๒๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันพุธที่ ๒๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ของศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ของศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ของศาสนาอิสลาม

 

นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย ผู้ที่แก่เรียนทั้งหลาย พากันรู้หลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เพื่อพัฒนาวิทยาศาสตร์ เพื่ออำนวยความสะดวกความสบายในการดำรงชีพ พัฒนาใจไม่ให้หลงในวิทยาศาสตร์ในความสะดวกในความสบาย

 

การที่พัฒนาวิทยาศาสตร์นั้นได้รับความสะดวกความสบายต้องพัฒนาใจไม่ให้หลงในวิทยาศาสตร์ พัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์พัฒนาทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี

 

การปล่อยวางนั้นไม่ใช่การปล่อยปะละเลยนะ การปล่อยวางคือทำหน้าที่ของเราไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เพื่อจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี ไม่ตึงเกินไปไม่หย่อนเกินไปเหมือนสายพิณนี้ สายพิณตึงเกินไปมันก็จะขาด หย่อนเกินไปมันก็ไม่เพราะ

 

อย่าไปปล่อยปะละเลย อย่าไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย ความรู้ให้เป็นคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ความรู้กับการประพฤติการปฏิบัติมันแยกจากกันไม่ได้ เพราะความรู้กับการประพฤติการปฏิบัติมันต้องอยู่ในเซทเดียวกัน ปริยัติกับปฏิบัติ มันจะแยกกันไม่ได้เลยนะ ทางวิทยาศาสตร์ทางใจมันแยกกันไม่ได้สัญชาตญาณ

 

เรามองดูด้วยปัญญา เพื่อนะ เราจะเอาแต่ทางวิทยาศาสตร์มันก็ไปไม่ได้ เราจะเอาแต่เรื่องจิตเรื่องใจมันก็ไปไม่ได้ สองอย่างนี้ต้องไปพร้อม ๆ กัน

 

ให้เปรียบเทียบเพื่อให้เกิดพิจารณาด้วยปัญญา มันดูนะ เราจะได้พากันประพฤติพากันปฏิบัติ จะไม่เสียกาลเสียเวลาในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐของเรา

 

ให้พวกเราทั้งหลายน่ะพากันรู้กาลรู้เวลา นะ

 

นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย นักเรียน นิสิต นักศึกษา ผู้ที่แก่เรียนทั้งหลายต้องพัฒนาวิทยาศาสตร์ พร้อมกับการต้องพัฒนาจิตใจไปพร้อม ๆ กัน เพื่อเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี ไม่มากไม่น้อย เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์เป็นผู้ปฏิบัติที่สมควร ที่เป็นดีเอ็นเอที่แห่งความดี ที่ประกอบด้วยปัญญา ปัญญาต้องเป็นปัญญาบริสุทธิคุณ ไม่ใช่ปัญญาเพื่อตัวเพื่อตน เป็นปัญญาบริสุทธิคุณ เพื่อเป็นที่เคารพบูชาทั้งตัวเราในตัวของเราเองและผู้อื่น ตัวเองก็เคารพตัวเองได้ ประชาชนมหาชนก็เคารพนับถือไว้วางใจ  

 

เป็นผู้เข้าถึงทางสายกลางระหว่างวิทยาศาสตร์กับใจเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมไปพร้อม ๆ กัน

 

เราทั้งหลายจะได้รู้ต้องมีจิตสำนึกว่าชีวิตของเราเป็นชีวิตที่ประเสริฐ เราต้องรู้ค่าแห่งลมปราณว่าเราเกิดมาเพื่อมาพัฒนาใจ มาพัฒนาวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กัน

 

ให้มีจิตสำนึกว่าเราเกิดมาทำไม เราเรียนหนังสือทำไม ทำงานทำไม เรามาทำงานเป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวชทำไม

 

เราต้องรู้เข้าใจการพัฒนาวิทยาศาสตร์พัฒนาใจทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน ไม่ปล่อยปะละเลย ต้องมีจิตใต้สำนึก เอาใจใส่ทั้งใจทั้งเจตนาเพื่อให้เป็นหลักการเป็นอุดมการณ์แล้วก็เป็นอุดมธรรม เราทั้งหลายต้องมามีความสุข เรามีปิติมีสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

พัฒนาวิทยาศาสตร์พัฒนาใจทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน

 

เราทั้งหลายจะไปประมาทปล่อยปะละเลยนั้นไม่ได้ เพื่อความสมบูรณ์สมดุลเพราะชีวิตของเรานั้นมันเป็นรายรับรายจ่าย กายวาจากิริยามารยาทใจนั้น มันเป็นรายรับรายจ่ายนะ เรารับมาเท่าไหร่ก็ต้องจ่ายคืนไปเท่านั้น เพื่อความสมดุลเพื่อความพอดี เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเรามองดูดี ๆ น่ะ ทุกอย่างนั้นมันเป็นประภัสสรน่ะ ธรรมชาติมันลงตัวของธรรมชาติอยู่แล้ว

 

ความสมดุลทั้งรายรับรายจ่ายต้องเป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี ถึงพร้อมทั้งอรรถะทั้งและพยัญชนะ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะสัมปันโน               

“จรณะ”คือการประพฤติการปฏิบัติ

“สุคโต” มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เป็นผู้รู้แจ้งโลกในเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย เป็นผู้รู้แจ้งธรรม

“โลกะวิทู” เป็นผู้รู้แจ้งทางวิทยาศาสตร์ เป็นผู้รู้แจ้งทางจิตใจไปพร้อม ๆ กัน

 

ชีวิตของเราจะได้มีแต่ปิติมีแต่ความสุขมีแต่เป็นเอกัคคตาเป็นหนึ่ง เป็นความดีที่ไม่มีโทษ เป็นปัญญาที่ไม่มีโทษมีแต่คุณ เป็นบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพ

 

เราทั้งหลายพากันมาเน้นมาประพฤติปฏิบัติในตัวของเรานะ มามีปิติมีความสุข ในการประพฤติการปฏิบัติในตัวของเรา เราต้องรู้หลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เพราะการประพฤติการปฏิบัตินั้นไม่มีใครประพฤติปฏิบัติแทนกันได้

 

พระพุทธเจ้าท่านก็ประพฤติปฏิบัติของท่านด้วยการบำเพ็ญพุทธบารมี ๑๐ ทัศ ๒๐ ทัศ ๓๐ ทัศ อย่างต้นอย่างกลางอย่างละเอียดท่านก็เน้นที่ท่าน พระอรหันต์ผู้ฟังพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็เน้นที่ตัวของท่าน

 

ทุก ๆ คนต้องเน้นการประพฤติการปฏิบัติในตัวของเราเอง เราเป็นใคร เราก็เน้นที่ตัวของเรานั่นแหละ

 

 เราเป็นพ่อเป็นแม่ก็เน้นที่พ่อที่แม่ เราเป็นปู่ย่าตายายเราก็เน้นที่ปู่ย่าตายาย เราเป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเราก็เน้นที่ข้าราชการนักการเมือง เราเป็นนักบวชเราก็เน้นที่นักบวช  

 

เราทั้งหลายต้องรู้ต้องเข้าใจ นักเรียน นิสิตนักศึกษา ข้าราชการนักการเมือง นักวิทยาศาสตร์ ผู้แก่เรียนทั้งหลายต้องรู้ต้องเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราต้องเน้นที่ตัวเรา ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ให้มีปิติให้มีความสุข ให้มีเอกัคคตา ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ไม่ปฏิบัติอย่างนี้เราทั้งหลายก็จะเป็นโรคซึมเศร้า โรคซึมเศร้านั้นคือความทุกข์

 

เราต้องมีปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เน้นที่ปัจจุบัน เพราะปัจจุบันเป็นวาระแห่งชาติกายวาจากิริยามารยาทอาชีพน่ะมันเป็นวาระแห่งชาติ

 

จิตวาระสุดท้ายมันอยู่ที่ปัจจุบัน กรรมดีกรรมชั่ว กรรมไม่ดีไม่ชั่ว มันอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญเป็นวาระแห่งชาติ เป็นวาระที่ให้เราเกิด แล้วก็ให้เราหยุดเกิด

 

ความรู้ความเข้าใจมันเป็นพระธรรมพระวินัยทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ  มันจะเป็นธรรมนูญของชีวิต

 

เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม มีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม หยุดอุดมหลง เอาปัญญาบริสุทธิคุณนำชีวิต

 

ให้เราทั้งหลายคิดเสียว่าเราเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก ที่มีลมปราณ มีโอกาส มีเวลามีบุญมีวาสนาได้ทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ด้วยการไม่ทำบาปทั้งหลายทั้งปวง ทำแต่บุญแต่กุศลถึงพร้อมด้วยความรู้ความเข้าใจ ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ไม่บริโภคความหลง บริโภคทุกอย่างด้วยปัญญาบริสุทธิคุณ ด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

เราทั้งหลายต้องหยุดสัญชาตญาณแห่งการเวียนว่ายตายเกิดของเราให้ได้ ต้องพากันเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ต้องรู้จักรู้แจ้ง รู้เหยื่อของโลก เหยื่อของโลกนี้มันอร่อยมันแซบมันลำมันนัวมันหรอย สิ่งเหล่านี้มันก็จะมีประจำโลกนี้อย่างแหละ มันก็จะเป็นประภัสสรของทุกสิ่งทุกอย่าง

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราต้องเบรกตัวเองด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

ศีลนี้คือศิลปะที่ประเสริฐ ศีลนี้เป็นสัมมาทิฐิด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

เราทั้งหลายรู้เข้าใจในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์ เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามสิ่งต่าง ๆ ด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

ความรู้ต้องคู่การปฏิบัติ ปริยัติปฏิบัติต้องอยู่ในเซทเดียวกัน

ถ้าความรู้ไม่ปฏิบัติเค้าเรียกว่าเป็นการวิบัติ

 

เราต้องรู้เข้าใจทุกอย่างมันไม่จบ เราทั้งหลายต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เราต้องมีเบรก มีการยับยั้งเราต้องมีเบรกน่ะ รถก็ยังมีเบรก เครื่องบินก็ยังมีเบรก เรือก็ยังมีเบรก เราต้องเบรกตัวเองด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

สมถะคือความสงบ เราต้องเน้นที่ปัจจุบัน ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าการสงบระงับสังขารทั้งหลายนั้นเป็นความสุขอย่างยิ่ง องค์สมเด็จพระสัมมัสมพุทธเจ้าถึงให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม เน้นที่ปัจจุบัน โฟกัสที่ปัจจุบัน ทำหน้าที่ของเราในปัจจุบัน

 

ให้มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน ต้องมีเบรก ต้องมีสมถะ ต้องมีปัญญา เพื่อเอาศีลเอาสมาธิเอาปัญญามาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติอยู่ในเซทเดียวกัน เพื่อให้การประพฤติการปฏิบัติมันติดต่อต่อเนื่อง

 

การประพฤติการปฏิบัติที่ติดต่อต่อเนื่องน่ะมันเป็นกระบวนการที่ติดต่อต่อเนื่องสัมมาทิฐิ ปัญญาสัมมาทิฐิพร้อมกับการประพฤติการปฏิบัติที่ติดต่อต่อเนื่อง จะทำให้ไม่ด่างไม่พร้อยไม่ขาด ไม่พังทลายเหมือนตึก สตง.นะ ความไม่ถูกต้องที่เป็นความอร่อยที่เป็นความแซบความลำความนัวความหรอยเราต้องรู้เข้าใจนะ เราจะตามไปไม่ได้ ถ้าตามไปมันก็จะพังทลายเหมือนตึก สตง.ของประเทศไทย

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทั้งหลายต้องตั้งใจตั้งเจตนาเต็มที่ มีความละอายต่อบาปมีความเกรงกลัวต่อบาป ความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เห็นภัยในวัฏฏสงสารนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ นี้เป็นเบรก เพื่อจะให้เราเอาศีลเอาสมาธิเอาปัญญามาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติเพื่อการประพฤติการปฏิบัติของเราจะได้ติดต่อต่อเนื่อง 

 

การทำอะไรติดต่อต่อเนื่องตามหลักการตามหลักเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ ๓ อาทิตย์ขึ้นไปมันจะเปลี่ยนแปลง เพราะการปฏิบัตินั้นมันติดต่อต่อเนื่อง

 

อย่างคนเข้าภาคบำบัดด้วยการติดเหล้าติดเบียร์ติดบุหรี่ติดการพนัน เค้าต้องใช้เวลาอย่างน้อย ๓ อาทิตย์ขึ้นไป

 

พระธรรมพระวินัยนี้มันจะเป็นเบรก มันจะพาเราเข้าสู่ความวิเวก เข้าสู่ความหยุด หยุดทั้งกาย หยุดทั้งวาจา หยุดทั้งกิริยามารยาท หยุดที่ใจหยุดที่เจตนา

ความตั้งใจเจตนานี้สำคัญมาก ความไม่ประมาทนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก

 

การปฏิบัติธรรมถึงไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ให้ถือว่าเจตนานี้เป็นสำคัญ เค้าถึงไม่เอาเรื่องเอาราวกับคนบ้า เพราะคนบ้าสมองมันเสีย ทางส่วนราชการเค้าก็ไม่เอาเรื่องกับคนบ้า ทางฝ่ายพระศาสนาก็ไม่เอาเรื่องกับคนบ้าเพราะสมองมันเสียน่ะ

 

เราไม่รู้ไม่เข้าใจเอาสัญชาตญาณนำชีวิตนี้คือคนบ้านะ หัวใจของเรามีเชื้อบ้านะ หัวใจของเราเป็นวัฏฏสงสาร หัวใจของเรามันเป็นครอบครัว หัวใจของเรามีครอบครัว ด้วยความรู้ความเข้าใจเข้าถึงเจตนา เพื่อให้เข้าถึงทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ ถึงพร้อมทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจทั้งเจตนา

 

เรื่องจิตเรื่องใจนี้มันเป็นเรื่องเจตนา การปฏิบัติถึงไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ไม่เกี่ยวกับคนอื่นรู้ไม่รู้ เราต้องเข้าถึงเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องเจตนา

 

เราคิดดูดี ๆ นะ กายวาจากิริยามารยาทอาชีพมันเป็นอุปกรณ์ของชีวิตหรือว่าเป็นกรรมกรแห่งชีวิต ความตั้งใจเจตนานี้เป็นสิ่งที่สำคัญ

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ความละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาปนี้ถึงเป็นการหยุด เป็นการเบรก เป็นการสต๊อป

 

ให้เราทั้งหลายรู้เข้าใจ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านจะเสด็จดับขันธ์ สู่ปรินิพพาน ท่านบอกท่านเตือนพวกเราทั้งหลายว่า อย่าได้เพลิดเพลิน อย่าได้ประมาท

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เราต้องหยุดเหตุหยุดปัจจัย เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ให้ถือว่า พระธรรมพระวินัยมันเป็นเบรก มันหยุดมันจะเปลี่ยนวิถีชีวิตของเราเข้าถึงความประเสริฐที่พวกเราทั้งหลายเกิดมาเป็นมนุษย์ เราจะไม่ได้เสียเวลา เสียกาลเสียเวลา เนิ่นช้า ตั้งอยู่ในความหลงความเพลิดเพลินความประมาท

 

วาระแห่งชาติในปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญ เราต้องหยุดทั้งเหยื่อความหลง เราต้องหยุดดีเอ็นเอแห่งความหลง เราอย่ามาหลงเหยื่อ

 

ชีวิตที่ประเสริฐนั้นต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต

 

เราทั้งหลายต้องหยุดรับจ๊อบ รับจ๊อบทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องหยุดรับจ๊อบ จ๊อบนี้ไม่ดีไม่ประกอบด้วยปัญญานะ จ๊อบมันคือความหลงนะ ถ้าเราเอาสัญชาตญาณนำชีวิต เอาความรู้สึกนำชีวิต ชีวิตของเราเกิดมาเพื่อมารับจ๊อบแห่งความหลงนะ ปัจจุบันถ้าเรายินดียินร้าย ให้พวกเรารู้เข้าใจนะ นี้เรากำลังรับจ๊อบแห่งความหลงนะ

 

ถ้าเรารู้เราเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้บริโภคด้วยปัญญา ความสุขนั้นจะเป็นคุณ  ทางวิทยาศาสตร์นั้นจะเป็นคุณ ไม่มีโทษ ด้วยความรู้ความเข้าใจจากการพัฒนาวิทยาศาสตร์ ชีวิตของเราถึงจะก้าวไปเป็นธรรมเป็นปัจจุบันเป็นธรรมเป็นธรรมนูญ ปกครองคนอื่นเรียกว่ารัฐธรรมนูญ ปกครองตนเองเรียกว่าธรรมนูญแห่งชีวิต

 

นาฬิกาที่มันหมุนอยู่คือความถูกต้อง นาฬิกาหยุดคือนาฬิกาตายหรือนาฬิกาเสีย ความรู้ถึงเป็นคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เป็นความสงบกับปัญญาไปพร้อม ๆ กัน ชีวิตของเราถึงจะเป็นเหมือนนาฬิกา นาฬิกาที่ดีที่ไม่เสียน่ะ

 

เค้ามีนาฬิกาไว้ทำไม เค้ามีไว้เพื่อให้รู้กาลรู้เวลา

 

เราคิดดูดี ๆ นะ เรามีตามันก็มีรูป ถ้าเราไม่มีตามันก็ไม่มีรูป เรามีหูมันก็มีเสียงอย่างนี้ เราต้องรู้เข้าใจ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี ต้องรู้เข้าใจ ทุกอย่างนั้นมันว่างเปล่านะ ความว่างน่ะเป็นพื้นฐาน สิ่งที่จรไปจรมาเป็นเพียงอาคันตุกะ ที่จรไปจรมา ทุกอย่างที่มีการเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป

 

ความว่างเปล่านั้นคือพื้นฐานนะ เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามผัสสะไปตามสิ่งแวดล้อม ถ้าอย่างนั้นมันจะเป็นเหมือนนาฬิกาเสียนะ นาฬิกามันจะหยุด

พระนิพพานคือบ้านของเรา บ้านของเราคือว่างจากตัวตนนะ สิ่งที่มาสัญจรมันมาเป็นอาคันตุกะนี้มันชั่วคราว

 

รูปเกิดขึ้นรูปตั้งอยู่รูปดับไป เสียงเกิดขึ้นเสียงตั้งอยู่เสียงดับไป กลิ่นเกิดขึ้นกลิ่นตั้งอยู่กลิ่นดับไป วาระจิตวาระใจมันก็เกิดจากผัสสะให้เรารู้เข้าใจ ถ้าเราไปตามผัสสะไปตามอารมณ์มันก็เหมือนนาฬิกาตายนะ นาฬิกาเสียนะ

 

ความดีต้องประกอบด้วยปัญญา ปัญญาต้องประกอบด้วยความดี ด้วยความรู้ความเข้าใจ เราเรียนหนังสือเพื่อมีความสุขในการเรียนหนังสือ เราทำงาน เพื่อมีความสุขในการทำงาน เราเป็นข้าราชเป็นนักการเมืองก็มีความสุขในการรับราชการเป็นนักการเมือง เราเป็นนักบวชก็มีความสุขในการเป็นนักบวช

 

รู้เข้าใจ เพราะความเป็นปิติสุขมันจะเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะเอาการเรียนหนังสือนี้เป็นคุณ การทำงานนี้เป็นคุณการบริหารราชการนักการเมืองเป็นคุณที่เป็นบริสุทธิคุณ ไม่หวังอะไรตอบแทน เราจะได้เข้าถึงความพอดีความพอเพียง ทุกอย่างถึงจะเป็นบริสุทธิคุณทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพจิตใจ ทางวิทยาศาสตร์ทั้งทางใจมันถึงไปพร้อมกันอย่างนี้เป็นธรรมเป็นธรรมนูญ

 

เราทั้งหลายพากันเข้าใจนะ ประเทศไหนถือประชาธิปไตยก็ต้องปรับตัวเข้าหารัฐธรรมนูญ อย่าไปออกกฎหมายเพื่อพรรคพวกเพื่อพวกพ้องต้องเอาธรรมนูญ สังคมนิยมชมชอบก็ต้องปรับตัวเข้าหาธรรมนูญ ถ้าเราไม่พัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์ทั้งจิตใจมันไปไม่ได้ ด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

ให้เรารู้เข้าใจในอริยสัจสี่เรื่องเหตุเรื่องผล เรื่องกระบวนการของเหตุของปัจจัยทั้งฝ่ายเวียนว่ายตายเกิดและหยุดเวียนว่ายตายเกิด

 

เราทั้งหลายน่ะวันหนึ่งคืนหนึ่งพากันนอนพากันพักผ่อนให้เพียงพอนะ ให้มีความสุขในการนอนการพักผ่อนให้เพียงพออย่าพากันคอรัปชั่นเวลานอน

 

ผู้ที่อยู่ในเมืองกรุงเมืองหลวงก็พากันพักผ่อน ๖-๘ ชั่วโมง เพราะอยู่ในเมืองกรุงเมืองหลวงปริมณฑลค่าพีเอ็มมันสูงต้องพากันนอนพักผ่อน ๖ -๘ ชั่วโมง ถึงจะมีธุรกิจหน้าที่การงานมากก็ต้องนอนพักผ่อน ๖-๘ ชั่วโมง ให้มีความสุขในการนอนพักผ่อน อย่าพากันหลงไหลในแสงสีศิวิไลซ์ต้องรู้เข้าใจ

 

ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็เหมือนนาฬิกาตายนี้แหละมันใจอ่อนไปตามสิ่งแวดล้อม นอนพักผ่อนออกกำลังกายให้เพียงพอ เพราะคนรุ่นใหม่คนสมัยใหม่นี้มันเล่นโทรศัพท์เยอะ มันเล่นคอมพิวเตอร์เยอะ อะไรก็แซบอะไรก็ลำอะไรก็นัวอะไรก็หรอย มันคอรัปชั่นเวลานอนนะ

 

พูดถึงโทรศัพท์คอมพิวเตอร์นี้มันดีมันมีคุณมีประโยชน์ เพื่อใช้การใช้งาน เพื่อเอามาทำงาน

 

เราอย่าพากันหลงนะเดี๋ยวนี้น่ะพากันหลงมาก นักบวชก็หลงข้าราชการนักการเมืองพ่อค้าประชาชนก็พากันหลง

 

เราต้องรู้เข้าใจ ทุกอย่างมันมีทั้งคุณและโทษ เราต้องรู้จักความอร่อยความแซบความลำความนัวความหรอยนะ

 

เราต้องบังคับตัวเองคอนโทรลตัวเอง อย่าให้สิ่งเหล่านั้นมันเป็นสิ่งเสพติด เดี๋ยวพวกเราจะไปตามกระแส ไปตามสิ่งแวดล้อม เราจะไม่มีความสงบไม่มีปัญญามีแต่ความหลงกัน ปัจจุบันนี้ฟุ้งซ่านเหลือเกินไม่มีความสงบ

 

ความสงบกับปัญญาต้องควบคู่กันไป ความสงบกับปัญญาทิ้งกันไม่ได้ต้องเป็นคู่กันเป็นเรื่อย

 

เราทุกคนต้องเป็นทั้งคนเก่งคนฉลาดคนรอบคอบต้องเป็นทั้งคนดีไปพร้อม ๆ กัน ต้องพึ่งพาอาศัยความรู้ความเข้าใจที่เป็นทั้งคนดีเป็นทั้งคนฉลาด ให้เข้าใจอย่างนี้ เราจะไม่ได้พึ่งพาอาศัยใคร รู้ทั้งกายรู้ทั้งวาจารู้ทั้งกิริยามารยาทรู้ทั้งใจ ต้องเอาธรรมเอาธรรมนูญนำชีวิต ถึงจะแคล้วคลาดปลอดภัยด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

ถ้าเราปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องใจดีใจสบายที่เป็นปิติเป็นความสุขมันจะไม่เครียด เพราะเราไม่ได้ปล่อยปะละเลย เรารู้เข้าใจตั้งอยู่ในความไม่เพลิดเพลินไม่ประมาท  มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ก่อนนอนก่อนพักผ่อนประชาชนทั้งหลายจะเป็นพุทธคริสต์อิสลามพราหมณ์ฮินดูซิกส์ก็ต้องพากันนั่งสมาธิ จิตใจอยู่กับความว่าง

 

หลักการใช้อานาปานสติ หายใจเข้าก็มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจออกก็มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้าก็ให้มันสบายให้มีความสุข หายใจออกให้มันสบายให้มีความสุข ให้รู้เข้าใจนี้เป็นหลักการใช้ได้ทุกชาติทุกศาสนา เพราะกลางวันนี้เราทำการทำงาน เราก็มีความสุขในการทำงาน การพูดจากิริยามารยาทเราก็เอาธรรมนูญนำชีวิต เราก็มีความสุขในกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ เราต้องมีความสุขน่ะ

 

ตอนค่ำตอนเย็นอย่ามัวแต่ดูโทรทัศน์พากันเล่นโทรศัพท์อินเตอร์เนทอะไรต่าง ๆ เราต้องพากันนั่งสมาธิกัน ถ้าจะให้ได้มาตรฐานให้ได้ มอก. ก็นั่งซักชั่วโมงนึงนั่นแหละ นั่งสมาธิสักชั่วโมงนึงเพื่อให้ใจอยู่กับความสงบกับปัญญา ว่างจากอดีตว่างจากอนาคต ปัจจุบันเข้าสู่ความว่างไม่มีนิวรณ์ทั้ง ๕ ไม่มีอคติทั้ง ๔

 

ให้เข้าใจ รู้หลักการแล้วเจริญปัญญายกใจเข้าสู่ปัญญา ให้รู้ว่าลมเข้าไปแล้วก็พักผ่อน แล้วก็ออกไป ทุกอย่างมีแต่เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป ไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน มันว่างเปล่า ให้ภาวนาอย่างนี้

 

เราเน้นเรื่องจิตเรื่องใจของเราให้เกิดปัญญาวิปัสสนา เกิดความสงบ

 

ทุก ๆ ศาสนาก็เอาหลักการเดียวกันนี้แหละ เพราะการปฏิบัติธรรมมันเป็นสากล เหมือนความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากนี้มันเป็นสากล อากาศร้อนอากาศหนาวมันเป็นสากล ทุกอย่างเป็นสากลให้รู้เข้าใจ ทุกชาติทุกศาสนาก็ต้องใช้ความรู้ความเข้าใจอย่างนี้

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมาตรัสรู้ท่านมายกเลิกชาติชั้นวรรณะ นิติบุคคลตัวตนไม่ถือเขาไม่ถือเรา ไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นผู้หญิงผู้ชาย เป็นหนุ่มเป็นสาวเป็นคนแก่คนเฒ่าคนชรา นี้มันเป็นธรรมเป็นสภาวธรรม มันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป

 

เราทั้งหลายต้องเอาหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม

 

ตอนค่ำก่อนน่ะเราพากันนั่งสมาธิ

พูดถึงสมาธิ สมาธิก็คือความตั้งใจมั่น เอาธรรมนูญนำชีวิต ไม่เอานิติบุคคลตัวตน คือความตั้งมั่นเพื่อเป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม ไม่ใจอ่อนตามสิ่งแวดล้อม รู้แจ้งวิทยาศาสตร์ รู้แจ้งทั้งทางจิตใจ รู้แจ้งทางผัสสะ

 

ให้เอาหลักการนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นเราจะตกอยู่ในสัญชาตญาณ เราก็จะไปตามสิ่งแวดล้อม

 

เราคิดดูดี ๆ สิ เราไปตามสิ่งแวดล้อมน่ะ สัตว์ทั้งหลายก็ไปตามสิ่งแวดล้อม หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายก็ไปตามสิ่งแวดล้อม

 

ไม่รู้ไม่เข้าใจเลยไม่ได้พากันเข้าใจพระนิพพาน เลยไม่รู้ว่าพระนิพพานคือความว่างเปล่าจากตัวตน

 

สิ่งที่สัญจรไปมามันคืออาคันตุกะ

 

ศีลสมาธิที่เอาธรรมนูญนำชีวิตมันถึงเป็นบ้านของเรา พระนิพพานคือบ้านของเราไม่ใช่เราไปหลงในตาหูจมูกลิ้นกายใจไปตามผัสสะคือบ้านของเรานะ

 

เราต้องรู้อาคันตุกะรู้การสัญจร เราจะไม่ได้เป็นนักทัศนาจร จรไปจรมาเป็นคนพเนจร เป็นคนไม่มีบ้าน เป็นคนโฮมเลส มีบ้านก็มีบ้านภายนอก ไม่มีบ้านทางใจ

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีความสุขด้วยการพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน ชีวิตของเรามันก็จะได้มีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ เป็นสุคะโต อยู่ก็ดี ไปก็ดี ไม่มีโทษ ไม่มีภัย

 

เราต้องรู้เข้าใจนะ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจชีวิตของเรามันก็จะพังทลายนะ มันจะพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้แหละ

 

มองเห็นง่าย ๆ ถ้าเราไม่เอาธรรมนำชีวิตไม่เอาธรรมนูญนำชีวิตไม่พัฒนาวิทยศาสตร์ไม่พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันมันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง.น่ะ

 

ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายเป็นผู้ประเสริฐเป็นผู้ที่มีลมปราณ ต้องใช้หลักการใช้อุดมการณ์อุดมธรรมนำชีวิต ไม่ให้ชีวิตของเรานี้พังทลายเหมือนตึก สตง. ไม่ให้ชีวิตของเราลุ่มหลงอยู่ในอบายมุขอบายภูมิ เพื่อเราจะได้ยกเลิกวัฏฏสงสารด้วยความรู้ความเข้าใจที่เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ปฏิบัติสมควรเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงพระนิพพานด้วยความรู้ความเข้าใจ เพราะอาคันตุกะ เราต้องรู้เรื่องอาคันตุกะเพียงสัญจรไปมา ให้รู้ว่าธรรมนูญชีวิตนี้คือความประเสริฐ คือพระนิพพานบ้านของเรา

 

-------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้นำมาบรรยายในเช้าวันพุธที่ ๒๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

 

Visitors: 94,983