๑๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑๔ เดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม

 

วันนี้เป็นวันเสาร์ วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นการพัฒนาใจล้วน ๆ วันจันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ เป็นการพัฒนางานพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดงานเพื่อพัฒนาใจอย่างเดียว นี้เป็นหลักการสำหรับฆราวาสผู้ครองเรือนครองธาตุครองขันธ์ครองอายตนะ

 

ฆราวาสต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต นักบวชก็เอาธรรมนำชีวิต

 

นักบวชพัฒนาใจอย่างเดียว กิจวัตรข้อวัตรข้อปฏิบัติก็ให้ถือว่าเป็นการพัฒนาใจอย่างเดียว

 

ความตั้งใจตั้งเจตนานี้ถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ คำว่าตั้งใจก็ถือความตั้งมั่น การที่เอาธรรมนำชีวิต เอาพระธรรมพระวินัยนำชีวิตติดต่อต่อเนื่องกันเป็นปฏิปทาไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่ขาดสายทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ อย่างนี้เค้าเรียกว่าความตั้งมั่น ไม่ไปตามสิ่งที่มาผัสสะทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ไม่ไปตามผัสสะ ไม่ไปตามอารมณ์ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม

 

ผู้ที่มาบวชเป็นพระถึงเน้นที่ใจ ที่เจตนา ทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพให้เป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา ให้เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย ไม่ทำอะไรตามความชอบความไม่ชอบ ให้ทำตามพระธรรมพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตร ทำตามพระธรรมพระวินัย ตามสิกขาบทน้อยใหญ่ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ทำตามข้อวัตรกิจวัตรที่ทางวัดได้ตั้งขึ้น เพื่อเป็นกิจกรรม เป็นพระธรรม เป็นพระวินัย ผู้ที่มาบวชถึงเป็นพระธรรมเป็นพระวินัย ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกัน ชีวิตก็จะหยุดวัฏฏสงสารด้วยพระธรรมพระวินัย

 

วัฏฏสงสารนี้คืออะไร วัฏฏสงสารนี้คือการเวียนว่ายตายเกิด

 

พระธรรมพระวินัยให้พวกเรารู้เข้าใจ พระธรรมพระวินัยนนั้นจะมาหยุดการเวียนว่ายตายเกิดด้วยความรู้คู่กับการประพฤติคู่กับการปฏิบัติ ผู้ที่มาบวชเป็นพระถึงต้องเจริญสติสัมปชัญญะ 

 

สติคืออะไร สติคือความสงบ

สัมปชัญญะคืออะไร สัมปชัญญะคือปัญญา

 

ปัญญากับความสงบมันต้องไปพร้อม ๆ กัน พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่า “สติวินโย” สตินั้นคือความหยุดที่เป็นสัมมาทิฐิ สตินั้นคือศีล สตินั้นคือสมาธิ สติที่เอาปัญญานำชีวิตน่ะ ไม่เอาความหลงนำชีวิต

 

เราทุกคนถึงต้องพากันมาเจริญสติสัมปชัญญะกัน การเจริญสติสัมปชัญญะกันเพื่อจะให้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี ความพอดีคือความเพียงพอพอเพียง คือความเต็ม

 

อย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประสูติก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ตรัสรู้ก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ แสดงธัมมจักรกัปปวัตตนสูตรครั้งแรกก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสกล่าวบอกมหาชนว่าอีก ๓ เดือนข้างหน้าพระตถาคตเจ้าจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพาน เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ

 

วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำคือความเต็ม เป็นความพอดี สติปัฏฐานทั้ง ๔ ยืนเดินนั่งนอน ถึงเป็นเรื่องของธรรมของปัจจุบันธรรม มันเป็นความสงบไม่ฟุ้งซ่าน มันเป็นปัญญากับความสงบที่ไม่ฟุ้งซ่าน

 

การประพฤติการปฏิบัติมันต้องอบรมบ่มอินทรีย์ด้วยความรู้ความเข้าใจที่เป็นการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง

 

เราต้องพากันมารู้มาเข้าใจ พากันเจริญสติสัมปชัญญะกัน เจริญให้ใจสงบ ให้ใจมีปัญญากัน ด้วยความรู้ความเข้าใจ การทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้มันเป็นการแก้ปัญหา หยุดปัญหา เราทุกคนต้องพากันรู้เข้าใจอย่างนี้ เอาความสงบของตัวเองให้เพียงพอ ให้พอดี เอาปัญญาของเราให้เพียงพอให้พอดี

 

ความสงบมันก็ได้แก่สมถะ ความสงบก็ได้แก่ปัญญา ต้องรู้เข้าใจอย่างนี้ ทางวัตถุทางวิทยาศาสตร์เราก็ใช้ความสงบใช้ปัญญา ทางจิตใจทางศาสนาเราก็ใช้ความสงบใช้ปัญญา

 

การประพฤติการปฏิบัติให้พวกเรารู้เข้าใจมันเป็นความเพียงพอพอเพียง มันเป็นความพอดี มันเป็นความเต็มระหว่างรายรับรายจ่ายมันเป็นความพอดี เราทั้งหลายจะได้บริโภคชีวิตนี้ด้วยปัญญา เราจะได้บริโภคทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ด้วยปัญญา ด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

ความเป็นพระอยู่กับเราทุก ๆ คนด้วยความรู้ความเข้าใจ ใคร ๆ ก็เป็นพระได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ เป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตรัสว่า สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ นี้อยู่ที่รู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เป็นมรรคเป็นอริยมรรค เป็นข้อวัตรข้อปฏิบัติในปัจจุบันที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมยกเลิกวัฏฏสงสารที่เป็นนิติบุคคลตัวตนด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยสัมมาทิฐิ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้กล่าวว่า สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔  อยู่ที่รู้เข้าใจแล้วคู่กับการประพฤติการปฏิบัติทุกชาติทุกศาสนา นักบวช ข้าราชการ นักการเมืองใครก็เป็นพระได้ ไม่มีใครยกเว้น ด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

ให้พากันมีปิติ มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะอันมันถูกต้อง ต้องมีปิติมีความสุข มีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้ทำที่สุดแห่งความไม่มีทุกข์ความดับทุกข์ของตนเอง ทุกอย่างมันจะได้มีแต่คุณไม่มีโทษ         

     

เป็นสุปฏิปันโน คือผู้ปฏิบัติดี เป็นผู้ใจดีใจสบายใจที่มีความสุข ชีวิตนี้เพอร์เฟคดีมาก

 

เป็นผู้ปฏิบัติชอบ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา ชอบใจยินดีในพระธรรมพระวินัย ยินดีในข้อวัตรกิจวัตรชอบมาก เพราะอันนี้มันดีมันเพอร์เฟค มันมีประโยชน์ทั้งส่วนตนเองและประโยชน์ส่วนรวมด้วยความรู้ความเข้าใจ ชอบมากดีมาก ดีเป็นอย่างยิ่ง

 

เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ ออกจากสังสารวัฏ ด้วยความรู้ความเข้าใจ ไม่เอาความหลงนำชีวิต

 

เป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ไม่เพลิดเพลินในความเอร็ดอร่อยเพราะสิ่งต่าง ๆ นั้นต้องรู้เข้าใจ สิ่งต่าง ๆ นั้นมันไม่จบ พูดถึงเรื่องรูปก็ไม่จบ พูดถึงเสียงก็ไม่จบ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณมันไม่จบ เราต้องรู้เข้าใจเราจะได้หยุดวัฏฏสงสาร

 

เป็นผู้ปฏิบัติสมควรคือมันพอดีพอเพียง ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป

 

เป็นผู้ที่สมควรเคารพของตนเองและผู้อื่น เป็นผู้ควรรับทักษิณาทานหรือรับอัญชลีเป็นเนื้อนาบุญของโลก

 

เราต้องรู้เข้าใจ ในชีวิตประจำวันของเรานี้ เราทั้งหลายต้องเจริญสติ เจริญสัมปชัญญะ ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย

 

เราพากันนอนพักผ่อนให้เพียงพอ การนอนการพักผ่อนก็เหมือนกับรถเหมือนกับเครื่องบิน ก็ต้องพักผ่อนรถพักผ่อนเครื่องบิน

 

ชีวิตนี้เป็นเหมือนกลางวันและกลางคืนนะ กลางคืนคือการนอนการพักผ่อน กลางวันคือการทำงาน การโคจรของโลกที่โลกหมุนรอบตัวเอง เป็นกลางวัน เป็นกลางคืน มันเป็นความพอดี กลางวันคือการทำงาน กลางคืนเป็นการพักผ่อน

 

เรารู้เข้าใจ เราไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม นั่นแหละคือการยกเลิกแคนเซิล นั่นแหละคือการพักผ่อน ที่พระพูดว่าจำวัดน่ะ จำวัดคือพักผ่อน พระธรรมพระวินัยที่ให้เรายกเลิกตัวตนนี้ ให้พวกเรารู้เข้าใจคือการพักผ่อน

 

ถ้ายังเป็นเสขบุคคล บุคคลยังต้องประพฤติปฏิบัติ ก็ต้องใช้ความสงบกับปัญญา ไปพร้อม ๆ กัน ใช้สมถะกับวิปัสสนาไปพร้อม ๆ กันด้วยความรู้ความเข้าใจ เพราะอันหนึ่งพักผ่อนอันหนึ่งทำงาน

 

ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าแล้วเป็นพระอรหันต์แล้วใจท่านนั้นท่านยกเลิกใจ ท่านพักผ่อนแล้ว ที่ท่านเสียสละ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียสละวันหนึ่งท่านเสียสละวันละ ๒๐ ชั่วโมง งานภายนอกท่านเสียสละวันละ ๒๐ ชั่วโมง แล้วท่านก็เสียสละให้ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เพื่อหยุดอายตนะภายนอก๖ เป็น ๑๒ น่ะ

 

ท่านเสียสละให้ธาตุให้ขันธ์เพราะถ้าธาตุขันธ์อายตนะนั้นมันเป็นธรรม เป็นธรรมชาติ ก็ต้องเสียเค้าต้องให้เค้าพักผ่อนน่ะ เหมือนรถเหมือนเครื่องบิน ใช้เดินทางก็ต้องพักผ่อน

 

ให้พวกเรารู้เข้าใจ ความรู้ความเข้าใจนี้มีความสุขในการเรียนหนังสืออย่างนี้ เค้าเรียกว่าเป็นปัญญาสัมมาทิฐิด้วยความรู้ความเข้าใจ ว่ามนุษย์เราต้องเสียสละในการเรียนหนังสือ ถ้าเราไม่เสียสละในการเรียนหนังสือเราจะมีความรู้ในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐได้อย่างไร

 

ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความเกียจคร้านนั้นถึงไม่ใช่ธรรมะมันเป็นนิติบุคคลตัวตน ตัวตนคือความขี้เกียจขี้คร้าน ตัวตนนั้นมันอยากทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย มันเอาธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ ครองธาตุครองขันธ์มันเป็นตัวเป็นตน มันขี้เกียจขี้คร้าน ไม่อยากเรียนหนังสือ ไม่อยากทำงาน

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อตัวเพื่อตนมันเป็นไปเพื่อความขี้เกียจขี้คร้านมันไม่ใช่ธรรมะไม่ใช่พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ยกเลิกความขี้เกียจขี้คร้าน

 

เราทั้งหลายจะได้ยกเลิกวัฏฏสงสารยกเลิกความขี้เกียจขี้คร้าน ต้องปรับเข้าหาพระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ข้อวัตรกิจวัตร ต้องรู้เข้าใจเรียกว่าบุคคลบรรลุนิติภาวะ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเรียกว่าบุคคลไม่บรรลุนิติภาวะ ไม่ผ่านความรู้ความเข้าใจไม่ผ่านข้อวัตรปฏิบัติ หลงอยู่เพลิดเพลินอยู่อย่างนี้ไม่ถูกต้อง อย่างนี้ใช้ไม่ได้ 

                  

ให้รู้เข้าใจนะ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจเราทั้งหลายก็จะเป็นได้แต่เพียงคน

 

คนนี้แปลว่าความหลง ความไม่รู้ไม่เข้าใจนั้นก็ย่ำต๊อกอยู่ที่เก่า วกวนอยู่ในที่เก่า เค้าถึงมีคำศัพท์ว่าคน คนแปลว่าความหลง คือไม่ข้ามนิมิตด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย หลงอยู่ในนิมิต หลงอยู่ในผัสสะ เป็นบุคคลที่ไม่บรรลุนิติภาวะ หลงอยู่ในผัสสะ หลงอยู่ในอารมณ์ มันไปไหนไม่ได้มันย่ำต๊อกอยู่ในความหลงอยู่อย่างนั้น

 

พวกเราทั้งหลายพยายามสละคืนด้วยความรู้ความเข้าใจ สละคืนธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ สละคืนด้วยความรู้ความเข้าใจ เพื่อเราทั้งหลายจะได้เข้าถึงธรรมถึงปัจจุบันธรรม ชีวิตของเราถึงจะไม่ได้จมอยู่กับอดีต จมอยู่กับความไม่รู้ไม่เข้าใจ จมอยู่กับความหลง ชีวิตของเราต้องเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

การประพฤติการปฏิบัติมันจะได้อบรมบ่มอินทรีย์เอาทั้งความดีประกอบด้วยปัญญา เอาทั้งปัญญาทั้งความดี ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยเจตนาคือความตั้งใจ

 

การปฏิบัติถึงไม่มีต่อหน้าและลับหลัง การปฏิบัติถ้ายังมีต่อหน้าและลับหลังอันนี้ถือว่าไม่ถูกต้อง มันยังเป็นตัวเป็นตนอยู่ ยังไม่บริสุทธิคุณ ยังเป็นการประพฤติการปฏิบัติหลอกลวงน่ะ

 

การปฏิบัติต้องไม่หลอกลวง การประพฤติการปฏิบัติเป็นบริสุทธิคุณ ไม่มีการหลอกลวง

 

เราต้องรู้เข้าใจเราจะเข้าถึงธรรมถึงปัจจุบันธรรม

 

เราเป็นมนุษย์เป็นผู้ที่ประเสริฐเราต้องยกเลิกการหลอกลวง การหลอกลวง การทำไม่ถูกต้อง การที่อำพราง ขุดหลุมพรางน่ะ กรรมมันมีอยู่มีจริงให้รู้เข้าใจ เดี๋ยวกรรมมันจะสุกงอม

 

การทำอะไรนั้นมันเป็นบริสุทธิคุณทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพต้องเน้นให้ถึงบริสุทธิคุณ ต้องไม่มีการหลอกลวง การที่ทำอะไรที่ให้เค้ายอมรับหรือสรรเสริญเยินยอนั้นคือการหลอกลวง

 

ผู้ที่มาบวชเป็นพระเค้าถึงให้หยุดส่องกระจกเงา ที่แต่งหน้าแต่งตาแต่งตัวเพื่อหลอกลวงเค้า เราอยากให้เค้าเคารพเลื่อมใสเราความรู้สึกอย่างนี้ไม่ดีนะ มันจะเป็นคนนิสัยไม่ดีมันจะเป็นคนหลอกลวงน่ะ

 

เราแต่งตัวทำไม ใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ทำไม เพื่อหยุดความเห็นแก่ตัวนะ

 

ปกติแล้วทุกคนจะเห็นแก่ตัว เพราะตัวตนนั้นมันขี้เกียจขี้คร้านมันไม่อยากทำงานไม่อยากเรียนหนังสือ การแต่งเนื้อแต่งตัวนี้เพื่อเป็นคนไม่มักง่าย เป็นบุคคลที่ไม่ปล่อยปะละเลย เพราะการพัฒนมนุษย์เค้าต้องพัฒนาวิทยาศาสตร์พัฒนาทั้งใจไปพร้อม ๆ กันไม่ใช่คนปล่อยปะละเลย เพื่อเข้าถึงความมาตรฐานในความรับผิดชอบ ให้เป็นความรู้ความเข้าใจนะ

 

เหมือนนางวิสาขามหาอุบาสิกา ไปอยู่กับครอบครัวของสามี ครอบครัวของสามี ไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องพระศาสนา นึกว่าการปล่อยวางไม่ต้องเอาอะไรเลย ไปมีความเลื่อมใสในพระชีเปลือยน่ะ พระที่นุ่งลมห่มฟ้า ไม่ใส่เสื้อผ้าอาภรณ์คิดว่าเป็นการปล่อยวาง

 

ครอบครัวของสามี ได้อันเชิญพระชีเปลือยมาฉันอาหารที่บ้าน ได้บอกลูกสะใภ้ บอกนางวิสาขาให้มาเทคแคร์มากราบมาไหว้ นางวิสาขามหาอุบาสิกาได้มาเห็นแล้วรู้ทันทีเลยว่า อันนี้ไม่ใช่พระ มันไม่ใช่คนมีปัญญา ไม่ใช่ความสงบ เป็นบุคคลที่ไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องกายวาจากิริยามารยาทอาชีพตลอดถึงใจ มันเป็นการปล่อยวางไม่ถูกต้อง อย่างนี้เป็นการปล่อยปะละเลย มันไม่ได้พัฒนาใจกับวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กัน นางวิสาขาออกมาแล้วจึงกลับไปเพราะอันนี้ไม่ใช่อันนี้ไม่ถูกต้อง

 

พวกเราต้องรู้เข้าใจเรื่องการปล่อยวาง การปล่อยวางนั้นคือยกเลิกวัฏฏสงสารด้วยความรู้ความเข้าใจ เอาพระธรรมพระวินัยมาเป็นข้อวัตรข้อปฏิบัติ เพื่อยกเลิกวัฏฏสงสารด้วยการหมุนไปด้วยธรรมนูญหรือว่าธรรมจักร ธรรมจักรคือว่าเครื่องจักรเครื่องยนต์กลไกอย่างนี้

 

พระธรรมพระวินัยให้เราเข้าสู่มาตรฐานทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจ เพื่อจะได้ปล่อยวางหรือว่าหยุดสัญชาตญาณแห่งความไม่ถูกต้อง 

 

ให้พวกเราทั้งหลายรู้เข้าใจเรื่องสมมติสัจจะ สมมติสัจจะที่เราได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้หญิงผู้ชาย เป็นคนหนุ่มคนสาว คนแก่เฒ่าชรา ให้เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เอาสมมติสัจจะที่ได้รับแต่งตั้งมาประพฤติมาปฏิบัติ ให้มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี มันจะเป็นรายรับรายจ่ายที่สมดุลกัน ได้มารับมาเท่าไหร่ก็จ่ายไปเท่านั้น มันถึงจะเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม

 

เราทั้งหลายน่ะถึงพากันเป็นผู้ที่เกียจคร้านไม่ได้ เอาความชอบไม่ได้เอาความชัง  ก็ไม่ได้ เราต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ให้รู้จักข้อวัตรข้อปฏิบัติ ว่าข้อวัตรข้อปฏิบัติมันเป็นการอบรมบ่มอินทรีย์ผ่านไปด้วยความดีด้วยปัญญา ด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจแล้วก็พากันประพฤติปฏิบัติ เราจะไม่ได้เสียเวลา เวลาจะไม่ได้กลืนกินเรา เราเอาความหลงนำชีวิตเวลามันกลืนกินเรา ทำให้เราแก่ไปเปล่าๆ ไม่มีประโยชน์อะไรจากการที่ได้ทรัพยากรที่ประเสริฐเกิดมาเป็นมนุษย์ 

 

เราต้องหยุดเวลาด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญาด้วยข้อวัตรปฏิบัติ

 

เราประพฤติปฏิบัติของเรา ใครไม่รู้ไม่เห็นไม่เป็นไร เพราะเรารู้เราเห็นเราเข้าใจอยู่ เราประพฤติปฏิบัติให้คนอื่นเค้าเห็นนี้แหละคือนักหลอกลวง

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกพวกเราทั้งหลายว่าอย่าได้เอาตัวตนนำชีวิต ต้องเอาพระธรรมพระวินัยนำชีวิต ต้องเอาธรรมนูญนำชีวิต

 

อย่าพากันไปตรึกในกามอย่าไปตรึกในพยาบาท รู้มั๊ยเข้าใจมั๊ย การไปตรึกในกามตรึกในพยาบาทมันไม่ถูกต้อง มันใช้ไม่ได้นะ มันเป็นวัฏฏสงสาร มันปล่อยให้วัฏฏสงสารมันหมุนทางความคิดได้อย่างไร นี้มันหัวใจแห่งความหลง หัวใจที่มันเป็นวัฏฏสงสาร

 

เราทั้งหลายต้องละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปหยุดในกามในพยาบาท ถ้าเราตรึกในกามในพยาบาท ร่างกายเราไม่มีภรรยาสามี แต่หัวใจของเราคือบุคคลที่มีครอบครัวนะ มีบุตรธิดามีภรรยาสามีนะ เราต้องรู้เข้าใจหยุดตรึกในกามในพยาบาท เราทั้งหลายจะได้บวชทั้งกายวาจากิริยามายาทบวชทั้งใจ

 

คำว่าบวชนี้หมายถึงหยุด หยุดด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญาด้วยความรู้ ความเข้าใจนี้คือความหมายของบวช บวชกายมันต้องบวชวาจากิริยามารยาทบวชทั้งใจมันถึงจะสมบูรณ์ สมบูรณ์ทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจ เรียกว่าสมบูรณ์ด้วยทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะไม่ขาดตกบกพร่องเลยถึงเป็นหัวใจที่สง่างาม หัวใจที่สดชื่นเบิกบาน หัวใจที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมมีความสง่างาม เค้าเรียกว่ายืนเดินนั่งนอนมีแต่ความสง่างาม

 

หยุดอ่อนน้อมถ่อมตนต่อความหลงน่ะ ไม่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อความหลง

 

เป็นผู้สง่างามด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา เป็นผู้เข้าถึงพระนิพพานที่เป็นสัมมาทิฐิที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา รู้จักว่าพระนิพพานคือบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ ด้วยความตั้งใจตั้งเจตนาไม่มีต่อหน้าและลับหลัง เป็นผู้ที่สง่างาม

 

ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่างามในเบื้องต้นคือศีล ศีลนี้คือความสง่างาม งามท่ามกลางคือสมาธิ สมาธิความสง่างามไม่มีนิวรณ์ทั้ง ๕ ไม่มีอคติทั้ง ๔  นั้นคือความสง่างามด้วยปัญญา เอาปัญญานำชีวิตเรียกว่ารู้แจ้งโลกรู้แจ้งทางวิทยาศาสตร์ รู้แจ้งด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายถึงเข้าถึงธรรมเข้าถึงปัจจุบันธรรม เข้าถึงความบริสุทธิคุณด้วยความรู้ความเข้าใจ นี้เป็นความงามน่ะ

 

ความรู้ความเข้าใจเป็นสัมมาทิฐินี้ถึงไม่ใช่ความจำ เป็นความรู้ความเข้าใจ

 

อย่างที่เราไปเรียนหนังสือ เรียนหนังสือทั้งหมดน่ะเป้าหมายความสำคัญอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เป้าหมายของการพัฒนาวิทยาศาสตร์ได้แก่ความรู้ความเข้าใจ การฟังการบรรยายในศาสตร์ต่าง ๆ นั้นสำคัญอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ เมื่อรู้เข้าใจแล้วถึงจะประพฤติปฏิบัติได้ ความรู้ความเข้าใจอย่างนี้แหละมันเป็นปัญญาสัมมาทิฐิ เปรียบเสมือนกลางวันคือความสว่าง มันว่างก็ทำงานได้  ความไม่รู้ไม่เข้าใจมันเป็นความมืด ความมืดทำงานไม่ได้ ต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้า ชีวิตนี้มันจะพังทลายเหมือนตึก สตง. นี้แหละ แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์

 

ตึก สตง.ที่อยู่กรุงเทพมหานครอยู่เมืองหลวงอยู่เมืองกรุง เป็นศูนย์รวมของประเทศ เหมือนสมองเป็นศูนย์รวมของร่างกาย เหมือนหัวใจเป็นศูนย์รวมของสรีระร่างกาย

 

สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินที่บริหารประเทศ บริหารแผ่นดินไม่เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เอาแต่ความรู้เอาแต่วิทยาศาสตร์เอาแต่ตัวเอาแต่ตน ไปแก้แต่สิ่งภายนอก ไม่ได้แก้ตัวเองไปพร้อม ๆ กัน

 

ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายนะ ท่านทั้งหลายต้องอนุโมทนาไว้ก่อน  เพราะท่านได้รับทรัพยากรที่ประเสริฐเกิดมาเป็นมนุษย์ อายุขัยอยู่ร่วมร้อยปี เอาเรื่องจิตเรื่องใจเอาเรื่องวิทยาศาสตร์ไปพร้อมกันอยู่ได้มากกว่าร้อยปี ที่ได้มีโอกาสมีเวลาประพฤติปฏิบัติ ขออนุโมทนาไว้ ณ โอกาสนี้

บุญกุศลที่เรารู้เข้าใจ รู้การทำดีที่ประกอบด้วยปัญญามันเป็นบารมีของเราทุก ๆ คน บุญกุศลนี้จะส่งให้มอบให้ญาติ ๆ บรรพบุรุษ อุทิศบุญกุศลให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย จะได้ส่งดีเอ็นเอเป็นตัวอย่างแบบอย่างให้กุลบุตรลูกหลาน ด้วยอยู่ก็มีความสุข จากไปก็มีความสุข ถึงเป็นมรดกธรรม ถึงเป็นพระนิพพานที่เป็นสัมมาทิฐิ ณ โอกาสนี้ด้วยกันทุกท่านทุกคน

 

------------------------------------

 

 

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าเสาร์ที่ ๑๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

Visitors: 94,420