๑๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันพุธที่ ๑๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ของศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ของศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ของศาสนาอิสลาม

 

ให้พวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจ เราจะนับถือศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาพราหมณ์ฮินดูซิกส์ศาสนาอะไรต่าง ๆ ให้เข้าใจ เราก็ใช้หลักการอุดมการณ์อุดมธรรมอย่างเดียวกันนี้แหละ

 

ให้พวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจนะ ถ้าไม่เข้าใจนั้นไม่ได้เราต้องเข้าใจ เข้าใจแล้วก็พากันเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ให้เรารู้เข้าใจ เพราะทุกอย่างนั้นมันคือเหตุคือปัจจัยเพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมีแล้วก็เน้นที่ตัวของเราเอง เน้นที่กายวาจากิริยามารยาทอาชีพเน้นที่ตัวเรานี้แหละ ตั้งใจตั้งเจตนา ถ้าเราไม่มีความตั้งใจไม่มีเจตนาเราทั้งหลายก็จะเป็นผู้ที่ประมาทตั้งอยู่ในความประมาท

 

เราต้องตั้งใจตั้งเจตนาเพื่อคอนโทรลในการประพฤติการปฏิบัติ การปฏิบัติของเรามันถึงสมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะได้ ชีวิตของเรามันก็จะเข้าถึงความดับทุกข์ทั้งกายทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน

 

เราพัฒนาใจของเรา เราพัฒนาวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กัน เราต้องเป็นทั้งคนดีเป็นทั้งคนมีปัญญา เป็นทั้งคนมีปัญญาเป็นทั้งคนดี ถ้าการปฏิบัติของเรามันติดต่อต่อเนื่องมันก็จะได้ผลน่ะ เพราะการทำอะไรติดต่อต่อเนื่องกันเป็นเวลา ๓ อาทิตย์มันจะได้ผล มันจะฝังอยู่ในชิฟฝังอยู่ในสัญญาขันธ์ ตามหลักเหตุผล ตามหลักวิทยาศาสตร์มันเป็นอย่างนี้

 

ความรู้ความเข้าใจมันจะเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาที่บริสุทธิคุณ

 

การปฏิบัติของเราก็จะไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ถ้าปัญญาเป็นนิติบุคคลตัวตน มันจะทำอะไรเพื่อตัวเพื่อตนหวังอะไรตอบแทน การทำอะไรหวังอะไรตอบแทนมันเป็นความเครียด

 

ให้พวกเรารู้เข้าใจ ทำอะไรต้องไม่หวังอะไรตอบแทน มันจะเป็นการทำความดีเพื่อความดี เจริญปัญญาเพื่อปัญญา กายวาจากิริยามารยาทอาชีพของเราถึงจะเป็น บริสุทธิคุณเพราะไม่หวังอะไรตอบแทน ถึงจะหยุดความทุกข์หรือว่าหยุดความปรุงแต่ง ถ้าเราทำอะไรเพื่อหวังผลประโยชน์ตอบแทนมันจะไม่เข้าถึงความดับทุกข์ มันจะหยุดความปรุงแต่งไม่ได้ เพราะการที่หวังอะไรตอบแทนผลลัพธ์มันคือความทุกข์

 

อย่างเราทำสมาธิทำสมาบัติ ถ้าเราไปหลงไปติดในผลตอบแทนในสมาธิในสมาบัติมันก็ไม่ได้ เพราะว่าเมื่อออกจากสมาธิ ตาหูจมูกลิ้นกายใจมันไปสัมผัสกับสิ่งเหล่าอื่น มันก็จะไปตามสิ่งแวดล้อมอย่างเก่า

 

การประพฤติการปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่าให้เรามีสัมมาทิฐิ มีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามผัสสะ จะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมมันเป็นสิ่งที่มีอยู่ เพราะเรามีตาก็มีรูป เรามีหูก็มีเสียง เรามีจมูกก็มีกลิ่น มีลิ้นก็มีรส มีกายก็มีสัมผัส เราใจก็มีเรื่องจิตเรื่องใจแล้วแต่อะไรจะมาผัสสะ ให้รู้เข้าใจ เมื่อเรารู้เข้าใจเราก็ไม่ไปตามผัสสะ ยกผัสสะนั้นเข้าสู่พระไตรลักษณ์ว่ามันเกิดขึ้นด้วยตาเห็นรูป มันเกิดขึ้นเพราะหูได้ยินเสียง ทุกสิ่งทุกอย่างมันมาปรากฎกันสองอย่างทั้งภายนอกภายใน ให้รู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม

 

เราทั้งหลายพากันรู้ข้อสอบรู้ข้อตอบมันอย่างนี้การประพฤติการปฏิบัติมันมีหลักการมีอุดมการณ์ อุดมธรรมก็หมายถึงว่าต้องเอาธรรมนำชีวิต เราเอาตัวตนนำชีวิตมันก็จะไปตามสิ่งแวดล้อม เราก็จะเป็นผู้ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา    

               

ให้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ทุก ๆ ชาติทุกศาสนาก็ใช้หลักการอันเดียวกันนี้แหละ เพราะอันนี้หลักสากลเช่นความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากมันสากลหมดน่ะ มันต่างแต่ชื่อเสียงเรียงนามเฉย ๆ

 

การประพฤติการปฏิบัติให้พวกเราเป็นคนฉลาดแล้วก็เป็นคนดี เป็นคนดีเป็นคนฉลาด ต้องเข้าใจอย่างนี้

 

เราทั้งหลายต้องเป็นคนฉลาดเป็นคนดีพึ่งพาอาศัยตัวเองนี้แหละ ไม่ต้องอาศัยใคร ใจของเราก็คิดเอง ปากของเราก็พูดเอง กิริยามารยาทของเราก็เพื่อยกเลิกตัวตนก็เราทำเองน่ะ อาชีพของเราก็ประพฤติปฏิบัติเอง มันต้องมีการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม เราทุกคนถึงจะมีศีลมีสมาธิมีปัญญา เราอย่าปล่อยให้ตัวเองว่างจากการประพฤติการปฏิบัติ

 

ถามว่าเราปฏิบัติไปถึงไหนถึงจะได้หยุด เพราะไม่อยากปฏิบัติ

 

ให้เข้าใจนะ การปฏิบัติให้เรารู้เราเข้าใจเมื่อเรามีอายุขัย เมื่อเรามีตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราก็ต้องเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต ต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราก็คิดดี ๆ พูดดี ๆ กิริยามารยาทดี ๆ อาชีพดี ๆ จนกว่าหมดอายุขัยด้วยความรู้ความเข้าใจ มันจะยากอะไร เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติมันก็ไม่ยากอะไร เพราะวาระใจของเรามันก็คิดได้ทีละอย่าง ไม่ใช่คิดได้ทีละหลายอย่างมันคิดได้ทีละอย่าง ถ้าเรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ให้เข้าใจง่าย ๆ อย่างนี้

 

ที่เราคิดว่าเมื่อไหร่จะได้หยุด นี้นะ ให้รู้นะ นี้มันเป็นนิติบุคคลตัวตน การปฏิบัติมันไม่มีว่าหยุดไม่หยุดอย่างนี้นะ

 

ความรู้ความเข้าใจนี้มันไม่ใช่ความจำ การเรียนหนังสือถึงหนังสือจะกองใหญ่เท่าภูเขาหรือยิ่งกว่าภูเขามันสำคัญอยู่ที่รู้เข้าใจ การค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์จะค้นคว้าคนเดียวหรือเป็นทีมเวิร์คมันสำคัญอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ การฟังการบรรยายมันก็อยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ ให้เข้าใจ

 

ความรู้ความเข้าใจมันไม่ใช่ความจำ ถ้าความจำน่ะมันลืม เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเราไม่ได้ปฏิบัติธรรมนะ เราไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญานะ เราต้องเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ

 

การปฏิบัตินั้นก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ มันจะเป็นความดีเป็นบารมี ที่ว่าบารมี ๑๐ ทัศ ๒๐ ทัศ ๓๐ ทัศ มันเป็นความดีเป็นบารมี

เราทั้งหลายน่ะต้องเป็นทั้งคนฉลาดเป็นทั้งคนดี อย่าเป็นคนเซ่อ ๆ เบลอ ๆ งง ๆ เอาความหลงนำชีวิต ต้องรู้จักหน้าที่ในการประพฤติการปฏิบัติ มีปิติมีความสุข มีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ถ้าเราปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกัน ทุกคนน่ะมันเก่งมันฉลาด มันรอบคอบ เพราะความดีกับปัญญามันจะไปพร้อม ๆ กัน เพราะเราก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยความดีด้วยปัญญา มันจะได้วกไปวนมาเหมือนแต่ก่อนน่ะ แต่ก่อนมันวกไปวนมามันเป็นความหลง เมื่อเรามีการประพฤติการปฏิบัติด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม ไม่วกไปวนมา ที่ได้แต่เป็นความหลงเป็นได้แต่เพียงคน คำว่าคนนี้แปลว่าความหลง วกไปวนมาหลงอยู่นั่นแหละ หลงอยู่ในรูปในเสียงในกลิ่นในรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์หลงอยู่นั่นแหละ ไม่รู้ไม่เข้าใจเลย ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา พัฒนาตั้งแต่ตัวแต่ตนพัฒนาตั้งแต่วัตถุถือความหลงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ถือวิทยาศาสตร์เป็นหลักถือเงินเป็นพระเจ้า การพัฒนาวิทยาศาสตร์ก็เพื่อเอาธรรมนำชีวิตให้เข้าใจ

 

เราทั้งหลายไม่ต้องไปหาพระที่ไหนนะ พระอยู่ที่ใจของเราทุกคน อยู่ที่ใจรู้เข้าใจ ที่ใจมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ทุกชาติทุกศาสนาก็พากันทำได้ปฏิบัติได้ เข้าถึงหลักการอุดมการณ์อย่าให้เป็นอุดมแห่งความหลงนะ ต้องเอาเป็นหลักการอุดมการณ์แล้วก็พัฒนาเข้าสู่อุดมธรรม เอาธรรมนำชีวิต

 

เราอย่าอาศัยความหลงนำชีวิต อย่าไปหลงงมงายเซ่อเบลออยู่นั่นแหละ

 

เราทุกคนต้องรู้จักข้อวัตรกิจวัตร ข้อวัตรปฏิบัติ เห็นว่าข้อวัตรนี้สำคัญ เห็นว่าศีลสมาธิปัญญาที่บริสุทธิคุณเป็นสิ่งที่สำคัญ ไม่ปล่อยตัวเองลอย ๆ หรือว่าลอยไปลอยมา เชิดหน้าแห่งความหลง ไม่ใช่เชิดหน้าชูตาแห่งอุดมธรรม มันเป็นเชิดหน้าชูความหลงน่ะ

 

เราทั้งหลายเน้นการประพฤติการปฏิบัติเน้นมาที่ตัวเรา การปฏิบัติธรรมอย่าให้มีต่อหน้าและลับหลัง

 

เราเป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐ ให้รู้เข้าใจ อายุขัยของเรามันอยู่ได้ร่วม ๆ ศตวรรษหนึ่ง ศตวรรษหนึ่งมันคือร้อยปีนะ เราทำดี ๆ พัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์พัฒนาทั้งจิตใจเข้าสู่หลักการอุดมการณ์อุดมธรรมมันอยู่ได้มากกว่าร้อยปีนะ

 

เราเกิดมาต้องมารู้ทั้งเหตุผลรู้ทั้งวิทยาศาสตร์มารู้เรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน เราทุกคนมันต้องฉลาดต้องเป็นคนดี เราปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องเราพากันเอาความดีเอาความถูกต้องนำชีวิต เอาความสงบเอาปัญญา

 

ธรรมชาติมันสมดุลกันพอดี กลางคืน ๑๒ ชั่วโมง กลางวัน ๑๒ ชั่วโมง มันเป็นความพอดีเลย ความสงบกับปัญญามันเป็นความพอดีเลย สมถะกับวิปัสสนามันเป็นความพอดีเลย มันเป็นความรู้ความเข้าใจ มันเป็นความสมดุลนะ

 

เราคิดดูดี ๆ มันเป็นความพอดีความเพียงพอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ประสูติก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ แสดงธรรมจักรกัปปวัตนสูตรก็วันเพ็ฐ ๑๕ ค่ำ แล้วก็เดือน ๖ น่ะ เดือน ๖

 

เรามาคิดดูดี ๆ ด้วยปัญญา ตาหูจมูกลิ้นกายใจมันก็อายตนะภายในมันก็ ๖ อายตนะภายนอก รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐฐัพพะธรรมารมณ์มันก็ ๖

 

อ้อ...เราถึงบางอ้อเลย เรารู้เข้าใจเรียกว่าตรัสรู้มันจะไม่ไปตามสิ่งแวดล้อมรู้ว่าสิ่งแวดล้อมมันเป็นเรื่องธรรมดา เรามีตาก็ต้องมีรูป มีหูก็ต้องมีเสียง มีจมูกก็ต้องมีกลิ่น มีลิ้นก็ต้องมีรส มีกายก็ต้องมีสัมผัสทางกาย เรามีใจก็มีเรื่องจิตเรื่องใจ

 

เรารู้เข้าใจ เรารู้แจ้งผัสสะเราก็ไม่ตามสิ่งแวดล้อม เราเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต

 

พวกเราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจเพื่อเป็นหลักการอุดมการณ์แล้วเข้าสู่อุดมธรรม

 

ประชากรของโลกเราต้องพากันเข้าใจ พากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ว่าเราจะเป็นศาสนาพุทธคริสต์อิสลามพราหมณ์ฮินดูอะไรต่าง ๆ ให้พากันรู้เข้าใจ พากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์

 

เราทั้งหลายต้องยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ถ้าเรายกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้องมันก็ถูกต้องมันจะไปยากอะไร ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกันทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพด้วยอาศัยตัวเองปีกแข้งของตัวเองการปฏิบัติของตัวเอง พัฒนาวิทยาศาสตร์ให้ดี ๆ สร้างคุณค่าอะไรให้ดี ๆ ขึ้น ด้วยความรู้ความเข้าใจ ความแห้งแล้งก็แก้ไขได้ น้ำท่วมก็แก้ไขได้ ทะเลทรายก็ทำให้เขียวชอุ่มก็ได้ น้ำเค็มที่ทะเลมหาสมุทรเอาเป็นน้ำจืด   ด้วยวิทยาศาสตร์ก็ได้ ต้องทำทุกอย่างให้มันมีคุณค่า

 

ถ้าเราเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้งมันไม่ได้ เพราะตัวเองคือความไม่ถูกต้อง ตัวตนน่ะมันคือความไม่พอเพียงเพียงพอนะ ตัวตนมันจะพร่องอยู่เป็นนิจ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าตัวตนนั้นแหละเปรียบเสมือนทะเลมหาสทุรไม่อิ่มด้วยน้ำ ตัวตนนั้นแหละเปรียบเสมือนไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อเพลิง มันบกพร่องอยู่เป็นนิจ มันหาเรื่องหาราวให้กับตัวเองไม่หยุดไม่ยั้งไม่หย่อน หาเรื่องหาราวให้ตนเองหาเรื่องหาราวให้คนอื่น

เราต้องรู้เข้าใจนะ เราจะได้หยุดหาเรื่องหาราวให้กับตนเองหยุดหาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น

 

เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะไม่ได้เป็นคนเซ่อ ๆ คนเบลอ ๆ ไม่รู้จักการประพฤติการปฏิบัติ ปล่อยให้การเวลามันผ่านไปด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ ไม่รู้จักข้อวัตรกิจวัตรในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราอยู่ที่ไหนเรามีตาหูจมูกลิ้นกายใจเราก็มีการประพฤติการปฏิบัติอยู่ที่นั่น ให้รู้เข้าใจ ความเป็นพระนั้นอยู่ที่เรารู้เข้าใจเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติอยู่ที่นั่นก็จะมีพระ

 

พระก็หมายถึงพระธรรมพระวินัย ไม่ทำอะไรตามใจตามสิ่งแวดล้อม เค้าเรียกว่าพระ คือวางภาระวางความหลงไปเอาปัญญาบริสุทธิคุณนำชีวิตเรียกว่า เอาพุทธะนำชีวิต

 

พุทธะนี้เป็นชื่อของศาสนาพุทธ ศาสนาอื่นอาจจะใช้สมมติไปอีกอย่างหนึ่ง แต่ความหมายก็คืออันเดียวกันคือบริสุทธิคุณให้รู้เข้าใจ

 

ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็ไปของมันเรื่อย ไปตามความคิดไปตามความหลง ถ้าเรามีความสงบเพียงพอ ความสงบกับปัญญานี้ถึงไปพร้อมกันนะ

 

ให้เราทั้งหลายเข้าใจว่า ความสงบกับปัญญานี้มันแยกกันไม่ได้

 

เหมือนหมอที่จะผ่าตัดสมอง หมอนั้นต้องมีปัญญารู้เข้าใจว่าสรีระร่างกาย ส่วนสมองนี้มันเป็นศูนย์รวมของประสาท ต้องรู้เข้าใจด้วยปัญญา การผ่าตัดต้องอาศัยความสงบต้องอาศัยความนิ่งการผ่าตัดสมองถึงจะปลอดภัย

 

การผ่าตัดหัวใจก็เช่นเดียวกัน หัวใจของมนุษย์มันเป็นศูนย์กลางอยู่ใจกลางหัวใจส่งเลือดไปเลี้ยงสรีระร่างกายทุกชิ้นส่วน เราผ่าตัดเราก็ต้องมีปัญญามีความนิ่ง ความสงบกับปัญญามันถึงเป็นความดีเป็นความพอเพียง

 

เราทั้งหลายรู้เข้าใจ ผู้ที่มีปัญญามากก็ต้องสงบ ผู้มีปัญญาน้อยก็ต้องสงบ ความสงบกับปัญญาถึงไปพร้อม ๆ กัน แต่ก่อนเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราก็จะไปเอาแต่วิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ก็ต้องเอาเรื่องจิตเรื่องใจไม่ใช่เอาแต่หลักการอุดมการณ์มันต้องพัฒนาเข้าสู่ทั้งอุดมการณ์อุดมธรรม

 

เราทั้งหลายเป็นมนุษย์ต้องเข้าสู่ความเป็นมนุษย์ เพื่อเข้าสู่หลักการอุดมการณ์อุดมธรรม อย่าไปหลงอย่าไปเพลิดเพลินอย่าไปประมาทอย่าไปขี้เกียจขี้คร้าน เพราะตัวตนนี้แหละคือความขี้เกียจขี้คร้าน ที่เราทุกคนมีความรู้สึกขี้เกียจขี้คร้านไม่มีความสุขในการทำงาน ไม่มีความสุขในการเรียนหนังสือ ไม่มีความสุขในการเอาธรรมนำชีวิต

 

ให้เราทั้งหลายพากันรู้หน้ารู้ตานะ อันนี้เป็นความหลง เราอย่าเพลิดเพลิน ความหลงความโง่ความหลงงมงาย เอาความหลงนำชีวิตเรียกว่าเอาไสยศาสตร์นำชีวิต ไสยศาสตร์แปลว่าความหลงนะที่เค้าพูดกันในปัจจุบันนี้ เอาไสยศาสตร์นี้มันสายมู สายหลง เอาความสุขจากความหลงน่ะ

 

เราทั้งหลายถึงต้องกระตือรือร้น อย่าพากันขี้เกียจขี้คร้าน ความขี้เกียจขี้คร้านนี้คือความหลงนะ มีชีวิตอยู่ด้วยอาศัยความหลง อาศัยพ่ออาศัยแม่ อาศัยยศ อาศัยตำแหน่ง เพื่อบริโภคความหลงน่ะไม่ได้

 

เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเราก็จะไม่รู้การประพฤติการปฏิบัติ ปล่อยให้ชีวิตของเราอยู่ว่าง ๆ ว่างจากความดี ว่างจากปัญญา ว่างจากการประพฤติการปฏิบัติ ทำอย่างนี้แหละมันเป็นคนไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา อย่าให้ความหลงมันกลืนกินเวลาให้เราแก่เฒ่าชราไปด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจนะ

 

เราทั้งหลายต้องพากันรู้พาจะได้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เอาความหลงนำชีวิตนี้ไม่ได้มันเสียกาลเสียเวลา เสียการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทั้งหลายต้องกระตือรือร้นในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทั้งหลายทำได้ปฏิบัติได้เมื่อเรามีลมปราณมีลมหายใจอยู่

 

เราทั้งหลายอย่าพากันพึ่งความหลงให้เสียโอกาสเสียเวลา

 

พระนิพพานคือความดับไม่เหลือแห่งความไม่รู้ไม่เข้าใจ มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ

 

พวกเราทั้งหลายให้รู้เข้าใจ ตำแหน่งที่เค้าแต่งตั้งให้เราเป็นอะไรเป็นผู้หญิงเป็นผู้ชาย เป็นคนแก่คนเฒ่าคนชรา หรือว่าเป็นข้าราชการเป็นนักบวช เป็นตำแหน่ง ที่เค้าแต่งตั้งให้เรานะ

 

เราต้องรู้เข้าใจเราจะได้เอาตำแหน่งนั้นในมาประพฤติมาปฏิบัติ มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะตำแหน่งที่เค้าแต่งตั้งมันดีแล้วถูกต้องแล้ว ถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อได้รับการแต่งตั้งเราก็ไม่ได้ทำงานน่ะมันจะถูกต้องเหรอ เพราะตำแหน่งนั้นให้เรามาเสียสละไม่ใช่ให้เรามาหลงงมงาย

 

ความดีที่เราผ่านมาที่เราเรียนที่เราศึกษาที่เราปฏิบัติ มันเป็นของเก่านะ ของใหม่คือความรู้ความเข้าใจในปัจจุบัน เราต้องเสียสละเพื่อให้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เราจะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม ต้องรู้เข้าใจ ชีวิตของเรามันจะเป็นของใหม่ของสด เราทั้งหลายจะไม่ได้บริโภคความหลงบริโภคของเก่าด้วยความรู้ความเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ผู้ที่รู้เข้าใจทั้งหลายถึงไม่ประมาทไม่เพลิดเพลินรู้ข้อวัตรข้อปฏิบัติ รู้จักการประพฤติการปฏิบัติ ความไม่รู้ไม่เข้าใจเราก็บริโภคความหลงบริโภคของเก่าน่ะ

 

ให้เข้าใจ เขาไปต่างประเทศเค้าก็ต้องมีวีซ่า ชีวิตของเรามันต้องมีวีซ่านะ วีซ่าของความเป็นมนุษย์ต้องเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเดี๋ยวมันจะหมดวีซ่านะ กายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพที่ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องรู้จักต่อวีซ่าแห่งความเป็นมนุษย์นะ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจเดี๋ยวเราก็จะหมดวีซ่านะ

 

เรามองดูน่ะ คนต่างประเทศเค้ามาประเทศไทย เค้าต้องต่อวีซ่า ไม่มีวีซ่านี้ไม่ได้ต้องมีวีซ่า วีซ่านี้คือความดี กายวาจากิริยามารยาทอาชีพต้องเป็นความดีความถูกต้อง ต้องเป็นธรรมเป็นธรรมนูญเป็นบริสุทธิคุณ

 

เราต้องรู้เข้าใจในการต่อวีซ่าของชีวิต องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่าผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์นี้ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจเดี๋ยวจะหมดวีซ่า เทวดาไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาความหลงนำชีวิตเดี๋ยวจะหมดวีซ่า พระพรหมเอานิติบุคคลตัวตนนำชีวิตมันจะหมดวีซ่านะ ด้วยความรู้ความเข้าใจ แม้แต่เป็นพระพรหมที่อยู่สุทธาวาสก็ต้องไม่หลง ต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต

 

ด้วยความรู้ความเข้าใจมันถึงไม่หมดวีซ่าแล้วไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นเทวดา เป็นมนุษย์หรือเป็นสรรพสัตว์ทั้งหลาย ความรู้ความเข้าใจมันจะเป็นวีซ่านะ

 

เราต้องเอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ  ความถูกต้องก็เป็นความถูกต้อง เราทั้งหลายต้องต่อวีซ่าให้กับตนเองต่อวีซ่าให้กับความเป็นมนุษย์นะ

 

เค้าไปเรียนหนังสือไปเข้าโรงเรียน โรงเรียนไหนเค้าได้มาตรฐานได้ มอก. เค้าจะให้ใบประกาศเค้าถึงออกวีซ่าออกใบประกาศให้นะ วีซ่าก็คือใบประกาศนี้แหละ ให้รู้เข้าใจ ประกาศให้ใครรู้เข้าใจ กายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพมันเป็นวีซ่าของเรานะ ให้เรารู้เข้าใจ ให้เรามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทั้งหลายต้องพึ่งพาอาศัยความรู้ความเข้าใจ เราต้องรู้จักวีซ่าแห่งชีวิตนะ ถ้าไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีที่อยู่นะ ตัวตนนั้นคือไม่มีที่อยู่ ไม่มีแผ่นดินอยู่นะ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันคือความไม่สงบมันคือความวุ่นวายนะ ตัวตนนั้นคือคนไม่มีบ้านนะ

 

เราต้องรู้จักบ้าน บ้านนี้คือความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ปัญญาที่ประกอบด้วยความดี มันเป็นวีซ่าที่เค้าสู่ความเป็นมนุษย์เข้าสู่มรรคผลพระนิพพานนะ

 

เราพากันไปเข้าโรงเรียนดี ๆ ไปหากัลยาณมิตรดี ๆ เราเข้าไปในที่นั่น เค้าต้องให้เราเรียนให้เราปฏิบัติ ทั้งเรียนทั้งปฏิบัติถึงจะผ่านความเป็นมาตรฐานผ่าน มอก. การคบค้าสมาคมเป็นทีมใหญ่ทีมเวิร์คถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ สิ่งแวดล้อมนี้สำคัญนะ ให้รู้เข้าใจ สิ่งแวดล้อมนี้คือกัลยาณมิตรที่ดีที่จะให้เราเกิดเกิดความดีปัญญา ให้เราเกิดปัญญาเกิดความดีนะ

 

เราต้องรู้จักสิ่งแวดล้อมที่ดี เมื่อเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี เราต้องรู้การประพฤติการปฏิบัติ

 

เราจะปล่อยให้ตัวเองอยู่ไปลอย ๆ ได้อย่างไร ถ้าเราอยู่ลอย ๆ ไปก็ถือว่าเราไปเรียนหนังสือเราก็ไม่ได้เข้าสู่การประพฤติการปฏิบัติ เราไปอยู่ไปสถานที่ปฏิบัติก็ไม่ประพฤติปฏิบัติ เราไปตามใจตามอัธยาศัย การทำตามใจตามอัธยาศัยนี้มันไม่ได้

 

การประพฤติการปฏิบัติธรรมไม่มีตามใจตามอัธยาศัยนะ ต้องตามพระธรรมตามพระวินัยตามเวลามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติเพื่อฝึกเพื่อปฏิบัติเพื่อให้ศีลติดต่อต่อเนื่องเพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี

 

ให้พวกเรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้ให้เวลามันกินเราด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้หยุดเวลา หยุดกรรมหยุดเวรหยุดภัยด้วยความรู้ความเข้าใจ เรามีโอกาสมีเวลามีลมปราณ

 

ให้เราทุกคนมีปิติมีความยินดีด้วยความรู้ความเข้าใจ เราเป็นมนุษย์ เราต้องเอาธรรมนำชีวิต ไม่ใช่เอาความหลงนำชีวิต ให้เรารู้เราเข้าใจ เราไม่ต้องโง่หลงงมงายเอาความหลงนำชีวิต

 

ทุกคนก็ต่างคิดในใจว่าทำไมตัวเองไม่เก่งไม่ฉลาด มันจะเก่งได้อย่างไร มันจะฉลาดได้อย่างไร เพราะไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย เพราะการที่ทำอะไรตามอัธยาศัยทำตามความหลงมันไปไม่ได้มันฉลาดไม่ได้

 

เรามีตาก็ต้องให้มีปัญญา เรามีหูก็ต้องให้มีปัญญา เรามีจมูกก็มีลิ้นมีกายมีใจก็ต้องมีปัญญา เพื่อพัฒนาทางวิทยาศาสตร์พัฒนาทางใจไปพร้อม ๆ กันเพื่อให้เกิดความสงบเกิดปัญญา เพื่อให้รู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ

 

อย่าไปขี้เกียจขี้คร้าน ขี้เกียจขี้คร้านนี้ไม่ได้ ขี้เกียจขี้คร้านเรียกว่าเอาความรู้สึก นำชีวิตนะ ไม่ได้เอาธรรมนำชีวิต ไม่ได้เอาธรรมนูญนำชีวิตนะความขี้เกียจขี้คร้านน่ะ

 

เราทั้งหลายไม่ต้องกลัวความดี ไม่ต้องกลัวความถูกต้อง ไม่ต้องกลัวข้อวัตรกิจวัตร ข้อวัตรปฏิบัติ เพราะสิ่งเหล่านี้มันเป็นสิ่งที่มีคุณมีอุปการคุณต่อเราทุก ๆ คน ไปกลัวความถูกต้องมันจะมีปัญญาได้อย่างไร

 

เราทุกคนต้องเข้มแข็ง สง่างามด้วยความรู้ความเข้าใจที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกว่า ความงามนั้นอยู่ที่เรารู้เราเข้าใจ มีความสุขมีปิติมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ที่จะเป็นความงามแห่งชีวิตด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญาที่เอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต มันต้องเป็นความสง่างามของธรรมนูญ ไม่ใช่ความสง่างามของความหลงนะ

 

เราพัฒนาวิทยาศาสตร์ตบแต่งจัดฉากอะไร เราคิดดูดี ๆ มันเป็นการปฏิบัติต่อหน้าและลับหลังนะ มันไม่ใช่ความงามแห่งความดีที่ประกอบด้วยปัญญา มันเป็นความงามแห่งความหลงนะ

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจแล้วเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ไม่ต้องหลง ไม่ต้องเพลิดเพลินงมงาย ทุกอย่างน่ะมันไม่จบหรอก

 

เราทั้งหลายต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี ไม่อย่างนั้นน่ะชีวิตของเรามันก็จะพังทลายเหมือนตึก สตง.ของประเทศไทย

 

------------------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันพุธที่ ๑๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

Visitors: 94,991