๑๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันพุธที่ ๑๘ เดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม
วันนี้เป็นการบำเพ็ญกุศลกรณีพิเศษ เนื่องจากหลวงปู่ริว รุจิลาโภ นามสกุลเดิมของท่าน นามสกุล บัวผุดท่านได้ละสังขารวายชนม์ด้วยอายุขัยในวัย ๙๖ ปี อยู่ที่อำเภอเวียงสา จังหวัดน่านพื้นเพพื้นฐานของท่านเป็นคนจังหวัดระยอง ท่านบวชมาแล้ว ๓๓ ปี ๓๓ พรรษา ท่านเป็นประชากรของคนจังหวัดระยอง ท่านได้ออกบวชตามพระลูกชายของท่านคือท่านพระอาจารย์บุญมี เป็นพระลูกชายของท่าน ขณะนี้เวลานี้ ท่านพระอาจารย์บุญมีท่านก็แก่เฒ่าชราแล้ว คนทั่วไปเค้าเรียกท่านว่า หลวงพ่อบุญมี อีกหลายปีข้างหน้า เค้าคงเรียกหลวงปู่บุญมี ท่านไปอยู่ปฏิบัติที่ไหนประชาชนเค้าก็ให้ความเคารพนับถือเลื่อมใส ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์
หลวงพ่อบุญมีท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรงต่อพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเอาพระธรรมเอาพระวินัยนำชีวิตในการประพฤติการปฏิบัติ เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ออกบวชด้วยศรัทธาด้วยปัญญา เพราะเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ไม่ได้ออกบวชเพื่อเอาพระพุทธศาสนาหาอยู่หาฉันหาเลี้ยงชีพ ออกบวชเพื่อบำเพ็ญบารมีความดี เพราะเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ได้แก่ ความเกิดแก่เจ็บตายพลัดพราก มันเป็นสังสารวัฏของการเวียนว่ายตายเกิด
เมื่อท่านบวชมาครบ ๕ พรรษาแล้ว ท่านก็จาริกธุดงค์กรรมฐานไป ณ สถานที่ ต่าง ๆ ที่มีความสงบวิเวกตามป่าเขาลำเนาไพร เพื่อเดินตามรอยประวัติของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายพระกรรมฐาน
ปี ๒๕๓๘ ท่านได้พักอยู่ที่หมู่บ้านของชาวแม้ว ชาวแม้วเค้าสร้างหมู่บ้านปลูกผักปลูกผลไม้อยู่ที่นั่น ที่ห่างจากจุดสูงสุดของดอยอินทนนท์ มองดูด้วยสายตาแล้วไม่น่าเกินสิบกิโล กะคะเนด้วยสายตา ห่างจากหมู่บ้านประมาณห้าร้อยเมตรชาวบ้านที่เค้าเป็นแม้ว เค้าปลูกที่พักสงฆ์ เพื่อให้พระสงฆ์ธุดงค์จาริกมาได้ประพฤติปฏิบัติธรรม เวลาเช้าเค้าจะได้ทำบุญตักบาตร
ปีนั้นหลวงพ่อกัณหาได้จาริกธุดงค์กรรมฐานไปทางภาคเหนือ หลวงพ่อกัณหาได้พบกับหลวงพ่อบุญมีที่นั่น หลวงพ่อบุญมีก็ได้พบหลวงพ่อกัณหาในที่นั่นหลังจากนั้นหลวงพ่อบุญมีก็เดินธุดงค์ตามหลวงพ่อกัณหาไป ขณะนี้เวลานี้เวลาผ่านไปร่วม ๆ ๓๐ ปี หลวงพ่อบุญมีท่านชื่อท่านดีมาก ท่านเป็นผู้มีบุญ ท่านเป็นพระดีเป็นพระที่มีปัญญา มีทั้งความดีประกอบด้วยปัญญา ปฏิปทาท่านน่าเคารพเลื่อมใส เสมอต้นเสมอปลายตลอดกาลตลอดเวลา มีแต่พระธรรมีแต่พระวินัยมีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา มีแต่ปัญญามีแต่ความสงบ
ท่านไปอยู่ที่ไหนประชาชนก็เคารพนับถือ พระผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ พระผู้ที่มุ่งมรรคผลพระนิพพานก็ให้เคารพนับถือนับถือหลวงพ่อบุญมี
ท่านเป็นพระสุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติสมควร เป็นพระผู้กตัญญูกตเวทีต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระผู้มีความกตัญญูต่อครูบาอจารย์ กตัญญูต่อพ่อต่อแม่บรรพบุรุษ ท่านได้จาริกธุดงค์กรรมฐานไปทางจังหวัดน่านไปพักอยู่ที่อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน ไปอยู่กับประชาชนคนอำเภอเวียงสาน่ะ
เมื่อหลวงพ่อของท่านแก่เฒ่าชรา ท่านก็เอาหลวงพ่อของท่านไปดูแลอุปถัมภ์อุปัฏฐากย์ เมื่อหมดอายุขัยในวัย ๙๖ ปี ในตอนบ่ายของวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๘ ท่านก็แจ้งมาว่าพระหลวงปู่พระพ่อได้ละสังขารวายชนม์แล้ว
หลวงพ่อกัณหาเลยบอกว่า ให้นำสรีระร่างกายมาบำเพ็ญกุศลที่วัดป่าทรัพย์ทวีฯ แห่งนี้ ท่านก็โอเค เพราะท่านเป็นพระผู้ที่กตัญญูกตเวที ครูบาอาจารย์ว่าอย่างไรก็เอาอย่างนั้น
หลวงพ่อกัณหาได้บอกกับหลวงพ่อบุญมีว่า ให้ทำเหมือนท่านพระอาจารย์ประจวบน่ะ ท่านพระอาจารย์ประจวบ ท่านมีภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่ เป็นคนอำเภอ สรรคบุรี จังหวัดชัยนาท ขณะนี้เวลานี้อยู่อำเภอแม่แตงจังหวัดเชียงใหม่ อยู่ที่สถานที่ของโยมป้าตาถวายน่ะ เป็นสถานที่สงบร่มรื่น อยู่กลางป่าในหุบเขา ป้าตาได้ถวาย เพื่อเป็นมรดกธรรมไว้ในพระพุทธศาสนา
โยมพ่อโยมแม่ของท่านพระอาจารย์ประจวบ ที่ท่านอยู่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ท่านก็นำพ่อนำแม่มาบำเพ็ญกุศลเป็นกรณีพิเศษที่วัดป่าทรัพย์ทวีฯแห่งนี้
พระอาจารย์ประจวบท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ บวชตั้งแต่เป็นสามเณรน้อย ๆ เป็นสามเณรกรรมฐาน เป็นพระกรรมฐาน ตั้งใจตั้งแต่เป็นเด็ก ๆ เลย ขณะนี้เวลานี้ก็เป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ของพุทธบริษัททั้งในเมืองไทยและต่างประเทศทุกคนให้ความเคารพนับถือเลื่อมใสท่าน เพราะท่านเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีพระนิพพานเป็นเป้าหมายของชีวิต ท่านก็เอาพ่อแม่มาบำเพ็ญกุศลประชุมเพลิง ณ วัดป่าทรัพย์ทวีฯ แห่งนี้แหละ เพื่อหลวงพ่อกัณหาจะไม่ได้เดินทางไกล
หลวงพ่อบุญมีถึงได้บอกผู้ที่มีศรัทธามีกำลังทรัพย์มีปัญญา บอกว่าจะได้นำสรีระของหลวงพ่อคือหลวงปู่ริว รุจิลาโภ ไปบำเพ็ญกุศลที่วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา มีบำเพ็ญบุญกุศลสวดพระอภิธรรม ๓ คืน คือเริ่มต้นตั้งแต่คืนวันอาทิตย์ถึงคืนวันอังคาร วันนี้คือวันพุธวันที่ ๑๘ จะประชุมเพลิงเวลา ๑๐ นาฬิกา ๓๐ นาที เพื่อให้ครูบาอาจารย์ที่เดินทางมาร่วมในงานมาจากทางไกล ๆ จะไม่ได้กลับถึงวัดไม่ดึกเกินไป
การบำเพ็ญบุญกุศลให้กับผู้วายชนม์เนื่องการวายชนม์ของหลววงปู่ริว รุจิลาโภ ให้เราเข้าใจในการบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศล ก็เอาหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยกเลิกโลกธรรมคือเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก
การประพฤติการปฏิบัติธรรมของเรา ให้พวกเราพากันรู้พากันเข้าใจ เราพากันมายกเลิกโลกธรรม เพื่อจะได้เอาธรรมนำชีวิต ให้เป็นเรื่องความสงบให้เป็นเรื่องปัญญา มันเป็นเรื่องปัญญาเป็นเรื่องความสงบ เป็นสติปัฏฐานที่มีความสงบเป็นพื้นฐานเป็นสัมปชัญญะเป็นพื้นฐาน คือมีปัญญาเป็นพื้นฐาน
สติคือความสงบ สติต้องเป็นพื้นฐาน ความสงบต้องเป็นพื้นฐาน สัมปชัญญะตัวปัญญาควบคู่กันไป ความสงบกับปัญญาควบคู่กันไป
การเจริญสติปัฏฐาน เป็นสิ่งที่สำคัญ
มันเป็นความสงบกับปัญญาที่ต้องปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกันไป เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาด้วยความตั้งใจด้วยเจตนา การปฏิบัติธรรมนี้ไม่มีต่อหน้าและลับหลัง เป็นบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ เป็นบริสุทธิคุณ ความบริสุทธิคุณนี้เป็นพื้นฐาน เป็นกรรมเป็นกรรมฐาน
การปฏิบัติธรรมคือการมาเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ ได้แก่ กาย เวทนา จิต ธรรม ต้องเป็นความสงบและปัญญา ใจของเราถึงจะไม่ไปตามผัสสะไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม
พระพุทธเจ้าท่านเมตตาบอกเราทั้งหลาย ไม่ให้ประมาทไม่ให้เพลิดเพลิน เพื่อการประพฤติการปฏิบัติของเรามันจะได้ติดต่อต่อเนื่องกันไม่ขาดสาย การประพฤติการปฏิบัติของเรามันจะไม่ขาดไม่ด่างไม่พร้อยด้วยความตั้งใจด้วยเจตนา
อานาปานสติคือลมเข้าและลมออกของร่างกาย
เราทั้งหลายต้องมีสติในกายด้วยการเจริญอานาปานสติ การเจริญอานาปานสติเป็นสิ่งที่คอนโทรลได้เป็นอย่างดี
การเจริญอานาปานสตินี้ไม่ใช่เฉพาะอิริยาบถนั่งนะ การเจริญอานาปานสติ เราต้องเอามาใช้ทุก ๆ อิริยาบถ ทั้งยืนเดินนั่งนอน เราต้องเอามาใช้ทุกอิริยาบถ เพื่อเราจะมาใช้มาคอนโทรล เหมือนกุญแจที่เราใช้สตาร์ทรถยนต์หรือเครื่องยนต์
เรื่องอานาปานสติก็เช่นเดียวกัน การหายใจเข้าลึก ๆ มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจให้อิ่ม หายใจให้มีความสุข เราก็กลั้นลมหายใจไว้ เพื่อให้ร่างกายได้รับออกซิเจน เพื่อลมหายใจจะอัดเข้าไปอยู่ในปอด กลั้นใจไว้ ใจจะขาดก็ปล่อยลมออกมา เป่าลมออกมา ทำอย่างนี้หลาย ๆ ครั้ง ผู้ที่ฟุ้งซ่านทั้งหลายมันจะสงบได้นะ
ผู้มีปัญญาทั้งหลายมันฟุ้งซ่าน นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายมันฟุ้งซ่าน เราใช้หลักการอย่างนี้ได้นะ ที่เค้าใช้ออกซิเจนขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก ก็ใช้หลักการเดียวกันนี้แหละ เพราะใจมันไปตามผัสสะไปตามอารมณ์ ไปตามธาตุ ตามขันธ์ ตามอายตนะ ออกซิเจนมันไม่สมบูรณ์ จิตมันส่งออกภายนอก
หลงปู่ดุลย์ อตุโล ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นที่เป็นพระอริยเจ้ารูปหนึ่งของเมืองไทย ท่านตรัสว่า จิตส่งออกนั้นมันขาดดุลนะ มันไม่สมดุล มันเสียออกซิเจน
การมีสติมีสัมปชัญญะ เราอาศัยหลักการเจริญสติปัฏฐาน มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้าให้มีความสุข กลั้นลมหายใจไว้สักหน่อย เพื่อออกซิเจนจะเข้าสู่สมอง เข้าสู่ปอด กลั้นใจไว้สักหน่อย แล้วหายใจออก เผยลมออก เป่าลมออก เพื่อจะได้เอาของเสียออกไป เราต้องใช้ทุก ๆ อิริยาบถนะ ไม่ใช่เฉพาะอิริยาบถนั่ง
บางทีเราไม่เข้าใจ เราจะไปทำเฉพาะอิริยาบถนั่ง
พระบางรูปติดนิสัยการเจริญอานาปานสติเฉพาะอิริยาบถนั่ง
เราต้องเข้าใจ การปฏิบัติธรรมมันเป็นอริยมรรค คือมรรคมีองค์แปด เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งที่ได้อาหารของต้นไม้ ต้นไม้ต้นนั้นมันไม่ใช่ได้อาหารเฉพาะรากอย่างเดียว มันต้องได้ทั้งรากทั้งใบทางกิ่งทางยอดตลอดปริมณฑล แสงแดดอากาศออกซิเจน ถึงจะมีวิตามินเกลือแร่แร่ธาตุ ต้นไม้ต้นหนึ่งถึงจะเจริญเติบโตสง่างาม ให้เรารู้เข้าใจ การเจริญอานาปานสตินี้ สติในกาย เวทนา จิต ธรรม มันต้องมีอยู่กับเราอยู่ทุกหนทุกแห่งที่เรามีลมปราณ เราทั้งหลายน่ะรู้มากเรียนมากฟุ้งซ่านมาก
พระกรรมฐานน่ะที่หลวงปู่มั่นสอนให้เจริญอานาปานสติ ควบคู่กับพุทโธ ก็หมายถึงสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้แหละ กาย เวทนา จิต ธรรม ที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม
วันหนึ่งคืนหนึ่งให้เรารู้หน้าที่การงานของตัวเอง ให้รู้เรื่องของกรรม เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องผลของกรรม งานของเราเป็นงานทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ เป็นงานหยุดวัฏฏสงสาร หยุดสังสารวัฏ หยุดความปรุงแต่ง ด้วยความรู้ความเข้าใจ
ที่เราเห็นเค้าเอาออกซิเจนขนาดเล็กมาใส่ครอบจมูกคนป่วยนี้คือการเอาออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย เอาออกซิเจนเข้าสู่ปอด เอาออกซิเจนเข้าสู่เส้นเลือด เข้าสู่สมอง ที่เรามองดูแล้วรู้สึกอึดอัดรำคาญ ความอึดอัดรำคาญคืออาการของตัวตนนะ เรามีตัวมีตนเราถึงอึดอัดรำคาญ
ความเคยชินเราทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย ปล่อยปะละเลยตัวเองจนเคยชิน เลยเห็นความถูกต้องเป็นสิ่งที่รำคาญ เห็นความสงบเป็นสิ่งที่รำคาญ
คนเราคนส่วนใหญ่นั้นไม่กลัวความตาย แต่กลัวความเจ็บไข้ไม่สบาย กลัวทุกข์ทรมาน ความคิดอย่างนี้แหละมันเป็นตัวเป็นตน ความคิดอย่างนี้มันไม่ถูกต้องนะ ความคิดอย่างนี้มันลิดรอนความสงบ มันทำให้ใจของเราไม่สงบ ทำให้ใจของเราไม่สบายนะ
เราต้องรู้เข้าใจ ทุกอย่างน่ะมันเป็นธรรมเป็นธรรมชาติของตัวมันเอง เราจะไปลิดรอนธรรมชาติมันไม่ได้ เราจะไปก้าวก่ายธรรมชาติมันไม่ได้
ปัญญาเราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้สงบไม่ไปวุ่นวาย อานาปานสตินี้จะช่วยเราได้นะ
ให้เราพากันเจริญอานาปานสติทุก ๆ อิริยาบถเลย สำหรับนักบวชแล้วควรจะเจริญอานาปานสติทุก ๆ อิริยาบถ อิริยาบถทั้ง ๔ ยืนเดินนั่งนอน เพื่อคอนโทรลให้เราอยู่กับความสงบ อยู่กับปัญญา อยู่กับศีล อยู่กับสมาธิอยู่กับปัญญาด้วยอานาปานสติ เพื่อเราจะได้ตัดวงจร เราจะได้ตัดวงจรทางตาหูจมูกลิ้นกายใจด้วยอานาปานสติ
ถ้ามันฟุ้งซ่านมาก มันมีเรื่องมีราวมาก หรือเป็นคนที่มีปัญญามาก สมาธิกับปัญญามันจะไม่เสมอกัน ก็ต้องใช้หลักการด้วยกำหนดลมหายใจ ให้กลั้นลมหายใจมันเสียเลย หายใจเข้าช้า ๆ ลึก ๆ หายใจให้อิ่ม ๆ เพื่อเอาออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายเข้าสู่ปอด เข้าสู่สมอง เข้าสู่สรีระร่างกาย แล้วก็กลั้นลมหายใจ จนกว่าจะทนไม่ไหวถึงค่อยหายใจ ทำอย่างนี้หลาย ๆ ครั้งติดต่อต่อเนื่องกัน เราทุกคนก็จะสงบได้ด้วยอานาปานสติ
ฝึกอานาปานสตินะ ฝึกมันทุกอิริยาบถเลย เพื่อเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ฝึกหายใจเข้าก็ให้มันรู้ว่ามันไม่เที่ยงไม่แน่ หายใจเข้าสู่ร่างกาย เพื่อไปหล่อเลี้ยงสรีระร่างกาย หายใจออกเอาของเสีย เอาสารพิษ เอาของเสียต่าง ๆ ออกไป
ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ต้องรู้การรู้งานของตัวเอง งานของตัวเองคืองานประพฤติงานปฏิบัติธรรม เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาที่ประกอบด้วยความดี เป็นงานปฏิบัติธรรม เจริญสติสัมปชัญญะ
อดีตที่ผ่านมาแล้วก็ตัดวงจรไม่ให้อดีตมาปรุงแต่งเราได้ อนาคตที่ยังมาไม่ถึงก็ตัดวงจรไม่ให้อนาคตมาปรุงแต่ง เน้นที่ปัจจุบันนี้แหละ ปัจจุบันต้องมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม ให้มีปิติให้มีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ลมเข้าก็ไม่เที่ยง เดี๋ยวลมมันเข้า ลมมันพักผ่อนเลี้ยงร่างกาย เดี๋ยวมันก็ออกมา เอาของเสียเอาคาร์บอนไดออกไซด์เอาของเสียเอาสิ่งปฏิกูลออกไป
ทุกอย่างนั้นมีแต่ผ่านไปผ่านมา มันเป็นเพียงการสัญจรไปมาของลมเข้าลมออกทุกอย่างไม่ใช่ไม่ใช่ตนเลย ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป ไม่มีอะไรยั่งยืน ไม่มีอะไรแน่นอน มีแต่เหตุมีแต่ปัจจัย เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป
เราทั้งหลายต้องรู้ธรรมรู้สภาวธรรม เราจะได้รู้เรื่องของอดีตที่ผ่านมา เราจะได้รู้เรื่องอนาคต เพราะอนาคตก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้แหละ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ ชีวิตของเราจะหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงตามความไม่รู้ไม่เข้าใจ
เราไม่รู้ไม่เข้าใจเราก็เลยพากันเวียนว่ายตายเกิดเพราะความไม่รู้ไม่เข้าใจนะ ไม่รู้กรรม ไม่รู้กฎของกรรม ไม่รู้ผลของกรรม
การปฏิบัติธรรมคือความรู้ความเข้าใจ เมื่อรู้เข้าใจก็ตั้งใจตั้งเจตนา การประพฤติการปฏิบัติธรรมนั้น ถึงไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ถ้ามีต่อหน้าลับหลังนั้นไม่ใช่การปฏิบัติธรรมนะ มันเป็นตัวเป็นตน นั้นคือการเวียนว่ายตายเกิด
เราทั้งหลายน่ะพากันมาเสียสละ เรามาหยุดมาเสียสละ เสียสละในการเดินทางของวัฏฏสงสาร เราทั้งหลายน่ะพากันมาเสียสละ เสียสละในการเดินทางในวัฏฏสงสาร
ถึงโลกนี้จะอร่อยจะแซบจะลำจะนัวจะหรอยจะอะไรก็ช่างหัวมัน
เราต้องมาเสียสละ มีความสุขในการเสียสละ มนุษย์เราได้รับทรัพยากรที่ประเสริฐ มนุษย์เราต้องพากันเข้าใจ เพื่อเสียสละ เสียสละความไม่ถูกต้อง ได้แก่ความไม่รู้ไม่เข้าใจหรือว่าความหลง เสียสละวัฏฏสงสารที่เราท่องเที่ยวมานานนับหลายล้านชาติหลายล้านปี
ให้เราดูตัวอย่างเอาแบบอย่างขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเป็นผู้ทรงเสียสละ ท่านบรรทมพักผ่อนเพื่อสรีระร่างกายเสียสละให้ร่างกายเพื่อธาตุเพื่อขันธ์ เพื่ออายตนะวันละ ๔ ชั่วโมง เสียสละให้กับเทพเทวาหมู่มวลมนุษย์สรรพสัตว์ทั้งหลาย ๒๐ ชั่วโมง ชีวิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีแต่เสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละมันก็ไปไม่ได้ เราต้องรู้เข้าใจ
ความเป็นพระนั้นให้เรารู้เข้าใจในความเป็นพระ ความเป็นพระนั้นคือธรรมะ ธรรมะนั้นคือบริสุทธิคุณที่ปราศจากตัวปราศจากตน ธรรมะเป็นบริสุทธิคุณ ธรรมมะนั้นเป็นประภัสสร เป็นปัญญาสัมมาทิฐิที่รู้เข้าใจในการเวียนว่ายตายเกิด ไม่เอาความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก มาเป็นเราเป็นของเรา
นั้นถือว่าธรรมะนั้นเป็นประภัสสร มีความเป็นใหญ่ในสิ่งนั้น ๆ เป็นใหญ่ในธรรมในสภาวธรรมนั้น ๆ
เราต้องรู้เข้าใจเราจะไม่ได้ไปลิดรอนสิทธิของความถูกต้อง เราจะไม่ได้ลิดรอนสิทธิของธรรมชาติ เราจะไม่ได้ก้าวก่ายในความถูกต้อง ที่เราชอบพูดกันว่าลิดรอนสิทธิ
มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ความรู้ความเข้าใจนี้ยกเลิกการลิดรอนสิทธิ
เราจะยกเลิกการลิดรอนสิทธิได้เราก็ต้องอาศัยพระธรรมอาศัยพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่
สงบด้วยพระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านวางไว้เป็นหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่มีแปดหมื่นสี่พัน เพื่อเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมเพื่อเป็นปัญญาบริสุทธิคุณ เพื่อเป็นอุปกรณ์เป็นกรรมกรที่เราจะเอามาใช้เอามาปฏิบัติ เราจะเดินทางก็ต้องมีเสบียงมีอุปกรณ์ เสบียงคือธรรมคือธรรมนูญ
พูดถึงกรรมให้เรารู้จักนะ ถ้าเราไม่รู้กรรม ไม่รู้กฎแห่งกรรม ไม่รู้ผลของกรรม เราไม่รู้เรื่องการประพฤติการปฏิบัตินะ
เราต้องรู้เรื่องกรรมรู้เรื่องเวรรู้เรื่องภัย กรรมมันเป็นระบบทางความคิด คำพูด การกระทำ กิริยามารยาท อาชีพ มันเป็นเรื่องของกรรมทั้งนั้น ใจของเรามันต้องรู้กรรม รู้กฎแห่งกรรม รู้ผลของกรรม
เค้าจะส่องกระจกเงาเพื่อดูหน้าดูตาของตนเอง ต้องอาศัยความนิ่งนะ อย่างคนวิ่งส่องกระจกเงาเพื่อดูหน้าดูหน้าตัวเองมันจะไม่เห็นชัดนะ ต้องหยุดเสียก่อนที่จะเห็นหน้าเห็นตาชัดเจน คนจะส่องกระจกเงาเห็นเงาตัวเองได้ชัดเจนมันต้องหยุด มันต้องนิ่ง มันต้องหยุดมันต้องนิ่งนะ
เหมือนแพทย์ที่ผ่าตัด แพทย์ต้องมีปัญญามีการเรียนการศึกษาเรื่องสรีระร่างกาย เรื่องเส้นประสาทต่าง ๆ เส้นเลือดต่าง ๆ เค้าต้องมีความรู้ความเข้าใจในสรีระร่างกายถึงจะผ่าตัดได้ แต่ความรู้ความเข้าใจนั้นต้องอาศัยความสงบอาศัยความนิ่งนะ ความนิ่งความสงบก็ต้องอาศัยปัญญา ความสงบกับปัญญามันคือไปพร้อม ๆ กัน
อาศัยความพอดี อาศัยการคอนโทรลให้เข้าถึงความพอดีในปัจจุบันนะ ถึงจะผ่าตัดได้ด้วยความปลอดภัย
เช่นแพทย์ผ่าตัดสมอง ผ่าตัดสมองต้องนิ่ง ต้องใจสงบ ต้องอาศัยความว่างจิตว่าง ต้องอาศัยความสงบความนิ่ง ต้องอาศัยเวลาในการประพฤติปฏิบัติให้มันติดต่อต่อเนื่อง เพราะการผ่าตัดสมองต้องอาศัยความนิ่ง อาศัยปัญญา ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกันหลายชั่วโมงนะ ผ่าตัดสมองใจร้อนไม่ได้ ความสงบกับปัญญาต้องไปพร้อมกัน มันเป็นความพอเพียงเพียงพอมันเป็นความพอดี ความสงบกับปัญญามันถึงไปพร้อม ๆ กัน
เราทั้งหลายน่ะไม่อยากเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ ไม่อยากเจริญสติสัมปชัญญะ อยากจะทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย นี้คือความไม่ถูกต้องนะ อย่าลืมว่าการทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยนั้นมันเสียหายทั้งส่วนตัวและส่วนรวม เราทั้งหลายต้องคอนโทรลตัวเองด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ
การทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยมันไม่ได้คอนโทรลตัวเองนะ มันปล่อยตัวเองไปตามสัญชาตญาณ มันเสียหายทั้งส่วนตัวและส่วนรวม
มันเป็นการไม่ได้ประพฤติไม่ได้ปฏิบัติธรรมนะ มันเป็นการปล่อยปะละเลย ทำให้เราทั้งหลายเสียกาลเสียเวลานะ ปล่อยให้กาลเวลาผ่านไปเปล่า ๆ กาลเวลามันกลืนกินเรา ทำให้เราแก่เราเฒ่าเราชราไปเปล่า ๆ นี้คือความไม่รู้ไม่เข้าใจ เลยพากันตั้งอยู่ในความเพลิดเพลิน ในความหลง ความประมาท ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสโอวาทครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพาน
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
เราทั้งหลายให้เราเห็นคุณค่าในทรัพยากรที่ประเสริฐ ที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์
เราทั้งหลายต้องหยุดตัวเองพัฒนาตัวเองให้เข้าถึงความว่างด้วยศีล ให้เข้าถึงความว่างด้วยสมาธิ ให้เข้าถึงความว่างด้วยปัญญาที่เป็นบริสุทธิคุณ
เราคิดดูดี ๆ นะ ทกอย่างนั้นจึงเป็นสิ่งที่สัญจรไปมาเท่านั้นนะ สิ่งเดิมแท้คือ ความว่างนะ สิ่งที่สัญจรไปมามันเป็นของชั่วครั้งชั่วคราวนะ
เราคิดดูดี ๆ สิเรามีตารูปมันถึงมี เรามีหูถึงมีเสียง เรามีจมูกถึงมีกลิ่น เรามีลิ้นถึงมีรส มีกายถึงมีสัมผัส มีใจถึงมีเรื่องจิตเรื่องใจ เราต้องรู้ว่าเพราะเหตุปัจจัยมันมี ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็จะไปของมันเรื่อย เราทั้งหลายจะหมุนไปผัสสะ หมุนไปตามสิ่งแวดล้อม นั่นแหละคือวัฏฏสงสาร นั่นแหละคือการเวียนว่ายตายเกิด
เราทุกคนกว่าจะรู้เข้าใจมันแก่ไปเสียแล้ว มันเจ็บไปเสียแล้ว มันตายไปเสียแล้ว
อริยสัจสี่... ทำไมพระพุทธเจ้าท่านเรื่องทุกข์ก่อนน่ะ ท่านไม่ได้พูดถึงเรื่องเหตุเกิดทุกข์นะ ท่านพูดถึงทุกข์ก่อน ท่านพูดเรื่องทุกข์ พูดเรื่องเห็นในวัฏฏสงสาร เห็นภัยในการเวียนว่ายตายเกิด จะได้รู้ว่าทุกข์มันเกิดจากอะไร เกิดจากเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เกิดจากเราพากันเพลิดเพลินพากันประมาท มีความเป็นอยู่ด้วยความเพลิดเพลินด้วยความประมาท เกิดจากเราปล่อยปะละเลย ไม่เห็นความสำคัญในการประพฤติในการปฏิบัติที่ต้องโฟกัสตัวเอง ไม่ตั้งอยู่ในความเพลิดเพลินความประมาท
พระพุทธเจ้าน่ะถึงตรัสว่า ความประมาทความเพลิดเพลิน การไม่เห็นภัยในวัฏฏสงสารนี้เป็นความเสียหายมาก เป็นสิ่งที่สำคัญมากนะ ความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นเรื่องสำคัญ
อย่างมนุษย์รวยหรือว่าเทวดารวยพระพรหมรวยนี้มันไม่เห็นอริยสัจสี่นะ
นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายคนรวยทั้งหลายไม่เห็นอริยสัจสี่ ไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง มีแต่ความสะดวกความสบาย
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะมาตรัสรู้ท่านถึงมาประสูติตรัสรู้ในภพภูมิของมนุษย์ เพราะภพภูมิของมนุษย์นี้อยู่ได้ระหว่างศตวรรษหนึ่งคือร้อยปี
เรามีความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากอายุขัยก็อยู่ในระหว่างศตวรรษหนึ่งคือร้อยปี พอที่จะปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกันได้ ถ้าอายุสั้นอายุน้อยเกินไป ก็ยังตั้งหลักไม่ได้ ถ้าอายุมากเกินไปก็คิดว่าชีวิตนี้เป็นอมตะ
พวกมนุษย์รวย เทวดารวย พรหมรวยน่ะถ้าไม่สดับรับฟัง หรือว่าได้เรียนได้ศึกษาเรื่องวิทยาศาสตร์แล้วไม่ได้ศึกษาเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน มันจะไม่รู้เรื่อง อริยสัจสี่มันจะพัฒนาตั้งแต่วิทยาศาสตร์มีการเรียนการศึกษาเพื่อตัวเพื่อตน มีการทำงานเพื่อตัวเพื่อตน รับราชการเป็นนักการเมืองเพื่อตัวเพื่อตน เป็นพระศาสนาเป็นนักบวชก็เพื่อตัวเพื่อตน ทำอะไรก็เพื่อตัวเพื่อตน
เราทั้งหลายต้องรู้นะ ถึงต้องมาเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ ธรรมะคือความสงบ ธรรมะเป็นปัญญาความสงบ ธรรมะนั้นคือรู้อริยสัจสี่คือรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์
เราทั้งหลายต้องเป็นตัวของเราเอง ตัวของเราเองนั้นคือธรรมคือสภาวธรรมนะ ตัวของเราเองไม่ใช่นิติบุคคลตัวตนนะ ตัวของเราคือธรรมะคือธรรมชาติ คือความเป็นประภัสสรนะ ตัวตนคือความสงบตัวตนคือปัญญา ตัวตนนั้นน่ะคือรู้เรื่องธรรม รู้เรื่องสภาวธรรม ความสงบระงับสังขารทั้งหลายนั้นจึงจะเข้าถึงความสงบ เข้าถึงธรรม เข้าถึงความเป็นประภัสสรนะ พระนิพพานน่ะถึงเป็นสิ่งที่ว่าง เป็นสิ่งที่ว่างจากสิ่งที่มีอยู่เป็นความรู้ความเข้าใจ รู้เข้าใจว่าสิ่งที่จรไปจรมามันเป็นอาคันตุกะที่สัญจรไปสัญจรมา
ถามว่าการประพฤติการปฏิบัติน่ะปฏิบัติถึงไหนถึงจะได้หยุด
การปฏิบัติธรรมให้เข้าใจนะ การปฏิบัติธรรมไม่ใช่หยุดไม่ใช่ไปนะ มันเป็นความรู้ คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ มันเป็นความพอเพียงเพียงพอ มันเป็นการหยุดความปรุงแต่ง การปฏิบัติธรรมมันถึงไม่ใช่หยุดและไป มันเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ มันเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นบริสุทธิคุณ ไม่มีคำว่าหยุดไม่มีคำว่าไป
การประพฤติการปฏิบัติของเราให้เราเข้าใจนะ เราคิดคิดดี ๆ ที่เอาธรรมนำชีวิตจนหมดอายุขัย จนหมดลมหายใจ พูดดี ๆ กิริยามารยาทดี ๆ จนหมดลมปราณนั่นแหละ อาชีพก็เป็นอาชีพที่ดี ยกเลิกสิ่งที่ไม่ดีจนหมดลมปราณนั่นแหละ ใจคิดแต่เรื่องดี ๆ ประกอบด้วยปัญญาจนหมดลมปราณนั่นแหละจนหมดอายุขัยนั่นแหละ
ให้เข้าใจในเรื่องการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเรายังคิดว่าหยุดหรือไม่หยุดนี้ มันเป็นตัวเป็นตนนะ มันยังเป็นความปรุงแต่ง ให้เรารู้ให้เราเข้าใจนะ
พระนิพพานนี้ไม่มีสภาพของความปรุงแต่ง ไม่มีได้ไม่มีเสีย ไม่มีหยุดไม่มีไป ให้เรารู้ให้เข้าใจ
เราอยู่ที่ไหนมีธาตุทั้ง ๔ มีขันธ์ทั้ง ๕ มีอายตนะ ๑๒ นั่นแหละคือการปฏิบัติธรรม นั่นแหละคือความสงบ นั่นแหละคือปัญญา นั่นแหละคือพระนิพพาน เป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ เป็นความสงบเป็นปัญญา
เราต้องรู้เข้าใจ เราจะไปหาความสงบจากสิ่งที่ไม่มีน่ะ ความสงบจากสิ่งไม่มี มันจะมีประโยชน์อะไร อย่างคนตายนี้มันก็ตายแล้วไม่มีประโยชน์อะไร อย่างคนตาบอดก็ไม่มีประโยชน์อะไร อย่างคนหูหนวกนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร อย่างคนเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตก็ไม่มีประโยชน์อะไร เราต้องเข้าใจเรื่องพระนิพพาน พระนิพพานมันเป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ รู้เข้าใจว่าสิ่งที่สัญจรไปมาทางตาหูจมูก ลิ้นกายใจนั้นเป็นเพียงเหตุเพียงปัจจัยที่สัญจรไปมาเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
เราจะอยู่ที่ไหนเราก็ต้องพากันเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม เราจะได้รู้จักหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ มาเสียสละความไม่ถูกต้องให้มันถูกต้อง เสียสละวัฏฏสงสารที่เราท่องเที่ยวมานาน อะไรมันจะอร่อย อะไรมันจะหรอยจะแซบจะลำจะนัว ก็ช่างหัวมัน ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ท่านตรัสกับพสกนิกรชาวไทยและชาวต่างประเทศว่าอะไรก็ช่างหัวเผือกช่างหัวมัน ให้เข้าถึงความเพียงพอพอเพียง เราอยากให้มากมันก็ไม่มาก เราอยากให้น้อยมันก็ไม่น้อย เราจะไปวุ่นวายมันทำไม เราจะไปปรุงแต่งมันทำไม ไม่มีประโยชน์อะไร มันมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มี เหมือนทะเลไม่อิ่มด้วยน้ำเหมือนไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ มันหาเรื่องหาราวให้กับตัวเอง หาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น ศัพท์ว่าตัณหานี้ลึกซึ้งกินใจมาก เราต้องรู้เข้าใจ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชท่านตรัสอย่างนั้นนะ
เรารู้ข้อสอบ เราตอบด้วยการประพฤติการปฏิบัติ เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะเราไม่ต้องไปมีความทุกข์ ธรรมะเป็นที่ทำที่สุดแห่งความดับทุกข์
การประพฤติการปฏิบัติถึงเป็นปิติเป็นสุขเป็นเอกัคคตา ก้าวไปด้วยปิติสุขเอกัคคตา เมื่อมันผ่านไปแล้ว มันเกษียณแล้วเราก็ปล่อยก็วาง เพราะสิ่งที่มันผ่านไปแล้วมันเอากลับคืนมาไม่ได้ สิ่งที่ยังมาไม่ถึงก็มันอาจจะไปตามเราคิดหรืออาจจะไม่ไปตามเราคิด ไม่ต้องไปวิตกกังวล ปัจจุบันนี้แหละเราต้องเข้าสู่ความว่างจากความรู้ความเข้าใจ ชีวิตของเรามันจะเป็นพระนิพพานด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริงของอริยสัจสี่ มันจะเป็นสติปัฏฐาน มันจะเป็นกาย เวทนา จิต ธรรม
เรามามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการเจริญอริยมรรคที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาในปัจจุบัน ถ้าเราไม่มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราก็จะเป็นโรคซึมเศร้านะ เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
เราไปอยู่ไหนทำอะไรก็มีหลักการอย่างนี้ อย่าไปขี้เกียจขี้คร้าน เพราะความขี้เกียจขี้คร้านนั้นคือวัฏฏสงสาร ความขี้เกียจขี้คร้านนั้นคือตัวคือตน ทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยนั้นคือการปล่อยปะละเลยหน้าที่ การทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย มันคือบุคคลที่ตั้งอยู่ในความเพลิดเพลินความประมาทความหลง มันไม่ใช่การปล่อยวาง มันเป็นการปล่อยปะละเลย
เราอยู่ที่ไหน เมื่อเรารู้เข้าใจทุกคนก็พากันเป็นพระได้ด้วยความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติจนถึงหมดอายุขัย นี้เป็นความดีเป็นบารมี ๑๐ ทัศ ๒๐ ทัศ ๓๐ ทัศนะ
พระนั้นคือผู้รู้เข้าใจ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติทุกคนก็เป็นพระ ได้กันทั้งนั้น ไม่มีใครไม่เป็นพระ ผู้ที่ไม่เป็นพระคือผู้ที่เอาความหลงนำชีวิต ไม่เอาธรรมนำชีวิต คนนั้นแหละเป็นพระไม่ได้
ผู้ที่เป็นพระไม่ได้มีแต่คนบ้า เพราะคนบ้าน่ะ จะเป็นคนบ้ามาจากบุพกรรมเก่า หรือคนบ้าที่เอาตัวตนนำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิตนี้มันก็จะเป็นคนบ้า สมองมันก็จะเสีย เพราะตัวตนนั้นมันคือคนบ้า ความบ้าหรือตัวตน ความบ้าคือสมองเสีย ข้าราชการนักการเมืองเค้าไม่เอาเรื่องกับคนบ้าคนสมองเสีย ทางฝ่ายพระศาสนาเค้าก็ไม่เอาเรื่องกับคนบ้าคนสมองเสียน่ะ
เราเอาตัวเป็นที่ตั้งให้รู้นะ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งคือคนที่มีเชื้อบ้านะ
การบำเพ็ญบารมีไม่ใช่เราจะมาเอา เราจะมามี เราจะมาเป็นนะ เรามาเสียสละน่ะ มามีความสุขในการเสียสละ ถ้าเรารู้เข้าใจ เรามามีความสุขในการเสียสละ
ผู้ที่รู้เรื่องอริยสัจสี่ รู้เรื่องกรรมรู้เรื่องกฎแห่งกรรมรู้เรื่องผลของกรรม ให้เข้าใจนะคือผู้ที่เสียสละไม่เอาอะไรนะ ถ้าเราไม่เข้าใจเราก็จะมาเอา
เราเข้าใจนะ เราอยู่ดี ๆ เราก็มีทุกข์มากพออยู่แล้ว มีความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากพอแล้ว เราจะมาเอาอะไรอีก เรียนหนังสือก็เพื่อจะเอา ทำงานก็เพื่อจะเอา กายวาจากิริยามารยาทก็เพื่อจะเอา เราไม่เอายังไม่พอ เราต้องมีความสุขในการเสียสละอีกต่างหาก ให้เรารู้เข้าใจอย่างนี้นะ
การให้ทานก็คือการเสียสละ การให้ทานไม่ใช่เราจะมาเอาสวรรค์ เอาความร่ำความรวย เราจะมาเอาอะไรนะ เรามาเสียสละ ไม่หวังอะไรตอบแทน ไม่หวังให้เค้าชมเชยน่ะ ไม่หวังเค้าตอบแทนน่ะ มันไปหวังให้คนอื่นโอเค ให้คนอื่นเค้าอนุโมทนา เค้าจะไม่โอเคไม่อนุโมทนาก็ช่างหัวเค้า เราต้องเสียสละ เสียสละตัวเสียสละตนเสียสละในวัฏฏสงสาร เสียสละในการเวียนว่ายตายเกิด
เราคิดดูดี ๆ นะ การให้ทานการบริจาคทาน การให้ทานการเสียสละยังได้ ใบอนุโมทนา เพื่อไปยกเว้นภาษีน่ะ นี้ก็คือการให้ทานเพื่อยังหวังอะไรตอบแทน หวังได้ยกเลิกภาษีนะ ยังเป็นการอาบน้ำที่ไม่สะอาดบริสุทธินะ มันเป็นอาบน้ำด้วยน้ำหอม มันเป็นการอาบน้ำด้วยโคลนตม มันเป็นสิ่งที่ปฏิกูลนะ ไม่ใช่บริสุทธิคุณ ไม่สะอาดนะ ไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญานะ มันเป็นตัวเป็นตน
การทำอะไรหวังอะไรตอบแทน มันไม่ใช่บริสุทธิคุณนะ มันไม่ใช่ความสงบแท้นะ มันไม่ใช่ปัญญาแท้นะ ไม่ใช่สติ ไม่ใช่สัมปชัญญนะ มันแฝงด้วยตัวตนนะ
เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจการประพฤติการปฏิบัติของเราน่ะ มันจะเป็นความด่างความพร้อย ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ การดำเนินชีวิตของเรามันจะพังทลายเหมือนตึก สตง.นะ เห็นมั๊ย ตึก สตง. พังทลาย ชีวิตของเรา ถ้าเราไม่รู้อริยสัจสี่ ไม่รู้ไม่เข้าใจ ชีวิตนั้นย่อมพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้แหละ
ตึก สตง.อยู่ที่กรุงเทพมหานคร ตึก ๓๐ กว่าชั้น ตึก สตง.ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาความหลงนำชีวิตเอาทุจริตนำชีวิต ชีวิตมันเลยพังทลาย ชีวิตมันพังทลายนะ ตึกสตง.มันพังทลายด้วยนิติบุคคลตัวตนพังทลายด้วยทุจริตมันจะไปแก้ไขตั้งแต่ภายนอกมันจะไปพัฒนาตั้งแต่วิทยาศาสตร์จะไปเอาความสุขบนความหลง ชีวิตเลยพังทลายนะ
เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งน่ะ เราคิดดูดีๆ นะ ตึกใหญ่กว่าสูงกว่าตึก สตง.ตั้งหลายสิบตึกที่กรุงเทพมหานครที่ปริมณฑล เค้าไม่พังทลายเหมือนตึกสตง. เพราะพอที่จะรับน้ำหนักได้ ไม่ใช่ไม่โกงกินคอร์รัปชั่นนะ แต่เค้าโกงกินคอร์รัปชั่นน้อยพอที่จะรับแผ่นดินไหวจากมัณฑะเลย์ประเทศพม่า ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ประเทศพม่าห่างไกลกันตั้งนับพันกิโล
นี้ให้เรามองเห็นในแง่มุมความไม่ถูกต้องน่ะ ชีวิตที่เอาความไม่ถูกต้องนำชีวิตมันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้แหละ
เราทั้งหลายถึงต้องเป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เห็นภัยในวัฏฏสงสาร รู้จักความคิดรู้จักอารมณ์เหมือนท่านพระอาจารย์ลี ธัมมธโร วัดอโศการาม สมุทรปราการ ท่านรู้จักความคิดการปรุงแต่งของตัวเอง ท่านรู้จักว่าความปรุงแต่งนี้มันคือวัฏฏสงสารนะ ท่านรู้จักความปรุงแต่ง เพราะความปรุงแต่งมันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ชีวิตนี้ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง. เพราะมันไม่ถูกต้อง มันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง. นี้แหละ
ตึก สตง.ที่อยู่กรุงเทพมหานครอยู่เมืองหลวงอยู่เมืองกรุง เป็นศูนย์รวมของประเทศ เหมือนสมองเป็นศูนย์รวมของร่างกาย เหมือนหัวใจเป็นศูนย์รวมของสรีระร่างกาย
สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินที่บริหารประเทศ บริหารแผ่นดินไม่เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เอาแต่ความรู้เอาแต่วิทยาศาสตร์เอาแต่ตัวเอาแต่ตน ไปแก้แต่สิ่งภายนอก ไม่ได้แก้ตัวเองไปพร้อม ๆ กัน
การพัฒนาวิทยาศาสตร์มันต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันมันถึงถูกต้องนะ พัฒนาทั้งภายนอกภายในด้วยความรู้ความเข้าใจให้ครบวงจร อริยมรรคองค์แปดถึงเป็นความรู้ความเข้าใจ เพื่อการประพฤติการปฏิบัติมันจะได้สมบูรณ์ สมบูรณ์ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพด้วยความถูกต้อง
มันต้องรู้ธรรมรู้ปัจจุบันธรรม รู้ธรรมธรรมนูญน่ะ ถ้าเราไปจัดการแต่สิ่งภายนอก เราไม่ได้จัดการตัวเองมันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้นะ
การบริหารตัวเองบริหารบุคคลอื่น มันต้องรู้เข้าใจแล้วมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์
ถ้าเรามีปิติมีสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติมันก็ไม่มีความทุกข์อยู่แล้ว ด้วยความรู้ความเข้าใจ
เราต้องรู้จักการประพฤติการปฏิบัติ ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพ เราต้องเน้นมาที่ตัวเราในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อทำหน้าที่ของตัวเองให้มันสมบูรณ์ เราทั้งหลายจะไม่ได้พังทลายเหมือนตึก สตง.
ถ้าใครมีตัวมีตนบุคคลนั้นคือทุจริตนะ เราทั้งหลายจะได้รู้ว่าทุจริตนั้นคือตัวตนน่ะ ใครเอาตัวตนนำชีวิตบุคคลนั้นคือบุคคลที่ทุจริต เราต้องรู้จักธรรมรู้จักธรรมนูญ ปัญหาต่าง ๆ นั้นมันอยู่ที่ทุจริตนะ
การที่จะบริหารตัวเองบริหารบุคคลอื่นต้องยกเลิกทุจริต ถึงจะเป็นนักบริหารตัวเองนักบริหารคนอื่นด้วยการรู้เข้าใจในการบริหารในการปฏิบัติ
ตำแหน่งที่เค้าแต่งให้เราเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นตำแหน่งที่ให้เรามาเสียสละ มารับผิดชอบโฟกัสในการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ใช่ตำแหน่งที่ให้พวกเราทั้งหลายมาทุจริตนะ
ให้ถือว่ามันเป็นตำแหน่งที่ทรงเกียรติมีเกียรติมีศักดิ์ศรี เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันจะมีเกียรติมีศักดิ์ศรีได้อย่างไร ถึงพวกเราทั้งหลายจะพากันใส่สูทผูกเนคไทห้อยเหรียญตรา เป็นผู้ทรงเกียรติมันก็ไม่เป็นผู้ทรงเกียรตินะ มันเป็นผู้ทรงความหลงต่างหาก ทรงความโง่ความหลงงมงายต่างหากล่ะ
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเราจะเข้าถึงบริสุทธิคุณ เข้าถึงธรรมนูญเข้าถึงรัฐธรรมนูญไม่ได้ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันเป็นอบายมุขอบายภูมินะ มันตกอยู่ในภพภูมิของ ๓๑ ภพภูมิ
ในภพภูมิของวัฏฏสงสารนี้มีอยู่ ๓๑ ภพภูมิ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็จะอยู่ในระนาบของ ๓๑ ภพภูมินี้แหละ
เค้าถึงมีศัพท์ว่าคน คนนี้หมายถึงตัวถึงตน หมายถึง ๓๑ ภพภูมินี้แหละ ภพภูมิที่เวียนว่ายตายเกิดมีทั้งหมด ๓๑ ภพภูมิ
เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้ประพฤติปฏิบัติ เราจะไม่ได้ย่ำต๊อกกับความหลงที่มีศัพท์ว่า “คน” คนนี้ความหมายหมายถึงความไม่รู้ไม่เข้าใจ ความไม่รู้ไม่เข้าใจนั้น มันจะวกวนอยู่ที่เก่า มันจะเป็นผู้ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา สัมผัสกับอะไรก็ไปกับสิ่งนั้น ๆ อยู่ในภพภูมินั้น ๆ
เรารู้เราเข้าใจเราจะได้หยุดภพภูมินั้น ๆ ด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ด้วยความรู้ด้วยความเข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเค้าเรียกว่ามันหลง มันวกวนในความหลงอย่างนั้น จิตใจวกวน อย่างนั้นมันจะไปไหนไม่ได้ มันจะเป็นได้แต่เพียงคนเป็นได้แต่เพียงความหลง หัวใจของบุคคลนั้นมันจะอยู่ในระนาบแห่งความหลงหรือว่าหัวใจบ่อนคาสิโน เอาตัวตนเป็นที่ตั้งคือหัวใจบ่อนคาสิโน หัวใจบ่อนทำลายความถูกต้อง หัวใจบ่อนความหลง
ให้เรารู้เข้าใจ เราจะได้เห็นภัยในความไม่ถูกต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสารด้วยปัญญาบริสุทธิคุณ ด้วยเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ พอใจยินดีมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิตหัวใจของเราทั้งหลายจะได้หยุดอบายมุขอบายภูมิ
เราทั้งหลายถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราทั้งหลายจะพากันคิดว่า ความสุขทั้งหลายได้มาจากสิ่งที่อำนวยความสุขความสะดวกความสบายด้วยการพัฒนาวิทยาศาสตร์ อันนี้จริงอันนี้ถูกต้อง ความสุขทั้งหลายมันอยู่พัฒนาหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์
เราทั้งหลายต้องมีสัมมาทิฐิเราต้องมีความรู้ความเข้าใจพัฒนาวิทยาศาสตร์ก็ต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน ถ้าเราพัฒนาวิทยาศาสตร์มันก็ยังเป็นนิติบุคคลตัวตนอยู่
เราต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันด้วยความรู้ความเข้าใจเราทั้งหลายน่ะ ถึงเป็นการพัฒนาครบวงจรด้วยความรู้ความเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจก็จะเอาความหลงนำชีวิตเอาวิทยาศาสตร์นำชีวิต
เราต้องเอาทั้งวิทยาศาสตร์เอาทั้งจิตใจไปพร้อม ๆ กันนะ
เราอย่าไปคิดว่าประเทศสิงคโปร์นั้นน่ะประเทศเล็ก ๆ เท่าอำเภอหนึ่งของเมืองไทยก็ไม่ได้ เค้าพัฒนาหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์เป็นหนึ่งของเอเชียเพราะเค้าตั้งบ่อนคาสิโน มาเก๊าส่วนหนึ่งของประเทศจีนเค้าก็รวยเพราะเค้าพัฒนาตามหลักเหตุตามหลักวิทยาศาสตร์
พวกเราทั้งหลายเมื่อมีปัญญาแล้วต้องรอบคอบนะ มีปัญญาแล้วต้องรอบคอบ อย่าลืมว่าชีวิตของเรามันเป็นรายรับรายจ่ายนะ เราไปจับหางงูเดี๋ยวงูมันจะมากัดเรา งูพิษมันจะมากัดเรานะ การที่เราเอาหลักการอุดมการณ์มันดีแล้วถูกต้องแล้ว เราต้องมีหลักการมีอุดมการณ์แล้วก็มีอุดมธรรมนะ หลักการอุดมการณ์มันดีแล้วถูกต้องหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์น่ะ แต่ต้องไม่ทิ้งอุดมธรรมนะ
เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเอาความรู้สึกที่เอาตัวเป็นที่ตั้งมันเป็นหลักการเป็นอุดมการณ์แล้วอุดมด้วยความหลงนะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราเอาทั้งหลักการอุดมการณ์แล้วก็ยกเลิกอุดมหลงนะ
ให้เอาอุดมธรรมให้เอาธรรมเอาธรรมนูญมันถึงจะสมบูรณ์เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี เราอยากได้มากมันก็ไม่มาก เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อย เราต้องรู้จักความพอดีเข้าสู่ความสมดุลทั้งรายรับรายจ่าย
เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี การประสูติของพระพุทธเจ้าถึงเป็นวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ตรัสรู้ก็เป็นวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ
เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้รู้หลักการรู้อุดมการณ์แล้วก็อุดมธรรม เราอยู่ที่ไหนก็พากันปฏิบัติได้ เมื่อเรามีลมปราณ มีอายตนะภายใน ๖ ภายนอก ๖ มีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้
ให้รู้เข้าใจมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
อย่าไปคิดด้วยอวิชชาความหลงเอาแต่หลักการอุดมการณ์เอาแต่วิทยาศาสตร์น่ะ ถ้าเรารวย รวยความหลงมันไม่ดีนะ รวยความโง่หลงงมงายเรียกว่ารวยไสยศาสตร์มันไม่ดีนะ ไม่ใช่ความดีมันไม่ใช่บารมีไม่ใช่ปัญญาบริสุทธิคุณนะ มันเป็นความหลงนะ
ให้เรารู้เข้าใจ อย่าไปคิดว่าทำไมเราโง่ไปตั้งหลายปี ประเทศสิงคโปร์ประเทศ เค้าเล็กนิดเดียวเค้าตั้งบ่อนคาสิโนเค้ารวยกัน ประเทศมาเก๊าก็เหมือนกันเค้ารวยกัน
ประเทศสิงคโปร์เค้ามีหลักเหตุผลมีหลักวิทยาศาสตร์น่ะ เค้าคิดว่าประเทศสิงคโปร์มันเล็กนิดเดียว จะทำเกษตรกรรมก็ไม่ได้ จะทำอุตสาหกรรมก็ไม่ได้ ถ้าเราตั้งบ่อนคาสิโนด้วยหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์ก็รวยได้ เพราะคนในนี้โลกนี้มันคนมีความไม่ฉลาด เอาความหลงนำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิตมันมีมากถ้าเราตั้งบ่อนคาสิโน เราสามารถรวยได้ทางวัตถุ ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์เค้าถึงพากันตั้งบ่อนคาสิโน จะเรียกบ่อนคาสิโนก็ได้หรือเรียกบ่อนแห่งความหลงก็ได้ มันคืออันเดียวกัน
ให้เรารู้เข้าใจ ประเทศไทยเราแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลเราต้องรู้เข้าใจว่า เราทั้งหลายอย่ายินดีในการเอาความหลงนำชีวิต อย่าไปยินดีในการเอาบ่อนคาสิโน นำชีวิตนะ
พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ศาสดาทุกศาสนาเค้ามายกเลิกบ่อนคาสิโน มายกเลิกอบายมุขอบายภูมิ ให้เรารู้เข้าใจ ถ้าเรารู้เข้าใจ ทุกอย่างน่ะไม่มีปัญหา ปัญหาอยู่ที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจนะ
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็จะเป็นอบายมุขอบายภูมิ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ มันก็จะพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้นะ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ จะได้พากันเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม จริตทั่ว ๆ ไปอานาปานสตินี้ใช้ได้ เป็นหลักการ เป็นอุดมการณ์อุดมธรรม
ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายนะ ท่านทั้งหลายเป็นผู้ประเสริฐเป็นผู้มีลมปราณได้รับทรัพยากรที่ประเสริฐได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ให้เอาชีวิตที่ประเสริฐนี้มามีปิติ มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารให้กับตัวเอง ด้วยความรู้ความเข้าใจ จุดมุ่งหมายของเราน่ะคือพระนิพพานที่เป็นบริสุทธิคุณ ให้รู้เข้าใจชีวิตของเราเป็นสิ่งที่ประเสริฐ
ให้ระลึกถึงโอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านตรัสไว้เป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เพื่อให้สติให้ปัญญา
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น
การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติ การปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพาน ตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัยพระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน
ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะ
บุญกุศลที่พุทธบริษัททั้งหลายได้บำเพ็ญในวันที่ผ่านมาและวันนี้ขอมอบถวายหลวงปู่ริว รุจิลาโภ เพื่อไปสู่สุคติสรวงสวรรค์คือมรรคผลนิพพาน
ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายผู้ที่ประเสริฐ ผู้ที่มีลมปราณ ได้รับโอกาสพิเศษด้วยอายุขัยใน ๑ ศตวรรษ หนึ่งร้อยปี ถ้าเราทำดี ๆ พัฒนาทั้งใจทั้งวัตถุไปพร้อม ๆ กันมากกว่าร้อยปี ด้วยเอาบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจเข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ยังไม่ตาย ไม่ได้รอพระนิพพานในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบันนี้แหละ เป็นสิ่งที่แน่นอนกว่า
----------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๑๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา