๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีที่ ๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ของศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ของศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ของศาสนาอิสลาม
การประพฤติการปฏิบัติให้พวกเราพากันเข้าใจ เราทั้งหลายจะไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยนั้นไม่ได้เป็นเด็ดขาด เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ วาระการประพฤติการปฏิบัติมันเป็นวาระแห่งชาติในปัจจุบัน
ให้พากันรู้เข้าใจ... ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญพุทธบารมีหลายล้านชาติ มันเป็นสิ่งที่ทวนกระแส บารมี ๑๐ ทัศ ๒๐ ทัศ ๓๐ ทัศ มันเป็นสิ่งที่ทวนกระแส ไม่มีอะไรเลยในการตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ ตามความรู้สึกของตัวเอง ถ้าตามใจตามอารมณ์ตามความรู้สึกของตัวเอง อันนี้ไม่ใช่ อันนี้ไม่ถูกต้อง
พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่าทุกอย่างมันมีคุณนะ เราต้องรู้จัก ถ้าเราไม่รู้จักมันจะมีโทษนะ
พระธรรมพระวินัยมันมีคุณมีประโยชน์
เราคิดดูดี ๆ สิ อย่างอาหารทุกอย่างพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเป็นยา ยาชั่วชีวิต ยาอาทิตย์หนึ่งหรือว่ายา ๗ วัน อย่างนี้แหละ
พวกน้ำอ้อยน้ำตาลน้ำผึ้งพวกนี้มันเป็นยา ๗ วัน ส่วนน้ำปานะมันเป็นยาวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง อย่างอาหารหลักที่เราทานข้าวทานขนมปังหรือทานอะไรต่าง ๆ มันเป็นอาหารเฉพาะกาล อย่างนักบวชมันมีกาลมีเวลา ท่านให้เอาเวลาเช้าตั้งแต่รุ่งอรุณไปถึงเที่ยง จะฉันเวลาไหนหรือบริโภคเวลาไหนก็ได้อย่าให้เกินเที่ยง
เราคิดดูดี ๆ นะ ทุกอย่างพระพุทธเจ้าตรัสว่าบอกว่ามันเป็นยานะ
การที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ ท่านก็คิดในใจว่ายากมากที่มนุษย์ที่จะเข้าใจ เพราะว่าธรรมะเป็นสิ่งที่ทวนกระแส อยู่เหนือความชอบอยู่เหนือความไม่ชอบ อย่างเราทำอะไรมันก็ทำตามความชอบความไม่ชอบ อย่างเราทานอาหารอย่างนี้แหละ ถ้าเราทานเราก็ทำตามความชอบ เราไม่ทานก็ทำตามความไม่ชอบ อาหารทุกอย่างมันคือเป็นยา มันไม่ใช่ความชอบความไม่ชอบนะ
การปฏิบัติธรรมชอบก็ไม่เอานะ ไม่ชอบก็ไม่เอานะ
การปฏิบัติธรรมนี้ทุกคนทำตามใจตามอารมณ์ตามอัธยาศัยไม่ได้ ถ้าทำตามใจตามอัธยาศัย ตามความชอบไม่ชอบก็ไม่ใช่ธรรมะ ไม่ใช่ธรรมนูญ มันเป็นตัวเป็นตน
อย่างเรานี้เราพากันคิดดูดี ๆ นะ เราจะเอาความชอบไม่ชอบนำชีวิตนี้มันจะไปได้อย่างไร คิดแล้วมันเป็นไปไม่ได้ คิดจนหัวระเบิดมันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะความชอบไม่ชอบมันคือการเวียนว่ายตายเกิดนะ
การหยุดเวียนว่ายตายเกิดมันต้องอยู่เหนือความชอบอยู่เหนือความไม่ชอบ ความชอบไม่ชอบน่ะมันเป็นครอบครัวนะ ความชอบไม่ชอบนั้นมีครอบครัว
การประพฤติการปฏิบัติต้องยกเลิกมีครอบครัว จริงอยู่น่ะ ร่างกายไม่มีครอบครัว หัวใจมันมีครอบครัว หัวใจมันมีลูกมีผัว หัวใจมันมีลูกมีเมีย เพราะหัวใจมันมีครอบครัว พระธรรมพระวินัยถึงเป็นหลักการอุดมการณ์แล้วก็อุดมธรรม เพื่อจะหยุดอุดมหลง
เราไม่เข้าใจเป้าหมาย
เราเรียนหนังสือก็เรียนเพื่อตัวเพื่อตนนะ
เราทำงานก็เพื่อตัวเพื่อตน
เราเป็นข้าราชการนักการเมืองก็เพื่อตัวเพื่อตน
เรามาบวชก็เพื่อตัวเพื่อตน
มันไม่ใช่นะ ไม่ถูกต้อง
ผู้ที่มาบวชถ้าเอาตัวตนนำชีวิตเค้าเรียกว่ามาบวชเพื่อหาลูกหาเมีย ผู้ที่มาถือศีลปฏิบัติธรรมถ้าเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง พวกนี้ก็มาหาลูกหาผัวที่วัดนะ
อันไหนมันชอบ ๆ พระพุทธเจ้าถึงไม่ให้คิด อันไหนไม่ชอบก็ไม่ให้คิด
พวกผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างฆราวาสก็ต้องมีศีล ๕ เพราะศีล ๕ นั้นมันยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ศีล ๕ เป็นธรรมนูญ รัฐธรรมนูญ มันยกเลิกความชอบ ยกเลิกความชัง อยู่ในระดับภาคประพฤติภาคปฏิบัติ
เราคิดดูดี ๆ สิ อย่างเราทานอาหาร ถ้าอาหารไม่อร่อยมันไม่อยากทานอาหาร เพราะว่าไม่อร่อย
พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าการทานอาหารนี้มันอร่อยหรือไม่อร่อยก็อย่าไปสนใจมัน ให้ทานมันไปฉันมันไป ไม่ต้องไปติดอกติดใจ ไม่ต้องไปเสียอกเสียใจในความไม่อร่อยหรืออร่อย
พระที่ฉันอาหาร เณรที่ฉันอาหารก่อนที่จะฉันน่ะ ท่านจึงให้พิจารณาเพื่อให้ใจมันสงบใจมันเย็น ผู้มาบวชจะไม่ได้บริโภคความหลง ใจต้องสงบใจต้องมีปัญญา ใจต้องเป็นกลาง ว่าการบริโภคอาหารเป็นเพียงยา อร่อยหรือไม่อร่อยก็ช่างหัวมัน
พระพุทธเจ้าถึงไม่ให้มีนิมิตหมายว่าเราฉันอะไร ให้เข้าถึงสักแต่ว่า
พระพุทธเจ้าถึงบอกสงฆ์สาวกว่า เราต้องรู้เข้าใจเพื่อจะได้บริโภคอาหารเป็นยา ว่าเราไม่ได้ฉันอะไร ให้เข้าถึงสักแต่ว่า เพราะอาหารมันเป็นยา ยามกาลิก ยาวกาลิก สัตตาหกาลิก ยาวชีวิก ทุกอย่างมันเป็นยา
ชีวิตของพระมันต้องเป็นอย่างนี้มันจะได้สงบเย็นเห็นทุกอย่างเป็นเพียงหยูกยา นี้เราไม่เข้าใจแล้วก็แสวงหาความอร่อย แสวงหาความหลง
เราคิดดูดี ๆ นะ คิดดูโยมที่มาวัดน่ะ พวกเด็ก ๆ สาว ๆ หรือว่าคนปานกลาง อย่างนี้เป็นต้น เค้าก็ชอบมองตอนพระเผลอ มองพระหนุ่ม ๆ พระหล่อ ๆ เค้าจะแอบมอง พระเณรก็เหมือนกัน ชอบมองโยมสาว ๆ โยมสวย ๆ ชอบมอง โยมเผลอเมื่อไหร่ก็มอง นี้ให้เข้าใจนะ
ถ้าอย่างนี้แหละ มาบวชที่วัดก็ไม่เข้าใจในพระศาสนา ก็เท่ากับว่าบวชหาลูกหาเมียนะ มาวัดมาปฏิบัติธรรมไม่ใช่ปฏิบัติธรรมมันมาหาลูกหาผัวนะ
พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าอันไหนมันชอบก็อย่าไปฉันมัน อย่าไปทานมัน ให้เฉย ๆ ไว้
เหมือนหลวงปู่ตื้อกับหลวงปู่แหวน เดินธุดงค์ไปภาคเหนือถึงอำเภอเด่นชัย ขณะนั้นเวลานั้นเป็นเวลา ๑๑ นาฬิกา เวลาใกล้จะเที่ยงแล้ว สมัยโบราณเดินธุดงค์น่ะ ไม่ได้ทะลุดงเหมือนทุกวันนี้
เดินธุดงค์สมัยโบราณท่านเดินเอา เดินเท้าเปล่า เดินไป น้ำหมดท่านก็ไปที่บ่อน้ำ
สมัยโบราณเค้ามีบ่อน้ำขุดลงลึก ๆ ๕ เมตร ๖ เมตรถึงสิบกว่าเมตร เค้าจะมีวงบ่อที่เอาไม้หนา ๆ ที่ประกอบกันเป็นวงบ่อ ไม่มีบ่อปูนบ่อซิเมนต์เหมือนทุกวันนี้หรอก
ท่านไปเอาน้ำบ่อ เพราะในหมู่บ้านเค้าจะมีน้ำบ่อเป็นส่วนกลาง ใครต้องการเค้าก็จะไปตักน้ำบ่อ ห่างจากหมู่บ้านหลายเส้น เพราะต้องอยู่ห่างจากบ้านหน่อย เพราะอยู่ในเขตบ้านมันมีสิ่งปฏิกูลต้องอยู่ห่างจากหมู่บ้านหน่อย หลวงปู่แหวนกับหลวงปู่ตื้อไปเอาน้ำบ่อไปขอน้ำบ่อที่โยมเค้ากำลังตักน้ำอยู่
หลวงปู่ตื้อก็เห็นมะม่วงที่อยู่บนต้น ตอนนั้นต้นเดือนพฤษภานี้แหละ เห็นมะม่วงมันแก่ มันกำลังฉันเป็นมะม่วงเปรี้ยวกับเกลือ กำลังอร่อย ท่านก็สะกิดหลวงปู่แหวน ให้ขอมะม่วงโยมหน่อย หลวงปู่แหวนก็นิ่ง หลวงปู่แหวนก็เบรก อยู่นิ่งไม่ว่าอะไร นิ่งอย่างเดียวสงบอย่างเดียว ท่านก็เฉยนิ่งอย่างเดียว เพื่อหาวิธีช่วยหลวงปู่ตื้อจนเวลาผ่านไปถึงเที่ยงวัน มันฉันไม่ได้แล้ว หมดเวลาฉัน หลวงปู่ตื้อก็สำนึกได้ว่ามันไม่ถูกต้อง เราไปทำตามความอยากตามความหลง เราไปขอของจากคนที่ไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณามันก็ผิดพระวินัย ถ้าเราไปขอของจากคนที่ไม่ใช่ญาติไม่ได้ปวารณา
ถ้าเราไม่ป่วยไม่เจ็บไข้เราไปขอของจากทางคนที่ไม่ใช่ญาติไม่ได้ปวารณาไม่ได้นะ
จากนั้นท่านก็สมาทานไม่ฉันมะม่วงเลย มะม่วงดิบมะม่วงสุกท่านไม่ฉันเลย ท่านเป็นพระอรหันต์ขีณาสพท่านก็ไม่ฉันน่ะ
การประพฤติการปฏิบัติมันต้องเด็ดเดี่ยวเข้มแข็งต้องเอาพระธรรมพระวินัยนำชีวิต ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม เพราะการปฏิบัติธรรมมันต้องทวนกระแส
พระที่เป็นลูกศิษย์ท่านไปถามท่าน ท่านก็เล่าประวัติให้ฟังว่า การประพฤติการปฏิบัติมันต้องทวนกระแส มันอยากจะคิดอะไรก็ไม่คิดมันอยากจะพูดอะไรก็ไม่พูด มันอยากจะทำอะไรก็ไม่ทำ ถ้าอันไหนมันดีมันถูกต้องเราต้องทำ เราต้องพูดต้องปฏิบัติ ต้องมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะการปฏิบัตินั้นถือว่ามันเป็นยานะ มันเป็นธรรมะโอสถทั้งกายวาจากิริยามารยาทนะมันเป็นธรรมะโอสถ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเค้าเรียกว่าตัวตนนั้นเป็นความเศร้าหมองนะ ตัวตนคือความขาดความด่าง ความพร้อยของศีล ของสมาธิ ของปัญญานะ
การประพฤติการปฏิบัติธรรมมันต้องอยู่เหนือความชอบความไม่ชอบ ถ้าเอาความชอบไม่ชอบนี้ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมนะ เราต้องพากันรู้ไว้ พระวินัยน้อยใหญ่คือมรรคคืออริยมรรค มันเป็นสิ่งที่ทวนกระแส
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยอาหารที่นางสุชาดาถวายข้าวมธุปายาส แล้วก็อธิษฐานถาดทองคำ ว่าถ้าข้าพเจ้าได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าขอให้ถาดทองทวนกระแสทวนน้ำ ไม่ไปตามน้ำ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม
เรามาคิดดูดี ๆ น่ะ ธรรมะมันเป็นสิ่งที่ทวนโลกทวนกระแสไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม ถ้าไปตามสิ่งแวดล้อม มันก็ไม่ใช่ศีล ไม่ใช่สมาธิ ไม่ใช่ปัญญานะ มันเป็นตัวเป็นตน
เราทุกคนต้องรู้เข้าใจ เราจะได้เข้าถึงธรรมะโอสถ เรารู้จักแต่โอสถภายนอก
ความเป็นมนุษย์เราต้องรู้โอสถภายนอกภายใน มนุษย์นี้ดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน มีการปรุงแต่งอาหารให้อร่อยขึ้นเพื่อเป็นธรรมะโอสถนะ ผู้ที่มีอินทรีย์ยังไม่แก่กล้า ปรุงแต่งอาหารเพื่อสุขภาพร่างกายจะได้แข็งแรง
เราต้องรู้เข้าใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงให้เข้าถึงความพอดี ความพอเพียงเพียงพอ อย่าให้หวานเกินอย่าให้เผ็ดเกิน อย่าให้เค็มเกินอย่าให้จืดเกินอย่าให้เปรี้ยวเกิน เพราะเราฉันอาหารทานอาหารเพื่อเป็นยา เราจะไปตามรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์ มันไม่จบ
คิดดูดี ๆ อย่างเราไปเดินธุดงค์ วันนี้ได้แต่ข้าวไม่ได้กับข้าว ตัวตนมันแสดงออกมาหน้าตามันมองดูแล้วเหมือนปวดหัวปวดท้องเพราะมันผิดหวัง
ความเป็นจริงเราต้องขอบใจต่างหากล่ะ ที่ชาวบ้านเค้าไม่ได้กับข้าว ใส่แต่ข้าวเปล่า ๆ เราต้องขอบใจ เราได้ฉันข้าวเปล่า ๆ ก็ยังดี เราต้องเข้าใจอย่างนี้ ถึงจะถูกต้องน่ะ ความไม่รู้ความไม่เข้าใจ เก็บไปตั้งหลายวันหลายเดือนหลายปีที่ได้ฉันแต่ข้าวเปล่า ๆ บางวันไปบิณฑบาตเค้าไม่ได้ใส่บาตร วันนี้ไม่มีใครใส่บาตรเลย เราก็ต้องรู้เข้าใจ เราต้องขอบใจในการที่เค้าไม่ใส่บาตร ถ้าเค้าใส่บาตรเราก็ไม่ได้ทำใจ เราต้องขอบใจวันนี้คนเค้าไม่ใส่บาตรเราจะได้ทำใจ
สมัยก่อนน่ะมียาชื่อว่ายาทันใจ ภายหลังเค้ามาเปลี่ยนชื่อใหม่ว่ายาทัมใจ สมัยก่อนเค้ามียาปวดหาย สมัยต่อมาเค้ามาเปลี่ยนใหม่ว่าบวดหาย
บวชก็หมายถึงว่ายกเลิกตัวตน หมายถึงว่ามาแก้ที่ใจ แก้ที่ใจนี้เค้าเรียกว่าบวช ยกเลิกตัวตนไม่มีความทุกข์มันหายทุกข์ ความหมายของยา แต่ก่อนเป็นยาทันใจ ทำอะไรก็แก้ปวด หายเร็ว แก้ไขหายเร็ว มันทันใจดีแต่มันไม่ได้ทัมใจ มันผิดหลักการเค้าเลยให้เปลี่ยนชื่อใหม่
พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ให้เราใส่ใจเอาใจใส่นะ ต้องเป็นคนละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ใครไม่รู้ไม่เห็นไม่เข้าใจ แต่ตัวของเรานี้คือเป็นผู้รู้ผู้เห็นผู้เข้าใจนะ การบวชนี้มันถึงบวชทั้งทางกายวาจากิริยามารยาทบวชทั้งใจ มันถึงจะสมบูรณ์ สมบูรณ์ทุกแง่ทุกมุม การปฏิบัติธรรมถึงไม่มีต่อหน้าและลับหลัง มันเป็นปฏิบัติทั้งหมด มันเป็นความพอเพียงเพียงพอ มันเป็นความพอดี
เหมือนพระพุทธเจ้าเป็นความเพียงพอพอดี ประสูติก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ วันพระจันทร์เต็มดวง ตรัสรู้ก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำแสดงธรรมก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ จะบอกพุทธบริษัททั้งหลายประกาศให้ชาวโลกอีก ๓ เดือนข้างหน้าพระพุทธเจ้า จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ นี้หมายถึงความเต็มความพอเพียง ความพอดี มันไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป มันเป็นความพอดี
ให้รู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็จะเสียหายทั้งตัวเองและส่วนรวม บวชหลายปีบารมีความหลงก็ยิ่งใหญ่
การนั่งสมาธิถึงไม่ให้ติดความสุข ติดความสงบ มันเข้าถึงขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ ก็ให้ภาวนาพิจารณาพระไตรลักษณ์ พระสมาธิน่ะมันเป็นการให้ออกซิเจนมันเสมอกัน ให้ความสงบกับปัญญามันเสมอกัน จิตส่งออกน่ะมันเสียสมดุล จิตกลับมาหาเนื้อหาตัวมันเป็นความพอดี
นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายถ้าเราติดในความสงบ เราก็ไม่อยากภาวนาพิจารณาเรื่องเหตุเรื่องผล จะเอาแต่ความสงบ เอาแต่สมาธิเอาแต่สมาบัติ ออกจากสมาธิ ออกจากสมาบัติก็อย่างเก่า เพราะไม่ได้ภาวนาวิปัสสนา
เห็นรูปสวย ๆ ก็ร้องโอย ๆ ๆ อยู่ เสียงเพราะ ๆ ก็มาร้องโอย ๆ ๆ มาสัมผัสกับความแก่เจ็บตายพลัดพรากก็มาร้องโอย ๆ ๆ
เราทั้งหลายน่ะต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ อย่าเอาแต่ความสงบ ความสงบให้เป็นสมถะ ให้เป็นความสมดุล แล้วมาเอาวิปัสสนาไปพร้อม ๆ กัน เช่นหายใจเข้าก็รู้ว่ามันไม่แน่ไม่เที่ยง เพราะหายใจเข้าสักพักหนึ่งมันก็ออกมา หายใจออกสักพักหนึ่งก็เข้าไปอะไรก็ไม่แน่ไม่เที่ยง เพราะทุกอย่างมันไม่แน่ไม่เที่ยงทั้งนั้น ทุกอย่างไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน เราทั้งหลายต้องภาวนาให้เกิดปัญญา เพราะเราจะได้มีศีลมีสมาธิมีปัญญา เราทั้งหลายพากันเคร่งครัดในศีลในสมาธิในปัญญา
เหมือนสามเณรกับพระไปบิณฑบาต พระสารีบุตรไปบิณฑบาตกับลูกศิษย์ที่เป็นสามเณร เณรก็ตามพระสารีบุตรไป เห็นเค้าเปิดน้ำเข้านา เณรได้บำเพ็ญบารมีมานับเป็นอสงไขย เป็นแสน ๆ ชาติ ก็ถามพระสารีบุตรว่า เค้าเปิดน้ำเข้านานั้นทำร่องทำคลอง คัดน้ำเข้านา เณรก็มีจิตสำนึกว่า เราก็ต้องเอาธรรมนำชีวิต ไม่ให้ใจของเราไปตามอารมณ์ไปตามสิ่งแวดล้อม เหมือนเค้าเปิดน้ำเข้านา ความเคร่งครัดอย่างนี้แหละคือความไม่ตามใจไม่ตามอารมณ์ไม่ตามความรู้สึกนะ จึงได้ลาพระสารีบุตรกลับมาทำความเพียร พระสารีบุตรก็บอกว่าเออเออ กลับไปได้กลับไปทำความเพียรนะเณรนะ
ความรู้ความเข้าใจนี้เราจะไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม จะไม่ไปตามอารมณ์ ให้เรารู้เข้าใจ การปฏิบัติเคร่งครัดนี้ดี ถ้าเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันไม่เคร่งครัดมันเคร่งเครียดนะ เพราะตัวตนมันมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มี เพราะตัวตนมันเป็นความเคร่งเครียด เพราะทุกอย่างนั้นมันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เพราะทุกอย่างมันเป็นเหตุเป็นปัจจัยเฉย ๆ เพราะเรามีตามันก็มีรูปมันมีเหตุปัจจัยเฉย ๆ เรามีหูก็มีเสียงมีเหตุปัจจัยเฉย ๆ เราจะไปเอาอะไรกับสิ่งที่ไม่มีอะไรน่ะ เพราะความเป็นจริงแล้วสิ่งที่มันจรไปจรมาทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ มันเป็นสิ่งที่จรไปจรมาชั่วคราว ความว่างจากตัวตนต่างหากเป็นสิ่งที่มีอยู่
เราต้องรู้เข้าใจเรื่องความว่าง พระพุทธศาสนาหรือศาสนาทุกศาสนาให้เข้าใจนะมันเป็นความว่างจากสิ่งทีมีอยู่ เราคิดดูดี ๆ ว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่จะมีประโยชน์อะไร คนตายแล้วจะมีประโยชน์อะไร คนตาบอดหูหนวกจะมีประโยชน์อะไร คนเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตจะมีประโยชน์ เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามใจตามอารมณ์ตามสิ่งแวดล้อม เราทุกคนต้องรู้เข้าใจ เราจะไม่ได้ปล่อยปละละเลย เราจะได้รู้วาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ
เราต้องคอนโทรลตัวเองให้ดีปรับเข้าหาเวลาเป๊ะ ๆ เลย ปรับเข้าหาพระธรรม พระวินัยเป๊ะ ๆ เลย ต้องเป็นคนละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป อย่าให้ความหลงมันกลืนกินเรา อย่าให้เวลามันกลืนกินเรา ความหลงกลืนกินเราเวลากลืนกินเรา
เราเอาความไม่ถูกต้องนำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิต ชีวิตของเราก็แก่ไปเปล่า ๆ ชีวิตเราก็สั้นไป ๆ โดยไม่มีประโยชน์อะไร เราต้องรู้เข้าใจเราจะได้หยุดกาลหยุดเวลา
เหมือนสามเณรกลับไปทำความเพียร ไปทำความเพียรยกเลิกตัวตนมันก็หยุดกาลหยุดเวลา ไม่มีกาลไม่มีเวลา ไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นผู้หญิงผู้ชายเป็นคนแก่คนเฒ่าคนชราคนตายพลัดพราก ไม่สำคัญมั่นหมายว่าเราดีกว่าเค้า เก่งกว่าเค้า ฉลาดกว่าเค้า รวยกว่าเค้า มีเพาเวอร์มากกว่าเค้า มันเป็นความสงบเป็นความเย็น มันเป็นความพอเพียงเพียงพอ มันหยุดกาลหยุดเวลา ในประวัติบอกว่า พระสารีบุตรให้กาลเวลาหยุด เพื่อให้สามเณรได้บรรลุธรรม
ความรู้ความเข้าใจเป็นคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เราไม่ตามตาหูจมูกลิ้นกายใจ สิ่งทั้งหลายก็จะหยุดจะเย็น เย็นเป็นแอร์คอนดิชั่นมันเป็นความสงบอบอุ่น มันเป็นความพอเพียงเพียงพอ
เราต้องรู้เข้าใจเราจะได้ทวนกระแส เราจะได้หยุดตรึกในกามหยุดตรึกในพยาบาท ความมีตัวมีตนมันจะไม่ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปนะ ความมีตัวมีตนมันจะคุมตัวเองไม่อยู่ โฟกัสตัวเองไม่อยู่นะ
คนจะหยุดสิ่งเสพติดหยุดยาเสพติดหรืออะไรติด ๆ ทั้งหลายต้องใช้เวลา เข้าสู่พระธรรมเข้าสู่พระวินัย เข้าสู่ความวิเวก
พระธรรมพระวินัยเป็นความวิเวกเป็นความหยุดนะ ศีลสมาปัญญาเป็นความหยุด เป็นความวิเวกเป็นความหยุดให้เข้าใจ เราไม่รู้เข้าใจแล้วก็ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ จะไม่ควบคุมตัวเองไม่คอนโทรลตัวเอง นั่งอยู่ในศาลาไม่กี่นาทีก็แอบมองดูพระแล้ว พระน่ะหลับตาไปลืมตาขึ้นมาเมื่อไหร่ก็มองผู้หญิงสาว ๆ สวย ๆ แล้ว
เราต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เอาพระสารีบุตรเป็นหลักเอาพระโมคคัลลา เป็นหลัก เราดูประวัติศาสตร์ พระเถระคุยกันเรื่องอาพาธ
พระสารีบุตรกับโมคคัลลาคุยกันว่าเป็นอย่างไรล่ะสุขภาพร่างกายดีมั๊ย พระสารีบุตรบอกว่าไม่ดีเลย เพราะว่ามาบวช เรื่องโภชนาการเรื่องอาหารไม่ครบหมวดหมู่ ไม่เหมือนอยู่ที่บ้านอยู่กับพ่อกับแม่ เมื่ออยู่กับพ่อกับแม่ แม่ทำอาหารครบหมวดหมู่ ทำข้าวมธุปายาสให้ทานให้บริโภค
เทวดาทั้งหลายอยู่ในที่ใกล้ในอาณาจักรนั้น ได้ยินได้ฟังมีความเลื่อมใสในพระเถระที่เป็นพระอรหันต์ จึงได้บอกนิมิตให้กับประชาชน ที่พระเถระเจ้าจะไปบิณฑบาต ไปบอกเป็นนิมิตว่า พรุ่งนี้นะ พระโมคคัลลาจะมาบิณฑบาต พระสารีบุตรมาไม่ได้ พระสารีบุตรอาพาธ ให้ทำข้าวมธุปายาสไปถวายพระสารีบุตร โรคอาพาธจะได้หาย ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ไปถวายท่านนะ
รุ่งเช้าถึงเวลาภิกขาจารบิณฑบาตพระโมคคัลลาก็ไปภิกขาจารบิณบาตตามปกติ การบิณฑบาตต้องไปทุกวัน อยากไปหรือไม่อยากไปก็ต้องไปเพราะเป็นการเสียสละ พระโมคคัลท่านเสียสละเพื่อภิกขาจารเพื่อให้ประชาชนเค้าได้ทำความดี บำเพ็ญบุญกุศลได้สร้างบารมีกัน ไปเพื่อจะได้เสียสละ
พระพุทธเจ้าให้พระทุกรูปต้องเสียสละไม่ให้มีเงินมีสตางค์ไม่ให้เก็บสังฆทาน พระทุกรูปต้องเสียสละ เวลาเช้าต้องออกบิณฑบาตภิกขาจาร พระโมคัลลานะก็ไปบิณฑบาตตามปกติ ชาวบ้านเห็นน่ะก็ฝากอาหารบิณฑบาตไปถวายพระสารีบุตร ที่อาพาธอยู่ที่วัดมาภิกขาจารบิณฑบาตไม่ได้
พระสารีบุตรผู้บำเพ็ญสาวกบารมี รู้ทันทีเลยว่าเมื่อคืนเราคุยกันเทวดาไปบอกนิมิตให้ประชาชนเค้าทำอาหารบิณฑบาตข้าวมธุปายาส ด้วยบริสุทธิคุณไม่เห็นแก่ปากแก่ท้อง
พระมหาเถระเจ้าเป็นผู้เอาธรรมเอาวินัย ไม่ฉันบิณฑบาตข้าวมธุปายาสนั้นเอาไปเทลงพื้นปฐพี ยอมเสียชีวิตเพราะเอาธรรมนำชีวิต ทันใดนั้นอาหารตกถึงพื้นปฐพีโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายทั้งปวงหายทันทีเลย เพราะความดีประกอบด้วยปัญญา ปัญญาประกอบด้วยความดี
พระธรรมพระวินัยเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าอื่นใดนะ เรามาบวชมาปฏิบัติต้องเข้าถึงพระธรรมพระวินัยเป็นพระธรรมพระวินัยทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจ เพื่อเข้าถึง บริสุทธิคุณ ความบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจเป็นธรรมบริสุทธิ หรือธรรมโอสถให้รู้เข้าใจ
การมาประพฤติปฏิบัติมันเป็นบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจ เราทั้งหลายมาเน้นที่ใจของเรามาเน้นที่กายของเรา มามีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ
เรื่องพระธรรมเรื่องพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ต้องยกให้หลวงปู่ชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง ท่านผู้นี้เอาพระธรรมพระวินัยอยู่เหนือชีวิตเลย รักษาพระธรรมพระวินัยยิ่งกว่าชีวิต ท่านจะไม่พูดคุยกับผู้หญิงสองต่อสองที่ไม่มีพระนั่งอยู่ด้วย ที่ไม่มีประชาชนโยมผู้ชายนั่งอยู่ด้วย ผู้หญิงเป็นสิบยี่สิบคนท่านก็ไม่อยู่สองต่อสอง สามเณรลุกไปล้างกระโถนห่างประมาณสี่สิบเมตร ห้าสิบเมตร หกสิบเมตรท่านก็จะลุกขึ้นไปโน่นไปนี่เปลี่ยนอิริยาบถ เพราะท่านรักษาพระธรรมพระวินัยยิ่งกว่าชีวิตของท่าน ท่านเคารพบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยกตัญญูกตเวที
พระเราโยมวัดเราพากันเข้าใจนะ ต้องกตัญญูกตเวทีต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนหลวงปู่ชาพาประพฤติพาปฏิบัติ ในพระวินัยในภิกขุปาฏิโมกข์ ภิกษุจะอยู่สองต่อสองกับผู้หญิงไม่ได้
พระอาจารย์เชื้อเป็นคนอยุธยา เคยอยู่กับท่านพระอาจารย์ชาตั้งแต่พระอาจารย์ชาไปสร้างวัดหนองป่าพงใหม่ ๆ ท่านมีความเคารพมีความกตัญญูกตเวทีต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก ๆ ท่านจะไม่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงอื่นใด นอกจากโยมแม่ของท่านเพียงคนเดียว
เมื่อสมัยห้าสิบก่วาปีก่อนอายุของท่านก็หกสิบกว่าปีแล้ว โยมแม่ของท่านก็อายุเก้าสิบกว่าปีแล้ว ท่านเป็นลูกชายคนเดียวไม่มีใครอุปัฏฐากแม่น่ะ เมื่อแม่แก่เฒ่าชราท่านก็เอาแม่มาอุปถัมภ์อุปัฏฐาก ต่างคนก็ต่างแก่ ท่านบิณฑบาตมาเลี้ยงแม่ อุปถัมภ์อุปัฏฐากแม่ ท่านป้อนอาหารแม่อาบน้ำเช็ดตัว ท่านทำอย่างนี้แหละทุก ๆ วัน ท่านไม่เกี่ยวข้องผู้หญิงอื่นเลยนะ หรือผู้หญิงอื่นท่านไม่ยุ่ง ท่านทำเรื่องกตัญญูกตเวทีดูแลแม่ของท่านอย่างเดียว ท่านทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้พระก็เห็นดีด้วย ประชาชนก็เห็นดีด้วย ท่านเป็นผู้กตัญญูกตเวทีต่อแม่ที่แท้จริง ไม่รังเกียจในความสกปรก
พระวินัยในภิกขุปาฏิโมกข์ในสิกขาบท อนิยต ๒ ทั้ง ๒ สิกขาบทนี้เป็นสิกขาบทที่สำคัญ เพื่อความเข้มงวดในสิกขาบท คือสิกขาบทที่เกิดจากการล่วงละเมิดสิกขาบทประเภทกึ่งกลางระหว่างอาบัติหนัก อาบัติกลาง อาบัติเบา ซึ่งสิกขาบทนี้ขึ้นอยู่กับว่าพระวินัยธรเป็นผู้วินิจฉัยตามความเป็นจริงของอาบัตินั้น ๆ ว่าควรจะให้ปรับอาบัติแบบไหน ตามแต่ได้ประจักษ์หลักฐานพยานโทษหนัก โทษกลาง โทษเบา อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งมีทั้งหมด ๒ ประการดังนี้
๑. อยู่ในที่ลับตากับสตรีสองต่อสองนี้ผิดพระวินัย การปรับอาบัติก็ตั้งแต่อาบัติปาจิตตีย์ไปถึงอาบัติปาราชิก ให้ชาวพุทธทั้งหลายเข้าใจนะ
๒. อยู่ในที่ลับหูกับสตรีสองต่อสอง การปรับอาบัติก็ตั้งแต่อาบัติปาจิตตีย์ไปถึงอาบัติสังฆาทิเสส ให้ชาวพุทธทั้งหลายเข้าใจนะ
เรื่องอยู่สองต่อสองระหว่างพระกับสตรีมันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พุทธบริษัททั้งสี่ทั้งหลายให้เข้าใจนะนี้คือความไม่ถูกต้อง นี้คือความเสียหาย นี้คือความไม่สมควร นี้คือไม่ใช่ศีลไม่ใช่สมาธิไม่ใช่ปัญญานะ
คำว่า อนิยต แปลว่า สิกขาบทที่ไม่แน่นอนว่าจะให้ปรับอาบัติตามความเป็นจริง ความเป็นจริงอย่างไรก็ปรับอย่างนั้น ขึ้นอยู่ที่พยานหลักฐาน ปรับอาบัติปาราชิกขึ้นอยู่ที่พยานหลักฐาน ปรับอาบัติสังฆาทิเสสก็ตามพยานหลักฐาน ปรับอาบัติปาจิตตีย์ก็ตามพยานหลักฐาน
เป็นปาราชิก สังฆาทิเสส หรือปาจิตตีย์ กล่าวคือเมื่อมีผู้พบเห็นหรือได้ยินว่าพระภิกษุอยู่กับสตรีด้วยกันสองต่อสองโดยที่ไม่มีบุคคลที่สาม (ชายผู้ที่รู้เดียงสา) อยู่ด้วย จึงได้ไปรายงานต่อพระวินัยธรให้ได้รับทราบ จากนั้นพระวินัยธรก็จะทำการไต่สวนกับพระภิกษุผู้ถูกกล่าวหา หากพระภิกษุนั้นยอมรับสารภาพว่าได้กระทำใด ๆ อย่างใดอย่างหนึ่งกับสตรีที่อยู่ด้วยกันตามที่โจทก์คฤหัสถ์ได้กล่าวหา ทางพระวินัยธรก็จะทำการวินิจฉัยว่าสมควรจะให้ปรับอาบัติแบบไหน ตามแต่หนักหรือกลางหรือเบาตามทางของพระวินัยอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น
- ถ้าพระภิกษุยอมรับว่าเสพเมถุนกับสตรี จึงให้ปรับอาบัติเป็นปาราชิก
- ถ้าพระภิกษุยอมรับว่าแตะต้องสตรีด้วยความกำหนัดหรือพูดจากับสตรี ด้วยวาจาชั่วหยาบหรือพูดพาดพิงเมถุน จึงให้ปรับอาบัติเป็นสังฆาทิเสส
- ถ้าพระภิกษุไม่ได้กระทำใด ๆ กับสตรี แต่อยู่ด้วยกันสองต่อสอง จึงให้ปรับอาบัติเป็นปาจิตตีย์
การที่เรามาบรรพชาอุปสมบทต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลักการอุดมการณ์ อุดมธรรม ไม่ทำอะไรที่มันไม่ถูกพระธรรมไม่ถูกต้องพระวินัย ผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบทต้องเข้าถึงธรรมเข้าถึงสภาวธรรม
ถ้ายังไม่รู้ก็ถือว่าไม่เป็นไร ถ้ารู้เข้าใจเราต้องไปพิจารณานะว่าเราทำถูกต้องหรือว่าทำผิด เพื่อจะได้บรรลุนิติภาวะเพื่อหยุดสัญชาตญาณ เพื่อโฟกัสในการประพฤติการปฏิบัติของตน
เราต้องเอาพระพุทธเจ้านำชีวิต ไม่ใช่เอาตัวตนนำชีวิต ไม่ใช่เอาอัธยาศัยนำชีวิตไม่เอาความรู้สึกนำชีวิต
ท่านพระอาจารย์ชาท่านเคารพในพระธรรมพระวินัยมาก บุคคลเช่นนี้ในโลกนี้ถึงเป็นบุคคลที่หาได้ยาก บุคคลที่เอาธรรมนำชีวิตในโลกนี้เป็นบุคคลที่หาได้ยาก
ท่านพระอาจารย์ชาถึงอยู่ในหัวใจ อยู่ในดวงใจของพุทธบริษัททั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ลูกศิษย์ลูกหาของท่านอาจารย์ชาส่วนใหญ่ไม่มีใครทำได้ดีเท่ากับท่านพระอาจารย์ชา เพราะไม่เห็นความสำคัญในเรื่องกตัญญูกตเวที
เราคิดดูดี ๆ นะ ความกตัญญูกตเวทีเราต้องมีความสำนึกน่ะ
กว่าจะได้มีพระพุทธเจ้า กว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าบำเพ็ญพุทธบารมี ตั้งหลายล้านชาติ
เรามาบวช เราต้องมากตัญญูกตเวทีต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถึงเราจะบวชวันเดียวก็ดีกว่าผู้ที่ไม่กตัญญูกตเวทีนะ ทำไมถึงว่าไม่กตัญญูกตเวที เพราะเรามีตาก็เห็นอยู่แล้ว มีหูก็ได้ฟังอยู่แล้ว ไม่ใช่คนตายนี้นะ วันไหนก็มีข่าวคราวน่ะเรื่องพระทำไม่ดี พระทำไม่ถูกต้อง
จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่พระนะ เพราะพระนั้นทำแต่ดีทำแต่ถูกต้อง สิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกต้องมันไม่ใช่พระ ไม่ใช่พระธรรมพระวินัย มันเป็นนิติบุคคลตัวตน ถ้าเป็นพระมันต้องเป็นพระธรรมพระวินัย ถ้าไม่เห็นความสำคัญพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ มันจะเป็นพระธรรมได้อย่างไรเป็นพระวินัยได้อย่างไร
มันจะเหมือนกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่สองอย่าง คือโกนหัวเหมือนพระพุทธเจ้า ห่มจีวรเหมือนพระพุทธเจ้า แต่อย่างอื่นไปคนละทางเลย พระพุทธเจ้าไปทางตะวันออก แต่พวกเรานี้ไปทางตะวันตก มันตกต่ำไปเรื่อย มันถึงมีแต่เรื่องมีแต่ราว
ผู้ที่กตัญญูกตเวทีที่แท้จริงมันต้องเคารพยำเกรง เคารพต่อพระพุทธเจ้า เคารพต่อพระธรรมพระวินัย ปฏิบัติให้ครบวงจร ทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจทั้งต่อหน้าและลับหลัง อย่างนี้ถึงเรียกว่ากตัญญูกตเวทีนะ
เราคิดดูดี ๆ นะ ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์ที่ไหนน่ะ เมื่อท่านละธาตุละขันธ์เข้าพระนิพพานแล้ววัดนั้นก็เป็นวัดร้างทั้งหมดเลย เพราะพากันเอาแต่วัตถุ เอาแต่เรื่องวิทยาศาสตร์ เอาแต่ตัวแต่ตน วัดนั้นจึงกลายเป็นวัดร้าง เพราะตอนท่านมีชีวิตอยู่ก็อาศัยท่าน เมื่อท่านจากไปก็เป็นวัดร้าง
เราทุกคนต้องรู้เข้าใจนะ เพื่อจะได้รับดีเอ็นเอจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะได้รับดีเอ็นเอจากพระอรหันต์ ต้องรู้เข้าใจ วัดต่าง ๆ นั้นถึงจะไม่ร้างจากความดี ไม่ร้างจากมรรคผลพระนิพพานด้วยความรู้ความเข้าใจ
ความเป็นพระนี้มันอยู่ที่พระธรรมพระวินัย ข้าราชการนักการเมือง พ่อค้าประชาชน ก็พากันเป็นพระได้ เพราะพระนั้นคือรู้เข้าใจ พากันมีปิติมีความสุขในการเสียสละ เพื่อเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา ในการประพฤติการปฏิบัติ ทุกคนก็เป็นพระได้ ศาสนาพุทธก็เป็นพระได้ ศาสนาคริสต์ก็เป็นพระได้ ศาสนาอิสลามก็เป็นพระได้ ศาสนาพราหมณ์ฮินดูซิกส์ศาสนาต่าง ๆ เป็นพระได้ ที่เป็นพระไม่ได้ก็มีแต่คนตายกับคนบ้า คนที่ไม่ได้เอาธรรมนำชีวิตเป็นพระไม่ได้ เป็นพระธรรมพระวินัยไม่ได้
เราทั้งหลายต้องเข้าใจความเป็นพระนะ พระนั้นต้องพร้อมด้วยกายวาจากิริยามารยาทอาชีพแล้วก็ใจด้วย พระนั้นคือผู้ที่กตัญญูกตเวทีที่เอาธรรมนำชีวิตที่มาต่อยอดชาวบ้านที่เค้าเลื่อมใสในพระธรรมพระวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เราปลงผมนุ่งห่มจีวรเค้าก็พากันทำบุญตักบาตร
เรามาคิดดูดี ๆ สิ ถ้าเราไม่ปลงผมนุ่งห่มจีวรเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเค้าก็ไม่ให้ทาน เค้าก็ไม่ประเคน
เราคิดดูดี ๆ นะ เราน่ะเลียนแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่จังหวัดนครราชสีมา จ่าคลั่งที่ควบคุมตัวเองไม่อยู่ เค้าผ่านไปที่ไหนเห็นใครเค้าก็ยิงหมด แต่มาถึงวัดป่าศรัทธารวม เค้าเห็นพระโกนหัวห่มผ้าเหลืองเค้าก็ไม่ยิงนะ เค้าจะยิงแต่คนที่ไม่ปลงผมห่มผ้าเหลือง
แบรนด์เนมของความเป็นพระนี้มันดีนะ เราต้องเอาแบรนด์เนมนั้นมาทำคุณทำประโยชน์ เรามาจากไหนไม่เป็นไร พระพุทธเจ้าไม่ว่า แต่เมื่อเรามาแล้ว เราต้องมากตัญญูกตเวทีต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากว่าท่านจะได้เป็นพระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีหลายล้านชาตินะ
ชีวิตของเรานี้ประเสริฐนะ ให้เข้าใจเรื่องความประเสริฐ ทรัพยากรที่เป็นมนุษย์เรียกว่าประเสริฐ ต้องเข้าใจในเรื่องความประเสริฐ ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญ เป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราไม่เข้าใจเดี๋ยวมันจะพังทลายเหมือนตึก สตง. นะ
ตึก สตง.อยู่ที่กรุงเทพมหานคร ตึก ๓๐ กว่าชั้น ตึก สตง.ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาความหลงนำชีวิตเอาทุจริตนำชีวิต ชีวิตมันเลยพังทลาย ชีวิตมันพังทลายนะตึกสตง.มันพังทลายด้วยนิติบุคคลตัวตนพังทลายด้วยทุจริตมันจะไปแก้ไขตั้งแต่ภายนอกมันจะไปพัฒนาตั้งแต่วิทยาศาสตร์จะไปเอาความสุขบนความหลง ชีวิตเลยพังทลายนะ
เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งน่ะ เราคิดดูดีๆ นะ ตึกใหญ่กว่าสูงกว่าตึก สตง.ตั้งหลายสิบตึกที่กรุงเทพมหานครที่ปริมณฑล เค้าไม่พังทลายเหมือนตึกสตง. เพราะพอที่จะรับน้ำหนักได้ ไม่ใช่ไม่โกงกินคอร์รัปชั่นนะ แต่เค้าโกงกินคอร์รัปชั่นน้อยพอที่จะรับแผ่นดินไหวจากมัณฑะเลย์ประเทศพม่า ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ประเทศพม่าห่างไกลกันตั้งนับพันกิโล
นี้ให้เรามองเห็นในแง่มุมความไม่ถูกต้องน่ะ ชีวิตที่เอาความไม่ถูกต้องนำชีวิตมันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้แหละ
เราทั้งหลายถึงต้องเป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เห็นภัยในวัฏฏสงสาร รู้จักความคิดรู้จักอารมณ์เหมือนท่านพระอาจารย์ลี ธัมมธโร สมุทรปราการ ท่านรู้จักความคิดการปรุงแต่งของตัวเอง
เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ชีวิตของเราทั้งหลายมันก็ต้องพังทลาย เพราะมันไม่ถูกต้อง มันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง. นี้แหละ
ตึก สตง.ที่อยู่กรุงเทพมหานครอยู่เมืองหลวงอยู่เมืองกรุง เป็นศูนย์รวมของประเทศ เหมือนสมองเป็นศูนย์รวมของร่างกาย เหมือนหัวใจเป็นศูนย์รวมของสรีระร่างกาย
สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินที่บริหารประเทศ บริหารแผ่นดินไม่เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เอาแต่ความรู้เอาแต่วิทยาศาสตร์เอาแต่ตัวเอาแต่ตนไปแก้แต่สิ่งภายนอก ไม่ได้แก้ตัวเองไปพร้อม ๆ กัน
การพัฒนาวิทยาศาสตร์มันต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันมันถึงถูกต้องนะ พัฒนาทั้งภายนอกภายในด้วยความรู้ความเข้าใจให้ครบวงจร อริยมรรคองค์แปดถึงเป็นความรู้ความเข้าใจ เพื่อการประพฤติการปฏิบัติมันจะได้สมบูรณ์ สมบูรณ์ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพด้วยความถูกต้อง
มันต้องรู้ธรรมรู้ปัจจุบันธรรม รู้ธรรมธรรมนูญน่ะ ถ้าเราไปจัดการแต่สิ่งภายนอก เราไม่ได้จัดการตัวเองมันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้นะ
การบริหารตัวเองบริหารบุคคลอื่น มันต้องรู้เข้าใจแล้วมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์
ถ้าเรามีปิติมีสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติมันก็ไม่มีความทุกข์อยู่แล้ว ด้วยความรู้ความเข้าใจ
เราต้องรู้จักการประพฤติการปฏิบัติ ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพ เราต้องเน้นมาที่ตัวเราในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อทำหน้าที่ของตัวเองให้มันสมบูรณ์ เราทั้งหลายจะไม่ได้พังทลายเหมือนตึก สตง.
ถ้าใครมีตัวมีตนบุคคลนั้นคือทุจริตนะ เราทั้งหลายจะได้รู้ว่าทุจริตนั้นคือตัวตนน่ะ ใครเอาตัวตนนำชีวิตบุคคลนั้นคือบุคคลที่ทุจริต เราต้องรู้จักธรรมรู้จักธรรมนูญ ปัญหาต่าง ๆ นั้นมันอยู่ที่ทุจริตนะ
การที่จะบริหารตัวเองบริหารบุคคลอื่นต้องยกเลิกทุจริต ถึงจะเป็นนักบริหารตัวเองนักบริหารคนอื่นด้วยการรู้เข้าใจในการบริหารในการปฏิบัติ
ตำแหน่งที่เค้าแต่งให้เราเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นตำแหน่งที่ให้เรามาเสียสละ มารับผิดชอบโฟกัสในการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ใช่ตำแหน่งที่ให้พวกเราทั้งหลายมาทุจริตนะ
ให้ถือว่ามันเป็นตำแหน่งที่ทรงเกียรติมีเกียรติมีศักดิ์ศรี เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันจะมีเกียรติมีศักดิ์ศรีได้อย่างไร ถึงพวกเราทั้งหลายจะพากันใส่สูทผูกเนคไท เป็นผู้ทรงเกียรติมันก็ไม่เป็นผู้ทรงเกียรตินะ มันเป็นผู้ทรงความหลงต่างหากทรงความโง่ ความหลงงมงายต่างหากล่ะ
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเราจะเข้าถึงบริสุทธิคุณ เข้าถึงธรรมนูญเข้าถึงรัฐธรรมนูญไม่ได้ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันเป็นอบายมุขอบายภูมินะ มันตกอยู่ในภพภูมิของ ๓๑ ภพภูมิ
ในภพภูมิของวัฏฏสงสารนี้มีอยู่ ๓๑ ภพภูมิ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็จะอยู่ในระนาบของ ๓๑ ภพภูมินี้แหละ
เค้าถึงมีศัพท์ว่าคน คนนี้หมายถึงตัวถึงตน หมายถึง ๓๑ ภพภูมินี้แหละ ภพภูมิที่เวียนว่ายตายเกิดมีทั้งหมด ๓๑ ภพภูมิ
เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้ประพฤติปฏิบัติ เราจะไม่ได้ย่ำต๊อกกับความหลงที่มีศัพท์ว่า “คน” คนนี้ความหมายหมายถึงความไม่รู้ไม่เข้าใจ ความไม่รู้ไม่เข้าใจนั้น มันจะวกวนอยู่ที่เก่า มันจะเป็นผู้ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา สัมผัสกับอะไรก็ไปกับสิ่งนั้น ๆ อยู่ในภพภูมินั้น ๆ
เรารู้เราเข้าใจเราจะได้หยุดภพภูมินั้น ๆ ด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ด้วยความรู้ด้วยความเข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเค้าเรียกว่ามันหลง มันวกวนในความหลงอย่างนั้น จิตใจวกวน อย่างนั้นมันจะไปไหนไม่ได้ มันจะเป็นได้แต่เพียงคนเป็นได้แต่เพียงความหลง หัวใจของบุคคลนั้นมันจะอยู่ในระนาบแห่งความหลงหรือว่าหัวใจบ่อนคาสิโน เอาตัวตนเป็นที่ตั้งคือหัวใจบ่อนคาสิโน หัวใจบ่อนทำลายความถูกต้อง หัวใจบ่อนความหลง
ให้เรารู้เข้าใจ เราจะได้เห็นภัยในความไม่ถูกต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสารด้วยปัญญาบริสุทธิคุณ ด้วยเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ พอใจยินดีมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต หัวใจของเราทั้งหลายจะได้หยุดอบายมุขอบายภูมิ
เราทั้งหลายถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราทั้งหลายจะพากันคิดว่า ความสุขทั้งหลายได้มาจากสิ่งที่อำนวยความสุขความสะดวกความสบายด้วยการพัฒนาวิทยาศาสตร์ อันนี้จริงอันนี้ถูกต้อง ความสุขทั้งหลายมันอยู่พัฒนาหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์
เราทั้งหลายต้องมีสัมมาทิฐิเราต้องมีความรู้ความเข้าใจพัฒนาวิทยาศาสตร์ก็ต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน ถ้าเราพัฒนาวิทยาศาสตร์มันก็ยังเป็นนิติบุคคลตัวตนอยู่
เราต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันด้วยความรู้ความเข้าใจเราทั้งหลายน่ะ ถึงเป็นการพัฒนาครบวงจรด้วยความรู้ความเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจก็จะเอาความหลงนำชีวิตเอาวิทยาศาสตร์นำชีวิต
เราต้องเอาทั้งวิทยาศาสตร์เอาทั้งจิตใจไปพร้อม ๆ กันนะ
เราอย่าไปคิดว่าประเทศสิงคโปร์นั้นน่ะประเทศเล็ก ๆ เท่าอำเภอหนึ่งของเมืองไทยก็ไม่ได้ เค้าพัฒนาหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์เป็นหนึ่งของเอเชีย เพราะเค้าตั้งบ่อนคาสิโน มาเก๊าส่วนหนึ่งของประเทศจีนเค้าก็รวยเพราะเค้าพัฒนาตามหลักเหตุตามหลักวิทยาศาสตร์
พวกเราทั้งหลายเมื่อมีปัญญาแล้วต้องรอบคอบนะ มีปัญญาแล้วต้องรอบคอบ อย่าลืมว่าชีวิตของเรามันเป็นรายรับรายจ่ายนะ เราไปจับหางงูเดี๋ยวงูมันจะมากัดเรา งูพิษมันจะมากัดเรานะ การที่เราเอาหลักการอุดมการณ์มันดีแล้วถูกต้องแล้ว เราต้องมีหลักการมีอุดมการณ์แล้วก็มีอุดมธรรมนะ หลักการอุดมการณ์มันดีแล้วถูกต้องหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์น่ะ แต่ต้องไม่ทิ้งอุดมธรรมนะ
เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเอาความรู้สึกที่เอาตัวเป็นที่ตั้งมันเป็นหลักการเป็นอุดมการณ์แล้วอุดมด้วยความหลงนะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราเอาทั้งหลักการอุดมการณ์แล้วก็ยกเลิกอุดมหลงนะ
ให้เอาอุดมธรรมให้เอาธรรมเอาธรรมนูญมันถึงจะสมบูรณ์เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี เราอยากได้มากมันก็ไม่มาก เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อย เราต้องรู้จักความพอดีเข้าสู่ความสมดุลทั้งรายรับรายจ่าย
เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี การประสูติของพระพุทธเจ้าถึงเป็นวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ตรัสรู้ก็เป็นวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ
เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้รู้หลักการรู้อุดมการณ์แล้วก็อุดมธรรม เราอยู่ที่ไหนก็พากันปฏิบัติได้ เมื่อเรามีลมปราณมีอายตนะภายใน ๖ ภายนอก ๖ มีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้
ให้รู้เข้าใจมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
อย่าไปคิดด้วยอวิชชาความหลงเอาแต่หลักการอุดมการณ์เอาแต่วิทยาศาสตร์น่ะ ถ้าเรารวย รวยความหลงมันไม่ดีนะ รวยความโง่หลงงมงายเรียกว่ารวยไสยศาสตร์มันไม่ดีนะ ไม่ใช่ความดีมันไม่ใช่บารมีไม่ใช่ปัญญาบริสุทธิคุณนะ มันเป็นความหลงนะ
ให้เรารู้เข้าใจ อย่าไปคิดว่าทำไมเราโง่ไปตั้งหลายปี ประเทศสิงคโปร์ประเทศเค้าเล็กนิดเดียวเค้าตั้งบ่อนคาสิโนเค้ารวยกัน ประเทศมาเก๊าก็เหมือนกันเค้ารวยกัน
ประเทศสิงคโปร์เค้ามีหลักเหตุผลมีหลักวิทยาศาสตร์น่ะ เค้าคิดว่าประเทศสิงคโปร์มันเล็กนิดเดียว จะทำเกษตรกรรมก็ไม่ได้ จะทำอุตสาหกรรมก็ไม่ได้ ถ้าเราตั้งบ่อนคาสิโนด้วยหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์ก็รวยได้ เพราะคนในนี้โลกนี้มันคนมีความไม่ฉลาด เอาความหลงนำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิตมันมีมาก ถ้าเราตั้งบ่อนคาสิโน เราสามารถรวยได้ทางวัตถุ ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ เค้าถึงพากันตั้งบ่อนคาสิโน จะเรียกบ่อนคาสิโนก็ได้หรือเรียกบ่อนแห่งความหลงก็ได้ มันคืออันเดียวกัน
ให้เรารู้เข้าใจ ประเทศไทยเราแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลเราต้องรู้เข้าใจว่า เราทั้งหลายอย่ายินดีในการเอาความหลงนำชีวิต อย่าไปยินดีในการเอาบ่อนคาสิโนนำชีวิตนะ
พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ศาสดาทุกศาสนาเค้ามายกเลิกบ่อนคาสิโนมายกเลิกอบายมุขอบายภูมิ ให้เรารู้เข้าใจ ถ้าเรารู้เข้าใจ ทุกอย่างน่ะไม่มีปัญหา ปัญหาอยู่ที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจนะ
เราทั้งหลายต้องมายกเลิกบ่อนนะ บ่อนความหลง มายกเลิกซุ้มโจร ตัวตนนี้แหละมันทุกข์ยากลำบากมันจน จนเพราะไม่เสียสละ ไม่เอาธรรมนำชีวิตมันก็ยากจนน่ะ จนเพราะไม่รู้จักพอ ให้รู้ให้เข้าใจอย่างนี้ ถ้าไม่เข้าใจแล้วมันจะเสียหาย ให้รู้เข้าใจว่าความถูกต้องได้แก่พระนิพพานนะ ความรู้ความเข้าใจที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นบริสุทธิคุณคือบ้านของเรานะ สิ่งที่จรไปจรมาต้องรู้เข้าใจ มันจรไปจรมาทางตาหูจมูกลิ้นกายใจมันชั่วคราวนะ
ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายที่เป็นผู้ประเสริฐที่มีลมปราณ มีโอกาสมีเวลาต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ สิ่งที่แล้วก็แล้วไป เอาเหมือนพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดช ท่านตรัสว่าช่างหัวเผือกหัวมัน เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความสงบเข้าถึงปัญญาบริสุทธิคุณ เพื่อความเป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรมเป็นธรรมนูญ ณ โอกาสนี้ด้วยกันทุกท่านทุกคน
การบรรยายพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เห็นสมควรแก่เวลา
ด้วยพระเมตตาบริสุทธิคุณ กรุณาธิคุณ ปัญญาบริสุทธิคุณ จงอำนวยอวยชัย ให้ท่านทั้งหลายมีทั้งความสงบร่มเย็น เข้าถึงพระนิพพานคือบ้านของเรา ณ โอกาสนี้ด้วยเทอญ
------------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันพฤหัสบดีที่ ๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา