๑๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ของศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ของศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ของศาสนาอิสลาม
เราทั้งหลายต้องพากันมารู้จักคำว่าศาสนา พระศาสนานี้คือความรู้ความเข้าใจในการดำเนินชีวิต
การดำเนินชีวิตของเราต้องเอาธรรมนำชีวิต ไม่เอาความรู้สึกนำชีวิต เน้นมาที่ตัวของเราเอง คนอื่นปฏิบัติให้เราไม่ได้ ปฏิบัติแทนเราไม่ได้ เราต้องรู้เข้าใจ เพื่อจะได้ประพฤติปฏิบัติที่ตัวเรา ความหมายของพระศาสนามีความหมายอย่างนี้นะ
เราทุก ๆ คนน่ะต้องรู้ต้องเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ว่าเราทุกคนน่ะ จะไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยนั้นไม่ได้ ต้องเอาธรรมนำชีวิต พัฒนาทั้งทางวิทยาศาสตร์พัฒนาทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน สองอย่างนี้ต้องไปพร้อม ๆ กัน ระหว่างทางวิทยาศาสตร์กับทางจิตใจไปพร้อม ๆ กัน นี้คือความถูกต้อง
ให้พวกเรารู้เข้าใจ กายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพมันก็ทำได้ทีละอย่าง คิดพูดการกระทำกิริยามารยาทอาชีพมันทำได้ทีละอย่าง
ให้พวกเราทั้งหลายรู้หลักการรู้อุดมการณ์ อุดมการณ์ต้องเอาธรรมนำชีวิต ถ้าเราเอาความรู้สึกนำชีวิตนั้นไม่ได้ มันทำให้เราไม่ไปทางสายกลาง มันจะพัฒนาวิทยาศาสตร์เพื่อตัวเพื่อตน การเรียนการศึกษาเพื่อตัวเพื่อตน การทำงานเพื่อตัวเพื่อตน มันจะไม่ทำงานเพื่อธรรมเพื่อธรรมนูญ
เราคิดดูดี ๆ นะ ต้องรู้ต้องเข้าใจ เราคิดถึงเมื่อสมัยที่พระสารีบุตรป่วย พระสารีบุตรอาพาธ พระสารีบุตรท่านป่วยอาพาธได้คุยกันได้สนทนากันกับพระโมคคัลลานะ ว่าการป่วยการอาพาธมันขาดสารอาหารน่ะ เมื่ออยู่ที่บ้านเมื่อยังไม่ได้บวช แม่ให้อาหารวิตามินโปรตีนเกลือแร่แร่ธาตุครบถ้วน เมื่อมาบวชแล้วออกจากบ้านจากเรือนไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนแล้ว ได้อาหารไม่ครบหมวดหมู่เหมือนอยู่กับแม่ ครั้งนั้นแม่ทำอาหารทำข้าวมัธุปายาสให้ทานให้บริโภค ได้รับอาหารแร่ธาตุวิตามินโปรตีนเกลือแร่แร่ธาตุสมบูรณ์ ร่างกายแข็งแรง
พระเถระโมคคัลลาสารีบุตรสนทนากันเรื่องอาพาธ เทวดาที่อยู่ในเขตนั้นย่านนั้นได้ฟังพระมหาเถระสนทนากันเรื่องอาพาธของพระสารีบุตร ได้ไปสิงสถิตย์ไปบอกให้ประชาชนรับรู้ว่าขณะนี้เวลานี้ท่านพระสารีบุตรได้อาพาธ แล้วก็บอกเรื่องราวให้ประชาชนรับรู้รับทราบว่าให้ทำข้าวมัธุปายาสทำบุญตักบาตร พรุ่งนี้พระโมคคัลลาจะมาภิกขาจารบิณฑบาต ท่านก็จะรับอาหารนั้นไปถวายพระสารีบุตร
ประชาชนได้ฟังอย่างนั้นก็มีความปิติยินดีเพราะมีความเลื่อมใสในพระสารีบุตรอยู่แล้ว เวลาพระโมคคัลไปรับบิณฑบาตภิกขาจารประชาชนพากันตักบาตรแล้วก็ถวายความว่าฝากไปถวายพระสารีบุตร
เมื่อโมคคัลลาได้อาหารกลับมาจากบิณฑบาต พระสารีบุตรผู้มีปัญญาท่านก็ระลึกในใจว่า ทำไมเรื่องมันไปถึงประจวบเหมาะอย่างนี้ แล้วก็ระลึกถึงด้วยพระญาณปัญญา ว่าเราได้สนทนากับพระโมคคัลลานะ เทวดาทั้งหลายได้ไปบอกกล่าวกับประชาชนให้ทำบุญตักบาตรด้วยข้าวมัธุปายาส
พระสารีบุตรผู้เอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิตด้วยบริสุทธิคุณทั้งทางกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพ ตรัสว่าอย่างนี้ไม่ได้ เพราะเราประพฤติพรหมจรรย์ เราต้องเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต ชีวิตของเราถึงจะหามีไม่ก็ไม่เป็นไร เราต้องเอาธรรมนำชีวิต เพื่อความบริสุทธิคุณ
ท่านเอาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลักเพื่อไม่ไปตามธาตุตามขันธ์ ตามอายตนะ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม เอาหลักการเอาอุดมการณ์แล้วก็เอาอุดมธรรมเป็นหลักการแห่งชีวิต ท่านได้เอาอาหารนั้นไปเทลงไป ณ แผ่นดิน ด้วยบริสุทธิคุณ ท่านเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ โรคภัยที่ท่านอาพาธหายปลิดทิ้งทันที
เราทั้งหลายน่ะมาระลึกถึงหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมของพระสารีบุตรนะ ท่านบำเพ็ญสาวกบารมี
คำว่าบารมีนี้ต้องยกเลิกไม่ทำอะไรตามความรู้สึกนะ ต้องมีหลักการมีอุดมการณ์ มีอุดมธรรม
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านก็เอาหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านำชีวิต ยกเลิกความรู้สึกยกเลิกทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย ต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก พระพุทธเจ้าว่าอย่างไรก็เอาอย่างนั้น พระธรรม พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ว่าอย่างไรก็เอาอย่างนั้น ไม่ทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย เพื่อจะได้หยุดสัญชาตญาณ เพื่อเอาธรรมนำชีวิต เป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม
ท่านมีความยึดมั่นถือมั่น มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติที่เอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต เน้นที่ปัจจุบัน โฟกัสที่ปัจจุบัน ทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาททั้งอาชีพ
เรามาสำรวมในพระปาฏิโมกข์ในสิกขาบทน้อยใหญ่ เพื่อเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม สำรวมในอินทรีย์สังขารตาหูจมูกลิ้นกายใจไม่ทำอะไรตามใจ ตามสิ่งแวดล้อมเพื่อเข้าหาศีลบริสุทธิคุณ สมาธิบริสุทธิคุณ ปัญญาบริสุทธิคุณ ก้าวไปด้วยธรรมนูญความรู้ความเข้าใจ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะวาระจิตของคนนั้นมันคิดได้ทีละอย่าง กายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพมันคิดมันพูดมันทำอะไรได้ทีละอย่าง
รู้เข้าใจ รู้หลักการรู้อุดมการรณ์รู้อุดมธรรม เอาพระธรรมพระวินัยเป็นอุปกรณ์ อุปกรณ์ในการประพฤติการปฏิบัติ ความรู้ความเข้าใจเป็นปัญญา ปัญญากับการประพฤติการปฏิบัติไปพร้อม ๆ กัน กรรมกรกับปัญญาไปพร้อม ๆ กัน เรียกว่าต้นทุนน่ะคือปัญญาบริสุทธิคุณ รู้จักหลักการอุดมการณ์แล้วก็อุดมธรรมในการประพฤติการปฏิบัติ การปฏิบัติอย่างนี้แหละพวกเราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจนะ เราทั้งหลายน่ะจะได้รู้ การประพฤติการปฏิบัติ
ทุกชาติทุกศาสนาก็ใช้หลักการเดียวกันนี้แหละ เพราะธรรมะไม่ได้แบ่งแยกเชื้อชาติศาสนา ธรรมะก็คือธรรมะ ธรรมะก็คือประภัสสรของทุกอย่าง เรารู้เข้าใจไปมีปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
เมื่อมันผ่านไปแล้วเราก็ปล่อยวาง อย่าไปติดอกติดใจต้องปล่อยวาง เพราะสิ่งที่ผ่านไปแล้วถือว่าเกษียณแล้วมันเอากลับคืนมาไม่ได้ เราต้องเอาอยู่กับปัจจุบันอยู่กับธรรมอยู่กับปัจจุบันธรรม หลวงปู่มั่น เอาหลักการอุดมการณ์แล้วก็อุดมธรรมอย่างนี้
ท่านหลวงปู่ชาน่ะ ลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น ผู้เอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต ทำอย่างหลวงปู่มั่นบอกสอน ด้วยเอาหลักการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย พระพุทธเจ้าว่าอย่างไรก็เอาอย่างนั้น ไม่เคร่งเกินสั่งสอน ไม่ย่อหย่อนตามตัณหาน่ะ ปฏิบัติถึงความพอดีถึงความพอเพียงในปัจจุบัน สำรวมในพระปาฏิโมกข์สิกขาบทน้อยใหญ่ สำรวมในอินทรีย์สังขาร ตาหูจมูกลิ้นกายใจ เน้นที่ปัจจุบัน ไม่เป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่เอาความหลงนำชีวิต ทุกอย่างต้องเอาธรรมเอาพระวินัย ไม่เอาความรู้สึก เอาพระธรรมเอาพระวินัย
ประวัติของท่านที่ท่านบำเพ็ญบารมี สถานที่ที่ท่านบำเพ็ญบารมีมันมีปลาเลี้ยงปลาดุกอยู่ในอ่างน้ำที่ท่านบำเพ็ญบารมี ประชาชนในหมู่บ้านได้พากันมาจับปลาไปทำอาหารส่วนหนึ่งก็บริโภค ส่วนหนึ่งก็เอามาถวายท่าน ท่านก็มองเห็นปลามันตัวขนาดพอดีกับที่อยู่ในอ่างน้ำที่ท่านประพฤติปฏิบัติธรรม
ท่านก็คิดในใจของท่านว่า ปกติชาวบ้านเค้าไม่มีปลาอย่างนี้ แล้วท่านก็ไปดูที่อ่างน้ำ ปลาในอ่างเหลือน้อยหายเกือบหมดน่ะ
ท่านก็คิดในใจของท่านว่า อย่าเลย เราไม่ต้องฉันไม่ต้องบริโภค ถ้าเราฉันเราบริโภค ปลาที่ยังเหลืออยู่นั้นคงหายหมดน่ะ
เราดูปฏิปทาของท่านน่ะ เป็นปฏิปทาที่บริสุทธิคุณ เป็นปฏิปทาที่ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ความรู้สึก ไม่เห็นแก่ปากแก่ท้อง ไม่ยอมเอาความหลงนำชีวิต ไม่ยอมเอาความรู้สึกนำชีวิต เอาธรรมเอาธรรมนูญนำชีวิต คนอื่นทำก็ไม่ยินดีด้วยในความไม่ถูกต้อง
หลวงปู่ชาน่ะได้บอกกับลูกศิษย์ลูกหาว่า พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่เป็นบริสุทธิคุณ เราทั้งหลายต้องจับประเด็นจับหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมให้ได้ เราทั้งหลายอย่าไปทำอะไรตามอัธยาศัย ไปทำตามอัธยาศัยไปทำตามความรู้สึกไม่ได้ เราต้องมีหลักการมีอุดมการณ์อุดมธรรม ต้องลงรายละเอียดทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพ ท่านเน้นเรื่องพระธรรมพระวินัย เน้นความซื่อสัตย์สุจริต
เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเอาความรู้สึกเป็นที่ตั้งคือบุคคลที่ไม่ซื่อสัตย์ไม่สุจริตนะ เป็นผู้ที่ไม่ลงใจในพระพุทธพระธรรมพระอริยสงฆ์ ยังเอาความรู้สึกของตัวเองนำชีวิต คือบุคคลไม่สุจริต การประพฤติการปฏิบัติเป็นเพียงรูปแบบเพื่อเอาแบรนด์เนมมาหลอกลวง
ความไม่เข้าใจพระธรรมพระวินัยบริสุทธิคุณ เราจะไม่เข้าถึงความสงบไม่เข้าถึงปัญญานะ ความเป็นพระศาสนาหรือความเป็นพระของเรา มันต้องครบทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพ มันสมบูรณ์ด้วยบริสุทธิคุณ ไม่มีต่อหน้าลับหลัง
การปฏิบัติถ้าเราไม่ลงใจในพระธรรมพระวินัย เรายังเห็นว่าพระธรรมพระวินัยสำหรับให้ผู้อื่นเลื่อมใส ให้ผู้อื่นโอเค นี้มันเป็นการหลอกลวงนะ มันไม่สมบูรณ์ทั้งกายวาจากิริยามารยาทและอาชีพ
หลวงปู่ชาถึงตรัสกับลูกศิษย์ลูกหาว่า ผมนี้นะรู้เข้าใจในพระธรรมพระวินัย รู้เข้าใจในอินทรีย์สังวร ผมสอนผมปฏิบัติตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์นะด้วยบริสุทธิคุณน่ะ ที่ผมบอกสอนพวกท่านทั้งหลายเพียงห้าเปอร์เซ็นต์เท่านั้นนะมันถึงพอไปได้
ถ้าเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเอาความรู้สึกเป็นที่ตั้งมันไม่ได้ ให้รู้เข้าใจ
พวกท่านทั้งหลายต้องเข้าใจหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อศีลของเรามันจะได้ติดต่อต่อเนื่องด้วยความรู้ความเข้าใจ ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะด่างจะพร้อยไปตามความไม่รู้ไม่เข้าใจ ไปตามผัสสะทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ
เรื่องฉันนี้หลวงปู่ชานี้เข้มงวดมาก เรียกว่าทุกอย่างต้องประเคน กายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพเรียกว่าต้องประเคนหมดน่ะ เค้าเรียกว่าหัวใจรับประเคนคือหัวใจมันตกต่ำไปตามความรู้สึกไปตามสิ่งแวดล้อม มันตกต่ำไปแล้วก็ต้องยกขึ้นสู่พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่
แล้วก็ยังสำรวมในอินทรีย์สังวรณ์ ยกขึ้นเข้าสู่ความเป็นมาตรฐานทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาท เพราะเราทำอย่างเก่า ทำตามใจตามอัธยาศัยมันอยู่ในระนาบเก่า ระนาบของคำว่าเป็นคน
ถ้าเราเอาหลักการเอาอุดมการณ์อุดมธรรม มีความเคารพยำเกรง ไม่เป็นคนนิสัยหยาบอยู่ในระนาบแห่งความหลงน่ะ มันก็เป็นสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน ชื่อว่ากายวาจาใจกิริยามารยาทยังไม่ได้รับประเคนนะ ประเคนนี้หมายถึงยกขึ้นสู่พระธรรมสู่พระวินัย กายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพ ก็ยกขึ้นสูงขึ้น
ที่ท่านพุทธทาสภิกขุท่านเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงเป็นผู้ที่เอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต ได้มีความรู้ความเข้าใจในธรรมในธรรมนูญ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ยกเลิกแคนเซิล ไม่เอาโลกธรรมนำชีวิต ได้พูดได้ตรัสจากใจว่า
เราทั้งหลายต้องพากันรู้พากันเข้าใจ ต้องยกใจของเราขึ้นสู่พระธรรมสู่พระวินัย สู่ศีลสังวรณ์อินทรีย์สังวร เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจเราจะเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจเราจะได้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ท่านจึงตรัสว่าเราทั้งหลายจะเป็นมนุษย์ได้ก็เพราะยกกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพเข้าสู่ธรรมนูญ
เป็นมนุษย์ เป็นได้ เพราะใจสูง เหมือนหนึ่งยูง มีดี ที่แววขน
ถ้าใจต่ำ เป็นได้ แต่เพียงคน ย่อมเสียที ที่ตน ได้เกิดมา
ใจสะอาด ใจสว่าง ใจสงบ ถ้ามีครบ ควรเรียก มนุสสา
เพราะทำถูก พูดถูก ทุกเวลา เปรมปรีดา คืนวัน ศุขสันติ์จริง
ใจสกปรก มืดมัว และร้อนเร่า ใครมีเข้า ควรเรียก ว่าผีสิง
เพราะพูดผิด ทำผิด จิตประวิง แต่ในสิ่ง นำตัว กลั้วอบาย
คิดดูเถิด ถ้าใคร ไม่อยากตก จงรีบยก ใจตน รีบขวนขวาย
ให้ใจสูง เสียได้ ก่อนตัวตาย ก็สมหมาย ที่เกิดมา อย่าเชือน เอย ฯ
เราต้องรู้เราต้องเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ
เราอย่าให้ความหลงมาระคายเคืองเรานะ เราเอาความหลงนำชีวิตมันเป็นความระคายเคืองแห่งชีวิต ทำให้ชีวิตเศร้าหมองไม่ผ่องใส เป็นชีวิตที่ระคายเคือง
วัดหนองป่าพง ท่านอาจารย์ชา เป็นผู้ที่มีปฏิปทาน่าเคารพเลื่อมใส เป็นพระที่เป็นตัวอย่างแบบอย่างเป็นแบบพิมพ์เป็นแม่พิมพ์ เอาพระธรรมเอาพระวินัย เอาปาฏิโมกข์สังวร เอาอินทรีย์สังวร ท่านเป็นแบบเป็นพิมพ์เป็นตัวอย่างแบบอย่าง
ท่านบอกกับพระว่า เราไม่ต้องกลัวอดตายน่ะ เราอย่าได้ทำอะไรด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ เราต้องเอาพุทธะนำชีวิตเพื่อรู้จักผัสสะรู้จักอารมณ์
วัดหนองป่าพง อยู่ห่างจากอำเภอวารินฯสิบกว่ากิโล อยู่ห่างจากตัวเมืองอุบลฯยี่สิบกว่ากิโล ตอนเช้าน่ะเจ็ดโมงครึ่ง คนในตลาดวารินฯ ตลาดเมืองอุบลฯ จะเอาอาหารมาถวาย คนรวยคนมีฐานะคนจีน
คนจีนน่ะเป็นทั้งคนดีเป็นทั้งคนมีปัญญา เป็นทั้งคนมีปัญญาเป็นคนดีเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เอาเรื่องกตัญญูกตเวทีเป็นหลัก ได้พากันมาทำบุญ เวลาเค้ามาทำบุญเค้าจะเอาแกงมาเป็นหม้อขนาดยกได้ เอามาแล้วก็จะเอามาวางไว้ พระไปบิณฑบาตกลับมา
การไปบิณฑบาตที่วัดหนองป่าพงนั้นไปหลายหมู่บ้าน ปริมณฑลนั้นมีหลายหมู่บ้าน การไปบิณฑบาตก็ออกแต่เช้า ถ้าไกลพอมองเห็นทางระหว่างรุ่งอรุณ ก็พากันไป กลับจากบิณฑบาตสายสุดท้ายก็ประมาณเจ็ดโมงครึ่ง
พระทุกรูปเอาหลักการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ถ่ายทอดมายังหลวงปู่มั่น ที่กำลังถ่ายทอดด้วยพระอาจารย์ชาอยู่น่ะ เอาหลักการอย่างนั้น
ทุกคนน่ะอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ถือตัวถือตน การมาบวชมาบรรพชาคือมายกเลิกตัวตน เอาธรรมนำชีวิต ถึงเรียกว่ายกระดับขึ้น เรียกว่ากายวาจาใจกิริยามารยาท ต้องรับประเคนด้วยความรู้ความเข้าใจ
กลับมาถึงแล้วก็จะมารวมกันที่โรงฉัน พากันมานั่งสมาธิเป็นแถว สงบเงียบ ไม่มีใครคุยกัน อยู่ด้วยกันเป็นปีสองปีสามปียังไม่รู้เรื่องตื้นลึกหนาบางซึ่งกันและกันเพราะไม่ได้คลุกคลีกัน ไม่รู้ประวัติลึกซึ้งซึ่งกันและกัน ปฏิบัติสมัยก่อนน่ะ สมัยห้าสิบหกสิบปีก่อนมันมีความเข้มข้นอย่างนี้
สมัยก่อนน่ะมันยังไม่มีวิทยุโทรทัศน์ ไม่มีโทรศัพท์ พระไปประพฤติปฏิบัติ ก็อยู่กับสติอยู่กับสัมปชัญญะ อยู่กับความสงบ อยู่กับสติปัฏฐานอยู่กับปัญญา เพื่อการปฏิบัติจะได้ติดต่อต่อเนื่อง
ท่านหลวงปู่ชา ท่านจะไปบิณฑบาตสายใกล้สุด คือบ้านกลาง ทิศตะวันตกของวัด ห่างจากวัดประมาณ ๑ กิโลเมตร หรือจะมากกว่ากิโลนิดหน่อยสมัยก่อน ไม่ถึง ๒ กิโล หลวงปู่ชาจะไปบิณฑบาตสายนี้ ท่านจะไปบิณฑบาตไม่กี่รูป ไม่ถึง ๑๐ รูป
เวลากลับมาท่านก็จะไปโปรดแม่ของท่าน คือคุณแม่ชีพิมพ์ ที่บวชเป็นแม่ชีสีขาว กลับจากบิณฑบาตในหมู่บ้านท่านจะแวะบิณฑบาตที่บ้านแม่ชี ไปโปรดคุณแม่ชีพิมพ์
วัดหนองป่าพงจะแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนทางทิศตะวันตกเป็นที่ของผู้หญิง เป็นที่ของแม่ชีไว้ ทางตะวันออกเป็นที่ของพระ ระหว่างกลางเป็นป่ากั้นเขตแดน เพื่อไม่ให้มองเห็นกัน ห่างกันประมาณ ๒๐๐ เมตร
พระก็จะไม่รู้เรื่องทางผู้หญิงไม่รู้เรื่องทางแม่ชี แม่ชีก็จะไม่รู้เรื่องของพระเหมือนอยู่กันคนละโลกเลย
เวลากลับจากบิณฑบาตท่านก็จะโปรดคุณแม่ชีพิมพ์ เพื่อให้คุณแม่ชีพิมพ์ตักบาตรทุกวัน
แม่ชีที่นั่นเป็นแม่ชีที่ตัดจากเรื่องภายนอกจากโลกภายนอก เป็นแม่ชีที่สาปสูญจากโลกภายนอกแล้ว ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับครอบครัว ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับภายนอก ไม่ไปไหนมาไหน ตัดขาดจากโลกหมดภายนอกหมด
หลวงปู่ชาก็จะมาถึงโรงฉันก่อนแปดโมงนิดหน่อย พระทั้งหลายที่อยู่ในวัด ๕๐ รูป ๖๐ รูปก็พร้อมเพรียงกันลุกออกมาต้อนรับทำข้อวัตรกิจวัตรอุปัฏฐากย์ท่านอาจารย์ชาน่ะ
วัดหนองป่าพงสมัยก่อนสมัยโบราณเค้าจะมีอ่างล้างเท้าที่เทด้วยปูนแล้วก็ก่อเป็นขอบสูงประมาณ ๑ ฟุต สำหรับล้างเท้า เพราะว่าพระไปบิณบาตไม่ได้ใส่รองเท้า กลับมาทุกรูปต้องล้างเท้า ใครมาก่อนก็ล้างเท้าก่อน
จะมีอ่างหลวงปู่ชาพิเศษน่ะ ไม่ให้ใครไปล้างตรงนั้น จะล้างเฉพาะท่านหลวงปู่ชารูปเดียว เพราะต้องเป็นที่เคารพยำเกรงเป็นที่เคารพบูชา ไม่ตีตัวเสมอท่านน่ะ เพราะความเคารพคารวะมันเป็นสิ่งที่สำคัญ ต้องเคารพในพระธรรมในพระวินัย เพราะทุกอย่างมีแต่ธรรมมีแต่พระวินัย ไม่ได้ทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย ต้องเน้นที่ใจเน้นที่พระธรรมพระวินัย
ทุกคนต้องให้ได้มาตรฐานให้ได้ มอก.ในการประพฤติการปฏิบัติ ที่เรามองเห็นด้วยตานี้ต้องให้ได้มาตรฐาน ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ทำอะไรตามเวลา ทำอะไรตาม พระธรรมพระวินัย ต้องให้ได้มาตรฐาน ที่เราเห็นได้ตาได้ยินด้วยหูต้องได้เห็นได้ยินได้ฟังให้ได้มาตรฐาน
เวลาที่ท่านอาจารย์ชามาถึงน่ะทุกคนก็รีบไปต้อนรับไปรับจีวร ท่านก็จะเดินไปที่อ่างล้างเท้า ทุกคนก็จะไปรวมกันหมด เห็นความสำคัญในเรื่องคารวะธรรม พากันล้างเท้าเช็ดเท้า
ทุกคนถือว่าหน้าที่สำคัญ โฟกัสเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ นี้ไม่ใช่ศักดินา มันเป็นการหายพยศ ลดมานะ ละทิฐิ เพื่อลงใจในพระพุทธ ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ เพราะเรื่องเคารพคารวะในพระธรรมพระวินัยในสิกขาบทน้อยใหญ่ในครูบาอาจารย์ในสถานที่เคารพในปฏิสัณฐานเคารพในเวลานี้เป็นการถูกต้องน่ะ
ทำจากใจ ทุกคนทำจากใจ จากบริสุทธิคุณ เพื่อเราจะได้ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง เพื่อจะไม่ได้เป็นเพียงจัดฉาก ไม่มีต่อหน้าและลับหลัง มีความตั้งใจมีเจตนา
ศาลาโรงฉันมันยาวน่ะ เค้าตั้งเตียงนั่งสองฟากฝั่ง ตรงกลางเดินสะดวก อาหารทุกอย่างไม่มีใครได้อะไรตามใจตามอัธยาศัย พระทั้งหลายพากันนั่งอยู่เฉย ๆ ไม่แสดงความยินดียินร้าย เค้าจะอะไรก็ใส่ลงไปในบาตร จะมีพระภัตตุเทศแจกภัต พระเราเณรเรามีหน้าที่เอาข้าวเหนียวก้อนที่พอดี ๆ ฉันหมดไว้ นอกจากนั้นภัตตุเทศ ก็จะตักอาหารใส่ในบาตรให้
อาหารก็ไม่อุดมสมบูรณ์ สมัยก่อนไม่อุดมสมบูรณ์ อาหารก็นิดเดียว หมายถึงกับข้าวนิดเดียวน่ะ สมัยโบราณไม่อุดมสมบูรณ์เหมือนทุกวันนี้ อดอยากอัตคัต เพราะวิทยาศาสตร์ไม่รุ่งเรือง
อาหารทุกอย่างที่ได้มาจากการบิณฑบาตจะเอาออกจากบาตรใส่กาละมัง เค้าจะเอาไปที่โรงครัว ไปแกะ สมัยโบราณก็ห่อด้วยใบตอง มันไม่มีถุงพลาสติกเหมือนทุกวันนี้ เค้าจะเอาไปรวมกัน เค้าก็จะเอามาต้มใหม่ มาอุ่นใหม่ เพื่อให้มันสะอาด อะไรก็รวมกันหมด แกงมาจากบ้านไหน ๆ ก็เอามารวมกันหมด ผัดเอามาจากบ้านไหน ๆ ก็เอามารวมกัน พริกเอามาจากบ้านไหน ๆ ก็เอามารวมกัน
ส่วนใหญ่สมัยโบราณก็อยู่ด้วยอัตคัต ไม่เหมือนทุกวันนี้ ต้องเฉลี่ยกันให้พอไปได้พอมีชีวิตอยู่ได้เพียงไม่ตายน่ะ แต่สังเกตุดูพระส่วนใหญ่เณรส่วนใหญ่แข็งแรง เพราะทำอะไรมีความสุขทำอะไรตามระเบียบตามวินัยมันจะแข็งแรง ตื่นเป็นเวลานอนเป็นเวลา เอาพระธรรมเอาพระวินัยนำชีวิตมันจะแข็งแรง ถึงอาหารจะไม่อุดมสมบูรณ์ แต่มองดูแล้วพระภิกษุสามเณรนั้นแข็งแรง ส่วนใหญ่ก็จะไม่มีพระมีเณรไม่มีชีไปหาหมอ ถ้าไปหาหมอนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่เรื่องไม่ธรรมดา เป็นเรื่องใหญ่เลย เพราะต้องปรับทางร่างกายแล้วก็ปรับทางจิตใจ มันไม่ได้เอาแต่ทางร่างกาย เอาแต่วิทยาศาสตร์ มันเอาจิตใจด้วย
การที่ทำอะไรตามพระธรรมตามพระวินัยตามเวลานี้มันทำให้ใจดีใจสบายทำให้ร่างกายแข็งแรงนะ การที่เราจะไปเอาแต่ทางวิทยาศาสตร์เอาแต่ตัวแต่ตน ไม่ได้พัฒนาใจให้เสมอวิทยาศาสตร์มันเป็นการไปแก้ที่ปลายเหตุ
อะไรก็จะไปหาแต่หมอ ไปหาแต่แพทย์ เพราะว่ามันไปแก้ในทางวัตถุไม่ได้แก้ที่ใจมันมีแต่ความหลงเป็นโอสถ มันไม่มีธรรมะโอสถ ถ้าเราเป็นวิทยาศาสตร์ เรียกว่ามีแต่ความหลงเป็นโอสถนะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกว่าต้องเป็นโอสถทั้งวิทยาศาสตร์และเป็นโอสถทั้งทางจิตใจ ธรรมะต้องเป็นโอสถนะ ธรรมะถึงจะได้ไปทางสายกลาง
ความรู้ปัญญาต้องเป็นพื้นฐานเพราะก่อนที่เราจะทำนี้เรายังเป็นนายเป็นเจ้านาย เมื่อเราทำไปแล้วมันเป็นกรรมเราเป็นบ่าวอย่างนี้ กายวาจากิริยามารยาทของเรา
เราถึงต้องรับประเคน เราต้องมีปัญญาแล้วก็ต้องมีความสงบ มีความสงบมีปัญญา ของทุกอย่างต้องประเคนต้องทำกัปปิยะให้ถูกต้อง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกพระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่นี้จะมายกเลิกมาแคนเซิลสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
เราทั้งหลายถึงต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสกับผู้ปฏิบัติทั้งหลายว่า เธอทั้งหลายจงพากันประพฤติพรหมจรรย์เถิด พรหมจรรย์ก็คือธรรมนูญนี้แหละ ให้เรารู้เข้าใจ
เราทุกคนต้องรู้การประพฤติการปฏิบัติ ต้องเน้นมาที่ตัวเรานี้แหละ ผู้ที่เป็นฆราวาสก็เน้นที่ฆราวาส ผู้ที่เป็นข้าราชการก็เน้นที่ข้าราชการ ผู้เป็นนักการเมืองก็เน้นที่นักการเมือง ผู้ที่เป็นนักบวชก็เน้นที่ตัวของนักบวช
เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ
ถ้าเราไม่เอาหลักการอันนี้ไม่เอาอุดมการณ์อย่างนี้มันไปไม่ได้ เพราะเราจะเดินทางก็ต้องเดินทางด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยการประพฤติการปฏิบัติ
เราทั้งหลายต้องยกเลิกตัวตน ถ้าไม่ยกเลิกตัวตนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงตรัสกับพวกเราทั้งหลายว่า เราจะแบกอวิชชาแบกความหลงพาไปนะ คำว่าแบกนี้ก็หมายถึงมันหนัก เราเข้าใจนะ ร่างกายของเราแต่ละคนมันก็หนักอยู่แล้ว เราจะไปแบกความหลงพาไปไม่ได้
เราต้องรู้จักความถูกต้องความไม่ถูกต้อง เราทั้งหลายต้องบรรลุนิติภาวะ ด้วยความรู้ความเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าไม่อย่างนั้น เราไม่รู้ไม่เข้าใจเอาความหลงนำชีวิต ไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยนั้นเค้าเรียกว่าบุคคลนั้นไม่บรรลุนิติภาวะ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งน่ะคือบุคคลที่ไม่บรรลุนิติภาวะนะ
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจว่า เราทั้งหลายต้องมีหลักการ มีอุดมการณ์พร้อมทั้งอุดมธรรมในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าไม่อย่างนั้นชีวิตของเรามันจะทุจริตนะ ตัวตนนั้นแหละคือทุจริต ใครมีตัวมีตนคนนั้นคือทุจริตนะ ตัวตนนั้นคือมันไม่ใช่ทางไม่มีทางไปนะ มันเป็นทางตันนะ มันเป็นตัณหา หาเรื่องหาราวให้กับตัวเอง หาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น เดี๋ยวชีวิตของเรามันจะพังทลายเหมือนตึก สตง.นะ
----------------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าพฤหัสบดีที่ ๑๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา