๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ของศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ของศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ของศาสนาอิสลาม
มนุษย์เราต้องมีปัญญาสัมมาทิฐิ มีหลักการมีอุดมการณ์อุดมธรรมเพื่อจะได้นำชีวิต ดำเนินไปด้วยความถูกต้อง ดำเนินชีวิตที่เป็นชีวิตที่เป็นบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ เน้นที่ปัญญาบริสุทธิคุณ ไม่ใช่ปัญญาที่เป็นนิติบุคคลตัวตน นี้คือความประเสริฐ นี้คือความถูกต้อง
ต้องมีหลักการในการประพฤติการปฏิบัติของความเป็นมนุษย์ ถ้าไม่มีหลักการไม่มีอุดมการณ์อุดมธรรม เราทั้งหลายนั้นจะเป็นมนุษย์ไม่ได้ เราทั้งหลายจะเป็นได้แต่เพียงคน เป็นได้แต่เพียงความว่าง ไม่ใช่ปัญญาบริสุทธิคุณ มันเป็นปัญญาที่เป็นตัวตน
มันจะเป็นได้แต่เพียงคน คำว่าคนหมายถึง ไม่มีหลักการอุดมการณ์ อุดมธรรม ไม่มีปัญญาสัมมาทิฐิ ทำทั้งดีทั้งชั่ว ทั้งผิดทั้งถูก มันไปไหนไม่ได้มันย่ำต๊อกอยู่ในความหลง หรือย่ำต๊อกอยู่ที่เก่าเค้าถึงมีศัพท์ว่าคน มันเป็นวงกลมมันเป็น Cycle of life มันหมุนจบลงมาที่เก่า มันเป็นวัฏฏสงสาร มันวกวนอยู่ที่เก่ามันไปไหนไม่ได้ มันตกอยู่ในสัญชาตญาณแห่งความหลง สัญชาตญาณที่เป็นตัวเป็นตน มันไม่ใช่สัญชาตญาณแห่งความเป็นมนุษย์นะ
เราต้องรู้เข้าใจ ต้องมีปัญญาสัมมาทิฐิ มนุษย์เราถึงต้องมีปัญญาสัมมาทิฐิ เพื่อก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เพื่อจะได้ออกจากสัญชาตญาณที่มันเป็นวัฏฏสงสารที่มันเป็นตัวเป็นตน เราจะได้หยุดยานของวัฏฏสงสาร หยุดยานที่เป็นตัวเป็นตน มนุษย์เรานี้มีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ในการดำรงชีวิต ดำรงธาตุดำรงขันธ์ ดำรงอายตนะ ด้วยปัญญาสัมมาทิฐิ
ได้มีหลักการ วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำงานภาคบังคับนี้เป็นหลักการ นี้เป็นธรรมนูญ การทำงานกับการการปฏิบัติธรรมของหมู่มวลมนุษย์ มันต้องเป็นอันเดียวกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นเซทเดียวกัน
มนุษย์เราต้องได้ประโยชน์ทั้งทางวัตถุได้ทั้งทางใจไปพร้อม ๆ กัน
วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำงาน เน้นการประพฤติปฏิบัติในเรื่องจิตเรื่องใจ หยุดทำธุรกิจต่าง ๆ ให้เน้นเรื่องจิตเรื่องใจ ผู้ที่ถือศาสนาพุทธก็พากันไปที่วัด ถือศาสนาคริสต์ก็พากันไปที่โบสถ์ ถือศาสนาอิสลามก็พากันไปที่มัสยิด ถือศาสนาพราหมณ์ฮินดูก็ไปที่วิหาร สถานที่ที่เป็นศูนย์รวมในการพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจ
พากันไปทำไม ไปกราบพระไหวพระสวดมนต์ พากันไปให้ทานรักษาศีลประพฤติปฏิบัติธรรม พากันไปรักษาศีล ๕ ศีล ๘ ศีลอดน่ะ พากันไปเจริญสมถะวิปัสสนาทุกศาสนาก็ใช้หลักการอันเดียวกันนี้แหละ หลักการอุดมการณ์อุดมธรรมอย่างเดียวกัน เพียงแต่ต่างกันเพียงชื่อ ให้เราเข้าใจ
การดำเนินชีวิตของเรามันเป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรม การทำอะไรทุก ๆ อย่างมันเป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรม ชีวิตของเรามันถึงเป็นทางสายกลาง ถึงเป็นธรรมนูญ เพื่อปฏิบัติตนเอง เพื่อความสมัครสมานสามัคคีก็เป็นรัฐธรรมนูญน่ะ กายวาจากิริยามารยาทใจของเรานี้ถึงเป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี เน้นที่ปัจจุบัน
การปฏิบัติของเราให้เข้าใจ ให้เข้าใจเหมือนแพทย์จะผ่าตัด แพทย์จะผ่าตัดต้องมีปัญญาแล้วมีความสงบ คำว่าตัดนี้ก็หมายถึงหยุดสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทำในสิ่งที่ถูกต้อง นี้ความหมายของคำว่าตัด ผู้ที่ผ่าตัดต้องมีปัญญาพร้อมกับความสงบ มันถึงเป็นความพอดีเป็นความพอเพียงเพียงพอ ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป
การทำงานก็คือการปฏิบัติธรรมนั่นแหละ การปฏิบัติธรรมก็คือการทำงานนั่นแหละ ให้พวกเรารู้เข้าใจ จะไม่ได้แยกการทำงานออกจากการปฏิบัติธรรม เราจะไม่ได้แยกการปฏิบัติธรรมออกจากการทำงาน เพราะอันนี้มันเป็นเซทเดียวกันเป็นสิ่งเดียวกันนะ มันจะแยกกันไม่ได้ การปฏิบัติธรรมกับการทำงานต้องให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
การทำงานนี้มันเป็นการเดินไปของชีวิต ชีวิตนี้ถึงต้องมีความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ มันเป็นกรรมเป็นผลของกรรมเป็นกฎแห่งกรรม
เราทั้งหลายต้องรู้ความหมายของทุกสิ่งทุกอย่างนะ ที่องค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้าท่านพูดเรื่องกรรม เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องผลของกรรม มันเป็นกระบวนการของกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท หมู่มวลมนุษย์สัตว์โลกทั้งหลายจะอยู่เหนือกรรม เหนือกฎแห่งกรรม เหนือผลของกรรมนั้นไม่มี
ด้วยเหตุด้วยปัจจัยนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านถึงตรัสโอวาทที่สำคัญในการดำเนินชีวิตนะ ว่าเธอทั้งหลายอย่าได้ประมาท อย่าได้เพลิดเพลิน ชีวิตของเราต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม ทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาททั้งอาชีพตลอดถึงเรื่องใจ ใจของเราจะได้มีปัญญา
ให้เรารู้ว่าการทำงานมันคือเรื่องของกรรม เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องผลของกรรม
วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เป็นวันทำงานกับการปฏิบัติธรรมไปพร้อม ๆ กัน
วันเสาร์วันอาทิตย์เอาเรื่องใจ เป็นการพัฒนาใจให้ใจมีปัญญาสัมมาทิฐิเพราะใจของเราจะได้เอาความสงบกับปัญญาให้ติดต่อต่อเนื่องกัน สิ่งที่ติดต่อต่อเนื่องด้วยปัญญาสัมมาทิฐิ มันจะไม่ขาดไม่ด่างไม่พร้อย ที่มันเป็นปฏิปทาติดต่อต่อเนื่องนี้เป็นหลักการที่เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามผัสสะ ไปตามสิ่งแวดล้อม เพื่อหยุดกรรม หยุดการกระทำทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาททั้งใจ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารของตัวเอง เพื่อหยุดความเกิดของตัวเอง สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ นี้ถึงอยู่ที่เราต้องมีสัมมาทิฐิความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง แล้วปฏิบัติให้ถูกต้อง ทั้งกายวาจากิริยามารยาท ทั้งอาชีพต้องถูกต้อง เพื่อหยุดกรรม หยุดกรรมทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารททั้งอาชีพต้องหยุด ถ้าเราไม่หยุดมันก็ไปของมันเรื่อย ๆ เป็นวัฏฏสงสาร
พระศาสนานี้คือธรรมะคือธรรมนูญ รัฐธรรมนูญ ต้องมาหยุดเพื่อมีไว้เพื่อเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม มาหยุดมายกเลิกวัฏฏสงสารด้วยความรู้ความเข้าใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตรัสว่า สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ นั้นอยู่ที่เรารู้เข้าใจ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ทุกคนก็เป็นพระได้ ทุกศาสนาก็เป็นพระได้ เพราะศาสนานั้นหลายชื่อก็จริงแต่มันก็คือธรรม คือพระศาสนา ถึงมีคำนำหน้าว่าพระ คือ “พระศาสนา”
พระศาสนานี้คือธรรมะ พระศาสนานี้คือธรรมนูญ คือรัฐธรรมนูญ พระศาสนานี้เป็นการต่อยอดจากทางวิทยาศาสตร์ ทางวิทยาศาสตร์น่ะเป็นเหตุเป็นผลเป็นกฎแห่งกรรม เป็นผลของกรรม ต้องมีพระศาสนา เราจะได้ไม่เอาการดำรงชีพดำรงธาตุ ดำรงขันธ์ ดำรงอายตนะ ที่เราทั้งหลายได้พัฒนาเหตุพัฒนาผล พัฒนาวิทยาศาสตร์ให้เป็นตัวเป็นตน พระศาสนานี้ถึงเป็นปัญญาบริสุทธิคุณ เป็นการอยู่นอกเหตุผล เป็นการหยุดปรุงแต่ง ผู้ที่อธิบายพระนิพพานถึงอธิบายต่อไปอีกไม่ได้ เพราะว่ามันหยุดสมมติ หยุดความปรุงแต่ง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตรัสว่า การสงบระงับสังขารความปรุงแต่ง เป็นความสุขอย่างยิ่ง ความสุขก็หมายถึงไม่มีทุกข์ ทุกข์ก็ไม่มีสุขก็ไม่มี มันเป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ว่างจากสิ่งที่ไม่มี ว่างจากสิ่งที่ไม่มีมันจะมีประโยชน์อะไร ต้องว่างจากสิ่งที่มีอยู่ เราต้องพากันเข้าใจในความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ เราจะได้หยุดทางวิทยาศาสตร์ด้วยปัญญาบริสุทธิคุณ หยุดความปรุงแต่ง
เราทั้งหลายเมื่อมีปัญญาแล้วก็ต้องมีความสงบ ถ้าเรามีปัญญาแล้วเราไม่มีความสงบ เราไม่มีความหยุด มันก็เป็นความปรุงแต่งไปเรื่อย นักวิทยาศาสตร์ก็ยิ่งเป็นประสาทมาก ผู้มีปัญญาก็ยิ่งเป็นประสาทมาก เพราะมันไม่สงบ เตสังวูปะสะโมสุโข การมาสงบระงับสังขารเป็นสุขอย่างยิ่ง ทางวัตถุก็ต้องเอาความสงบ ทางใจก็ต้องเอาความสงบ กายวาจากิริยามารยาทก็ต้องเอาความสงบ
ธรรมะคือพระศาสนา เพราะเหตุผลว่ามนุษย์เราต้องพัฒนาทางวิทยาศาสตร์พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันเพื่อทุกอย่างจะได้มีแต่คุณเพราะความสุขความสะดวกสบายทางวัตถุ
มนุษย์เราต่างจากสัตว์ทั้งหลายที่เวียนว่ายตายเกิด สัตว์ทั้งหลายที่เค้าเวียนว่ายตายเกิดเค้าอยู่ด้วยสัญชาตญาณ เค้าไม่ได้สร้างบ้านสร้างตึกสร้างอาคาร เค้าไม่ได้ทำไร่ทำนาทำสวนทำอุตสาหกรรม เค้าไม่มีบ้านเหมือนมนุษย์
มนุษย์เรามีบ้านมีที่อยู่ที่อาศัย มีการทำไร่ทำนาทำสวน ทำเกษตรกรรมอุตสาหกรรม ต่างจากสัตว์ทั้งหลาย เพื่อให้ได้รับความสะดวกสบายจากวัตถุ เมื่อมีความสะดวกความสบายจากวัตถุ ก็ต้องพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน เพื่อเข้าถึงพระนิพพาน ปัญญาสัมมาทิฐิอย่างนี้เป็นบริสุทธิคุณ เราทั้งหลายจะได้หยุดความปรุงแต่ง เราทั้งหลายจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ
เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน่ะประสูติก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ตรัสรู้ก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ แสดงธรรมจักรกัปปวัตนสูตรครั้งแรกให้กับประชาชนมหาชนก็ ๑๕ ค่ำ การปลงสังขารว่าอีกสามเดือนครั้งหน้า พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เราคิดดูดี ๆ น่ะมันเป็นความพอเพียงเพียงพอระหว่างความสงบกับปัญญา ปัญญากับความสงบ
ชีวิตของเรานี้มันเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ มันเป็นความรู้ความเข้าใจ ชีวิตของเราต้องก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายต้องเข้าถึง พระนิพพานในปัจจุบันตั้งแต่ยังไม่ตาย เราทั้งหลายต้องเข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบัน เพราะสิ่งที่ผ่านมาถือว่ามันเกษียณแล้วมันตายแล้ว กายวาจากิริยามารยาทที่ผ่านมาแล้วถือว่ามันเกษียณแล้ว อนาคตยังมาไม่ถึงให้รู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เน้นที่ปัจจุบัน เราทั้งหลายจะได้รู้กรรมรู้กฎแห่งกรรมรู้ผลของกรรม เราจะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจอย่างนี้
การดำรงชีวิตของเรามันเป็นรายรับรายจ่าย ให้เรารู้ให้เข้าใจเรื่องรายรับรายจ่ายของชีวิต การเรียนคณิตศาสตร์ที่เราไปเรียนหนังสือ เรียนเรื่องบวกเรื่องลบ เรื่องคูณเรื่องหาร เพื่อเราทั้งหลายจะได้รู้รายรับรายจ่ายของชีวิตนะ เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความพอดี ความพอเพียงความเพียงพอ เข้าถึงความสงบเข้าถึงปัญญา เพื่อเข้าถึงพระนิพพาน เพื่อมีความรู้คู่กับความสงบ เพื่อชีวิตของเราจะได้เป็นพระนิพพาน เป็นประภัสสรน่ะ เป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่
เหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ของเมืองไทย ได้ตรัสกับประชากรของประเทศไทยและประชากรของโลกว่า มนุษย์เราต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต พัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์พัฒนาทั้งวัตถุพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน เพื่อจะเป็นทางสายกลางทางวัตถุ พัฒนาใจเป็นทางสายกลางทางไปพร้อม ๆ กัน เราทั้งหลายจะได้เอาความถูกต้องกลับคืนมา เอาความไม่ถูกต้องออกไป
เราอยากได้มากมันก็ไม่มากเพราะมันมีเท่าที่มันมี เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็มีเท่าที่มันมี เราทั้งหลายจะไปเป็นทุกข์ไปทำไม เราทั้งหลายต้องรู้ต้องเข้าใจ เราจะเป็นทุกข์ไปทำไม เราทั้งหลายต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ด้วยความรู้ความเข้าใจ ชีวิตของเมื่อมันแก้ภายนอกไม่ได้ก็มาแก้ที่ใจของเรานี้แหละให้มีปัญญาสัมมาทิฐิ
เราอย่าไปมีความทุกข์ จะไปมีความทุกข์ไปทำไม เพราะเราทั้งหลายพากันมารู้ทุกข์ มารู้เหตุเกิดทุกข์ มารู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เราจะไปทุกข์ทำไม เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความสงบได้ด้วยปัญญาที่เป็นบริสุทธิคุณ
มีความสงบแล้วก็ไม่ติดในความสงบ มีปัญญาก็ต้องให้ปัญญาติดต่อต่อเนื่อง เพื่อให้ปัญญากับความสงบควบคู่กันไปด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นปฏิปทา เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา ทั้งการทำงานการปฏิบัติธรรมต้องไปพร้อม ๆ กันเป็นปฏิปทา
วันจันทร์ถึงวันศุกร์เป็นวันทำงานของทุก ๆ คน ทั้งทำงานทั้งปฏิบัติธรรมไปพร้อม ๆ กัน เพื่อยกเลิกในสิ่งที่ไม่ถูกต้องทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อหยุดอบายมุข หนทางแห่งความเสื่อม หยุดอบายภูมิ ภูมิที่ตกต่ำ เอาปัญญาเป็นธรรมนูญนำชีวิต
ทุกคนต้องพากันมาเสียสละ เราทั้งหลายมีความจำเป็นที่จะต้องเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละมันก็ติดอยู่ในอบายมุขอบายภูมิ มันก็อยู่ในความหลง ย่ำต๊อกอยู่ในอบายมุขอบายภูมินี้แหละ
เราทั้งหลายเกิดมาเราต้องมาเสียสละ ชีวิตของเราคือการเสียสละ มาเอาธรรมนูญนำชีวิต พากันมาเสียสละ ปรับเข้าหาเวลา เข้าหาข้อวัตรกิจวัตร วัตรคือข้อวัตรข้อปฏิบัติของเรา
การเสียสละก็มีหลายระดับ เสียสละในการให้วัตถุก็ระดับหนึ่ง เสียสละในการ เอาศีลนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิตก็ระดับหนึ่ง เสียสละระดับสมาธิที่ว่างจากอดีต ว่างจากอนาคต ปัจจุบันก็อยู่กับความว่างมันก็ระดับหนึ่ง เสียสละปัญญาที่สำคัญมั่นหมายว่าเราดีกว่าเค้า เก่งกว่าเค้า มีเพาเวอร์สูงกว่าเค้า รวยกว่าเค้า หรือว่าเสมอเค้า หรือสู้เค้าเขาไม่ได้อย่างนี้เรียกว่ามานะถือเนื้อถือตัว มันเป็นมานะ ๙ อย่างละ ๓ ละ ๓ ละ ๓ เป็น ๙ น่ะ เราต้องก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราถึงจะเข้าถึงความสงบ เราทั้งหลายถึงจะหยุดความปรุงแต่ง
การเสียสละ ให้เรารู้เข้าใจในการเสียสละ ให้เน้นที่ปัจจุบันนะ เพราะปัจจุบันเป็นการประพฤติการปฏิบัติ การประพฤติการปฏิบัติมันต้องปฏิบัติที่ปัจจุบัน เพราะปัจจุบันนี้เป็นวาระสำคัญ เป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติในการปฏิบัติ ปัจจุบันเราต้องเข้าถึงความพอดีเข้าถึงความพอเพียงในปัจจุบัน
เราจะเอาความชอบหรือไม่ชอบนี้ไม่ได้ ความชอบไม่ชอบนี้เราต้องรู้เข้าใจเพราะความชอบไม่ชอบนี้มันคือยังมีความปรุงแต่งอยู่
ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ
มนุษย์เราเป็นทุกข์เพราะอะไร มีความทุกข์เพราะอะไร เพราะเรื่องความชอบความไม่ชอบนี้แหละ ความชอบไม่ชอบนี้มันเป็นโรคไบโพล่าให้เข้าใจนะ เราเป็นมนุษย์เราต้องรู้ความจริง ทั้งทางวิทยาศาสตร์ทั้งทางใจ ถึงจะหยุดปัญหาได้แก้ปัญหาได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ
มนุษย์เรามีความทุกข์เพราะเอาความไม่ถูกต้องนำชีวิต เป็นมนุษย์ที่ไม่รู้อริยสัจสี่ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันจะมีความสุขได้อย่างไร เพราะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะตัวตนนั้นมันมีแต่ทุกข์ทั้งนั้นนะ ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากความทุกข์แล้วไม่มีความสุขอะไรเลยนะ
ความสุขต้องมาจากมีปัญญาสัมมาทิฐิอยู่ที่เราเสียสละ การเสียสละถึงมีเบื้องต้น ท่ามกลางและสูงสุด ให้เรารู้เข้าใจในการเอาธรรมนูญนำชีวิต เอาพระธรรมนำชีวิต นี้ถึงเป็นความสุขเป็นความดับทุกข์ ความรู้ความเข้าใจนี้มันจะเป็นสุคโต อยู่ก็มีความสุขไปก็มีความสุข กายวาจากิริยามารยาทอาชีพก็มีความสุข ด้วยความรู้ความเข้าใจแล้วก็เสียสละ
มีความสุขในการทำงานมันก็เป็นสุขแล้ว มีความสุขในการเรียนหนังสือมันก็เป็นสุขแล้ว มีความสุขในการพูดจากิริยามารยาทมันก็เป็นสุขแล้ว มีความสุขในความขยันรับผิดชอบมันก็มีความสุขแล้ว
นี้มันเป็นธรรมเป็นธรรมนูญรัฐธรรมนูญ ที่ให้พวกเราทั้งหลายพากันรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราทั้งหลายพากันเข้าใจ
ความทุกข์คืออะไรล่ะ ความทุกข์คือตัวคือตนน่ะ เราเอาตัวตนดำเนินชีวิตมันก็ต้องมีทุกข์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตรัสว่าเอาตัวตนนำชีวิตไม่ได้ เพราะตัวตนนั้นมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มีเลยนะ
เปรียบอุปมาอุปมัยให้เข้าใจ เปรียบเสมือนทะเลไม่อิ่มด้วยน้ำ มหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำ เปรียบเสมือนไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ มันพร่องอยู่ตลอดกาลตลอดเวลา เป็นคนจนก็ทุกข์เพราะไม่มี เป็นคนรวยก็ทุกข์เพราะไม่รู้จักพอ มันจะไม่เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ
เราต้องรู้ต้องเข้าใจ วันจันทร์ถึงวันศุกร์เราต้องมีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการปฏิบัติธรรม ถ้าอย่างนั้นมันเป็นอบายมุขอบายภูมิมันเป็นความหลง
วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำงาน ปัจจุบันนี้เค้าเอาวันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำงาน เป็นหลักการเพื่อให้มนุษย์พัฒนาใจ เพื่อให้มนุษย์รู้อริยสัจสี่รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ พัฒนาใจ เจริญสติสัมปชัญญะอยู่กับความสงบอยู่กับปัญญา อยู่กับปัญญาอยู่กับความสงบ อยู่กับสมถะวิปัสสนา
ผู้ที่ถือศาสนาพุทธก็พากันไปที่วัด ผู้ที่ถือคริสต์ก็พากันไปที่โบสถ์ ผู้ที่ถืออิสลามก็พากันไปมัสยิด ผู้ถือศาสนาพราหมณ์ฮินดูก็ไปวิหารไปเทวสถาน เพราะศาสนานั้นคือธรรมะ ธรรมะคือพระศาสนา
เราทั้งหลายอย่าไปทะเลาะกันนะ ถ้าทะเลาะกันไม่ใช่พระศาสนา พระศาสนาคือมายกเลิกเรายกเลิกเขา ยกเลิกนิติบุคคลตัวตน หยุดสำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นผู้หญิงเป็นผู้ชายเป็นหนุ่มเป็นสาวเป็นคนแก่คนเฒ่าคนชรา เป็นข้าราชการนักการเมือง เป็นพระราชามหากษัตริย์ เป็นผู้ที่ดีกว่าเค้า เก่งกว่าเค้า มีปัญญามากกว่าเค้า รวยกว่าเค้า หรือว่าเสมอเขา หรือว่าสู้เขาไม่ได้ พระศาสนายกเลิกเขายกเลิกเรา มีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา พระศาสนาถึงเป็นความพอดี เป็นความสงบเป็นปัญญา เราทั้งหลายต้องพากันเข้าใจอย่างนี้นะ
เราคิดดูดี ๆ สิ การพัฒนาวิทยาศาสตร์ ประเทศที่พัฒนามันก็ไปไม่ได้ ถ้าไม่พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน มันจะเอาความสุขจากความหลงน่ะ มันจะเอาความสุขความดับทุกข์จากความหลง มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าไม่มีทางน่ะ เพราะรากฐานของสรรพสัตว์ทั้งหลายมันคือธรรมคือสภาวธรรม มันเป็นประภัสสรของความเกิดความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก มันเป็นประภัสสรของธาตุขันธ์อายตนะ
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันไม่ได้ไปตามใจเรานะ เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราทั้งหลายน่ะ จะได้ปรับตัวเข้าหาธรรมชาติ ปรับตัวเข้าหาความเป็นประภัสสร เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ จะได้เข้าถึงความพอดี
วันเสาร์วันอาทิตย์ หลักการของมนุษย์ในปัจจุบัน ให้เน้นเรื่องจิตเรื่องใจ เพราะการพัฒนาวิทยาศาสตร์มันทำให้มนุษย์เราทั้งหลายมีความไม่สงบ มีความฟุ้งซ่านกันมาก เพลิดเพลินในความหลงความอร่อยความแซบความลำความนัวความหรอย ไม่รู้ไม่เข้าใจ
ใคร ๆ ก็เอาความหลงนำชีวิต พากันทิ้งหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมไม่พัฒนาทั้งใจทั้งวัตถุไปพร้อม ๆ กัน
เราต้องพัฒนาทั้งใจทั้งวัตถุไปพร้อม ๆ กัน เพื่อกาลเวลามันจะไม่กลืนกินเรา
กาลเวลามันกลืนกินเราอย่างไร เพราะเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาความหลงนำชีวิต กาลเวลามันกลืนกินเรา ทำให้เราแก่เพราะความรู้ แก่เพราะเกิดนาน เอาความรู้สึกเอาสัญชาตญาณนำชีวิตเรียกว่ากาลเวลามันกลืนกินเรา เราไม่ได้หยุดกาลหยุดเวลาที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจ ไปตามธาตุตามขันธ์ไปตามอายตนะไปตามสิ่งแวดล้อมนี้เป็นกาลเวลากลืนกินเรานะ
ความรู้ความเข้าใจว่า เราจะให้กาลเวลานั้นกลืนกินเราไม่ได้ มีหลักการมีอุดมการณ์และอุดมธรรม
มนุษย์เราทั้งหลายต้องเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต เราทั้งหลายถึงจะยกเลิกความหมุนเวียนจากผัสสะ จากอารมณ์ จากสิ่งแวดล้อม ด้วยความรู้ ความเข้าใจที่เป็นปัญญาสัมมาทิฐิ เราทั้งหลายถึงจะเป็นผู้มีศิลปะแห่งชีวิต มีศีล มีสมาธิคือความตั้งมั่นไม่หวั่นไหวตามผัสสะตามอารมณ์ตามสิ่งแวดล้อมเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
การประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบันมันถึงเป็นไฟต์ เป็นไฟต์ที่สำคัญ
การปฏิบัติของเราให้พกวเราทั้งหลายรู้นะมันเป็นไฟต์ ไฟต์ทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจ “มันเป็นการชิงแชมป์นะ มันเป็นการชิงแชมป์นะ (ว่าสองครั้ง)” ระหว่างโลกกับธรรม ระหว่างการเวียนว่ายตายเกิดกับหยุดการเวียนว่ายตายเกิด
เราต้องเห็นคุณเห็นประโยชน์ว่าธรรมนูญเป็นสิ่งที่สำคัญ เราต้องรู้เข้าใจว่าพระธรรมพระวินัย ธรรมนูญนี้เป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรมนะ
เราทุกคน เราเป็นมนุษย์หรือเป็นสัตว์ทั้งหลายมันจะเหนือกรรม เหนือกฎแห่งกรรม เหนือผลของกรรมไปไม่ได้
เราคิดดูดีสิ ๆ มีใครเหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรมไปได้ นอกจากหยุดกรรมด้วยความรู้ความเข้าใจ เพราะวาระอะไรต่าง ๆ น่ะมันอยู่ที่ขณะจิต ขณะพูดกระทำของกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมันอยู่ที่ขณะ
ถ้าเราเอาความรู้คู่กับปัญญานำชีวิต สิ่งที่จะหมุนเวียนเป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรมมันก็เกิดขึ้นไม่ได้ การปฏิบัติที่ติดต่อต่อเนื่องด้วยความรู้ความเข้าใจมันจะเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาตามหลักเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์
ตามหลักเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์การทำอะไรติดต่อต่อเนื่องกันไม่ขาดสาย ตามหลักวิทยาศาสตร์ ๓ อาทิตย์ขึ้นไปจึงรู้ผล
เช่น ไก่ฟักไข่อย่างนี้แหละ จะฟักด้วยแม่ของไข่ หรือจะฟักด้วยไฟฟ้าก็ใช้เวลา ๓ อาทิตย์ การทำอะไรติดต่อต่อเนื่องทั้งกายวาจากิริยามารยาทมันจะได้ผลมันจะเห็นผล เหมือนเรื่องจิตเรื่องใจ คนเราไม่ใช่คิดครั้งเดียวได้ผัวได้เมียนะ มันต้องคิดหลายครั้ง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกพวกเราน่ะ อันไหนไม่ดีอย่าไปคิดมัน ปฏิบัติติดต่อกันไปเลย อย่าไหนไม่ดีก็อย่าไปพูด อันไหนไม่ดีอย่าไปทำ
ทำความดีก็ต้องมีปัญญา มีปัญญาก็ต้องมีความดี มันต้องควบคู่กันอย่างนี้ มันถึงจะเป็นศีลเป็นสมาธิปัญญา
ตามหลักเหตุหลักผลตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว ทำอะไรติดต่อต่อเนื่องน่ะ มันจะฝังอยู่ในธาตุในขันธ์ในอายตนะ มันเป็นชิฟฝังอยู่ในขันธ์ในสัญญาขันธ์นะ มันจะเป็นเมมโมรี่ฝังอยู่โดยอัตโนมัติที่มันเป็นภพเป็นชาติ ที่มันเป็นบารมี ๑๐ ทัศ ๒๐ ทัศ ๓๐ ทัศ อย่างนี้ เป็นบารมีที่ประกอบปัญญา นี้เป็นบารมีฝ่ายดีที่ประกอบด้วยปัญญา ตรงกันข้ามน่ะ ถ้าเราไม่เอาสัมมาทิฐิ ไม่เอาปัญญาชีวิต บารมีของอวิชชาบารมีของความหลง ที่มันเป็นก๊กเป็นแก๊งค์เป็นนิติบุคคลตัวตน ที่มันเป็นโจรเป็นมหาโจร เป็นซุ้มโจร ที่มันเป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ ที่มันเป็นทุจริตทั้งหลายทั้งปวงที่มันพังทลาย ที่เรามองเห็นน่ะ พังทลายเหมือนตึก สตง.นี้แหละ
ให้พวกเราพากันเข้าใจนะ เราทั้งหลายต้องพากันเห็นภัยในวัฏฏสงสาร
ให้ถือว่าวาระจิตที่ปัจจุบันวาระกายวาจากิริยามารยาทอาชีพในปัจจุบันเป็นวาระสำคัญ มันเป็นวาระแห่งชาติคือความเกิด
การเกิดของเราที่เป็นมนุษย์นี้ถึงเป็นสิ่งที่ประเสริฐเค้ามีการฉลองวันเกิดกันทุก ๆ ประเทศ นิยมฉลองวันเกิดกัน เพราะทรัพยากรของมนุษย์คือทรัพยากรที่ประเสริฐ เรามีโอกาสมีเวลา มีบุญมีวาสนา ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
อายุขัยของมนุษย์นี้นะมันอยู่ได้ร่วม ๆ ศตวรรษหนึ่งนะคือร้อยปีน่ะ ถ้าเราทำดี ๆ ประกอบด้วยปัญญา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ชีวิตของเรานี้พัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์พัฒนาทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน อยู่ได้มากกว่าร้อยปีนะ
เราเอานิติบุคคลตัวตนเป็นที่ตั้งมนุษย์เราถึงอายุสั้น ตัวตนนี้คือบุคคลสมาธิสั้นนะ บุคคลที่ไม่รู้ไม่เข้าใจไปตามผัสสะไปตามอารมณ์ไปตามสิงแวดล้อม เค้าเรียกว่าบุคคลสมาธิสั้นนะ ไม่มีความตั้งมั่นไม่มีปัญญาสัมมาทิฐิ บุคคลนั้นไม่รู้อริยสัจสี่นะ คือบุคคลไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ไปตามนิมิตทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เรียกว่าบุคคลไม่รู้อริยสัจสี่นะ คือบุคคลไม่บรรลุนิติภาวนะ
บรรลุนี้ก็หมายถึงว่า มันผ่านนิมิตไปไม่ได้ เห็นรูปสวย ๆ ก็ร้องโอย ๆ ๆ ไป เสียงเพราะ ๆ ก็ร้องโอย ๆ ๆ ไป จมูกได้กลิ่นที่หอมก็ร้องโอย ๆ ๆ ไป ลิ้นได้ทานอาหารอร่อย ๆ ก็ร้องโอย ๆ ๆ ไป กายได้สัมผัสกับสิ่งที่ดี ๆ ก็ร้องโอย ๆ ๆ ไป ใจที่เอาความหลงเป็นที่ตั้งก็ร้องโอย ๆ ๆ ไปเรื่อย
เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้เป็นคนสมาธิสั้น เราทั้งหลายจะเป็นคนรู้อริยสัจสี่ เราทั้งหลายจะเป็นคนบรรลุนิติภาวะนะ
เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ถึงเราจะอายุหลายสิบปีหรือเป็นร้อยปีคือบุคคลที่ไม่บรรลุนิติภาวะ เราจะเรียนจบปริญญาตรีโทเอก เป็นศาตราจารย์ เป็นมหาเปรียญธรรม ๙ ประโยคนั้น ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ไม่รู้อริยสัจสี่ก็คือบุคคลที่ไม่บรรลุนิติภาวะนะ เพราะไม่เอาความสงบกับปัญญาไปพร้อมกัน ไม่เอาศีลสมาธิปัญญาเป็นเซทเดียวกัน
ชีวิตของเราต้องเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมมีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ ชีวิตของเราถึงเป็นมรรคเป็นอริยมรรค คำว่าพระศาสนาคือธรรมะถึงเป็นธรรมนูญน่ะ เพราะให้หมู่มวลมนุษย์เป็นหลักการเพื่อเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม ยกเลิกอุดมหลง
วันเสาร์วันอาทิตย์พวกเรามาวัด มาฟังการบรรยายพระธรรมคำสั่งสอนของทางศาสนา เพื่อเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม พากันมาเสียสละ บำรุงพระศาสนาด้วยการประพฤติการปฏิบัติ ด้วยกายวาจากิริยามารยาท
เราคิดดี ๆ พูดดี ๆ กิริยามายาทดี ๆ อาชีพที่ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้องนั่นแหละ คือการบำรุงพระศาสนานะ การให้ทานภายนอกมันง่ายกว่าเรื่องกายวาจากิริยามารยาทอาชีพที่มันเป็นบริสุทธิคุณ อาชีพที่ยกเลิกไม่เอาความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น นี้มันยากกว่านะ
การให้ทานก็ต้องให้ทานทั้งภายนอก ให้ทานสิ่งของเพื่อเป็นภาษีอากรน่ะ
การเสียภาษีอากรนี้เพื่อส่วนรวมเพื่อมหาชน ที่เค้าเก็บอาษีอากร ประชากรของโลกใครอยู่ประเทศไหนก็ต้องเสียภาษีอากร ไม่มีใครไม่เสียภาษีอากรนะในการดำรงอาชีพดำรงธาตุดำรงขันธ์ดำรงอายตนะต้องเสียภาษีอากรหมดน่ะ การทำอะไรทุกอย่างต้องเสียภาษีอากร เค้าจะซื้อจะขายจะทำอะไรทุกอย่างเค้าหักภาษีอากรทั้งหมดนะ เค้าถึงออกมาซื้อมาขาย
แล้วแต่ประเทศน่ะ บางประเทศก็เสียภาษีอากรน้อย บางประเทศก็พอปานกลางหรือบางประเทศก็มาก ทุกประเทศต้องเสียภาษีอากร คนอยู่ในประเทศก็เสียภาษีอากร ไปต่างประเทศเค้าก็เก็บภาษีอากร
ให้เข้าใจนะ ถ้าใครหายใจอยู่ต้องเสียภาษีอากร
การเสียภาษีอากร ให้เรารู้นะ บางคนไม่ได้เรียนไม่ได้ศึกษา การซื้อการขาย การทำอาชีพเค้าหักภาษีอากรของเราไปแล้ว
ถ้าไม่มีภาษีอากรมันจะมีระบบข้าราชการนักการเมืองได้อย่างไร เพราะเงินเดือนต่าง ๆ มันคือภาษีอากรของเราทุก ๆ คนนะ
มนุษย์เราถึงมีหลักการมีอุดมการณ์อุดมธรรม มีพระมหากษัตริย์ มีประธานาธิบดีมีรัฐมนตรีมี ตำรวจ ทหาร แพทย์ พยาบาล มีอะไรต่าง ๆ นี้มันเป็นหลักการ เพื่อเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต
ผู้ทำหน้าที่ถึงต้องทำหน้าที่ของการเป็นข้าราชการของการเป็นนักการเมือง
ให้เข้าใจนะ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจก็ให้เข้าใจใหม่นะ เราเอาตัวเอาตนนำชีวิต อันนี้คือทุจริตนะ เค้าแต่งตั้งให้เป็นทหารก็ไม่เสียสละ แต่งตั้งให้เป็นตำรวจก็ไม่เสียสละ แต่งตั้งให้เป็นผู้พิพากษาอัยการก็ไม่เสียสละ แต่งตั้งให้เป็นหมอพยาบาลก็ไม่เสียสละ
ตำแหน่งแต่งตั้งเป็นตำแหน่งที่ทรงเกียรตินะ เป็นตำแหน่งที่ทุกคนมามีความสุขในการเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละ ทำงานไปสักแต่ว่า ไม่มีปิติไม่มีความสุข ไม่มีเอกัคคตาในการทำงานในการเสียสละ อันนี้ไม่ถูกต้องนะ มันคือการทำหน้าที่ของเราไม่สมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะนะ นี้คือการทุจริตนะ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่ว่าใครเป็นใคร ไม่มีใครยกเว้น คือการทุจริต
การบริหารประเทศมันจะพังทลายเหมือนตึก สตง.นะ
การบริหารตัวเองมันก็จะพังทลายเหมือนตึก สตง.นะ
เราทั้งหลายน่ะไม่ต้องไปพึ่งพาอาศัยใครหรอก เพราะว่าความรู้ความเข้าใจ เรามาฟังพระบรรยายอย่างนี้แหละ เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้เอาความดีนำชีวิตเอาปัญญานำชีวิต เราจะไม่ได้เอาความหลงนำชีวิต เราจะไม่ได้เอาไสยศาสตร์นำชีวิต
ความรู้ความเข้าใจเป็นสิ่งที่สำคัญ การที่เราไปเรียนหนังสือสำคัญอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ การพัฒนาวิทยาศาสตร์สำคัญอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ การฟังการบรรยายการฟังธรรมสำคัญอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ การฟังธรรมถึงให้ตั้งใจฟังให้สงบให้นิ่ง ประทับใจในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าก็ให้สงบอย่าไปคุยกัน ใครใช้โทรศัพท์อะไรก็ต้องปิดไว้ก่อน ใครมีลูกมีหลานที่ควบคุมไม่ได้ก็ให้พากันออกไปข้างนอก เพราะมันรบกวนคนอื่น ให้ตั้งอกตั้งใจฟัง อย่าไปนั่งหลับอย่าไปนั่งโงกนั่งง่วง
ความสงบก็ต้องมี ปัญญาก็ต้องมี อย่ามีโรคความหลง อย่ามีโลกส่วนตัว
การที่นั่งโงกนั่งง่วงมันเป็นโลกแห่งตัวแห่งตน เป็นโลกแห่งความหลงนะ มันไม่เอาธรรม ไม่เอาปัจจุบันธรรม มันไม่ตั้งใจฟังนะ มันเอาแต่ตัวแต่ตน มันจะเอาแต่ความสงบ เอาแต่ความหลับในน่ะ
ใจกับปัญญากับความสงบมันต้องไปพร้อม ๆ กันว่าปัจจุบันนี้เรากำลังทำอะไรอยู่เพื่อให้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ปัจจุบันเรากำลังฟังธรรมอยู่ เราก็มีปิติมีความสุข ในการฟังธรรม ใจมันไม่สงบก็ช่างหัวมันให้กายมันสงบ ให้กายมันนิ่ง ให้กายมันตรงอย่าไปโยกไปโยกมาเล่นจังหวะ อย่าอ่อนน้อมถ่อมตนต่อความหลง ต้องเข้มแข็ง อย่าไปเล่นจังหวะ
ให้มองดูพระพุทธปฏิมานั่งตัวตรงตลอดไม่โงกง่วงนะ เป็นความพอดีเป็นความเพียงพอ พระพุทธปฏิมาเป็นรูปแบบตัวอย่างนั่งตัวตรงดำรงสติมั่น ให้ปัญญากับความสงบอยู่พร้อม ๆ กัน
อย่าไปทิ้งตัวผู้รู้ ทิ้งตัวผู้รู้เดี๋ยวมันจะสัปหงกนะ อย่าไปอ่อนน้อมถ่อมตนกับความหลงน่ะ ต้องเอาความรู้ความเข้าใจ หัวใจเรามันจะสว่างไสวเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ
เราคิดดูดี ๆ สิ พระพุทธเจ้าประสูติก็วันเพ็ญ ตรัสรูก็วันเพ็ญ แสดงธรรมจักรกัปปวัตนสูตรครั้งแรกก็วันเพ็ญ บอกว่าสามเดือนข้างหน้าตถาคตจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานก็วันเพ็ญ วันเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานก็วันเพ็ญ วันเพ็ญก็หมายถึงความเต็มความพอเพียงความพอดีนะ
ถ้ามานั่งโงกนั่งง่วงนี้น่ะแสดงว่ามันไม่เต็มนะ เรียกร้อยหนึ่งนี้คือไม่เต็มร้อยหรือว่าไม่เต็มบาท เอาตัวตนเป็นที่ตั้งนั่งโยกไปโยกมาเค้าเรียกว่าไม่เต็มร้อยนะ ถ้าเต็มร้อยมันจะโงกง่วงได้อย่างไร
เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้เอาหลักการอุดมการณ์ไปประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ทำอะไรก็ให้เข้าสู่ความเพียงพอความพอดี เหมือนพวกแพทย์น่ะ
แพทย์ที่ฉลาดจะผ่าตัดสมอง มันละเอียดอ่อนนะ สมองน่ะศูนย์รวมเส้นประสาทที่ควบคุมร่างกาย แพทย์จะผ่าตัดก็ต้องมีปัญญาเรื่องสรีระ เรื่องประสาทเรื่องเส้นประสาทน่ะ เพราะต้องมีความสงบถึงจะผ่าตัดปลอดภัยได้
ความสงบกับปัญญานี้มันถึงเป็นความพอดี เป็นความพอเพียงเพียงพอ ความสงบกับปัญญานี้มันต้องคู่กันไป
แพทย์จะผ่าตัดหัวใจผ่าตัดใหญ่ก็เช่นเดียวกัน ก็ต้องรู้ต้องมีปัญญาต้องมีความสงบมันถึงจะผ่าตัดหัวใจได้ เพราะหัวใจเป็นศูนย์รวมส่งเลือดไปทั่วสรีระร่างกาย
ให้รู้เข้าใจเราทั้งหลายจะได้มีความสงบมีปัญญา มีปัญญมีความสงบ เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี เราจะได้อยู่กับศีลที่มีความสุข อยู่กับสมาธิที่มีความสุข อยู่กับปัญญาที่มีความสุข
เราต้องอยู่กับความไม่ปรุงแต่งให้มีความสุขน่ะ อยู่กับศีลให้มีความสุข อยู่กับสมาธิให้มีความสุข อยู่กับปัญญาให้มีความสุข เพื่ออบรมบ่มอินทรีย์ให้ติดต่อต่อเนื่องกันเป็นสติปัฏฐาน สติคือความสงบต้องเป็นพื้นฐาน สัมปชัญญะตัวปัญญาต้องเป็นพื้นฐาน มันจะเป็นกรรมฐาน เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ
การเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ ถึงเป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม
เราอยู่ที่บ้านอยู่ที่ทำงานต้องมีสติมีความสุขมีความสงบแล้วก็มีปัญญาเป็นพื้นฐานเพื่อควบคุมคอนโทรลให้เราอยู่กับธรรมอยู่กับปัจจุบันธรรม เพื่ออบรมบ่มอินทรีย์ของพวกเรานะ เราต้องรู้หลักการอุดมการณ์ในข้อวัตรข้อปฏิบัติของเรา
เพราะความเป็นพระอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องมันต้องมีความสงบเป็นพื้นฐาน มีปัญญาเป็นพื้นฐาน ไม่ใช่มีความฟุ้งซ่านเป็นพื้นฐาน มีความหลงเป็นพื้นฐานนะ เราทั้งหลายจะได้อยู่เหนือตัวเหนือตน หรือว่าเหนือเหตุเหนือผล
ทางวิทยาศาสตร์คือเหตุผลน่ะ พัฒนาเรื่องใจมาอีกคือเหนือเหตุเหนือผล
ถ้าไม่มีเหตุไม่มีผลมันก็มีความปรุงแต่ง ความปรุงแต่งนั้นคือเหตุคือผลนะ เป็นความดีที่ไม่ใช่ปัญญาบริสุทธิคุณนะ เป็นความดีที่เป็นตัวตนนะ
หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายถึงมีปัญญาบริสุทธิคุณ ไม่ใช่เป็นปัญญาที่เป็นตัวเป็นตน ปัญญาที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่เป็นตัวเป็นตนนะ มันใช้ไม่ได้นะ
เราทั้งหลายน่ะ วันเสาร์วันอาทิตย์นี้ก็พากันฝึกเจริญสติสัมปชัญญะ
เราทั้งหลายฝึกอยู่ที่บ้านของเราก็ได้ มาวัดมาฝึกที่วัดก็ได้ ต้องเอาหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม
เราทั้งหลายต้องมาเน้นที่เรานี้แหละ อย่าไปหลงแสงสีอะไรต่าง ๆ เพราะทุกสิ่งทุกอย่ามันไม่จบ พูดถึงรูปมันก็ไม่จบ เสียงก็ไม่จบ กลิ่นก็ไม่จบ รสก็ไม่จบ โผฏฐัพพะธรรมารมณ์อะไรก็ไม่จบ ลาภยศสรรเสริญมันไม่จบน่ะ เพราะตัวตนคือไม่จบ ไม่จบกับไม่สงบก็อันเดียวกัน มันเป็นทุกข์ ตัวตนมันเป็นทุกข์ ตัวตนมันซึมเศร้า ตัวตนมันเป็นโรคซึมเศร้า ตัวตนมันเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา ตัวตนมันเป็นไบโพล่านะ
เราต้องรู้เข้าใจ เราเป็นมนุษย์สมัยใหม่ เราต้องเข้าใจ พัฒนาใจพัฒนาวิทยาศาสตร์เพื่อรองรับวิทยาศาสตร์ ใจของเราต้องไปพร้อมกับวิทยาศาสตร์นะ
ที่เค้าว่ามนุษย์นี้จะอายุสั้นลง จริงนะ มนุษย์เราถ้าเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็อายุสั้นน่ะ อะไรเป็นมนุษย์ล่ะ การประพฤติการปฏิบัติเป็นมนุษย์นะ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา มันอายุสั้นนะ มนุษย์นี้ก็มีหลักการของมนุษย์นะ
ท่านพุทธทาสภิกขุเป็นพระทั้งนักวิทยาศาสตร์เป็นพระทั้งทางจิตใจ ท่านได้พูดจากใจจากความถูกต้อจากพระนิพพานว่า เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจเรื่องอริยสัจสี่นะ เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามผัสสะไปตามสิ่งแวดล้อม เอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต พัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กัน เราถึงจะเข้าถึงความเป็นมนุษย์นะ
เป็นมนุษย์ เป็นได้ เพราะใจสูง เหมือนหนึ่งยูง มีดี ที่แววขน
ถ้าใจต่ำ เป็นได้ แต่เพียงคน ย่อมเสียที ที่ตน ได้เกิดมา
ใจสะอาด ใจสว่าง ใจสงบ ถ้ามีครบ ควรเรียก มนุสสา
เพราะทำถูก พูดถูก ทุกเวลา เปรมปรีดา คืนวัน ศุขสันติ์จริง
ใจสกปรก มืดมัว และร้อนเร่า ใครมีเข้า ควรเรียก ว่าผีสิง
เพราะพูดผิด ทำผิด จิตประวิง แต่ในสิ่ง นำตัว กลั้วอบาย
คิดดูเถิด ถ้าใคร ไม่อยากตก จงรีบยก ใจตน รีบขวนขวาย
ให้ใจสูง เสียได้ ก่อนตัวตาย ก็สมหมาย ที่เกิดมา อย่าเชือน เอย ฯ
มนุษย์เรามันก็มีวีซ่าแห่งความเป็นมนุษย์นะ เรายกเลิกตัวตนเอาธรรมนำชีวิตมันเป็นการต่อวีซ่าแห่งความเป็นมนุษย์นะ
เราเกิดมาเราก็ต้องมีวีซ่าแห่งความเป็นมนุษย์
มนุษย์นี้คือผู้ที่ยกเลิกธาตุยกเลิกขันธ์ยกเลิกอายตนะที่มันเป็นตัวเป็นตน
มนุษย์นี้ต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติเอาธรรมนำชีวิต นี้คือความเป็นมนุษย์คือการต่อวีซ่าแห่งการเป็นมนุษย์นะ
เราไม่รู้ไม่เข้าใจเราอยู่ประเทศไทยเราก็ต้องมีสำมะโนครัวเพื่อเป็นประชากรของประเทศไทย ใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็มีบัตรประชาชน เพื่อเป็นประชากรของเมืองไทย เพื่อเข้าสู่ระบบความเป็นมนุษย์ ต้องเข้าใจความหมายนะ
เราจะไปต่างประเทศก็ต้องทำพาสปอร์ตทำวีซ่าน่ะ ประเทศอื่นมาประเทศไทยก็ต้องทำวีซ่า วีซ่าเพื่อประกันเป็นหลักฐานลายเซ็นต์ว่าที่เค้ามาในเมืองไทย มาอยู่เมืองไทยจะเอาธรรมนูญนำชีวิต ไม่เอาตัวตนนำชีวิต เพื่อธรรมนูญ เพราะหลักการทุกประเทศก็ใช้หลักการเดียวกันนี้แหละ เค้าถึงมีการเรียนหนังสือที่ประเทศที่เค้าเจริญ เพราะเค้าใช้หลักการเดียวกัน ไปเรียนกฎหมาย ไปเรียน การค้าขายมันก็ใช้หลักการเดียวกัน เพราะทุกอย่างมันเป็นสากลนะ ความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากมันเป็นสากล ความสุขความทุกข์มันก็เป็นสากล มันก็ใช้หลักการเดียวกันนี้ ทางพระศาสนาก็ใช้หลักการเดียวกันนี้แหละ
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจว่าเราทั้งหลายนั้นจะเหนือกรรมเหนือผลของกรรม เหนือผลของกรรมไปไม่ได้
เราคิดดูดี ๆ ทุกคนเกิดมาแก่เจ็บตายพลัดพรากเหมือนกันเป็นสามัญลักษณะเสมอกันทุกคน เพราะทุกอย่างนั้นเป็นประภัสสรนะ
เราทั้งหลายต้องมารู้มาเข้าใจในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ เราต้องรู้ต้องเข้าใจในสิ่งที่ประเสริฐ เพื่อจะได้มีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ตัวเราน่ะถึงจะมีความสุข
ทุกคนมาเน้นที่ตัวเราเอง พระพุทธเจ้าบำเพ็ญพุทธบารมีหลายล้านชาติ พระพุทธเจ้าก็เน้นที่ตัวของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ที่ฟังพระพุทธเจ้าก็เน้นที่พระอรหันต์ ใครทุกคนก็เน้นที่คนนั้น เพราะไม่มีใครปฏิบัติแทนกันได้ด้วยความรู้มันต้องคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้นะ
ให้พวกเรารู้หลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ถ้าเราไม่เอาธรรมนำชีวิตไม่เอาธรรมนูญนำชีวิต ชีวิตนี้ก็จะพังทลายเหมือนตึก สตง.นะ
เราคิดดูดี ๆ สิ ประเทศไทยเราน่ะเรื่องหมวกกันน็อคให้สวมหมวกันน็อคเป็นโครงการที่ดีมากดีพิเศษดีจริง ๆ เพราะการตายของประชากรไทยปีหนึ่งหลายหมื่นคนเพราะไม่สวมหมวกกันน็อค มีธรรมนูญแล้วไม่ปฏิบัติมันก็ตาย มันก็พังทลายเหมือนตึก สตง.นี้แหละ
อย่างโครงการเรื่องยาเสพติด ดำเนินการมาเกือบจะถึงร้อยปีแล้ว เดี๋ยวนี้ก็ยิ่งมากขึ้นกว่าเก่า เพราะเราไม่เห็นความสำคัญในธรรมในธรรมนูญ
เราทั้งหลายต้องพากันเข้าใจว่า ถ้าเราเอาความหลงนำชีวิตนี้มันไปไม่ได้ มันต้องพังทลายแน่นอนเหมือนตึก สตง.นี้นะ
เราเห็นนะตึก สตง.มันพังเพราะไม่รู้ไม่เข้าใจเอาความไม่ถูกต้องนำชีวิต ชีวิตนี้มันพังทลายเหมือนตึก สตง.นะ
ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายนะ ท่านทั้งหลายเป็นคนดีคนมีปัญญา เป็นคนมีปัญญาเป็นคนดี ความดีต้องเป็นความถูกต้องที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติสมควร เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เป็นเนื้อนาบุญของเราเอง เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีใครยิ่งกว่า ขออนุโมทนานะ
การบรรยายพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่บริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพใจในวันนี้ก็เห็นสมควรแก่เวลา
--------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันอาทิตย์ที่ ๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา