๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นที่ ๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖

 

วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อกัณหา หลวงพ่อกัณหาท่านเกิดวันที่ ๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓ ที่จังหวัดอุบลราชธานี ท่านบวชปี ๒๕๑๓ ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติสมควร ตามรอยบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามรอยบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ ๙ ตามรอยของหลวงปู่มั่น ของหลวงปู่ชา หลวงตามหาบัว ท่านพุทธทาสภิกขุ

 

ตั้งแต่ท่านบวชมาเป็นเวลา ๕๕ ปี เข้าปี ๕๖ ท่านไม่รับเงินรับปัจจัยเป็นของส่วนตัว ถ้าเค้าถวายก็ให้เป็นของสงฆ์ของส่วนรวม หรือว่าให้เป็นของประเทศอย่างนี้

 

เมื่อปี ๒๕๓๕ สมเด็จญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหารจะให้ยศให้ตำแหน่งเป็นพระราชาคณะ หลวงพ่อกัณหาได้กราบเรียนท่านสมเด็จญาณสังวรฯ ว่าไม่เอาไม่รับน่ะ จึงได้ทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรว่าไม่รับเพราะการรับตำแหน่งนั้นจุดมุ่งหมายก็เพื่อให้ผู้รับตำแหน่งนั้นพากันมาเสียสละเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อพระศาสนาเพื่อส่วนรวม

 

ตำแหน่งสมณศักดิ์ที่พระราชาแต่งตั้งคือถูกต้องตามกฎหมายให้มาเสียสละเป็นลายลักษณ์อักษร ตำแหน่งเจ้าอาวาส ตำแหน่งเจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ  เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค เจ้าคณะหน สมเด็จ ตำแหน่งพระสังฆราช เป็นตำแหน่งได้รับการแต่งตั้งเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อให้ท่านผู้นั้นได้เสียสละที่มีกฎหมายรองรับ

 

ตำแหน่งเมื่อครั้งพุทธกาล เป็นตำแหน่งที่ท่านผู้นั้นได้บำเพ็ญบารมีมา เช่น ตำแหน่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านบำเพ็ญพุทธบารมีสี่อสงไขยแสนมหากัป ใช้เวลายาวนานหลายล้านปี เป็นตำแหน่งที่เสียสละ เป็นตำแหน่งที่ยกเลิกตัว ยกเลิกตน ไม่ทำอะไรตามอัธยาศัย เป็นตำแหน่งที่เสียสละ ที่ได้บำเพ็ญพุทธบารมีสี่อสงไขยแสนมหากัป ใช้เวลายาวนานหลายล้านปีหรือว่าหลายล้านชาติ

 

ตำแหน่งอัครสาวกก็เหมือนกัน เป็นตำแหน่งที่บำเพ็ญบารมีอย่างต้น อย่างกลาง อย่างละเอียด สมมติสัจจะทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกนี้มีหลายล้านสมมติ ชี้ให้เห็นความผิดความถูก ความดีความชั่ว เพื่อให้มนุษย์เราได้เข้าใจ เพื่อจะได้เอาสมมติสัจจะนั้นมาบำเพ็ญความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ปัญญาประกอบด้วยความดี

 

พวกเราทั้งหลายต้องพากันมาเข้าใจนะ สมมติสัจจะที่ได้รับแต่งตั้งเป็นอะไร เราต้องเอามาใช้เอามาปฏิบัติ เพื่อมามีความสุขมีปิติมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ สมมติสัจจะจึงเป็นส่วนที่สำคัญ สมมติสัจจะส่งผลัดไปสู่ธรรมะ จะเข้าไปสู่บริสุทธิคุณ เพื่อเป็นบริสุทธิคุณ เพื่อไม่ให้มีตัวมีตน เพื่อให้เป็นทางสายกลาง จะเป็นการทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ความไม่มีทุกข์ ที่เป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ที่เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย

 

พวกเราทั้งหลายถึงพากันรู้ว่าสมมติสัจจะนี้มันเป็นสิ่งที่ดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาประกอบด้วยความดี

 

พวกเราทั้งหลายจะได้ก้าวไปด้วยศีลด้วยปัญญา ศีลกับปัญญาถึงไปพร้อม ๆ กัน การปฏิบัติของเราถึงจะไม่มีปัญหา สมาธิกับปัญญาก็ต้องไปพร้อม ๆ กัน ทานกับปัญญาก็ต้องไปพร้อม ๆ กัน

 

เราทั้งหลายน่ะส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเรื่องพระธรรมเรื่องพระวินัย เรื่องธรรมเรื่องธรรมนูญ ไม่อยากรับหน้าที่ ไม่อยากรับตำแหน่ง สมมติสัจจะที่แต่งตั้งให้เราเป็นผู้หญิงเป็นผู้ชาย ที่เค้าแต่งตั้งให้เราเป็นข้าราชการนักการเมือง ให้เป็นนักบวช  มันเป็นการโฟกัสให้เราทั้งหลายเอาความดีที่ประกอบด้วยปัญญานำชีวิต

 

ผู้ที่ไม่รู้ไม่เข้าใจเรียกว่าธรรมนูญน่ะหรือว่าพระธรรมพระวินัย มันเหมือนลิดรอนสิทธิไม่ให้เราทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกพวกเราทั้งหลายว่าความคิดอย่างนั้นมันเป็นนิติบุคคลตัวตน เป็นความคิดที่ไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

 

ให้รู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัยกฎหมายบ้านเมือง อันนี้เป็นการยกเลิกตัวยกเลิกตน ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้องให้มันถูกต้อง แล้วพากันไปมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจทั้งวัตถุทั้งจิตใจไปพร้อม ๆ กันอย่างที่มีความสุขมีปิติมีเอกัคคตา

 

เราปฏิบัติไปอย่างนี้แหละ เอาธรรมนำชีวิตเรียกว่าเอาหลักการ ๓ เอาอุดมการณ์ ๔ วิธี ๖ ประพฤติปฏิบัติในปัจจุบัน เราทั้งหลายต้องเข้าใจเรื่องสมมติสัจจะเรื่องพระธรรมพระวินัย

 

พวกเราทั้งหลายให้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านบอกพวกเราทั้งหลายว่า เธอทั้งหลายจงพากันประพฤติพรหมจรรย์เถิด อย่าไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยเลย เธอทั้งหลายจงพากันประพฤติพรหมจรรย์เถิด มีปิติมีสุขมีเอกัคคตาปรับตัวเข้าหาเวลาปรับตัวเข้าหาธรรมะ

 

ตำแหน่งที่เราได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอะไร ต้องมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ธรรมเหล่าใดที่ทำตามใจตามอัธยาศัยถึงไม่ใช่ธรรมะ เป็นนิติบุคคลตัวตน ไม่ใช่พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นการทิ้งความถูกต้อง หรือทิ้งพระพุทธเจ้า เป็นการเอาความหลงนำชีวิตหรือเอาไสยศาสตร์นำชีวิต เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเรียกว่าเราทิ้งพระธรรมพระวินัย เรียกว่าทิ้งพระพุทธเจ้า เราหันหลังให้พุทธะ เราเดินคนละทางกับพุทธะ

 

เรื่องพระธรรมพระวินัย เรื่องข้อวัตรกิจวัตร เราทั้งหลายต้องมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้ก้าวไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา

 

เราทั้งหลายต้องตั้งใจตั้งเจตนา มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ทุกคนต้องทำอย่างนี้ ทุกชาติทุกศาสนาก็พากันเป็นพระได้ คำว่าพระน่ะคือธรรมะ คือธรรมนูญ คือรัฐธรรมนูญ

 

การออกกฎหมายปกครองบ้านปกครองเมือง ต้องเอาธรรมนูญเอาธรรมนำชีวิต

 

ผู้ที่เป็นนักการเมืองทั้งหลายเป็นข้าราชการทั้งหลายก็ต้องเอาธรรมนำชีวิต ไม่ใช่เอานิติบุคคลตัวตน อย่าออกกฎหมายเพื่อเป็นตัวเป็นตนน่ะ อย่าเอาพรรคเอาพวก ต้องเอาธรรมเอาธรรมนูญ ประชาธิปไตยต้องเอาธรรมนำชีวิต สังคมนิยมก็ต้องเอาธรรมนำชีวิต

 

อย่าเอาตัวตนนำชีวิต ถ้าเอาตัวตนนำชีวิตถ้าเอาตัวตนนำชีวิตเราก็ไม่โอเคนะ คนอื่นก็ไม่โอเคนะ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งลูกหลานเค้าก็ไม่โอเค พ่อค้าประชาชนเค้าก็ไม่โอเค เราเข้าใจนะว่าทำไมลูกหลานเค้ามาเถียงเรา เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งลูกหลานก็มาเถียงเรา เรายกเลิกตัวตนลูกหลานก็ไม่เถียงเรา ให้เข้าใจ

 

เราดูเค้าออกมาเดินขบวนขับไล่ข้าราชการนักการเมือง หรือว่าออกมาเดินขบวนขับไล่นักบวช เพราะเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเค้าก็อออกมาเดินขบวน เพราะเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง การเดินขบวนใครอยากจะออกมาเดินขบวนเพราะไม่มีงบประมาณ ไม่มีความสะดวกทั้งหลายทั้งปวง ห้องน้ำห้องสุขาอาหารการบริโภคก็ไม่สะดวก แถมยังถูกตำรวจทหารขับไล่ยิงแก๊สระเบิดแก๊สน้ำตา กระสุนจริงกระสุนปลอม

 

ให้เข้าใจ เราทั้งหลายอย่าเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ตนเองนี้แหละเรียกว่าทุจริต ถ้าเรามีตัวมีตนนั้นแหละ คือบุคลที่ทุจริต ไม่ใช่ธรระ ไม่ใช่ความถูกต้อง

 

ตัวตนเรียกว่าทุจริต เป็นพระก็พระทุจริต ข้าราชการ นักการเมืองก็นักการเมืองทุจริต เป็นอะไรก็ทุจริตทั้งนั้น ถ้าเอาตัวตนนำชีวิต

 

เราต้องเข้าใจ เราจะได้เข้าสู่ธรรม เข้าสู่ธรรมนูญ เรายกเลิกตัวตนทุกคนถึงจะมีความสุข ทุกคนถึงจะไม่มีความทุกข์ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง คนจนเป็นทุกข์เพราะไม่มีวัตถุไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกความสบาย คนที่รวยทางวัตถุ รวยทางยศทางตำแหน่งก็มีความทุกข์ก็เพราะไม่รู้จักพอ คนจนคนรวยก็เป็นทุกข์พอ ๆ กันนี้แหละ เพราะมีตัวตนมีตน

 

ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช พูดออกมาจากใจจากพระนิพพานออกมาจากความถูกต้อง ว่าเราทั้งหลายต้องรู้อริยสัจสี่ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

 

เราทั้งหลายต้องมีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ เราต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เศรษฐกิจพอเพียงเพียงพอ เมื่อมันแก้ไขภายนอกไม่ได้ก็ต้องแก้ไขที่เรา เพราะมันแก้ได้ทั้งภายนอกภายใน เราทั้งหลายจะได้พากันมีความสุข เราจะได้รู้ความหมายว่าเราเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่อมารู้จักรู้แจ้งทั้งทางวัตถุทั้งทางจิตใจ ทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพ เกิดมาเพื่อรู้แจ้ง เกิดมาเพื่อเอาธรรมนำชีวิต

 

เราต้องเข้าใจว่า เราเกิดมาทำไม เรามาเรียนหนังสือทำไม เรามาทำงานทำไม เรามาเป็นข้าราชนักการเมืองทำไม เราเป็นนักบวชทำไมเราต้องรู้เข้าใจ

 

เราจะได้รู้ว่าสมมติสัจจะนี้เป็นสิ่งที่มีอุปการคุณมาก สมมติสัจจะนี้แหละ ส่งผลัดสู่ความหลุดพ้นเข้าสู่ความสงบสู่ปัญญา เข้าสู่ปัญญาเข้าสู่ความสงบ

 

การปฏิบัติของเราให้พวกเราทั้งหลายเข้าใจการประพฤติการปฏิบัตินั้น

 

พระพุทธเจ้าท่านบอกพวกเราทั้งหลายว่าต้องปฏิบัติที่ปัจจุบัน เพราะอดีตมันผ่านมาแล้ว เมื่อวานมันผ่านไปแล้วเกษียณแล้วมันทำไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้ อนาคตยังมาไม่ถึงยังเป็นพรุ่งนี้อยู่ ปัจจุบันนี้แหละท่านตรัสว่าวาระจิตสุดท้ายคือสิ่งที่สำคัญ วาระจิตสุดท้ายคือปัจจุบันนี้แหละ มันรวมกันอยู่ที่ปัจจุบันนี้แหละ

 

 

ให้เรารู้เข้าใจ เราจะได้มีปิติมีความสุข มีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ     

            

ให้พวกเราเข้าใจอย่างนี้ เข้าใจเรื่องกรรมเก่า กรรมเก่าที่เรามองเห็นได้คือรูปของเรา รูปของเราเป็นธาตุเป็นขันธ์เป็นอายตนะภายนอกภายในนี้แหละ มันเป็นกรรมเก่าที่เราเอาความหลงนำชีวิต มันมีการเวียนว่ายตายเกิด มันเป็นวัฏฏสงสารเป็นวัฏจักร เราต้องเข้าใจอันนี้คือกรรมเก่า เราต้องรู้เข้าใจ

 

กรรมใหม่ก็เรื่องภายนอกที่มันมาสัมผัสกับเรานี้แหละ เรามีตาก็มีรูป มีหูก็มีเสียง มีจมูกก็มีกลิ่น มีลิ้นก็มีรส มีกายก็มีสัมผัส มันเป็นของคู่กัน ของเก่าของใหม่มันสปาร์คกัน มันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ต้องรู้กรรมเก่ากรรมใหม่ ต้องรู้เข้าใจว่าเพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี เราต้องหยุดได้ด้วยความรู้ด้วยเข้าใจสมมติสัจจะ

 

เรามีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้รู้กรรมเก่ากรรมใหม่ เราจะได้รู้ว่าทุกอย่างอันนี้มันเป็นนิติบุคคลตัวตน อันนี้เป็นธรรมะเป็นธรรมชาติเป็นประภัสสร รูปก็เป็นประภัสสร เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็เป็นประภัสสร มันไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้ยกทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ว่าทุกอย่างไม่ใช่นิติบุคคลตัวตนตัวตนเลย ล้วนแต่เป็นเหตุเป็นปัจจัย

 

ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ตรัสรู้ท่านบำเพ็ญพุทธบารมีตั้งหลายล้านชาติหลายอสงไขย ท่านอุทานจากใจว่าเรารู้จักเจ้าเสียแล้ว เจ้ากรรมเก่ากรรมใหม่ จะมาปรุงแต่งจิตใจของเราไม่ได้อีกต่อไป เพราะการเป็นนิติบุคคลตัวตนเรียกว่าการไม่รู้ไม่เข้าใจ มันเป็นการปรุงแต่งมันเป็นการสปาร์คกันมันเป็นความทุกข์ที่สุดในโลก การมาหยุดระงับสังขารทั้งหลาย การมาหยุดความปรุงแต่งเป็นความดับทุกข์เป็นความสุขอย่างยิ่ง

 

เราทั้งหลายต้องมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะมีแต่ปิติมีแต่ความสุขมีแต่เอกัคคตา ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยเจตนา ด้วยความตั้งมั่นที่เป็นศีล เป็นสมาธิเป็นปัญญา

 

ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้เสวยวิมุตสุข เมื่อตรัสรู้แล้วท่านระลึกถึงครูบาอาจารย์ที่เคยสั่งสอนทาน อาฬารดาบส อุทกดาบส สองท่านนี้ได้ลาละสังขารวายชนม์ไปตามอายุขัย

 

ท่านจึงจาริกไปโปรดปัญจวัคคีย์ทั้งห้าที่เคยดูลแลอุปถัมภ์อุปัฏฐาก ท่านไปบอกความจริงที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ไปบอกความจริงเรื่องเหตุเรื่องปัจจัยเพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี เป็นกรรมเก่ากรรมใหม่เข้าใจเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย

 

ปัญจวัคคีย์ได้รู้เข้าใจจึงได้เปล่งอุทานออกมาว่าจักขุเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ญาณเกิดขึ้นแล้วก็เรา แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เราที่เรายังไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน  แต่ก่อนนั้นเราแต่ตาเนื้อตาหนังแต่เรายังไม่มีปัญญา ที่นี้เรารู้เหตุรู้ปัจจัยเรามีตาปัญญา อย่างนี้

 

ความเข้าใจจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ การที่เราเรียนเราศึกษาค้นคว้าอะไรด้วยความรู้ความเข้าใจแล้วเข้าสู่ภาคประพฤติการปฏิบัติ มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะความรู้ความเข้าใจมันไม่หลง ถ้าความจำมันหลงน่ะ ถ้าเรานอนหลับไม่เพียงพอมันก็หลงก็ลืม

 

ท่านจึงบอกว่าทุกอย่างมันไม่แน่ไม่เที่ยงไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน แต่ความรู้ความเข้าใจอย่างนี้มันจะไม่หลงไม่ลืม

 

แต่ก่อนมันมืดเมื่อยกเลิกความมืดมันก็สว่าง เค้าเรียกว่าเอาธรรมนำชีวิตเรียกว่าบรรลุธรรม เอาตัวตนนำชีวิตเรียกว่าเวียนว่ายตายเกิด

 

บรรลุธรรมคือเอานำชีวิต มีสัมมาทิฐิ มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติในสมมติสัจจะ มีความสุขในกาประพฤติการปฏิบัติชีวิตของเราก็จะมีแต่คุณ เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ ปฏิบัติสมควรที่สมควรรับอัญชลี ลูกหลานมันก็ไม่เถียงเรา ทุกคนมันก็โอเค

 

ให้เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราอยู่ที่ไหนเราต้องเอาธรรมนำชีวิต เน้นมาที่ตัวเรานี้แหละ ไม่ต้องไปแก้ไขที่อื่น เราไม่ต้องไปแก้ไขที่ลูกที่หลาน ไม่ต้องไปแก้ไขคนอื่น ต้องแก้ไขที่ตัวเรา เอาเหมือนพระพุทธเจ้า พระเป็นพระพุทธเจ้าก็แก้ที่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ก็แก้ที่พระอรหันต์ ทุกคนก็แก้ที่ตัวเอง มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ อย่างนี้ เราทั้งหลายต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาพระพุทธเจ้านำชีวิต ต้องแก้ที่เรานี้แหละ เมื่อตัวเราไม่แก้จะไปแก้คนอื่นได้อย่างไร ให้เข้าใจ

 

เหมือนหลวงปู่ชา สุภัทโทที่ท่านเข้าใจแล้วท่านประพฤติปฏิบัติ

หลวงพ่อชาแห่งวัดหนองป่าพง ท่านกล่าวว่า ผมรู้เข้าใจและประพฤติปฏิบัติ ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาท ผมบอกสอนตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมเพียงแต่บอกสอนพวกท่านห้าเปอร์เซ็นต์เท่านั้นเองมันถึงพอไปได้ อย่างนี้

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้มีปิติมีสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราอยู่ที่ไหนก็ไม่มีทุกข์ทั้งนั้น คนจนก็ไม่มีทุกข์ทางใจคนรวยก็ไม่ทุกข์จากความหลง เราจะได้หยุดวัฏฏสงสาร เราจะได้หยุดก่อนลาก่อนแคนเซิลก่อนวัฏฏสงสาร เราจะได้เอาธรรมนำชีวิต อย่าเอาความหลงนำชีวิต

 

เหมือนท่านพุทธทาสภิกขุท่านพูดจากใจจากพระนิพพาน ท่านเป็นคนดีเป็นคนมีปัญญา ท่านเป็นพระไม่ใช่เป็นคน เอาธรรมนำชีวิต ท่านถึงพูดจากใจจากพระนิพานว่า มนุษย์เราต้องเอาธรรมนำชีวิตเอาตัวตนนำชีวิตไม่ได้ เราจะเป็นมนุษย์ได้เป็นพระได้ เพราะเอาธรรมนำชีวิต ไม่ได้เอาตัวตนนำชีวิต

เป็นมนุษย์  เป็นได้  เพราะใจสูง  เหมือนหนึ่งยูง  มีดี  ที่แววขน

ถ้าใจต่ำ  เป็นได้  แต่เพียงคน           ย่อมเสียที  ที่ตน  ได้เกิดมา

ใจสะอาด  ใจสว่าง  ใจสงบ ถ้ามีครบ  ควรเรียก  มนุสสา

เพราะทำถูก  พูดถูก  ทุกเวลา          เปรมปรีดา  คืนวัน  ศุขสันติ์จริง

ใจสกปรก  มืดมัว  และร้อนเร่า         ใครมีเข้า ควรเรียก  ว่าผีสิง

เพราะพูดผิด  ทำผิด  จิตประวิง แต่ในสิ่ง นำตัว กลั้วอบาย

คิดดูเถิด  ถ้าใคร  ไม่อยากตก          จงรีบยก  ใจตน รีบขวนขวาย

ให้ใจสูง  เสียได้  ก่อนตัวตาย           ก็สมหมาย  ที่เกิดมา อย่าเชือน เอย ฯ

 

 

 

หลวงปู่มั่นมีเมตตาให้โอวาทกับทุก ๆ คนว่าชีวิตของเราตั้งอยู่บนรากฐานของธรรมะมันไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน ให้ทุกคนมีปิติมีสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ท่านเมตตาตรัสว่า

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอน

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืน

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเท่านั้น

 

มนุษย์เรานี้ต้องเอาธรรมนำชีวิต ต้องเอาความถูกต้องนำชีวิต ไม่ใช่เอาตัวตนนำชีวิต เราเอาทางวัตถุถึงจะรวยเป็นมหาเศรษฐีทางวัตถุของโลก ถึงจะมีอำนาจ มีบารมีเป็นผู้นำของโลก มันก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้ เราต้องรู้เข้าใจ

ที่หลวงพ่อสุเมโธ คนอเมริกันเป็นทั้งคนดีคนฉลาด เมื่อเอาวัตถุนำชีวิตเอาตัวตนนำชีวิตมันไปไม่ได้ ท่านถึงได้มาสู่เอเชียมาสู่ประเทศอินเดีย เนปาล ศรีลังกาแล้วมาที่ประเทศไทย มาบวชเป็นพุทธเป็นชาวพุทธเพื่อเอาธรรมนำชีวิต มาปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องยกเลิกตัวตนใช้เวลา ๑๐ ปี

 

ท่านมีปฏิปทาที่ดีตามรอยของพระพุทธเจ้าตามรอยของหลวงปู่มั่น ตามรอยของหลวงตามหาบัว ตามรอยของท่านพุทธทาส ใช้เวลา ๑๐ ปี ชีวิตท่านสงบเย็นเป็นพระนิพพานเป็นพระซุปเปอร์สตาร์เลย เป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

 

หลวงปู่ชา สุภัทโท ถึงได้บอกหลวงพ่อสุเมโธว่า ๑๐ ปีแล้ว ชีวิตนี้สงบเย็นเป็นพระนิพพานแล้ว ให้กลับไปช่วยเหลือคนทางยุโรป ยุโรปเจริญกว่าเอเชีย เจริญทางวัตถุวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีแต่มันก็ไปไม่ได้ เราต้องพัฒนาวัตถุพัฒนาใจไปพร้อม ๆ มันถึงจะสมดุลทั้งวัตถุทั้งใจ ถ้าอย่างนั้นมันไปไม่ได้ ต้องเอาวัตถุกับใจไปพร้อม ๆ กัน ต้องไปบอกไปสอนไปบอกความจริงให้ชาวยุโรปเค้าได้ฟัง

 

ท่านได้ส่งหลวงพ่อสุเมโธไปอยู่ประเทศอังกฤษ เมื่อส่งหลวงพ่อสุเมโธไปประเทศอังกฤษแล้ว หลวงปู่ชาก็ตามไปด้วยเพื่อไปให้ความอบอุ่น

 

คนทางยุโรปทางอังกฤษอเมริกาพวกฝรั่งจมูกยาว ๆ ทั้งหลาย คนพูดภาษาอังกฤษ คนประเทศไทยเรียกฝรั่งจมูกยาว ๆ เรียกว่าฝรั่งอย่างนี้ พื้นฐานเค้ามาจากประเทศจีนประเทศญี่ปุ่นประเทศฝ่ายมหายาน เค้าก็ศึกษาเรื่องธรรมะ เรื่องพระโพธิสัตว์ เรื่องพระอรหันต์ เรื่องพระพุทธศาสนา

 

เค้าได้มาพูดมาคุยกับหลวงปู่ชาว่า พระพุทธศาสนานี้ดีมาก เพราะเป็นวิทยาศาสตร์ทางวัตถุ เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตใจไปพร้อม ๆ กัน พัฒนาสายกลางทั้งทางวัตถุกับจิตใจ

 

อยากกราบเรียนถามหลวงปู่ชาว่า ถ้าเราปฏิบัติเป็นพระอรหันต์นี้มันดีมาก เพราะมันหยุดวัฏฏสงสาร หยุดเวียนว่ายตายเกิด เข้าถึงความดับทุกข์ได้ในปัจจุบัน แต่ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์มันดีน่ะ แต่ต้องใช้เวลาหลายล้านชาติปีหลายล้านชาติ

 

อยากถามความเห็นหลวงปู่ชาว่าอันไหนดีกว่ากัน

 

หลวงปู่ชาก็บอกฝรั่งในทีมนั้นว่า เราต้องเข้าใจเรื่องพระพุทธศาสนานะ พระพุทธศาสนาเป็นบริสุทธิคุณเป็นปัญญาบริสุทธิคุณ เราต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เราถึงจะมีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ ให้เข้าใจอย่างนี้นะ

 

เราอย่าไปเป็นอะไรเลย เป็นพระพุทธเจ้าก็อย่าไปเป็น พระอรหันต์ก็อย่าไปเป็น โพธิสัตว์ก็อย่าไปเป็น เป็นอะไรก็อย่าไปเป็นทั้งนั้น คนจนก็ทุกข์เพราะไม่มีอุปกรณ์ในการอำนวยความสะดวกสบาย คนรวยก็มีความสุขทางจิตใจเพราะไม่รู้จักพอ เราอย่าไปเป็นอะไรเลย ความหมายของหลวงปู่ชาท่านถึงบอกอย่างนี้

 

เราทั้งหลายต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง รู้เข้าใจมีความสุขมีปิติมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ชีวิตของเราจะได้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม มันจะได้ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาททั้งอาชีพ ให้มีความสุขให้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม

 

เราทั้งหลายอย่าไปเป็นอะไรเลย เป็นอะไรเป็นทุกข์ทั้งนั้น เราต้องทำความดีเพื่อความดี ต้องทำปัญญาบริสุทธิคุณ ชีวิตของเราทั้งหลายถึงจะได้มีความสงบ มีปัญญา มีปัญญามีความสงบ

 

เราต้องเข้าใจพระศาสนาอย่างนี้ ทุกอย่างมันถึงจะมีแต่คุณมันจะไม่เครียด เอาตัวตนเค้าเรียกว่ามันเครียด เรียนหนังสือเพื่อจะเอา ทำงานเพื่อจะเอาทุกอย่างมีแต่จะเอา เค้ามีคณิตศาสตร์ยังมีบวกลบคูณหาร เค้าเรียกว่า เราต้องรู้เข้าใจเราจะได้มีความสงบมีปัญญา เราทั้งหลายอย่าไปมีอะไรเลย

 

หลวงปู่มั่นท่านถึงพูดว่าต้องเข้าเรื่องพระธรรมพระวินัย เราอย่าไปหลงในการประพฤติการปฏิบัติ ต้องเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ทำความดีก็เพื่อ ความดี รักษาศีลก็เพื่อรักษาศีล ทำสมาธิก็เพื่อสมาธิ ยกเลิกตัวตนเพราะการไม่รู้เข้าใจมันเป็นกับดัก มียศก็ติดในยศ มีบ้านก็ติดในบ้าน มีลูกหลานมีอะไรก็ติดทั้งนั้นแหละ คำว่าติดคือก็ไปไม่ได้ ไปไม่ได้ก็เรียกว่าติด

 

เราทั้งหลายต้องเสียสละ มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เค้าเรียกว่ายึดมั่นถือมั่นด้วยปัญญาเป็นสัมมาทิฐิ เมื่อผลลัพธ์ออกมาเราก็ต้องปล่อยวาง เพื่อให้เป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นปัญญาเป็นความสงบ

 

เหมือนท่านพุทธทาสภิกขุท่านให้มองทุกอย่างในแง่ดี

 

ในพระศาสนาน่ะถึงให้รู้เข้าใจยกทุกอย่างเจข้าสู่พระไตรลักษณ์ เราทั้งหลายจะได้ไม่สำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นผู้หญิงเป็นผู้ชาย เป็นคนแก่คนเฒ่าคนชรา เป็นคนตายหรือเป็นคนพลัดพราก เรามีอะไรเป็นอะไร

 

การบริโภคอะไรถึงยกทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ ไม่ว่าใช้สอยปัจจัยสี่อะไรอย่างนี้ เราต้องยกทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เราจะได้บริโภคทุกอย่างด้วยสติด้วยปัญญา เราจะก้าวไปด้วยสติด้วยปัญญา เพราะสติกับปัญญาเป็นสิ่งที่มีอุปการมาก เราต้องรู้เข้าใจ

 

ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายที่เป็นทั้งคนดีคนมีปัญญา เป็นทั้งคนมีปัญญา เป็นทั้งคนดี ท่านทั้งหลายต้องเอาพระพุทธเจ้านำชีวิต เอาพระรัตนตรัยนำชีวิต เอาความถูกต้องนำชีวิต พากันมีปิติมีสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ อย่าไปติดอะไรอย่าไปหลงอะไร เราต้องบริโภคทุกอย่างด้วยสติด้วยปัญญา

 

ขออนุโมนากับท่านทั้งหลาย ให้พากันเดินทางกลับไปสถานที่เพื่อไปประพฤติปฏิบัติธรรมตามโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้บำเพ็ญพุทธบารมีสมบูรณ์ด้วยทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะที่เป็นพระศาสนา

 

ศาสนาทุกศาสนาก็คือธรรมะ ไม่มีศาสนาไหนที่เป็นตัวเป็นตนเป็นธรรมะหมด

 

ให้ทุกคนเข้าใจ เราจะได้มีสัมมาทิฐิมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องเพื่อเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต

 

---------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันพุธที่ ๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

Visitors: 94,422