๑๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ของศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ของศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ของศาสนาอิสลาม
วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดของข้าราชการ วันจันทร์ถึงวันศุกร์เป็นวันทำงานของราชการ นี้เป็นหลักการของการดำเนินชีวิต เพื่อเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต
วันจันทร์ถึงวันศุกร์เป็นวันทำงานของข้าราชการ เพราะเหตุผลว่ามนุษย์เรานี้ ต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต พัฒนาระหว่างทางวิทยาศาสตร์และพัฒนาทางจิตใจไปพร้อม ๆ กัน เราถึงจะได้เข้าสู่ชีวิตที่ประเสริฐ
ที่เราพากันเกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์ต้องมีหลักการ มีอุดมการณ์และต้องมีอุดมธรรม ไม่ทำอะไรตามใจที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจ จะทำอะไร คิดอะไร พูดอะไรประกอบอาชีพอะไรต้องรู้ต้องเข้าใจ เราทั้งหลายถึงจะได้มีหลักการอุดมการณ์และก็มีอุดมธรรม
วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุด เพื่อให้มนุษย์เราไปโบสถ์ไปวัดไปมัสยิด เพื่อยกเลิกภาระกิจทางภายนอกหมด วันจันทร์ถึงวันศุกร์ให้ทำงานพร้อมกับการประพฤติการปฏิบัติธรรมไปพร้อม ๆ กันเลย
การทำงานก็ให้เป็นการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมก็ให้เป็นการทำงาน สองอย่างนี้จะแยกกันไม่ได้ เพราะระหว่างจิตใจกับวิทยาศาสตร์นี้ต้องไปพร้อม ๆ กัน
การปฏิบัติธรรมถึงไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ความรู้ความเข้าใจอย่างนี้จะไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ไม่ใช่หน้าอย่างหนึ่งหลังอย่างหนึ่ง เป็นผู้บริสุทธิคุณทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาททั้งอาชีพ เป็นผู้ดำเนินชีวิตที่บริสุทธิคุณไม่มีต่อหน้าและลับหลัง
การประพฤติการปฏิบัติธรรมก็ต้องมีความสุข ต้องมีปิติมีสุขมีเอกัคคตา
ถ้าเราไม่มีปิติไม่มีสุขไม่มีเอกัคคตาเราก็มีความทุกข์ กาประพฤติการปฏิบัติของเราต้องไม่มีความทุกข์ ต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา ความทุกข์ใจไม่สบายใจ ความหมายอันเดียวกันกับโรคซึมเศร้า โรคซึมเศร้ากับความทุกข์ใจมันคืออันเดียวกัน
ร่างกายนี้ให้เราเข้าใจ ร่างกายของเรานี้ที่มีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เป็นเพียงอุปกรณ์ อุปกรณ์กับกรรมกรก็คืออันเดียวกันนะ เราต้องรู้ว่ากายของเรานี้เป็นอุปกรณ์ดำเนินชีวิต อุปกรณ์กับกรรมกรก็คืออันเดียวกัน
เราทั้งหลายต้องรู้ว่ากายวาจากิริยามารยาทอาชีพมันเป็นอุปกรณ์หรือว่าเป็นกรรมกร
เราทั้งหลายต้องรู้ต้องเข้าใจที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่ามนุษย์เราต้องรู้เข้าใจ ไม่รู้ไม่เข้าใจไม่ได้ ต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจแล้วจะปฏิบัติไม่ถูกต้อง
มนุษย์เราต้องรู้ธรรมรู้สภาวธรรม จะได้ปฏิบัติถูกต้องทั้งทางกายวาจากิริยามารยาทและอาชีพ ต้องถูกต้องน่ะ เราถึงจะมีศีลหรือว่าศิลปะ เราจะไม่ได้ไปตามความจริงไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม เราทั้งหลายจะได้หยุดสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน
การเรียนหนังสือถ้าเราไม่เข้าใจมันจะไปเพื่อตัวเพื่อตน การทำงานถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจมันจะเป็นไปเพื่อตัวเพื่อต นกายวาจากิริยามารยาทต่าง ๆ จะเป็นไปเพื่อตัวเพื่อตน
เราต้องรู้เข้าใจด้วยสติด้วยปัญญา เพื่อเราจะเข้าถึงธรรมเข้าถึงธรรมนูญ เพื่อจะเอาธรรมนำชีวิตเพื่อหยุดสัญชาตญาณหรือหยุดความรู้สึก
เราทุกคนจะเอาความรู้สึกนำชีวิตไม่ได้ เอาความชอบไม่ชอบไม่ได้
ความชอบคือกาม กามคือตัวตน เราจะตรึกในกามไม่ได้ จะไปจมอยู่ในกาม แช่อยู่ในกามไม่ได้ เราจะไปตรึกในพยาบาทความไม่ชอบความปฏิฆะไม่ได้
เราต้องรู้เข้าใจ ความชอบไม่ชอบมันคือสัญชาตญาณที่เป็นตัวเป็นตนนะ เราต้องรู้เข้าใจ เราจะไม่ได้ไปตามความชอบความไม่ชอบ เราทั้งหลายจะได้สร้าง ความดีที่เป็นบารมีอย่างต้น อย่างกลาง อย่างละเอียดด้วยความรู้ความเข้าใจ
เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม เราจะได้เป็นผู้มีศีลสมาธิปัญญาเอาความรู้สึกนำชีวิต เอาความชอบไม่ชอบคือบุคคลที่ไม่มีศีลสมาธิปัญญานะ เป็นผู้ไม่ได้บรรลุนิติภาวะนะ เพราะว่ายังไม่รู้ไม่เข้าใจในชีวิตที่ประเสริฐ ยังทำอะไรหวังผลตอบแทน ทำความดีเพื่อจะเอาเพื่อจะมีเพื่อจะเป็น
เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจเราจะไม่เข้าถึงความพอดีนะ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ของเมืองไทย ท่านถึงตรัสกับพสกนิกรชาวไทยชาวโลกว่า เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี เน้นรายละเอียดทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาท เราถึงจะมีทั้งความสงบมีทั้งปัญญา มีปัญญามีความสงบ
เราคิดดูดี ๆ นะ เราอยากให้มันมากมันก็ไม่มาก เราอยากให้มันน้อยมันก็ไม่น้อย เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้มีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ
มนุษย์เราถึงมีความสุขด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เราทั้งหลายจะไม่ได้เอาความรู้สึกนำชีวิต เราจะได้เอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต
วันจันทร์ถึงวันศุกร์เราก็มีความสุขในการทำหน้าที่ของแต่ละคนน่ะ ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ ให้มันเกิดปิติเกิดสุขเกิดเอกัคคตา ต้องมีหลักการอุดมการณ์และอุดมธรรมอย่างนี้
ถ้าเราไม่รู้เข้าใจ ถ้าเราทำอะไรเพื่อส่วนตนมันก็มีหลักการมีอุดมการณ์ มันไม่มีอุดมธรรมนะ มันจะเป็นอุดมแห่งความหลงนะ ให้รู้ให้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ
พวกเราไปอยู่ที่ไหนต้องให้เข้าใจในธรรมในสภาวธรรม ให้เรารู้ให้เข้าใจว่า เรามีร่างกาย มีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เมื่อเรามีสิ่งภายนอกมันก็ต้องมีภายใน มันจะเป็นคู่กันสองอย่างนี้
เมื่อเรามีตารูปมันก็มี เมื่อเรามีหูเสียงมันก็มีนอกจากคนนั้นหูเสีย หูไม่ดี นอกจากผู้นั้นตามันเสียตามันไม่ดี
เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้รู้ธรรมรู้สภาวธรรม เราจะไม่ได้ไปตามตาหูจมูกลิ้นกายใจที่มาสัมผัส
เรารู้เข้าใจเราทั้งหลายจะได้รู้จักข้อสอบรู้จักโจทย์คำถาม เราจะรู้ข้อสอบด้วยความรู้ความเข้าใจ
เราจะได้เข้าถึงบางอ้อ ว่าอ้อๆๆ เรามีตาก็มีรูปอย่างนี้ มีหูก็มีเสียงอย่างนี้ มีจมูกก็มีกลิ่น มีกายก็มีผัสสะ มีใจก็มีเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องอารมณ์
เราต้องรู้เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เป็นธรรมเป็นประภัสสรมันเป็นใหญ่ แต่ละอย่างมันจะทำหน้าที่ของแต่ละหน้าที่ มันไม่ก้าวก่ายกันเลย
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้เรารู้ว่าเราจะไม่ได้ก้าวก่ายหน้าที่สิทธิซึ่งกันและกัน ทุกอย่างมันจะได้เป็นประภัสสร เพราะทุกอย่างมันเป็นอยู่ของมันอย่างนั้น เพื่อการประพฤติการปฏิบัติของเรามันจะได้ติดต่อต่อเนื่อง
คนเราถึงจะหัวไม่ดีก็ไม่เป็นไร เพราะหัวดีหัวไม่ดีเป็นเรื่องอดีตไปแล้ว
เราต้องเข้าใจเรื่องอริยสัจสี่เอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต
การที่เรามีความสุขในปัจจุบันในข้อวัตรข้อปฏิบัติ คนหัวไม่ดีสมองมันก็จะค่อยดีขึ้น ด้วยความลงใจในพระพุทธเจ้าในธรรมะในธรรมนูญ เราทั้งหลายมันก็จะดีทั้งทางวิทยาศาสตร์ดีทั้งทางใจไปพร้อม ๆ กัน
ให้พวกเราทั้งหลายรู้เข้าใจนะ การปฏิบัติธรรมของเราถึงไม่มีต่อหน้าและลับหลัง เป็นมนุษย์ยกเลิกต่อหน้าและลับหลัง สะอาดทั้งกายวาจากิริยามารยาทสะอาดทั้งใจไม่มีอะไรปกปิดซ่อนเร้น จะเป็นบริสุทธิคุณ ปฏิบัติสม่ำเสมอด้วยความรู้ความเข้าใจ
ความรู้ความเข้าใจมันจะสม่ำเสมอมันจะไม่ขาด มันจะไม่เกิน มันจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี
สิ่งที่เป็นอดีตนั่นน่ะมันผ่านมาแล้วมันเกษียณแล้วทุกคนแก้ไขไม่ได้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชท่านตรัสว่า ช่างหัวมันช่างหัวเผือก มันผ่านไปแล้วมันเกษียณแล้ว ปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นวาระแห่งการประพฤติการปฏิบัติ หรือว่าเป็นวาระของชาติ
เราต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี อนาคตก็ไม่ต้องวิกลกังวลอะไรเพราะอนาคตมันก็ไปจากปัจจุบันนี้แหละ เพราะปัจจุบันนี้เป็นความเจริญก้าวหน้าของอนาคต
เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ เดี๋ยวนี้เรากำลังอยู่ในสิ่งเดียวกันน่ะ ระหว่างอดีตปัจจุบันอนาคตอยู่ในอันเดียวกันนะ เหมือนมีดเล่มหนึ่งทุกอย่างมันอยู่ในมีดเล่มนั้นมันเป็นปัจจุบัน ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญแห่งชาติ กายวาจามารยาทอาชีพเป็นวาระสำคัญเป็นวาระแห่งชาติ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าปัจจุบันเราทั้งหลายให้ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ อย่าไปประมาท อย่าไปเพลิดเพลิน ต้องรู้เข้าใจให้พากันมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะทุกอย่างมันคือกรรม กรรมมันจะเป็นกรรมกร กายวาจากิริยามารยาทอาชีพมันเป็นกรรมเป็นกรรมกร
ต้นทุนของเรามันคือความหลงนะ ความรู้สึกที่เป็นสัญชาตญาณเป็นนิติบุคคลตัวตน ตัวตนคือความหลงเป็นเครื่องประกอบทุกข์ มันตกอยู่ในสัญชาตญาณแห่งวงจร
เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายมารู้เข้าใจ มาหยุดวงจรด้วยความรู้ความเข้าใจในการเวียนว่ายตายเกิด ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญ เรื่องเกิดแก่เจ็บตายพลัดพราก มันเป็นเรื่องใหญ่นะ เราจะได้เห็นภัยในความไม่ถูกต้องหรือว่าเห็นภัยในวัฏฏสงสารเพราะเราต้องรู้เข้าใจ
พูดถึงรูปมันก็ไม่จบเพราะเรามีตาก็มีรูป พูดถึงเสียงก็ไม่จบเพราะเรามีหูก็มีกลิ่น พูดถึงกลิ่นก็ไม่จบเพราะเรามีจมูกก็มีกลิ่น พูดถึงรสก็ไม่จบเพราะเรามีลิ้น พูดถึงเวทนาทางกายมันก็ไม่จบมันก็ต้องมีผัสสะอย่างนี้แหละ พูดถึงใจอย่างนี้ก็ไม่จบ
เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้หยุดด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม บุคลลเช่นนี้ถึงจะเป็นบุคคลที่มีศีลสมาธิมีปัญญา เป็นบุคคลที่บรรลุนิติภาวะไม่ไปตามธาตุตามขันธ์ ไม่ไปตามอายตนะ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม
เราทั้งหลายเป็นมนุษย์เป็นผู้ที่ประเสริฐ พวกเรารู้เข้าใจนะ การดำรงชีวิต ดำรงธาตุ ดำรงขันธ์ ดำรงอายตนะ เราต้องรู้เข้าใจ เราจะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม ไม่ได้ไปตามผัสสะด้วยความรู้ความเข้าใจ
เราจะได้รู้ว่าเราเกิดมาทำไม เราเรียนหนังสือทำไม เราทำการทำงานทำไม ทำไมเราถึงเป็นข้าราชนักการเมืองหรือเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจหรือเป็นพ่อค้าประชาชน เราจะได้รู้ว่าการดำเนินชีวิตมันต้องให้ถูกต้อง
เราต้องมีความสุขในการดำเนินชีวิต เพื่อเราจะได้เอาธาตุทั้ง ๔ เอาขันธ์ทั้ง ๕ เอาอายตนะภายใน ๖ ที่กระทบภายนอกอีก ๖ ก็เป็น ๑๒ ดำเนินชีวิต
เราทั้งหลายพากันมาเน้นที่ตัวเรา เราไปแก้ใครไม่ได้หรอก
พระพุทธเจ้าท่านก็แก้ที่ท่านปฏิบัติที่ท่าน พระอรหันต์ได้ฟังพระธรรมเทศนาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็แก้ที่พระอรหันต์ เรารู้เข้าใจเราก็แก้ที่เรานี้แหละ
ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกท่านตรัสกับผู้ที่ไปบรรพชาอุปสมบทกับท่าน ท่านบอกว่าเธอทั้งหลายจงพากันประพฤติพรหมจรรย์เถิด เพื่อเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต ยกเลิกสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน มันจะเข้าทางสายกลางระหว่างวิทยาศาสตร์กับเรื่องจิตเรื่องใจมันจะไปพร้อม ๆ กัน มันจะเป็นบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ ทุกคนก็เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เธอทั้งหลายจงพากันประพฤติพรหมจรรย์เถิด เพราะเราต้องรู้ต้องก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ
มันจะไปยากอะไร ถ้าเรามีปิติมีความสุขใจการประพฤติการปฏิบัติมันก็ไม่ยากอะไร กลับจะมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาต่างหาก เพราะอันนี้มันถูกต้องน่ะ มันเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นความดีที่ไม่มีโทษ
การประพฤติการปฏิบัติของเราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจนะ เราอยู่ที่ไหนก็มีกายวาจากิริยามายาทอาชีพเราก็ปฏิบัติที่นั่น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่า การประพฤติการปฏิบัติให้รู้เข้าใจ ถ้ารู้เข้าใจแล้วมันจะไม่เลือกกาลไม่เลือกเวลาไม่เลือกสถานที่ มันเป็นเรื่องความคิดคำพูดการกระทำกิริยามารยาทอาชีพ มันไม่เลือกกาลไม่เลือกสถานที่ เป็นความพอดีไม่เลือกกาลสถานที่
เราอยู่กรุงเทพมหานคร อยู่เมืองหลวงเราก็ปฏิบัติที่นั่น เราอยู่ที่ต่างจังหวัดอยู่ที่ชนบท อยู่ที่ป่าที่เขาเราก็ปฏิบัติที่นั่น เราต้องรู้เข้าใจในสิ่งที่ถูกต้อง
พระนิพพานคือความถูกต้อง ความถูกต้องทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพคือความถูกต้องน่ะ พระนิพพานเป็นความพอดีเป็นความพอเพียงเพียงพอด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นสิ่งที่ว่างจากสิ่งที่เป็นนิติบุคคลตัวตน เป็นสิ่งที่ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ด้วยความรู้ความเข้าใจ
รูปก็มีอยู่ เสียงก็มีอยู่ กลิ่น รส โผฏฐัพพะธรรมารมณ์ก็เป็นสิ่งที่มีอยู่
เรารู้เราเข้าใจมันก็สงบมันก็มีปัญญา มีปัญญามีความสงบ แต่ก่อนเราไม่รู้ไม่เข้าใจเราไปหาความว่างจากสิ่งที่ไม่มี ไปหาความว่างจากสิ่งไม่มีมันระดับกายวิเวก
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกว่าต้องอาศัยกายวิเวก
กายวิเวกเราคิดดูดี ๆ น่ะ ถ้าเรารู้เข้าใจมันก็วิเวก เพราะความรู้เข้าใจนี้จะทำให้เราไม่ตรึกในกามไม่ตรึกในพยาบาท เรายกเลิกตัวตนด้วยความรู้ความเข้าใจ เราไม่ไปตามสิ่งแวดล้อมเราไม่ไปตามความหลงมันก็เกิดความวิเวก
ศีลถึงเป็นความวิเวก การสำรวในพระปาฏิโมกข์หรือสำรวมอินทรีย์ด้วยความรู้ความเข้าใจเราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความวิเวก เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันไม่เข้าถึงความวิเวกเพราะมันเป็นตัวเป็นตน
ให้รู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเราจะไปหาความวิเวกภายนอกน่ะ ไปหาความวิเวกที่ทุ่งใหญ่นเรศวรโน่น ไปหาความสงบความวิเวกจากห้วยขาแข้ง ไปหาความวิเวกจากเขาใหญ่ เขาหลวง น้ำหนาว ภูสอยเดือนสอยดาวอะไรต่าง ๆ เราไปหาความวิเวกอย่างนั้น
พระธรรมพระวินัยนี้แหละจะทำให้เราเข้าสู่ความวิเวก ความรู้ความเข้าใจจะทำให้เราเข้าสู่ความวิเวกนะ เราจะได้รู้ข้อสอบและรู้ข้อตอบรู้จักความวิเวก
ถ้าอย่างนั้นน่ะเราทั้งหลายจะพากันไปแก้ที่ปลายเหตุ ต้นเหตุมันอยู่ที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจนะ เราไม่เอาศีลมาใช้ไม่เอาสมาธิมาใช้ไม่เอาปัญญามาใช้ เราเอานิติบุคคลตัวตนมาใช้ เราเลยไม่มีความวิเวกนะ
ความสงบความวิเวกมันต้องอยู่กับเราทุกหนทุกแห่ง
เราต้องขอบใจสิ่งต่าง ๆ ที่มันมาสัมผัสกับเราทางตาหูจมูกลิ้นกายใจที่ให้พวกเราได้ประพฤติได้ปฏิบัติ ถ้าอย่างนั้นน่ะมันจะเป็นความสงบจากสิ่งไม่มีอยู่
ความสงบมันต้องสงบจากสิ่งที่มีอยู่ด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เข้าสู่หลักการอุดมการณ์อุดมธรรมนะ แต่ก่อนมันอุดมสมบูรณ์ด้วยความหลงน่ะ
เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติเราจะไม่ได้ไปหาความสงบความวิเวกระดับสมาธิระดับสมาบัติ
เราต้องพัฒนาวิทยาศาสตร์พัฒนาทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน ชีวิตของเราน่ะ
เราต้องรู้เข้าใจ วันหนึ่งคืนหนึ่งเรานอนเราพักผ่อนให้เพียงพอ วันหนึ่งคืนหนึ่งน่ะอย่างที่เราอยู่กรุงเทพมหานคร ค่าพีเอ็มของอากาศมันไม่ดี
คนอยู่ในกรุงเทพมหานครปริมณฑลนอนพักผ่อน ๖,๗,๘ ชั่วโมง ถึงที่นั่นจะดีมีแอร์คอนดิชั่นมีเครื่องฟอกอากาศ แต่ค่าพีเอ็มไม่ดี เราต้องนอนพักผ่อนให้เพียงพอ
กายนี้ก็เป็นส่วนสำคัญนะ ต้องนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ปรับตัวเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา
ปัจจุบันนี้แหละมีการพัฒนาเทคโนโลยี ไม่มีกลางวันไม่มีกลางคืน ทำงานทั้งกะกลางวันกลางคืน แต่พวกเราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราต้องนอนพักผ่อน ๖,๗,๘ ชั่วโมง อย่าพากันคอร์รัปชั่นเวลานอน
เวลาทำงานก็มีความสุขกับการทำงานกับการปฏิบัติต้องไปพร้อม ๆ กันอย่างนี้ ต้องมีความสุขในการทำงานกับการปฏิบัติ ชีวิตของเรามันจะไม่เป็นโรคซึมเศร้า
ให้รู้ให้เข้าใจ อย่าพากันฟุ้งซ่าน ต้องรู้เข้าใจในข้อวัตรข้อปฏิบัติของตัวเอง ทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์
เราทั้งหลายก็พากันแก้ที่ตัวปฏิบัติที่ตัวเองให้สมบูรณ์ทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพที่เป็นบริสุทธิคุณ
เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้เน้นที่ปัจจุบัน ทำติดต่อต่อเนื่องกัน ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อมต้องเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต เป็นบุคคลที่มีสติมีปัญญา บุคคลที่บรรลุนิติภาวะ ไม่ไปเอาความสุขจากความหลง ไม่ไปเอาความสุขจากการเบียดเบียนเอาของคนอื่น
มนุษย์เราเป็นผู้ที่ไม่เอาอะไรเป็นผู้ที่เสียสละ มนุษย์เราคือผู้ที่เสียสละ ไม่เอาของของใคร เป็นผู้ให้เป็นผู้เสียสละ
การที่เราเป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวช
เราต้องรู้เข้าใจนะ เราต้องมีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการปฏิบัติธรรม เป็นผู้ที่เสียสละ ทำหน้าที่ของตัวเอง ต้องเป็นผู้ให้
เอาตัวอย่างเสียสละเหมือนพระพุทธเจ้า เสียสละเหมือนพระเยซู เสียสละเหมือนพระนบีมูฮัมหมัด ต้องเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละมันก็ไม่เป็นธรรมไม่เป็นปัจจุบันธรรมมันจะเป็นนิติบุคคลตัวตนให้รู้เข้าใจ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านแสดงธรรมเบื้องต้นว่าเราต้องเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละมันก็เป็นนิติบุคคลตัวตน
สักกายทิฏฐิคือยกเลิกความรู้สึกที่เป็นนิติบุคคลตัวตน ยกเลิกความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นเราเป็นของเรา สำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นผู้หญิงผู้ชายเป็นคนหนุ่ม คนสาวคนแก่คนเฒ่าคนชราหรือว่าเป็นคนตาย สำคัญมั่นหมายว่าเราเก่งกว่าเค้า รวยกว่าเค้าฉลาดกว่าเค้ามีเพาเวอร์สูงเป็นคนรวยเป็นคนมีฐานะ
ประการแรกท่านให้เรามายกเลิกอย่างนี้ เพื่อเราจะเข้าถึงธรรมถึงธรรมนูญ เข้าถึงความพอดี เราต้องเสียสละ
เราคิดดูดี ๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเสียละ วันหนึ่งคืนหนึ่งท่านบรรทมพักผ่อนวันละ ๔ ชั่วโมง
วันหนึ่งคืนหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง กลางวัน ๑๒ ชั่วโมงกลางคืน ๑๒ ชั่วโมง ท่านบรรทมพักผ่อนวันละ ๔ ชั่วโมง ท่านเป็นผู้ให้ผู้เสียสละวันละ ๒๐ ชั่วโมง
เราต้องรู้เข้าใจว่าการเสียสละมันเป็นธรรม เป็นธรรมนูญ เป็นรัฐธรรมนูญ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่ธรรมนูญ ไม่ใช่รัฐธรรมนูญ
มนุษย์เราต้องเสียสละ ต้องรู้เข้าใจเพื่อจะได้ลงใจ ลงใจในสิ่งที่ถูกต้อง ลงใจต่อพระพุทธเจ้า ลงใจต่อธรรมะ ลงใจต่อพระอริยสงฆ์ต้องรู้เข้าใจ
เอาตัวตนเป็นที่ตั้งคือบุคคลที่ไม่รู้อริยสัจสี่เอาความหลงนำชีวิตเอาความโง่หลงงมงาย เอาไสยศาสตร์นำชีวิต
สมัยปัจจุบันนี้เค้าพูดนิยมกันว่าสายมูสายหลงเอาไสยศาสตร์ ให้เรารู้เข้าใจ
เราทั้งหลายต้องพากันเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละศีลก็ไม่มีสมาธิก็ไม่มีปัญญาก็ไม่มี
ศีลนี้เป็นสัมมาทิฐิที่เรารู้เข้าใจ เราจะได้เอาอุปกรณ์คือศีลคือสมาธิ เพื่อเป็นปัญญาบริสุทธิคุณมาใช้มาปฏิบัติให้เข้าใจอย่างนี้
ศีลสมาธิปัญญาถึงเป็นบริสุทธิคุณทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพต้องเป็นบริสุทธิคุณ
ต้องรู้เข้าใจ เราอย่าไปเอาอะไร อย่าไปมีอะไรเป็นอะไร ต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็จะหมุนไปด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ
วันเสาร์วันอาทิตย์นี้เป็นวันหยุดทำการทำงานภายนอก มาเน้นเรื่องจิตเรื่องใจ เน้นการเจริญสติสัมปชัญญะ ไม่อยู่กับภายนอกไม่อยู่กับความสงบ เราต้องมาอยู่กับศีลสมาธิปัญญา
ศาสนาพุทธก็ไปวัดศาสนาคริสก็ไปโบสถ์ ศาสนาอิสลามก็ไปมัสยิด ศาสนาพราหมณ์ก็ไปวิหารก็ไปที่สงบที่วิเวกอย่างนี้
หลักการดำเนินชีวิตครั้งพุทธกาลเค้าถึงมีวันพระน้อยวันพระใหญ่
วันพระน้อยก็ได้แก่วัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำมันก็เท่ากับวันเสาร์วันอาทิตย์ วันพระใหญ่ ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำก็เท่ากับวันเสาร์อาทิตย์
หลักการที่ผ่านมาหลายร้อยหลายพันหลายหมื่นปีก็ใช้หลักการนี้ เพราะหลักการนี้ก็ยังใช้ได้ พัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กัน
วันเสาร์วันอาทิตย์ไม่ใช่วันหยุดให้เราไปหาอยู่หากินไปหาอยู่หาหลงนะ
เราต้องรู้หลักการรู้อุดมการณ์แล้วก็รู้อุดมธรรมเพื่อเอาธรรมนำชีวิต
เราคิดดูดี ๆ นะ คนจนถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจไม่เอาธรรมนำชีวิต ไม่เอาธรรมนูญนำชีวิตมันก็เป็นทุกข์ คนรวยน่ะเอานิติบุคคลเอาตัวตนนำชีวิตมีชื่อเสียงมีเกียรติยศ มีบ้านหรูมีรถหรู มีอะไรอำนวยความสะดวกด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาความรวย เอาความหรูหราฟู่ฟ่าเป็นนิติบุคคลตัวตน เค้ารวยเค้ามีทุกข์เพราะมีตัวมีตน เพราะตัวตนคือความไม่รู้จักพอ เป็นการที่เข้าไม่ถึงความพอเพียงเพียงพอ
พวกเราทั้งหลายให้รู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจแล้วชีวิตของเราทั้งหลายมันจะพังทลายเหมือนตึก สตง.นะ ตึก สตง. อยู่ที่กรุงเทพมหานครอยู่ที่เมืองหลวงของประเทศไทย ด้วยความไม่รู้ความไม่เข้าใจ เอาความหลงนำชีวิตเอานิติบุคคลตัวตนนำชีวิต ชีวิตนี้มันถึงพังทลายด้วยความไม่ถูกต้องนำชีวิต
ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายที่ได้พากันเอาธรรมนำชีวิต เพื่อเป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ต้องรู้หลักการอุดมการณ์อุดมธรรม
เราจะได้เอาความถูกต้องกลับคืน เอาบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพกลับคืนมา เอาพระนิพพานบ้านที่แท้จริงของเรากลับคืนมา เพื่อเป็นบารมีเป็นความดี เป็นปัญญาบริสุทธิคุณ ชีวิตของเราก็จะเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นผู้ปฏิบัติตรง เข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบัน ด้วยความรู้ความเข้าใจ
-----------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าเสาร์ที่ ๑๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา