม่ได้พังทลายเหมือนตึก สตง.
แผ่นดินไหวอยู่มัณฑะเลย์ประเทศพม่าห่างไกลกันร่วมพันกิโลเมตรน่ะ ด้วยเอาความหลงนำชีวิต เอาธุรกิจนำชีวิต สิ่งที่มองเห็นภายนอกมันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง. ทั้งที่มองดูแล้วตึกต่าง ๆ ใหญ่กว่าสูงกว่าตึก สตง.ตั้งหลายสิบตึกเพราะมาตรฐานเค้าสูงกว่า พอที่จะรับแผ่นดินไหวได้
ไม่ใช่ว่าตึกต่าง ๆ นั้นเค้าไม่โกงกินคอร์รับชั่นเค้าโกงกินคอร์รัปชั่นทุจริตอยู่แต่ว่ามันน้อยไม่มากเหมือนตึก สตง.
ถ้าใครมีตัวมีตนบุคคลนั้นคือทุจริตนะ เราทั้งหลายจะได้รู้ว่าทุจริตนั้นคือตัวตนน่ะ ใครเอาตัวตนนำชีวิตบุคคลนั้นคือบุคคลที่ทุจริต เราต้องรู้จักธรรมรู้จักธรรมนูญ ปัญหาต่าง ๆ นั้นมันอยู่ที่ทุจริตนะ การที่จะบริหารตัวเองบริหารบุคคลอื่นต้องยกเลิกทุจริต ถึงจะเป็นนักบริหารตัวเองนักบริหารคนอื่นด้วยการรู้เข้าใจในการบริหารในการปฏิบัติ
ตำแหน่งที่เค้าแต่งให้เราเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นตำแหน่งที่ให้เรามาเสียสละ มารับผิดชอบโฟกัสในการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ใช่ตำแหน่งที่ให้พวกเราทั้งหลายมาทุจริตนะ ให้ถือว่ามันเป็นตำแหน่งที่ทรงเกียรติมีเกียรติมีศักดิ์ศรี
เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันจะมีเกียรติมีศักดิ์ศรีได้อย่างไร ถึงพวกเราทั้งหลายจะพากันใส่สูทผูกเนคไทเป็นผู้ทรงเกียรติมันก็ไม่เป็นผู้ทรงเกียรตินะ มันเป็นผู้ทรงความหลงต่างหาก ทรงความโง่ความหลงงมงายต่างหากล่ะ
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเราจะเข้าถึงบริสุทธิคุณเอาถึงธรรมนูญเข้าถึงรัฐธรรมนูญไม่ได้ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันเป็นอบายมุขอบายภูมินะ มันตกอยู่ในภพภูมิของ ๓๑ ภพภูมิ ภพภูมิของวัฏฏสงสารนี้มีอยู่ ๓๑ ภพภูมิ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็จะอยู่ในระนาบของ ๓๑ ภพภูมินี้แหละ
เค้าถึงมีศัพท์ว่าคน คนนี้หมายถึงตัวถึงตน หมายถึง ๓๑ ภพภูมินี้แหละ ภพภูมิที่เวียนว่ายตายเกิดมีทั้งหมด ๓๑ ภพภูมิ เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้ประพฤติปฏิบัติ เราจะไม่ได้ย่ำต๊อกกับความหลงที่มีศัพท์ว่า “คน”
คนนี้ความหมายหมายถึงความไม่รู้ไม่เข้าใจ ความไม่รู้ไม่เข้าใจนั้นมันจะวกวน อยู่ที่เก่า มันจะเป็นผู้ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา สัมผัสกับอะไรก็ไปกับสิ่งนั้น ๆ อยู่ในภพภูมินั้น ๆ เรารู้เราเข้าใจเราจะได้หยุดภพภูมินั้น ๆ ด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ด้วยความรู้ด้วยความเข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเค้าเรียกว่ามันหลง มันวกวนในความหลงอย่างนั้น จิตใจวกวนอย่างนั้นมันจะไปไหนไม่ได้ มันจะเป็นได้แต่เพียงคนเป็นได้แต่เพียงความหลง หัวใจของบุคคลนั้นมันจะอยู่ในระนาบแห่งความหลงหรือว่าหัวใจบ่อนคาสิโน เอาตัวตนเป็นที่ตั้งคือหัวใจบ่อนคาสิโน หัวใจบ่อนทำลายความถูกต้อง หัวใจบ่อนความหลง
ให้เรารู้เข้าใจ เราจะได้เห็นภัยในความไม่ถูกต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสารด้วยปัญญาบริสุทธิคุณ ด้วยเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ พอใจยินดีมีปิติมีความสุข มีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต หัวใจของเราทั้งหลายจะได้หยุดอบายมุขอบายภูมิ
เราทั้งหลายถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราทั้งหลายจะพากันคิดว่า ความสุขทั้งหลายได้มาจากสิ่งที่อำนวยความสุขความสะดวกความสบายด้วยการพัฒนาวิทยาศาสตร์ อันนี้จริงอันนี้ถูกต้อง ความสุขทั้งหลายมันอยู่พัฒนาหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์ เราทั้งหลายต้องมีสัมมาทิฐิเราต้องมีความรู้ความเข้าใจพัฒนาวิทยาศาสตร์ก็ต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน
ถ้าเราพัฒนาวิทยาศาสตร์มันก็ยังเป็นนิติบุคคลตัวตนอยู่ เราต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันด้วยความรู้ความเข้าใจเราทั้งหลายน่ะ ถึงเป็นการพัฒนาครบวงจรด้วยความรู้ความเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจก็จะเอาความหลงนำชีวิตเอาวิทยาศาสตร์นำชีวิต เราต้องเอาทั้งวิทยาศาสตร์เอาทั้งจิตใจไปพร้อม ๆ กันนะ
เราอย่าไปคิดว่าประเทศสิงคโปร์นั้นน่ะประเทศเล็ก ๆ เท่าอำเภอหนึ่งของเมืองไทยก็ไม่ได้ เค้าพัฒนาหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์เป็นหนึ่งของเอเชีย เพราะเค้าตั้งบ่อนคาสิโน มาเก๊าส่วนหนึ่งของประเทศจีนเค้าก็รวยเพราะเค้าพัฒนาตามหลักเหตุตามหลักวิทยาศตร์
พวกเราทั้งหลายเมื่อมีปัญญาแล้วต้องรอบคอบนะ มีปัญญาแล้วต้องรอบคอบ อย่าลืมว่าชีวิตของเรามันเป็นรายรับรายจ่ายนะ เราไปจับหางงูเดี๋ยวงูมันจะมากัดเรา งูพิษมันจะมากัดเรานะ
การที่เราเอาหลักการอุดมการณ์มันดีแล้วถูกต้องแล้ว เราต้องมีหลักการมีอุดมการณ์แล้วก็มีอุดมธรรมนะ
หลักการอุดมการณ์มันดีแล้วถูกต้องตามหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์น่ะ แต่ต้องไม่ทิ้งอุดมธรรมนะ
เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเอาความรู้สึกที่เอาตัวเป็นที่ตั้งมันเป็นหลักการเป็นอุดมการณ์แล้วอุดมด้วยความหลงนะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราเอาทั้งหลักการอุดมการณ์แล้วก็ยกเลิกอุดมหลงนะ ให้เอาอุดมธรรมให้เอาธรรมเอาธรรมนูญมันถึงจะสมบูรณ์เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี
เราอยากได้มากมันก็ไม่มาก เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อย เราต้องรู้จักความพอดีเข้าสู่ความสมดุลทั้งรายรับรายจ่ายเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี
การประสูติของพระพุทธเจ้าถึงเป็นวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ตรัสรู้ก็เป็นวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ
เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้รู้หลักการ รู้อุดมการณ์แล้วก็อุดมธรรม เราอยู่ที่ไหนก็พากันปฏิบัติได้ เมื่อเรามีลมปราณ มีอายตนะภายใน ๖ ภายนอก ๖ มีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้
ให้รู้เข้าใจมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
อย่าไปคิดด้วยอวิชชาความหลงเอาแต่หลักการอุดมการณ์เอาแต่วิทยาศาสตร์น่ะ
ถ้าเรารวย รวยความหลงมันไม่ดีนะ รวยความโง่หลงงมงายเรียกว่ารวยไสยศาสตร์มันไม่ดีนะ ไม่ใช่ความดีมันไม่ใช่บารมีไม่ใช่ปัญญาบริสุทิคุณนะ มันเป็นความหลงนะ ให้เรารู้เข้าใจ
อย่าไปคิดว่าทำไมเราโง่ไปตั้งหลายปี ประเทศสิงคโปร์ประเทศเค้าเล็กนิดเดียวเค้าตั้งบ่อนคาสิโนเค้ารวยกัน ประเทศมาเก๊าก็เหมือนกันเค้ารวยกัน ประเทศสิงคโปร์เค้ามีหลักเหตุผลมีหลักวิทยาศาสตร์น่ะ เค้าคิดว่าประเทศสิงคโปร์มันเล็กนิดเดียว จะทำเกษตรกรรมก็ไม่ได้ จะทำอุตสาหกรรมก็ไม่ได้
ถ้าเราตั้งบ่อนคาสิโนด้วยหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์ก็รวยได้เพราะคนในโลกนี้มันคนมีความไม่ฉลาดเอาความหลงนำชีวิตเอาตัวตนนำชีวิตมันมีมาก ถ้าเราตั้งบ่อนคาสิโน เราสามารถรวยได้ทางวัตถุ ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์เค้าถึงพากันตั้งบ่อนคาสิโน
จะเรียกบ่อนคาสิโนก็ได้หรือเรียกบ่อนแห่งความหลงก็ได้ มันคืออันเดียวกันให้เรารู้เข้าใจ
ประเทศไทยเราแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลเราต้องรู้เข้าใจว่าเราทั้งหลายอย่ายินดีในการเอาความหลงนำชีวิต อย่าไปยินดีในการเอาบ่อนคาสิโนนำชีวิตนะ
พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ศาสดาทุกศาสนาเค้ามายกเลิกบ่อนคาสิโนมายกเลิกอบายมุขอบายภูมิ ให้เรารู้เข้าใจ ถ้าเรารู้เข้าใจ ทุกอย่างน่ะไม่มีปัญหา ปัญหาอยู่ที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจนะ
เราดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจะส่งสาวกออกไปเผยแผ่พระศาสนา เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ใหม่ ๆ ท่านส่งพระอรหันต์ขีณาสพออกไปเผยแผ่ ให้ไปทางละรูปไม่ให้ไปทางเดียว เพราะทรัพยากรของพระอรหันต์มันมีน้อย ถ้าเรายกเลิกตัวตนทุกอย่างมันไม่มีปัญหา เพราะปัญหาต่าง ๆ ให้พวกเราทั้งหลายรู้นะ มันอยู่ที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาความหลงนำชีวิต ความหลงมันจะทำลายความถูกต้อง มันจะระเบิดความถูกต้องด้วยกาลด้วยเวลาของมันเอง
ท่านส่งพระอรหันต์ขีณาสพออกไปเผยแผ่ให้ไปทางละรูป ท่านก็ทวนสอบถามว่าเราไปบ้านโน้นเมืองนี้น่ะประชาชนเค้าดุนะ เพราะเค้าเป็นนิติบุคคลตัวตน เค้าดุนะ เราจะว่าอย่างไร พระอรหันต์ขีณาสพก็บอกว่าไม่มีปัญหา
ถ้าเค้าว่าให้เราเราจะทำอย่างไร ก็ดีกว่าเค้าตีเรา
เค้าตีเราจะทำอย่างไร ก็ดีกว่าเค้าใช้ศัตรา
เค้าใช้ศัตราทำอย่างไร ก็ดีกว่าเค้าฆ่าเรา
เค้าฆ่าเราจะทำอย่างไร ก็ดีกว่าเราไปฆ่าเค้า
ความรู้เข้าใจอย่างนี้เป็นการสอบผ่านนะ ถ้าเรายกเลิกตัวตนทุกอย่างไม่มีปัญหา จะอยู่ที่ไหนเรารู้เข้าใจแล้วชีวิตนั้นจะเป็นธรรมเป็นธรรมนูญเป็นรัฐธรรมนูญ
ให้พวกเราทั้งหลายรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันอยู่ที่รู้แล้วเข้าใจ แล้วสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติมันจะเป็นความดีเป็นบารมี มันจะเป็นความสงบเป็นปัญญา
ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายนะ ท่านทั้งหลายที่มีลมปราณมีอายุขัยอยู่ได้หนึ่งศตวรรษหรือมากกว่านั้นนะ เราเอาวิทยาศาสตร์กับการพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันด้วยสัมมาทิฐิ เราทุกคนก็จะมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติก้าวไปด้วยความดีก้าวไปด้วยบารมีด้วยธรรม
ในวิสาขปุณมีปี ๒๕๖๘ นี้ เราพากันมาระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะได้เอาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม นำชีวิต เพราะอันนี้คือความถูกต้องน่ะ
ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายนะที่ประเสริฐ วันนี้ได้พากันมาร่วมรวมกันทำบุญตักบาตร รักษาศีลฟังพระธรรมเทศนาที่เป็นบริสุทธิคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ประทานไว้กับพวกเราทั้งหลายน่ะ เข้าถึงธรรมเข้าถึงปัจจุบันธรรม เข้าถึงธรรมนูญ
ศาสนาทุกศาสนาก็ใช้หลักการอุดมการณ์อุดมธรรมเดียวกันนี้แหละ ชื่อของศาสนานี้มันแตกต่างกันเฉย ๆ เราต้องรู้เข้าใจ ความเป็นพระมันเป็นได้กับเราทุกคนนะ
ความเป็นพระนี้มันต้องสมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพ มันต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิตด้วยความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เป็นธรรมป็นธรรมนูญ เป็นรัฐธรรมนูญ
การบรรยายพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เช้าวันอาทิตย์ที่ ๑๑ ในวันนี้ก็สมควรแก่เวลา
จบด้วยโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านตรัสโอวาทคร้งสุดท้ายว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้ที่ประเสริฐมีโอกาสมีเวลามีลมปราณ ท่านทั้งหลายจงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ของบุคคลอื่นให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท
เพราะวาระแห่งการประพฤติการปฏิบัติปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะสิ่ง ต่าง ๆ นั้นเราต้องรู้เข้าใจ มันไม่จบ ต้องรู้เข้าใจ ให้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัตินี้เป็นพระวาจามีในครั้งสุดท้ายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
บุญกุศลที่เราร่วมกระทำวันนี้มันเป็นบารมีของเราพร้อมทั้งอุทิศบุญกุศลให้เพื่อทดแทนสิ่งที่ขาดตกบกพร่องเพื่อเอาความถูกต้องกลับคืนมา เอาพระนิพพานคือความถูกต้องกลับคืนมา ให้เข้าใจว่าพระนิพพานคือบ้านของเรานะ
เรามีร่างกายเรามีบ้านที่อยู่ที่อาศัย เรามีศีลมีสมาธิมีปัญญาที่ยกเลิกตัวตนมันเป็นพระนิพานบ้านของใจนะ ให้รู้ว่าพระนิพพานคือบ้านของเรา เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ
--------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันอาทิตย์ที่ ๑๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา