๒๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๒๒ เดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม
มนุษย์เราทุกคนคือผู้ที่ประเสริฐ เราจะประเสริฐได้เราก็ต้องเอาธรรมนำชีวิต ถ้าเราเอาตัวเอาตนนำชีวิตเราก็ไม่ประเสริฐ เพราะตัวตนนั้นมันไม่ประเสริฐ
พวกเราที่เป็นมนุษย์ทั้งหลายต้องพากันเข้าใจนะ ว่าเอาตัวเอาตนนำชีวิตนั้นมันไม่ถูกต้อง ความไม่ถูกต้องนั้น มันจะสร้างปัญหาให้กับตัวเอง สร้างปัญหาให้กับผู้อื่น ปัญหานั้นก็ได้แก่ความทุกข์ ถ้ามีตัวมีตนก็มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์นั้นไม่มี
เราต้องพากันรู้พากันเข้าใจ เพื่อเอาธรรมนำชีวิต พัฒนาให้เป็นทางสายกลาง พัฒนาวัตถุ การจะสร้างวัตถุนั้นเราก็ต้องมีความรู้ความเข้าใจ ความรู้ความเข้าใจนี้ เป็นสิ่งที่สำคัญ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราก็สร้างวัตถุไม่ได้
มนุษย์เราถึงมีการเรียนการศึกษาทั้งหมด ๑๘ ศาสตร์ ทางวัตถุเราเรียนเราศึกษาทั้งหมด ๑๘ ศาสตร์ เพื่อความรู้ความเข้าใจ แล้วก็เรื่องจิตเรื่องใจ เพื่อให้ใจรู้เข้าใจ เพื่อเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์คู่กับเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน พัฒนาวิทยาศาสตร์ พัฒนาวัตถุ พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันเป็นทางสายกลาง
ต้องเอาธรรมนูญนำชีวิต การปกครองตัวเองต้องเอาธรรมนูญนำชีวิต การปกครองคนอื่นภาพรวมของประชาชนของมหาชนเอารัฐธรรมนูญนำชีวิต
ทุกคนต้องรู้เรื่องกรรม รู้กฎแห่งกรรม รู้ผลของกรรม อุปกรณ์ทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพมันเป็นกรรม เป็นกรรมกร เป็นอุปกรณ์ ทุกอย่างมันเป็นกรรม เป็นกฎแห่งกรรม แล้วก็เป็นผลของกรรม
เรื่องความเคารพเรื่องคารวะในธรรมนี้ถึงเป็นเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะธรรมะนั้นคือกรรม คือกฎแห่งกรรม คือผลของกรรม คือความถูกต้อง เราจะเอาความชอบใจ เอาความไม่ชอบใจนำชีวิตนั้นไม่ได้ เอาความดีใจเสียใจนั้นไม่ได้ เราต้องมีสติมีปัญญา สติกับปัญญานั้นเป็นความรู้ความเข้าใจ จะได้หยุดกรรม หยุดกฎแห่งกรรมหยุดผลของกรรม
การดำเนินชีวิตของเราทุก ๆ คนต้องอยู่เหนือความชอบใจและความไม่ชอบใจ อยู่เหนือผิดเหนือถูก เหนือดีเหนือชั่ว ต้องหยุดความปรุงแต่ง เพราะความปรุงแต่งนั้น มีผิดมีถูก มันมีดีมีชั่ว หรือว่าไม่มีผิดไม่มีถูก ไม่มีดีไม่มีชั่ว
ความเคารพในธรรม ในธรรมชาติ ในสภาวธรรมนี้คือความเป็นประภัสสรของความเป็นจริง อย่างความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากเป็นประภัสสร มันเป็นกฎแห่งกรรม เป็นผลของกรรม มันเป็นธรรมชาติ
เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจนั่นแหละคือการลิดรอนสิทธิ การลิดรอนสิทธินั้นคือความไม่ถูกต้อง ไม่ใช่ความสงบ การมาสงบระงับสังขารทั้งหลายคือการมาหยุดความปรุงแต่งทั้งหลายมันถึงเป็นความสงบ ความสงบกับความเคารพถึงเป็นอันเดียวกันนะ
การปฏิบัติธรรมะนั้นถึงไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ไม่มีลับหลังและต่อหน้ามันเป็นบริสุทธิคุณ มันเป็นความสงบ มันเป็นความเคารพ มันเป็นความหยุดความปรุงแต่ง ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ศีลสมาธิปัญญาเป็นอุปกรณ์ เป็นกรรมกรที่มาหยุดความวุ่นวาย มาหยุดความไม่สงบ หรือมาหยุดวัฏฏสงสารด้วยความรู้ความเข้าใจ
พรหมจรรย์นั้นหมายความถึงบริสุทธิคุณ ไม่มีตัวไม่มีตนนั้นถึงจะเป็นพรหมจรรย์ ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ไม่ยกเลิกสักกายทิฏฐิ มันก็เป็นตัวเป็นตน มันก็ยกเลิกวัฏฏสงสารไม่ได้ ยกเลิกตัวยกเลิกตนไม่ได้ เราก็จะเป็นคนไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา มีแต่อัตตามีแต่ตัวมีแต่ตน มันจะมีศีลมีสมาธิมีปัญญา จะเป็นสัมมาทิฏฐิไปไม่ได้ เพราะมันเป็นตัวเป็นตน
เราทั้งหลายพากันมาคิดดูดี ๆ นะ ทำไมมนุษย์เราประพฤติผู้ปฏิบัติธรรมะ มันถึงไปไม่ได้ เพราะความไม่รู้ไม่เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติธรรม มันถึงไปไม่ได้เพราะมันไม่ถูกต้อง มันไม่ถูกต้องมันจะไปได้อย่างไร เพราะมันไม่ใช่ทาง เพราะมันไม่มีทาง มันเป็นทางตัน ถึงมีศัพท์ว่าตัณหาน่ะ มันหาเรื่องหาราวให้กับตัวเองหาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น ศัพท์นี้ลึกซึ้งมาก กินใจมาก
ตัวตนนั่นแหละ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่ามันหาเรื่องหาราวให้กับตัวเอง หาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น มันหาทุกข์ให้กับตัวเอง มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มีเลย เปรียบเสมือนทะเลมหาสมุทรที่ไม่อิ่มด้วยน้ำ เปรียบเสมือนไฟที่ไม่อิ่มด้วยเชื้อเพลิง มันบกพร่องอยู่เป็นนิจ เมื่อมันหาเรื่องมันก็ต้องได้เรื่อง ให้เรารู้เข้าใจนะ
ความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เห็นภัยในวัฏฏสงสารถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ
คำว่าพระหมายถึงผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ถ้าเราไม่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราจะเป็นพระได้อย่างไร เพราะว่าพระคือผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เมื่อไม่เห็นภัยในวัฏฏสงสารก็มาจากสาเหตุที่ไม่รู้ความจริง ไม่รู้อริยสัจสี่ เป็นเหตุให้เพลิดเพลินให้ประมาท เอาความหลงนำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิต
การประพฤติการปฏิบัติธรรมต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปทั้งต่อหน้าและลับหลัง ถึงเป็นคุณธรรมเป็นคุณสมบัติของพระอริยเจ้าผู้เอาธรรมนำชีวิต
ถ้าเราไม่ละอายต่อบาปไม่เกรงกลัวต่อบาป มีความเพลิดเพลิน ดีอกดีใจในบาป ในกรรมในเวรในภัย มันจะมีสติมีปัญญาได้อย่างไร
เราพากันคิดดูดี ๆ นะ คิดจนหัวจะแตกระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ ระเบิดเป็นผุยฝง มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะมันไม่ละอายต่อบาปไม่เกรงกลัวต่อบาป ไม่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร มันไปติดอกติดใจ พออกพอใจในวัฏฏสงสาร เป็นผู้ไม่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร จะได้บรรลุธรรมได้อย่างไร เพราะมันติดด่านของอวิชชาติดด่านแห่งความหลง
ผู้ที่จะบรรลุธรรมมันต้องผ่านความชอบต้องผ่านความชัง ผ่านความได้ ความมีความเป็น หมายถึงผ่านความชอบใจไม่ชอบใจ ความชอบใจไม่ชอบใจให้เราพากันเข้าใจ นี้มันคือความปรุงแต่ง นี้มันเป็นความหลง
เราไม่ใช่จะมาเอาความชอบใจความไม่ชอบใจนำชีวิตนะ เราต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นผู้ละอายต่อบาปความเกรงกลัวต่อบาป เห็นภัยในวัฏฏสงสาร นี้คือบุคคลผู้รู้ธรรม รู้ความจริง รู้อริยสัจสี่ คือรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เห็นภัยในวัฏฏสงสาร มีความเคารพ มีความคารวะในธรรมในคารวธรรม สติกับปัญญาถึงจะเริ่มต้นเป็นหลักการ อุดมการณ์อุดมธรรม เป็นเหตุเป็นปัจจัย เป็นปัญญาคู่กับความสงบ
ความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เพราะความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติเป็นวาระสำคัญแห่งชาติ เป็นวาระสำคัญในเรื่องปัจจุบัน เรื่องปัจจุบันธรรม
การประพฤติการปฏิบัติธรรมมันต้องติดต่อต่อเนื่อง ไม่ให้ขาดสาย ไม่ให้ขาด ไม่ให้ด่าง ไม่ให้พร้อย มันต้องติดต่อต่อเนื่องกันเป็นกระบวนการของศีลสมาธิปัญญา ไม่ขาด ไม่ด่าง ไม่พร้อย ไม่ทะลุ ไม่เศร้าหมอง ถ้าไม่ติดต่อต่อเนื่องมันเป็นศีลขาด ศีลด่าง ศีลพร้อย เป็นสมาธิขาดด่างพร้อย เป็นปัญญาขาดด่างพร้อย
เราดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูพระอรหันต์ขีณาสพทั้งหลาย ท่านเหล่านี้ ท่านเป็นมนุษย์ที่มีปัญญาสัมมาทิฐิ เป็นมนุษย์สีขาว คำว่าสีขาวนั้นหมายถึงความสะอาด สว่าง สงบ เป็นความสะอาด สว่าง สงบทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาททั้งใจ ความรู้ความเข้าใจนี้มันจะหยุดความปรุงแต่ง
กายวาจากิริยามารยาทใจของท่านจะหยุดความปรุงแต่ง เพราะเห็นภัยในวัฏฏสงสาร รู้เข้าใจในธรรมในสภาวธรรมในเรื่องความบริสุทธิ เรื่องความเป็นประภัสสร ท่านไม่มีเศร้าหมอง ไม่มีความหมองหม่น ไม่ซึมเศร้า
การประพฤติการปฏิบัติธรรมถึงเน้นไปที่บริสุทธิคุณ พระสมัยโบราณท่านถึงเน้นบริสุทธิคุณ เน้นที่เจตนาที่บริสุทธิคุณ เน้นที่ใจของท่าน เพราะกายวาจากิริยามารยาทมันเป็นเพียงกรรมกร เป็นอุปกรณ์ของชีวิต ต้นกำเนิดมันอยู่ที่เรื่องใจที่ไม่มีปัญญา ไม่มีสัมมาทิฏฐิ
ธรรมะเริ่มต้นเพื่อจะเป็นพระอริยเจ้าหรือเป็นพระพุทธเจ้าถึงเน้นเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องเจตนา มันไม่มีต่อหน้าและลับหลัง เน้นที่เจตนานะ
ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าใหม่ ๆ ท่านทรงบอกสอนความจริงในการเวียนว่ายตายเกิด ท่านบอกให้รู้ให้เข้าใจให้เกิดความสงบเกิดปัญญา เกิดปัญญาเกิดความสงบ ๒๐ พรรษาแรกท่านจะสอน ให้รู้ให้เข้าใจในเรื่องเหตุเรื่องปัจจัยในเรื่องเกิด ในเรื่องเวียนว่ายตายเกิดแล้วก็สอนเรื่องหยุดเกิด หยุดเวียนว่ายตายเกิด
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะพูดแต่เรื่องบริสุทธิคุณ กายวาจากิริยามารยาทอาชีพใจนั้นต้องบริสุทธิคุณ
ท่านถึงบอกผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย บอกว่าตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงพากันประพฤติพรหมจรรย์เถิด พรหมจรรย์นี้หมายถึงบริสุทธิคุณ เจตนานั้นถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เมื่อหลัง ๒๐ ปี ท่านถึงได้วางหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ได้วางสิกขาบทน้อยใหญ่แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ เพราะพระธรรมพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตรเป็นอุปกรณ์ชั้นดีชั้นเลิศ จะใช้ได้ทุกกาลทุกเวลา เป็นสิ่งที่ทันโลกทันสมัย
อย่างนี้แหละคิดดูมันเข้าใจง่ายอยู่นะ มันไม่ใช่เข้าใจยาก
อย่างคนแต่ก่อนสมัยโบราณ เค้าไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่รู้หนังสือก็พากันประพฤติปฏิบัติด้วยความรู้ความเข้าใจ ทำได้ปฏิบัติได้ เน้นที่ใจที่บริสุทธิ เน้นที่กายวาจากิริยามารยาทอาชีพที่บริสุทธิ ลงรายละเอียดทุกแง่ทุกมุม เอาใจใส่ ไม่ประมาท ไม่หลงไม่เพลิดเพลิน เพื่อให้หลักการอุดมการณ์อุดมธรรมมันติดต่อต่อเนื่องทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพใจ บริสุทธิคุณน่ะ
เมื่อเรามีความเคารพเราก็สงบ เมื่อเรามีคารวะเราก็สงบน่ะ เพราะอันนี้มันคืออันเดียวกัน
เอาตัวเอาตน เราคิดดูดี ๆ นี้คือความไม่สงบ ถ้ามีตัวมีตนแล้วมันก็ต้องไม่มีความสงบ เพราะตัวตนนั้นคือความไม่สงบนะ
เราถึงมีธรรมนำชีวิต เห็นภัยในวัฏฏสงสาร มีความละอายต่อบาป มีความเกรงกลัวต่อบาป มีความเคารพในธรรม
ไม่ตรึกในกาม เพราะกามนั้นคือความไม่สงบ เพราะกามนั้นคือตัวคือตน ไม่ตรึกในพยาบาท เพราะพยาบาทนั้นมันเป็นตัวเป็นตน
กิริยามารยาทก็ต้องลงรายละเอียด เพื่อเคารพในธรรมในคารวธรรม ความซื่อสัตย์ความบริสุทธินี้ถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ
เมื่อสมัย ๕๐ กว่าปีก่อนโน้น หลวงพ่อกัณหาได้อยู่กับท่านพระอาจารย์ชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง
ท่านอาจารย์ชา สุภัทโท ท่านเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เอาพระนิพพานเป็นเป้าหมายในการประพฤติการปฏิบัติ เป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ท่านเป็นผู้ที่งดงามสง่างามด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญาด้วยบริสุทธิคุณ กายวาจากิริยามารยาทใจของท่านงดงามสง่างาม เป็นความพอดี เป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นบุคคลหาได้ยาก หาไม่มี เป็นทั้งพระดีพระมีปัญญา
ท่านเน้นปาฏิโมกข์สังวร อินทรีย์สังวร อาชีพสังวรเพื่อเป็นบริสุทธิคุณ
กายวาจากิริยามารยาทอาชีพ เรื่องจิตเรื่องใจเป็นบริสุทธิคุณ การปฏิบัติของท่านไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ยกเลิกต่อหน้าและลับหลัง ไปอยู่กับท่านก็ไปดูท่านน่ะ ดูท่าน ดูในการประพฤติการปฏิบัติของท่าน เห็นการกระทำของท่าน การปฏิบัติของท่าน เอาบริสุทธิคุณนำชีวิต ทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาทอาชีพจิตใจนำชีวิต ท่านจะไม่ทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย เอาพระธรรมพระวินัยเอาข้อวัตรกิจวัตรนำชีวิต การปฏิบัติของท่านไม่มีต่อหน้าและลับหลัง
ท่านเอาบริสุทธิคุณนำชีวิต พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ที่รู้เข้าใจในพระไตรปิฎก ท่านจะเอามาใช้เอามาปฏิบัติทั้งหมดเลย ท่านเน้นที่ตัวของท่านเอง ไม่เน้นที่คนอื่น ท่านจะเน้นที่ตัวของท่านเอง ท่านได้บอกกับพระภิกษุสามเณรว่า ผมบอกสอนประพฤติปฏิบัติตัวเอง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์นะ ผมบอกสอนพวกท่านเพียง ๕ เปอร์เซ็นต์เท่านั้นนะ มันถึงพอไปได้
การที่ไปอยู่กับท่านก็ต้องปฏิบัติเหมือนท่าน เพื่อให้ติดต่อต่อเนื่อง ไปถือนิสัย ของท่าน นิสัยก็ได้แก่พระธรรมพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตร ยกเลิกความชอบความชัง ยกเลิกอัธยาศัย ไม่มีอัธยาศัยมีแต่พระธรรมพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตร
ไปอยู่ที่นั่นไม่มีใครได้ทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย เอาแต่พระธรรม เอาแต่พระวินัย ข้อวัตรกิจวัตร ความรู้ความเข้าใจข้อวัตรปฏิบัติเป็นอัตโนมัติเลย
หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา ในการประพฤติการปฏิบัติ ให้จับหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมเพื่ออบรมบ่มอินทรีย์ เราทั้งหลายต้องเข้าถึงศีลเข้าถึงสมาธิเข้าถึงปัญญาในปัจจุบัน ศีลสมาธิปัญญาในปัจจุบันมันจะเป็นบริสุทธิคุณ มันจะเป็นพระนิพพาน พระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรที่เรารู้เข้าใจที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เป็นบริสุทธิคุณ มันจะเป็นพระนิพพานน่ะ
ทำตามข้อวัตรปฏิบัติ ให้พากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ให้รักษาให้หมด เพื่อเอาความบริสุทธิคุณนำชีวิต เน้นที่ใจ ถ้าเราเน้นที่ใจที่เจตนา มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ชีวิตของเราในปัจจุบันในชีวิตประจำวันมันจะมีความสุข มีความสงบ เป็นชีวิตที่หยุดวัฏฏสงสารด้วยรู้อริยสัจสี่ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เราทั้งหลายจะเข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบันเลย เพื่อทำให้ละเอียดยิ่ง ๆ ขึ้นไป
เน้นที่บริสุทธิคุณ พวกกายวาจากิริยามารยาทอาชีพนั้นเป็นเพียงอุปกรณ์ของชีวิตแค่นั้นเอง ให้รู้เข้าใจว่ากายวาจากิริยามารยาทอาชีพ มันเป็นอุปกรณ์ มันจะเป็นแรงงาน แรงงานทำงาน ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ
ได้อยู่กับท่าน ได้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ เห็นทั้งคนดีคนไม่ดี เห็นทั้งคนเป็นโรคประสาทโรคจิต เห็นทั้งคนดีเห็นทั้งคนผีบ้า เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันคือคนบ้าคนผีบ้า
อย่างคนเป็นโรคประสาทหรือคนเป็นผีบ้านี้ ท่านพระอาจารย์ชา จะไม่ให้เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา ท่านจะให้คนพวกนี้ทำงาน งานภายนอกที่มันมองเห็นด้วยตา ทำงานที่ฟังได้ด้วยหู ให้ทำงานภายนอก ท่านจะไม่ให้เดินจงกรมนั่งสมาธิให้ทำงาน มีความสุขในการทำงาน เมื่อใจไม่สงบก็ให้กายมันสงบ เมื่อใจไม่สงบก็ให้วาจากิริยามารยาทมันสงบ เมื่อใจไม่สงบก็ต้องเอาข้อวัตรข้อปฏิบัติ ทำอะไรตามพระธรรมพระวินัยข้อวัตรข้อปฏิบัติ เพื่อจะได้เอากรรมกร มามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการทำงาน เมื่อเรามีความสุขในการทำงานใจมันก็จะสงบไปด้วย
พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ข้อวัตรกิจวัตรนี้เราต้องเข้าใจนะมันเป็นอุปกรณ์เป็นกรรมกร เป็นการประพฤติการปฏิบัติที่จะเราเกิดความสงบเกิดปัญญา เกิดปัญญาเกิดความสงบ จะได้สะอาดทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาททั้งใจ เราจะได้เข้าถึงธรรมถึงคารวธรรม เราจะได้เข้าถึงความเคารพหรือความสงบ เข้าถึงคารวธรรม
เพื่อให้ใจของเรามีความสุขอยู่กับการกับงาน ให้ใจของเรามีความสุขกับการทำข้อวัตรกิจวัตร มนุษย์เราต้องมีความสุขมีปิติมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราไม่มีปิติไม่มีความสุขไม่มีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ชีวิตของเรามันจะเป็นทุกข์ มันจะซึมเศร้า
เพราะคนบ้าคนผีบ้า ขนาดมองด้วยตา เห็นด้วยตา ฟังด้วยหูนี้มันยังปฏิบัติไม่ได้ มันต้องอาศัยภาคบังคับ อาศัยภาคบำบัด
พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ข้อวัตรกิจวัตรมันเป็นภาคบังคับภาคบำบัดนะ เราติดยาเสพติดยาเสพติดนี้เราต้องเข้าสู่ภาคบังคับภาคบำบัดนะ
ภาคบังคับภาคบำบัดต้องปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง การปฏิบัติอะไรติดต่อต่อเนื่อง ๓ อาทิตย์ขึ้นไปถึงจะเห็นผล
อย่างเราตอนต้นไม้ให้ออกรากมันก็ ๓ อาทิตย์ อย่างไก่ฟักไข่ ฟักด้วยแม่ของไก่หรือฟักด้วยไฟฟ้ามันก็ ๓ อาทิตย์ ถ้าเราไม่ทำอะไรติดต่อต่อเนื่องมันจะไม่มีหลักการ ไม่มีอุดมการณ์อุดมธรรม
เราทั้งหลายพากันเข้าใจนะ มันจะไปตามสิ่งแวดล้อม ไปตามผัสสะ ไปตามอายตนะทั้งทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ การทำอะไรต้องติดต่อต่อเนื่องถึงมีหลักการสติปัฏฐานทั้ง ๔ ด้วยเอาพระธรรมพระวินัยนำชีวิต
เราต้องเข้าใจ ทำไมเค้าถึงให้เด็กน้อย ๆ รุ่นเดียวกันไปเข้าโรงเรียนอนุบาล เพราะมันเป็นหลักการเพื่อติดต่อต่อเนื่อง ทำไมเค้าถึงเอาเด็กประถมไปรวมกัน ทำไมเอาเด็กมัธยม อุดมศึกษาไปรวมกัน เพราะนี้จะเข้าสู่หลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ถ้าไม่มีหลักการไม่มีอุดมการณ์อุดมธรรมมันก็ไปไม่ได้ หลักการปกครองตัวเอง ปกครองคนอื่นนี้ถึงเป็นธรรมเป็นธรรมนูญ หลักธรรมนูญถึงมีหลักการปรับไหมจำคุกหรือประหารชีวิต ทางบ้านเมืองก็มีหลักการปรับไหมจำคุกประหารชีวิต ทางพระศาสนาก็มีหลักการปรับไหมจำคุกประหารชีวิตเช่นเดียวกัน
หลักทางพระศาสนา อย่างเช่นอาบัติสังฆาทิเสสก็ต้องมีการเข้ากรรมอยู่กรรม จะออกจากกรรมอย่างนี้ก็ต้องมีคณะสงฆ์ไม่ต่ำกว่า ๒๐ รูปขึ้นไป ประหารชีวิตนี้ก็หมายถึงไม่ให้เป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ให้พากันไปใส่เสื้อใส่กางเกงให้เป็นฆราวาสที่ดี ไม่ให้เป็นนักบวชโกนหัวห่มผ้าเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างนี้เรียกว่าประหารชีวิต คือตายจากนักบวช ไม่ให้เลียนแบบเพื่อหาอยู่หากิน หรือว่าเพื่อหาอยู่หาหลง
เราต้องเข้าสู่หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ ความรู้ต้องเป็นคู่การประพฤติการปฏิบัติ
เราคิดดูดี ๆ นะ อย่างโครงการเรื่องสิ่งเสพติดทุกชนิด โครงการของเมืองไทยทำมาเกือบร้อยปีก็ยังทำไม่ได้ มันก็ยิ่งมากขึ้นยิ่งกว่าเก่า
เรามีหลักการมีอุดมการณ์แต่ไม่มีการประพฤติการปฏิบัติ นี้คือสูญเปล่าคือโมฆะ มันเป็นความรู้ไม่ได้คู่การประพฤติการปฏิบัติ
อย่างการสวมหมวกกันน็อคอย่างนี้แหละ มอเตอร์ไซด์เข้ามาในเมืองไทยประเทศไทย ไม่ต่ำกว่า ๖๐ ปี ขณะนี้เวลานี้ก็ยังทำไม่ได้ เรื่องสวมหมวกกันน็อคนี้ ที่ให้ประชาชนผู้ขับขี่จักรยานยนต์เพื่อสะดวกในการสัญจรไปมา ได้ออกกฎหมายบังคับตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๒๕ ขณะนี้เวลานี้มันก็เป็นเวลาจวนจะ ๕๐ ปีแล้วก็ยังพากันทำไม่ได้
ถ้าเรารู้เข้าใจว่า การทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยนี้ไม่ได้ มันเป็นความเสียหายทั้งตัวเราและส่วนรวม มันไปไม่ได้ ชีวิตของเรามันไปไม่ได้นะ ชีวิตนี้มันพังทลายเหมือนตึก สตง.ของเมืองไทยนี้แหละ
เราต้องเข้าใจ ทุกคนต้องเข้าใจ ไม่ใช่เข้าใจเฉย ๆ ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็จะไปของมันด้วยความไม่ถูกต้องอย่างนี้แหละ
พูดอย่างนี้ไม่ใช่คนบ้าจี้นะ เป็นคน “ดีจี้” น่ะ จี้ให้รู้ให้เข้าใจว่า เราทั้งหลายต้องทำให้ถูกต้อง เพื่อหยุดในสิ่งไม่ถูกต้อง
คนเป็นบ้าคนผีบ้า ตามองเห็นอยู่ก็ยังปฏิบัติไม่ได้เพราะเอาตัวตนนำชีวิตมันก็ปฏิบัติไม่ได้ หูได้ฟังได้ยินอยู่ก็ปฏิบัติไม่ได้เพราะเอาตัวตนนำชีวิตมันปฏิบัติไม่ได้แน่นอน ให้รู้ให้เข้าใจนะ มันจะไปทำในสิ่งที่มองไม่เห็นได้อย่างไร ต้องเอาเรื่องปัจจุบันที่มันมองเห็นด้วยตาฟังด้วยหูต้องปฏิบัติให้มันได้
หลักการอย่างนี้เช่นนี้ถึงจะแก้คนบ้าคนผีบ้าได้นะ
เช่น มีคนไม่ได้สติคนเป็นบ้ามาหาท่านพระอาจารย์ชา สมัยก่อนมันไม่มีกล่องไม้ขีดไฟที่เป็นกล่องไม้ขีดที่โบราณ แต่ทุกวันนี้จะมีหรือไม่มีไม่รู้น่ะ เพราะการพัฒนาประเทศพัฒนามาไกลแล้ว การพัฒนาวิทยาศาสตร์นั้นมาไกลแล้ว
คนโบราณเค้าจะก่อไฟ สมัยโบราณเค้าก็เอาเหล็กกับหินมาตีกันให้มันเป็นแสงไฟแล้วเค้าจะใส่นุ่นใส่สำลีในการก่อไฟ สมัยต่อมาเค้าก็พัฒนาวิทยาศาสตร์มีไม้ขีดไฟ มีกล่องไม้ขีดไฟ นับดูกล่องนึงมันจะมีอยู่ ๖๐ ก้านที่เค้าขายกันอยู่ในตลาดเพื่ออำนวยความสะดวกความสบายในการก่อไฟ
หลวงพ่อกัณหาก็มองดูท่านอาจารย์ที่คนบ้ามาหา ท่านอาจารย์ชาจะทำอย่างไรท่านอาจารย์ชาท่านก็พูดดี ๆ ยื่นกล่องไม้ขีดให้น่ะ แล้วท่านก็แกล้งทำกล่องไม้ขีดร่วงลงกับพื้น ท่านอาจารย์ชาก็บอกให้คนบ้านั้นนับดูว่ามันมีทั้งหมดกี่ก้าน ท่านอาจารย์ชาก็จะให้นับแล้วนับอีกว่ามันถูกต้องมั๊ย คนบ้านับเสร็จแล้วเค้าก็จะบอกน่ะ ท่านอาจารย์ชาก็บอกว่า เฮ้ยยังไม่แน่ อาจจะนับผิด ให้นับใหม่ทำอย่างนี้หลาย ๆ ครั้งเมื่อใจมันเป็นหนึ่งเพื่อไม่ให้มันหลง ทำอย่างนี้หลาย ๆ ครั้งใจมันก็จะสงบน่ะ สมถะนี้ก็คือข้อวัตรข้อปฏิบัติ คือศีลคือสมาธิ เพราะธรรมะเป็นอริยมรรค ความสงบมันเป็นสมถะ ใจอยู่กับเนื้อกับตัวอยู่กับการกับงาน มันหยุด ความปรุงแต่ง มันสงบ เป็นสัมมาปฏิปทา
ท่านสอนว่า ต้องไม่เคร่งเพราะความอยากความต้องการ ไม่หย่อนตามใจ ตามอัธยาศัยตามความหลง พระธรรมพระวินัยแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ข้อวัตรกิจวัตร เป็นสิ่งที่เราทุกคนจะปรับเข้าหาการประพฤติการปฏิบัติต้องมีความเคารพมีความคารวะ เน้นมาที่ใจของเราทุก ๆ คน
อย่างครั้งหนึ่งพระเอกพงษ์น่ะ เป็นคนเก่งคนฉลาดเป็นคนดี คนดีคนเก่งคนฉลาดมันก็ไปจับผิดแต่คนอื่น เพราะทุกคนถ้าเอาตัวตนเป็นที่ตั้งส่วนใหญ่มันก็มีความผิดทั้งนั้น มันก็ไปจับผิดคนอื่นเค้า ไปจับผิดเค้าหลายวันหลายเดือนหลายปีมันก็เครียด เครียดมันก็เกิดพยาบาท เพราะจิตส่งออกภายนอก ความสงบกับปัญญามันไม่เสมอกัน เป็นคนฉลาดแต่ไม่มีความสงบ มันเสียออกซิเจน สมาธิกับปัญญา มันไม่เสมอกัน มันฟุ้งซ่าน เห็นใครก็ผิดหมด เพราะทุกคนเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็มีความผิดอยู่แล้ว
พระเอกพงษ์โมโหอยากจะฆ่าทุกคนให้หมดไปจากโลกนี้ เอามีดมาลับอย่างคม เอาขวานขนาด ๔ นิ้วลับอย่างนี้ จ้องมองพระมองโยม จะฆ่าให้เรียบเลย เพราะพวกนี้ไม่เอาธรรมนำชีวิต เอาตัวเอาตนนำชีวิต อยู่ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ อยู่ที่วัดอุตรดิตถ์ธรรมาราม
ทางพระทางโยมวัดอุตรดิตถ์ธรรมาราม ก็มากราบเรียนหลวงพ่อกัณหาที่เด่นชัย ว่าพระเอกพงษ์เป็นประสาท เป็นโรคประสาท จะทำอย่างไร เพราะทุกคนก็กลัวฝนมีดนี้ขาวแว๊บเลย จะฟันคอใครจะปาดคอใคร ขวานอีกหนึ่งเล่ม อย่างนี้แหละ
หลวงพ่อกัณหาจึงได้ไปที่วัดอุตรดิตถ์ธรรมาราม จังหวัดอุตรดิตถ์
หลวงพ่อกัณหาก็ได้ไปหาพระเอกพงษ์ เพราะพระเอกพงษ์เคารพนับถือหลวงพ่อกัณหา หลวงพ่อกัณหาก็ไปบอกว่า เออ... พระเอกพงษ์เป็นพระดีมากเป็นพระมีปัญญามาก เดี๋ยวไปที่เด่นชัยนะ ไปประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่ที่เด่นชัย เพราะว่าพระดี ๆ ต้องไปอยู่ที่เด่นชัยประพฤติปฏิบัติที่เด่นชัย
หลวงพ่อกัณหาก็จำอุดมการณ์อุดมธรรมมาจากท่านอาจารย์ช่านั่นแหละ
หลวงพ่อกัณหาก็สั่งรถบรรทุกเอาดินมาให้ ๑๐ รถยนต์ ๖ ล้อ เอามากองไว้ที่วัดเพื่อให้พระเอกพงษ์ทำงาน
เมื่อดินมาถึงแล้ว หลวงพ่อกัณหาก็บอกว่าพระเอกพงษ์ว่าให้สร้างบารมีนะ ให้มีความสุขในการทำงาน ให้มีความสุขในการเสียสละ ให้มีความสุขในการทำงานให้เต็มที่เลย ให้เอาบุ้งกี๋ที่หามาให้ ๔,๕,๖ บุ้งกี๋ ตักดินใส่บุ้งกี๋แล้วก็เอาปูวัดปูหนาสัก ๑๐ เซนนะ เพราะวัดนี้หินมันอยู่ตื้น มันอยู่ลึกกว่าหน้าดิน ๑๐ เซนหรือ ๑๐ กว่าเซนเอง ต้นไม้จะได้สวยงามจะได้เขียวขจีเป็นเป่าดงดิบ
ก็ใช้หลักการนี้แหละ มีเก้าอี้ตัวหนึ่งให้พระเอกพงษ์ บอกว่าทำงานให้มีความสุข ถ้ามันอยากเทศน์ก็ไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ หันหน้าไปทางต้นไม้ทั้งหลาย เพราะวัดป่ากรรมฐานมันมีต้นไม้ทั้งหลายเต็มไปหมด ต้นไม้อยู่ห่างกันเมตรหนึ่งสองเมตรนี้เต็มไปหมด ให้เทศน์กับต้นไม้นั่นแหละ
เทศน์อย่างไรล่ะ... เทศน์กับต้นไม้ก็เหมือนเทศน์ให้ประชาชนฟังนั่นแหละ เทศน์ก็ท่านเทศน์ของท่านว่า ให้ทุกท่านทุกคนพากันนั่งให้สบายนะ นั่งให้สบายนั่งให้มีความสุข นั่งหายใจเข้าท่องพุทธ หายใจออกท่องโธ
คนเราถ้าเรามีความสุขในการทำงานมันก็สงบน่ะ ถ้าเรามีความสุขในการทำงานอะไรมันก็มีความสุข ถ้าเรามีความสุขในการทำอะไรมันก็สงบน่ะ เพราะความสงบกับความเคารพกับความสุขมันเป็นพรรคพวกเดียวกัน หลักการมันก็มีง่าย ๆ อย่างนี้แหละ
ให้พระเอกพงษ์ทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ พระเอกพงษ์ได้เกิดความสงบเกิดปัญญา เกิดปัญญาเกิดความสงบ ทำให้โรคจิตโรคประสาทโรคผีบ้านั้นหายไป มีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ
วัดหนองป่าพง การบวชที่วัดหนองป่าพง จะให้ผู้ที่มาบวชเป็นตาผ้าขาวเป็นนาคอยู่ตั้งหลายเดือน
วันหนึ่งน่ะ เห็นคนมาบวชนาคเป็นตาผ้าขาว นุ่งผ้าสีขาวน่ะ ผ้านุ่งเป็นสีขาวมีอังสะเหมือนพระ ผ้าขาวก็นุ่งเหมือนกับพระนี้แหละแต่มันต่างกันที่สีผ้า พระนี้สีเหลืองหม่นสีแก่นขนุน จะไปบวชที่นั่นน่ะ พ่อแม่ก็เอาไปฝากบวช พ่อแม่นี้ไม่มีสิทธิที่ว่าให้ลูกบวชวันโน้นวันนี้นะ
ไปอยู่ที่นั่นน่ะไปฝึกประพฤติปฏิบัติ เหมือนกับทหารนี้แหละ เหมือนฝึกทหารแต่ว่าละเอียดกว่าทหาร ประณีตกว่าทหาร ไปฝึกทั้งกายวาจากิริยามารยาทไม่ทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย ไม่ให้ใครทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย ให้เอาพระธรรมพระวินัยเอาข้อวัตรกิจวัตรเป็นหลัก ไม่มีการต่อรอง ไม่มีการขอโน่นขอนี่ ใครไปอยู่ที่นั่นน่ะ ไม่มีคำว่าขอ มีแต่การเสียสละ
วันหนึ่งน่ะตอนเช้า ก่อนแปดโมงนิดหน่อย มีงูกะปะที่มันเลื้อยอยู่ข้าง ๆ โรงฉัน นาคที่จะมาเตรียมบวชเป็นพระที่เป็นลูกของชาวบ้านเป็นลูกของประชาชนที่เอามาเตรียมบวช เห็นงูกะปะแล้วก็รีบวิ่งเข้าไปเอาไม้ตีงูทันทีเลย งูมันก็ต้องตาย ไม่มีใครห้ามไว้ทัน เพราะมันเป็นเรื่องกระทันหัน แล้วก็พูดว่างูนี้มันร้ายมาก งูนี้มันมีพิษมาก
คำว่าการมาบวชเป็นพระ มาประพฤติปฏิบัติเค้าต้องยกเลิกการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทุกอย่าง ฉันอาหารเสร็จวันนั้น ท่านพระอาจารย์ชาก็ให้นายคนนั้น คนที่จะมาบวชเป็นพระให้กลับบ้านไปเสีย ให้อยู่วัดอีกต่อไปไม่ได้ เพราะการมาประพฤติมาปฏิบัติ มันต้องเป็นบุคคลที่ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ยกเลิกการฆ่า ยกเลิกการเบียดเบียนทั้งต่อหน้าและลับหลัง ท่านบอกว่าการกระทำอย่างนี้แหละมันอันตราย มันมีพิษมันร้ายแรงกว่างูพิษเสียอีก ความไม่รู้ไม่เข้าใจมันเป็นพิษเป็นอันตรายยิ่งกว่างูพิษเสียอีก
ที่นี่เค้าไม่มีการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต มันจะเป็นตัวอย่างแบบอย่างในทางที่ไม่ดีไม่ถูกต้องให้กับคนอื่น เดี๋ยวคนอื่นจะเอาเป็นตัวอย่างแบบอย่าง ขนาดอยู่ต่อหน้าต่อตาพระพุทธปฏิมากร อยู่ต่อหน้าต่อตาท่านพระอาจารย์ชา อยู่ต่อหน้าพระภิกษุสามเณร นาคที่มาบวชหลายคน พระภิกษุสามเณรในปี ๒๕๑๓-๑๔ มีอยู่ประมาณ ๕๐ รูป ๖๐ รูป เพราะกุฏิมีจำกัดเท่านั้น
การปฏิบัติต้องอาศัยพระธรรมพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตร เป็นการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องเพื่อให้เป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี
สังเกตุดูท่านอาจารย์ชาน่ะ มีพระหลาย ๆ รูปอยากจะขอสงบ ขอวิเวก ขออดข้าว อดน้ำ วิเวกอย่างนั้น ท่านอาจารย์ชาก็บอกว่า เออ... เอามันพอดี ๆ ไปพร้อม ๆ กันนี้แหละ เน้นพระธรรมพระวินัย ข้อวัตรกิจเพื่อให้เป็นการปฏิบัติธรรมติดต่อต่อเนื่อง
ในพรรษาท่านอาจารย์ชาก็จะพูดว่าในปีนี้น่ะให้พากันทำความเพียรนะให้เจริญสติสัมปชัญญะ ข้อวัตรกิจวัตรอย่าให้ขาดตกบกพร่อง
พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่เริ่มต้นจากใจจากเจตนาจากความบริสุทธิออกจากใจอย่าให้ขาดตกบกพร่อง ในพรรษานี้แหละอย่าพากันพูดคุยกันเลย ในวัดนี้ให้พูดได้เฉพาะผมคนเดียว นอกจากนั้นไม่ต้องพูด เพื่อเราจะได้อยู่กับความสงบ เพื่อเราจะได้อยู่กับสติสัมปชัญญะ เพื่อเราจะได้อยู่กับเนื้อกับตัวเดินกลับกุฏิก็ให้เดินห่าง ๆ กันอย่าให้มันได้คุยกัน ถ้ารักคนไหนชอบคนไหนนิสัยถูกกันก็ไม่ต้องไปหากันคุยกัน ถ้าไม่รักคนไหนไม่ชอบคนไหนไม่เคารพคนไหนให้ไปหาคนนั้น ให้ไปอุปถัมภ์อุปัฏฐากคนนั้น อย่าเอาความรู้สึกนำชีวิต เอาความชอบความชังนำชีวิต ผู้ที่ไปบวชอยู่ที่นั่นเลยไม่รู้ประวัติกันลึกซึ้งว่าใครมาจากไหนเพราะไม่ได้คลุกคลีกัน เน้นที่การประพฤติการปฏิบัติของเราทุก ๆ คน
ส่วนใหญ่ก็จะไม่ค่อยรู้ไม่เข้าใจความหมายในการประพฤติการปฏิบัติเป็นการทำหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เน้นว่าใจไม่สงบก็ให้กายมันสงบใจไม่สงบก็ให้กิริยามารยาทของเราให้สงบ เน้นที่ข้อวัตรกิจวัตร ข้อวัตรข้อปฏิบัติ
ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจในจุดมุ่งหมายของการฝึกใจ เราก็จะไปคิดเอาอย่างคนเห็นแก่ตัว คิดว่าการที่พระพุทธเจ้าให้ทำอย่างนั้นปฏิบัติอย่างนั้น มันเป็นการปกครองของพระศาสนา เพื่อให้พระศาสนาร้อยกรองเป็นพวงมาลา เป็นระเบียบเรียบร้อย พระศาสนานั้นน่ะเน้นเรื่องจิตเรื่องใจ เน้นเรื่องบริสุทธิคุณทั้งต่อหน้าและลับหลังนะ ไม่ใช่เพื่อร้อยกรองสวยงามเพื่อให้คนอื่นเค้าเลื่อมใส
เราคิดดูดี ๆ สิ ทำอะไรเพื่อให้เค้าเคารพเลื่อมใสมันต้องอาบัตินะ กวาดวัดเพื่อให้วัดสะอาดเพื่อให้ประชาชนเคารพเลื่อมใสมันก็บาปอีก เดินจงกรมนั่งสมาธิเพื่อให้คนอื่นเค้าเคารพนับถือเลื่อมใสยอมรับมันก็บาป การประพฤติการปฏิบัตินี้ ไม่ให้เค้าเคารพเลื่อมใส เพราะเป็นหลักการในการฝึกใจเพื่อบริสุทธิคุณ เพื่อเราทั้งหลายจะไม่ได้ตามใจตนเองตามอารมณ์ตนเองตามความรู้สึกของตนเอง มันเอาศีลเอาธรรมเอาข้อวัตรปฏิบัตินำชีวิต เพื่อการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง
พระผู้มีปัญญาทั้งหลายผู้แก่เรียนทั้งหลายไม่เข้าใจพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็พากันคิดเอาเองตรึกเอาเอง ก็เมื่อท่านไม่ให้พูดก็เลยเขียนนั่นแหละ มองเห็นหน้ากันก็เขียนกระดาษส่งหากันเอง บางคนก็บอกว่าเราไม่เขียนก็ได้ พูดแต่น้อยไม่ให้รบกวนคนอื่นก็คิดอย่างนั้น อย่างนี้ก็ถือว่ายังไม่เคารพไม่คารวะในพระอาจารย์ชาน่ะ เพราะท่านบอกให้หยุด ให้สงบ ก็ยังเอาความรู้สึกนำชีวิต เอาปัญญาที่เป็นตัวเป็นตนนำชีวิต เมื่อยังมีตัวมีตนอยู่ การประพฤติการปฏิบัติมันก็ไม่ได้ผลไม่เห็นผล เพราะการประพฤติการปฏิบัติน่ะมันยังมีทิฏฐิมานะ ยังมีอัตตาตัวตน มันยังไม่มีคารวธรรม มันยังไม่สงบ เพราะความสงบความเคารพมันคืออันเดียวกัน ความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปไม่เอาความรู้สึกนำชีวิต ไม่เอาสัญชาตญาณนำชีวิตนี้คือหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม
การปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องนี้มันได้ผลนะ เหมือนคนปลูกต้นไม้นี้แหละ ปลูกต้นไม้เอาเบี้ยเล็ก ๆ มาปลูก ปลูกกลางแจ้งดิน ๆ ให้น้ำให้อากาศให้แสงแดดให้ออกซิเจน ไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวต้นไม้มันใหญ่เอง ไม่รู้ว่ามันใหญ่ตอนไหน มันก็จะเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมไปเรื่อย ๆ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี
การปฏิบัติถึงเน้นที่ปัจจจุบัน เน้นที่บริสุทธิคุณ ไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ไม่มีลับหลังและต่อหน้า เค้าเรียกว่าการปฏิบัติยังเป็นโจรเป็นขโมยยังไม่ซื่อสัตย์ในข้อวัตรปฏิบัติ ถึงมีกติกาว่าอย่ามีมารยาสาไถยหลีกเลี่ยงแก้ตัว เพราะตัวตนนั้นน่ะมันคือมารยาสาไถยหลีกเลี่ยงแก้ตัวนะ มันจะเหตุมีผลมาก
การที่เราเคารพพระพุทธเจ้ามันก็ต้องเคารพออกมาจากใจ การที่เราจะเคารพครูบาอาจารย์ก็เคารพออกมาจากใจ การที่เคารพใคร ๆ เค้าจะเป็นคนดีคนชั่วก็เป็นเรื่องของเค้าเราก็เคารพมาจากใจ การเคารพนี้เค้าเรียกว่ามันเป็นความรู้ความเข้าใจในความเป็นประภัสสรนะ เพราะเราต้องรู้เข้าใจนะ ความไม่เคารพกับความไม่สงบมันคืออันเดียวกัน
เราต้องรู้จักสภาวธรรม เราเห็นสิ่งที่ปฏิกูลเราก็ต้องสงบเราก็ต้องเคารพ ถ้าเราเห็นสิ่งที่ปฏิกูลเราไม่สงบก็คือเราไม่เคารพนะ เราไปเจอในสิ่งที่หอมเราก็ต้องสงบ ไปยินดีปรีดานั่นแหละคือไม่สงบคือไม่เคารพนะ เราไม่อยากแก่ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย ไม่อยากพลัดพราก นั้นคือความไม่สงบนะ
เราต้องรู้เข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นธรรมเป็นสภาวธรรมมันเป็นประภัสสรนะ
เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติในความเป็นประภัสสร เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงธรรม เข้าถึงสภาวธรรม เข้าถึงปัจจุบันธรรมเข้าถึงบริสุทธิคุณด้วยความรู้ความเข้าใจ
การปฏิบัติธรรมถ้าขาดความเคารพก็คือขาดความสงบนั่นแหละคือสิ่งเดียวกัน ความสงบมันเป็นสมถะ สัมปชัญญะคือตัวปัญญา ความสงบกับปัญญามันต้องไป อย่างนี้ รวมแล้วมันก็เป็นคารวธรรม อย่างเราทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยนี้ก็ถือว่าคือความไม่สงบคือความไม่เคารพนะ ถ้าเราทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ความเคารพ
พระพุทธเจ้าถึงให้เราทำอะไรสมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ เพื่อจะได้เข้าถึงธรรมเข้าถึงปัจจุบันจะได้เข้าถึงความสงบทั้งปัญญาทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ เพราะปัจจุบันเป็นวาระสำคัญ ให้รู้ให้เข้าใจ
ความบริสุทธิคุณนี้มันก็เป็นเมมโมรี่ฝังอยู่ในขันธ์ในสัญญาขันธ์ให้เรารู้เข้าใจ
เหมือนโลกสมัยใหม่เค้ามีกล้องวงจรปิด เพื่อเป็นหลักการในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ กล้องวงจรปิดถึงเป็นบุคลากรที่ซื่อสัตย์สุจริต มันดีกว่าบุคลากรที่เป็นตำรวจเป็นทหารเสียอีก ประเทศที่เค้าเจริญแล้วเค้าอาศัยปัญญาบริสุทธิคุณนี้ มาทำกล้องวงจรปิดติดไว้ในที่ต่าง ๆ
เราก็ต้องมีสติมีสัมปชัญญะ มีกล้องวงจรปิดด้วยความรู้ความเข้าใจ พระธรรมพระวินัยนี้มันจะเป็นวงจรปิดติดกับเรา ปัญญากับความสงบพระธรรมพระวินัย ถ้าเรารู้เข้าใจ มันก็เหมือนกล้องวงจรปิดนี้แหละ แต่ว่ากล้องวงจรปิดเอามาติดมันต้องได้เสียเงินเสียสตางค์ แต่กล้องวงจรปิดที่เรารู้เข้าใจที่มันรู้เรื่องกายเรื่องใจ เรื่องธาตุเรื่องอายตนะ เรื่องอันไหนถูกต้องไม่ถูกต้องนี้มันไม่ต้องเสียเงินเสียสตางค์
ถ้าเรารู้เข้าใจแล้ว พระธรรมพระวินัยเป็นหลักการเป็นอุดมธรรมมันจะเป็นกล้องวงจรปิดติดตัวเรานะ ติดทางตาหูจมูกลิ้นทางกายทางใจมันจะติดเราไปตลอด...
----------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันอาทิตย์ที่ ๒๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา