๒๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

 

วันนี้เป็นวันอังคารที่ ๒๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ของศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ของศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ของศาสนาอิสลาม

 

ทุกชาติทุกศาสนาก็ใช้หลักการเดียวกัน อุดมการณ์เดียวกัน อุดมธรรมเดียวกัน พัฒนาทั้งใจพัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กัน เพื่อเป็นมรรคเป็นอริยมรรคทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ เพื่อเอาธรรมนูญนำชีวิต เพื่อชีวิตจะไม่ได้สะเปะสะปะไปตามสิ่งแวดล้อม ชีวิตนี้ถึงจะมีหลักการ อุดมการณ์อุดมธรรมเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา ประชาธิปไตยก็ต้องปรับเข้าหาธรรมนูญ อย่าให้มีอัธยาศัย ไม่ทำตามความรู้สึก สังคมนิยม ที่นิยมชมชอบ ที่มันยังเป็นสัญชาตญาณ เป็นนิติบุคคลตัวตน ก็ต้องปรับตัวเข้าหาธรรมนูญ

 

ให้ทุกคนพากันรู้พากันเข้าใจ ทุกชีวิตต้องเอาธรรมนูญนำชีวิต พากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการดำเนินชีวิต

 

ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญ ให้ถือว่าปัจจุบันเป็นวาระสำคัญ เพราะอดีตก็มารวมที่ปัจจุบันนี้แหละ อนาคตมันก็เริ่มต้นที่ปัจจุบัน ปัจจุบันถึงเอาธรรมนูญนำชีวิต

 

เราทุกคนน่ะไม่ต้องอาศัยใคร อาศัยความรู้ความเข้าใจ อาศัยการประพฤติการปฏิบัติ

 

ความสงบกับปัญญานี้เป็นคู่กันไปเลย เหมือนกับกลางวันคู่กับกลางคืน ศีลสมาธิปัญญาคู่กันไปเลย เป็นคนฉลาดเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติไปพร้อม ๆ กัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อให้ศีลสมาธิปัญญาทำงานมีประสิทธิภาพ เพื่อหยุดสัญชาตญาณความเคยชิน

 

ความฉลาดกับการประพฤติการปฏิบัติถ้าไม่ไปพร้อมกันมันจะหยุดสัญชาตญาณไม่ได้ เราทั้งหลายถึงต้องมีสัมมาสมาธิ ความตั้งใจมั่น ใจของเราต้องเข้มแข็ง มีความตั้งใจมั่น

 

ปัจจุบันมีการเรียนการศึกษามีปัญญาแต่ขาดอุดมการณ์อุดมธรรม

 

ปัญญากับการปฏิบัติไม่ได้ไปพร้อม ๆ กัน มีแต่ปัญญาแต่ไม่มีการประพฤติการปฏิบัติ เด็กรุ่นใหม่สมัยใหม่จะมีแต่ความรู้ ไม่มีการประพฤติการปฏิบัติ พากันไปตามความหลงไปตามสิ่งแวดล้อม ไม่มีความสงบ มีแต่ความฟุ้งซ่าน

 

โอวาทพระปาฏิโมกข์ หมายถึง การไม่ทำบาปทั้งปวงทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพพร้อมทั้งจิตใจ เพื่อความสมบูรณ์ด้วยการตั้งใจตั้งเจตนา มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะปัจจุบันเป็นวาระสำคัญในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อให้เอาปัญญากับการปฏิบัติไปพร้อม ๆ กัน

 

นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายต้องพากันรู้พากันเข้าใจ เรามีปัญญาเราก็ต้องมีการประพฤติการปฏิบัติ การประพฤติการปฏิบัติกับปัญญามันจะแยกกันไม่ได้ ถ้าแยกกันแล้วการพัฒนาระหว่างวัตถุกับจิตใจมันจะไม่ไปพร้อมกัน

 

ถึงมีคำว่ามีบุญแล้วก็มีกุศล มีความดีแล้วก็มีความฉลาด ต้องมีความสงบที่เป็นสมถะ มีปัญญาเป็นวิปัสสนาอยู่ในเซทเดียวกัน

 

ขันตีปะระมังตะโปตีติกขา ขันติคือความสงบคือความพอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี เพื่อหยุดสัญชาตญาณ เป็นสมาธิเป็นความรู้ความเข้าใจ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ

 

ความสงบกับปัญญา ถ้าเรามีความสงบก็ต้องมีปัญญา สองอย่างนี้ต้องทำงานพร้อม ๆ กัน เพราะสมาธิความสงบนั้นมันเป็นความเย็นเป็นการพักผ่อน มันเป็นเพียงหินทับหญ้า เราจะมองเห็นพวกที่บำเพ็ญสมาธิภาวนาพากันมีความสงบแล้วก็ไปติดในความสงบ

 

ที่เรานั่งสมาธิน่ะเราไปติดในความสงบ ปัญญาเราไม่เพียงพอ ปัญญาของเราไม่ควบคู่กันไป เราทั้งหลายก็พากันสัปหงกโงกง่วง เรามีปัญญาเราไม่มีความสงบมันก็ฟุ้งซ่าน ความสงบกับปัญญามันถึงไปพร้อมกัน ความขยันก็ต้องมีความสงบ ความสงบมันก็ต้องมีความขยัน

 

พระเราต้องเป็นทั้งคนเก่งเป็นทั้งคนดีไปพร้อม ๆ กัน คำว่าพระนี้แหละหมายถึงพระอริยเจ้านะ ไม่ได้หมายถึงพระแต่งตั้งนะ พระอริยเจ้านับตั้งแต่พระโสดาบันไปถึงพระอรหันต์

 

มันต้องเป็นคนเก่งคนฉลาดและคนดีในปัจจุบัน ทุกคนถึงจะเป็นพระได้

 

ถ้าไม่เก่งไม่ฉลาดไม่เป็นคนดีอยู่ในเซทเดียวกันมันเป็นพระไม่ได้ เอานิติบุคคลตัวตนเป็นที่ตั้ง เอาความรู้สึกเป็นที่ตั้ง มันเป็นพระไม่ได้ เอาสัญชาตญาณเป็นที่ตั้งมันเป็นพระไม่ได้

 

เราต้องรู้เข้าใจในความเป็นพระนะ เป็นพระนี้เป็นทั้งคนเก่งเป็นคนฉลาดเป็นคนดีอยู่ในเซทเดียวกันเลยด้วยความรู้ความเข้าใจ ว่องไวคล่องแคล่ว ไม่มีเซ่อ ๆ เบลอ ๆ ไม่มีอุบัติเหตุทางกายวากิริยามารยาททั้งใจไม่มีอุบัติเหตุ ไม่เซ่อไม่เบลอ ความสงบกับปัญญาที่เป็นสมถะเป็นวิปัสสนามันจะไม่เซ่อไม่เบลอ มันจะเป็นความสงบเป็นปัญญา

 

การประพฤติการปฏิบัติมันจะเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม มันจะเป็นธรรมนูญที่ปกครองตนเอง เอาไปปกครองคนอื่นเรียกว่ารัฐธรรมนูญ เข้าสู่รูปแบบคือหลักทางวิทยาศาสตร์ สมบูรณ์แบบทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพน่ะ สมบูรณ์แบบ เข้าถึงธรรมถึงปัจจุบันธรรม เอาเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน เป็นนักวิทยาศาสตร์แล้วเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เข้าถึงเหตุถึงปัจจัยด้วยความรู้ความเข้าใจ เป็นผู้ฉลาดมาก ๆ เป็นผู้ที่มีปัญญามาก ๆ เป็นผู้มีความดีมาก ๆ เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ความสุขใจสบายใจที่เราก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยการประพฤติการปฏิบัติ ความดีนั้นที่ประกอบด้วยปัญญามันจะหล่อเลี้ยง มันจะเป็นบารมีเป็นปัญญา ชีวิตของเรามันจะไม่มีความสับสน ไม่มีความวุ่นวาย

 

เราทั้งหลายเป็นมนุษย์เป็นผู้ที่ประเสริฐ อายุขัยของมนุษย์อยู่ได้ศตวรรษหนึ่ง สมัยปัจจุบันอายุขัยของมนุษย์อยู่ได้ศตวรรษหนึ่งคือร้อยปี

 

ถ้าเราพัฒนาวิทยาศาสตร์พัฒนาใจให้มีปิติมีสุขมีเอกัคคตา ก้าวไปทั้งความสงบ ทั้งปัญญาอยู่ได้มากกว่า ๑ ศตวรรษนะ มากกว่าร้อยปี

 

เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เพราะเราทุกคนน่ะมีลมปราณ ได้รับทรัพยากรที่ประเสริฐ ต้องพากันรู้พากันเข้าใจผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

เราทั้งหลายต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราต้องรู้ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ น่ะ เพื่อเราจะได้ผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ให้สมบูรณ์เต็มที่ เต็มที่ เต็มที่ เพราะอันนี้มันเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาที่ประกอบด้วยความดี มันเป็นความพอเพียงเพียงพอ

 

วันหนึ่งคืนหนึ่งน่ะเราพากันนอนให้พอ พักผ่อนให้พอ

 

วันหนึ่งเรานอนเราพักผ่อน ถ้าเราอยู่เมืองหลวงเราก็นอนพักผ่อนวันละ ๖-๘ ชั่วโมง เพราะค่าพีเอ็มมันไม่ดี ที่นั้นเค้าไปรวมกันอยู่เยอะ ศูนย์รวมใหญ่อยู่ที่กรุงเทพมหานครอยู่ที่ปริมณฑล เราต้องนอนพักผ่อน ๖-๘ ชั่วโมงนะ

 

ถึงจะเราพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีติดแอร์ติดเครื่องฟอกอากาศ เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจนะ ต้องพักผ่อน ๖-๘ ชั่วโมงน่ะ เราอยู่ต่างจังหวัดภายในตัวจังหวัด ก็คนแออัดเหมือนกัน ก็ต้องนอนพักผ่อน ๖-๘ ชั่วโมงน่ะ

 

ถ้าอยู่ในที่ไม่แออัดห่างไกลจากความเจริญ นอน ๕-๖ ชั่วโมงก็เพียงพอเพราะการนอนการพักผ่อนคือการปฏิบัติธรรม

 

เราทั้งหลายถึงปรับเข้าหาความถูกต้อง การที่เรานอนไม่พอพักผ่อนไม่พอ คือบุคคลที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมนะ ไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองให้ถูกต้อง เป็นบุคคลที่ไปตามสิ่งแวดล้อม ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญานะ

 

อยู่ในเมืองหลวงปริมณฑลอยู่ในตัวจังหวัดก็ต้องพากันปฏิบัติธรรม ทำหน้าที่  นอนให้เพียงพอ พักผ่อนให้เพียงพอ ทางวิทยาศาสตร์กับปัญญาถึงไปพร้อม ๆ กัน

 

การที่เรารู้เข้าใจเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มันเป็นการมายกเลิกตัวเรา แล้วก็มายกเลิกคนอื่นนะ เพราะมาเอาธรรมนำชีวิต

 

ให้รู้เข้าใจเรื่องการปล่อยวาง ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจเราจะไม่รู้จักการปล่อยวาง

 

การปล่อยวางคือไม่ทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยไม่ทำตามสิ่งแวดล้อม เพื่อพัฒนาใจพัฒนาวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กันคือการปล่อยวาง มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติเพื่อให้ตรงต่อธรรมนูญ

 

รัฐธรรมนูญนี้คือการปล่อยวางนะ มันเป็นการปล่อยวางด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา ด้วยสมถะวิปัสสนา เป็นความสะอาดสว่างสงบ ทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพทั้งใจด้วยความรู้ความเข้าใจ นี้ถึงจะเป็นการปล่อยวางอย่างถูกต้อง เราทั้งหลายจะได้เป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง เป็นข้าราชการนักการเมืองเป็นนักบวชที่ถูกต้อง

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจเรื่องการปล่อยวาง การปล่อยวางคนละอย่างนะกับการปล่อยปะละเลย การปล่อยวางก็หมายถึงปล่อยวางนิติบุคคลตัวตน เอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อหยุดความไม่ถูกต้อง ไม่เอาความหลงนำชีวิต ไม่แบกของหนักพาไป เพื่อหยุดสัญชาตญาณ

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจเรื่องการปล่อยวาง เราอย่าไปปล่อยวางความดี อย่าไปปล่อยวางบารมี อย่าไปปล่อยวางปัญญา อย่างนั้นไม่ถูกต้อง เค้าเรียกว่า ไม่รู้จักการประพฤติการปฏิบัติ เป็นบุคคลที่ปล่อยปะละเลย

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจเรื่องการปล่อยวางนะ ถ้าไม่รู้เข้าใจ ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจเราทั้งหลายจะพากันบริโภคความหลง ความหลงที่มันเป็นสัญชาตญาณที่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน เราต้องปล่อยด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย ด้วยกิจวัตร ข้อวัตรข้อปฏิบัติ

 

สมมติสัจจะทั้งหลายในโลกนี้น่ะ มีหลายล้านสมมตินะ ชี้ให้เห็นแง่มุมดีชั่วผิดถูก ไม่ดีไม่ชั่วไม่ผิดไม่ถูก ให้เรารู้ให้เข้าใจเรื่องการปล่อยการวาง

 

เรามองเห็นน่ะ ทำไมโลกนี้ยากจน ก็เพราะปล่อยวางไม่ถูกต้อง ปล่อยปะละเลย ปล่อยความดีปล่อยบารมี เอาความหลงนำชีวิต มันปล่อยวางไม่ถูกต้อง

 

ถ้าเราปล่อยวางไม่ถูกต้อง มนุษย์ทั้งหลายจะเข้าถึงความดีเข้าถึงบารมีที่เป็นความดีเป็นปัญญาไม่ได้

 

เราคิดดูดี ๆ น่ะ พวกสัตว์ทั้งหลายไม่ได้พัฒนาวิทยาศาสตร์ไปตามสัญชาตญาณ มันก็อยู่ในระนาบแห่งสัญชาตญาณ มันไม่รู้จักปัญญา มันไม่มีปัญญา ไม่ได้ทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา

 

มนุษย์เรากำลังพัฒนาวิทยาศาสตร์ มีรถมีเครื่องบิน มีคอมพิวเตอร์ มีการพัฒนาความสะดวกความสบาย อำนวยความสะดวกความสบายนั้นดีมาก เพอร์เฟคมาก มนุษย์เราทำอย่างนี้ดีแล้วถูกต้องแล้ว แต่ต้องพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน เพื่อจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี

 

เราทั้งหลายมาเน้นที่ตัวเองให้เต็มที่ มีปิติมีสุขมีเอกัคคตาให้เต็มที่ด้วยความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ทำหน้าที่ของตัวเราให้สมบูรณ์

 

การปฏิบัติให้รู้เข้าใจ การประพฤติการปฏิบัตินี้ไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ถ้ามีต่อหน้าและลับหลังแล้วมันคือยังมีความหลอกลวงอยู่ มันยังเป็นการจัดฉากอยู่

 

การประพฤติการปฏิบัติพวกเราต้องเข้าใจ ถ้าเราปฎิบัติต่อหน้าอย่างหนึ่งลับหลังอย่างหนึ่งมันยังไม่ใช่บริสุทธิคุณ มันยังมีต่อหน้าและลับหลัง มันเป็นการหลอกลวงคนอื่นเค้า มันเป็นการปกปิดซ่อนเร้น มันเป็นความมารยาสาไถยหลีกเลี่ยงแก้ตัว

 

 การประพฤติการปฏิบัติมันถึงไม่มีต่อหน้าและลับหลัง เราปกปิดคนอื่นได้ แต่ปกปิดตัวเองไม่ได้นะ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกพวกเราทั้งหลาย อย่าเอาตัวตนนำชีวิต ต้องเอาธรรมนูญนำชีวิต มันถึงจะไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ความซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีต่อหน้าและลับหลังถึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

 

การที่มนุษย์มีเสื้อผ้าอาภรณ์ปกปิดอวัยวะร่างกายในส่วนต่าง ๆ ตัดผม แต่งผม ล้างหน้าแปรงฟันน่ะ เพื่อการเสียสละนะ เพื่อไม่ปล่อยปะละเลย

 

ให้เรารู้เข้าใจ เพื่อหยุดสัญชาตญาณ เพื่อเข้าสู่ความวิเวกทั้งทางกายวาจากิริยามารยาท มันเป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม

 

ความไม่รู้ไม่เข้าใจอย่างนักบวชพวกชีเปลือยมันเป็นความไม่รู้ไม่เข้าใจแล้วบอกว่าเป็นการปล่อยวาง ไม่ต้องมีอะไร ไม่ต้องมีเสื้อผ้าอาภรณ์

 

การปล่อยวางต้องพัฒนาวิทยาศาสตร์พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน เพื่อเป็นหลักการ อุดมการณ์อุดมธรรม ที่มันเป็นอริยมรรค เป็นอริยมรรคทั้งกายวาจากิริยามารยาท ทั้งอาชีพ อาชีพนั้นต้องเป็นธรรมนูญเพื่อปกครองตนเอง ปกครองทั้งตนเองทั้งคนอื่นเรียกว่ารัฐธรรมนูญ

 

มนุษย์เราผู้ที่ประเสริฐต้องรู้จักการปล่อยวางนะ ถ้าเราไม่รู้จักการปล่อยวาง มันจะเป็นปล่อยปะละเลยหน้าที่การงาน ไม่มีความสุขในการทำหน้าที่ ไม่มีความสุขในการเรียนหนังสือในการทำงานในการรับราชการในการเป็นนักการเมือง เป็นพ่อค้าพ่อขายทำเกษตรกรรมอุตสาหกรรม

 

เราต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เราอย่าพากันปล่อยปะละเลย

 

ถ้าเรามีความเห็นไม่ถูกต้อง เข้าใจไม่ถูกต้องในการปล่อยวางเราจะเสียหายนะ ส่วนรวมจะเสียหายนะ

 

เราทั้งหลายน่ะต้องพากันมาปล่อยวางด้วยความรู้ความเข้าใจ ปรับตัวเข้าหาธรรมนูญเข้าหาเวลาเข้าหาข้อวัตรกิจวัตร พากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเราจะได้ปล่อยวาง เพื่อจะได้หยุดสัญชาตญาณที่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน เราจะได้เอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิตด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

เราจะเดินทางไกลก็ต้องอาศัยปลีแข้งมันถึงไปได้ด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยปิติเอกัคคตา คนสมัยใหม่พัฒนาวิทยาศาสตร์ก็ต้องอาศัยเครื่องบินอาศัยรถยนต์ ถ้าไปทางน้ำทางทะเลมหาสมุทรก็อาศัยเรือยนต์ขนาดใหญ่เพื่อความปลอดภัย

 

เราไม่รู้ไม่เข้าใจเราก็ปล่อยวางไม่ถูกต้อง อันนี้ไม่ถูกต้องนะ ใช้ไม่ได้นะ

 

เราทั้งหลายพากันติดพากันหลง ต้องพากันเข้าสู่ภาคบำบัดแล้ว ไม่ใช่ภาคปฏิบัติ ต้องเข้าสู่ภาคบำบัดนะ

 

พระธรรมพระวินัยเป็นภาคบำบัด ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องให้ได้ ๓ อาทิตย์ขึ้นไป การทำอะไรติดต่อต่อเนื่องเป็นปฏิปทาไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม ไม่ไปตามผัสสะ มีความตั้งใจมีเจตนา มันจะไม่ขาดไม่ด่างไม่พร้อย ก้าวไปด้วยความตั้งใจตั้งเจตนาไม่มีต่อหน้าและลับหลัง

 

การทำอย่างนี้แหละ มันจะเป็นการอบอรมบ่มอินทรีย์ มันจะเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญาตามหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ๓ อาทิตย์ขึ้นไป กายวาจากิริยามารยาทใจของเรามันจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพราะการกระทำนั้นมันจะเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมด้วยกาลเวลาที่อบรมบ่มอินทรีย์ ที่เป็นปัจจุบันธรรม มันจะฝังอยู่ในธาตุขันธ์อายตนะ มันจะเป็นชิฟเป็นเมมโมรี่ที่ฝังอยู่

 

ให้เราเข้าใจนะที่ให้เราเข้าสู่ภาคบำบัด สำหรับภาคปฏิบัตินั้นก็ให้เป็นสำหรับพระอรหันต์ก็แล้วกัน ผู้ที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ต้องเข้าสู่ภาคบำบัด ถือหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต

 

วัตรคือข้อประพฤติข้อปฏิบัติของเรา ที่เป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม

 

วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นข้อวัตรกิจวัตร ว่ามนุษย์ทั้งหลายต้องพัฒนาวิทยาศาสตร์พัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กัน เป็นการทำงานกับการปฏิบัติธรรมไปพร้อม ๆ กัน นี้เป็นหลักการ ปฏิบัติทั้งธรรมทั้งทำงานให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันที่มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา เพื่อหมู่มวลมนุษย์จะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจที่มันเป็นชิฟฝังอยู่ในธาตุในขันธ์ในอายตนะ

 

ให้เรารู้เข้าใจจะไม่ได้ลังเลสงสัยในการประพฤติการปฏิบัติ

 

สำหรับวันเสาร์วันอาทิตย์ตามหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เค้าให้หยุดงานภายนอก พากันไปปฏิบัติธรรมกัน ยกเลิกงานภายนอกหมด มาเน้นเรื่องใจอย่างเดียวไปถือศีลปฏิบัติธรรม

 

ผู้ที่ถือศาสนาพุทธก็ไปที่วัด ถือศาสนาคริสต์ก็ไปที่โบสถ์ ถือศาสนาอิสลามก็ไปที่มัสยิด ผู้ที่ถือศาสนาพราหมณ์ฮินดูก็ไปที่วิหารเทวสถานเทวาลัย

 

ให้รู้หลักการรู้อุดมการณ์ หลักการนี้มีมานานหลายร้อยหลายพันหลายหมื่นปีแล้ว

 

ฃครั้งโบราณเค้าก็เอาวัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำเป็นวันพระน้อย วัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ เป็นวันพระใหญ่

 

คำว่าพระนี้คือพระธรรมคือพระวินัย ยกเลิกทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย ไม่ทำอะไรตามภายนอกมีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา มีแต่ปัญญามีแต่ความสงบ

 

ความเป็นพระของหมู่มวลมนุษย์มันเป็นได้อย่างนี้ต้องรู้เข้าใจ ทุกคนนั้นพากันเป็นพระได้ ด้วยความรู้ความเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงบอกว่าให้เข้าใจเรื่องความเป็นพระนะ

 

พระที่เค้าแต่งตั้งโกนหัวห่มผ้าเหลืองเช่นศาสนาพุทธนี้เป็นพระแต่งตั้ง

 

พระที่แท้จริงน่ะคือเรารู้เข้าใจเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ รู้เข้าใจในเหตุในปัจจัยในความจริง มีหลักการมีอุดมการณ์อุดมธรรม ไม่ไปทำอะไรตามสิ่งแวดล้อม มีความสงบมีปัญญา ด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

เหมือนไปเรียนหนังสือนี้ ไปเรียนหนังสืออ่านออกเขียนได้ก็ไปอ่านไปเขียนอยู่ทุกหนทุกแห่งด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

การเรียนหนังสือต้องรู้เข้าใจ สำคัญอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจวิทยาศาสตร์ค้นคว้าสำคัญอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ การฟังบรรยายนั้นสำคัญอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ

 

เราทั้งหลายน่ะต้องเข้าสู่หลักการคือไม่ทำบาปทั้งปวง ทำแต่ความดีที่เอาปัญญานำชีวิต ถึงจะบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ ทุกคนนั้นก็จะเป็นพระได้

 

เราทั้งหลายต้องเข้าใจความเป็นพระนะ เราทั้งหลายอย่าไปหาพระภายนอก พระต้องอยู่กับเรา รู้เข้าใจเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ

 

พระอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลอยู่ที่กายวาจากิริยามารยาทอยู่ที่ใจของเราเอง มันเป็นมรรคเป็นอริยมรรคเป็นข้อวัตรกิจวัตร

 

คำว่าวัดนี้หมายถึงวัดความยาวความสั้น วัดสำหรับเบาหรือหนักนี้คือข้อวัตรข้อปฏิบัติ

 

เราต้องมีเครื่องวัดมีข้อวัตรข้อปฏิบัติเราต้องเน้นพระมาที่ตัวเรานี้แหละ

 

เราทั้งหลายต้องเข้าใจเราอย่าไปหาพระภายนอก พระภายนอกที่ได้รับการแต่งตั้งถ้าไม่เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพ

 

อาชีพความเป็นพระ พระคือพระธรรมพระวินัยกเลิกตัวตนบุคคลนั้นถึงจะเป็นพระ ถ้าอย่างนั้นไม่ใช่พระมันยังเป็นนิติบุคคลตัวตน

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงบอกพวกเราทั้งหลาย ว่าพวกเราทั้งหลายต้องเข้าถึงพระธรรมพระวินัยอย่าไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย

 

เราอย่าไปปล่อยปะละเลย เพราะกาลเวลามันผ่านไปแล้วมันเอากลับคืนมาไม่ได้ เพราะมันผ่านไปแล้วมันเกษียณแล้วมันเอากลับคืนมาไม่ได้

 

เราพากันมีปิติมีสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เราไม่ต้องมาอาศัยใครอาศัยความรู้ความเข้าใจเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ

 

ถ้าเราเอาความไม่ถูกต้องนำชีวิตมันคือความไม่ถูกต้องมันคือความทุจริต ไม่ใช่สุจริต การประพฤติการปฏิบัติไม่มีต่อหน้าลับหลังด้วยความตั้งใจเจตนานะ มันคือสุจริตน่ะ ถ้าเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เอาความไม่ถูกต้องนำชีวิต ชีวิตนั้นมันจะพังทลายเหมือนตึก สตง.นะ

 

----------------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้นำมาบรรยายในเช้าวันอังคารที่ ๒๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

 

Visitors: 94,981