๒๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ ๒๓ เดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม

 

ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้หลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ท่านตรัสว่า เธอทั้งหลายจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด พรหมจรรย์นั้นหมายถึงความสงบและปัญญา ปัญญาและความสงบ ความสงบนั้นเป็นความพอดี เป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นการพัฒนาระหว่างใจกับวัตถุไปพร้อม ๆ กัน สิ่งที่ถูกต้องนั้นถึงไม่ใช่เราถึงไม่ใช่คนอื่น เป็นบริสุทธิคุณ

 

ถ้าเรามีตัวมีตนเมื่อไหร่มันก็ไม่สงบ ถ้าเราเอาความสงบนั้นมาเป็นตัวเป็นตน มันก็ไม่ใช่ปัญญาบริสุทธิคุณ มันเป็นปัญญาที่ตัวตน

 

อย่างเมื่อก่อน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็เป็นลูกหลานของพราหมณ์ พราหมณ์ก็เอาความสงบเป็นตัวเป็นตน เอาสมาบัติเป็นตัวเป็นตน นี้มันแก้ปัญหาชีวิตที่สมบูรณ์ไม่ได้ มันเพียงเป็นมรรคข้อหนึ่ง มันไม่ใช่ครบวงจรของชีวิต องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงต่อยอดจากสมาธิจากสมาบัติ เพื่อให้ความสงบกับปัญญาทำงานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

 

๒๐ พรรษาแห่งการตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะพูดให้หมู่มวลมนุษย์เข้าใจในธรรมในสภาวธรรม จะได้ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้องทำให้ถูกต้อง ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เป็นอรหัตนสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านไม่ได้พูดเรื่องผิดเรื่องถูกเรื่องดีเรื่องชั่ว ไม่เอาผิดเอาถูกเอาดีเอาชั่ว ไม่เอาอะไร

 

ตรัสให้เข้าใจ ให้ผู้ฟังเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพราะทุกคนนั้นไม่มีใครทำให้กันได้ ไม่มีใครปฏิบัติแทนกันได้ เพราะจะได้ไม่เอาความดับทุกข์จากความหลง หรือว่าไม่เอาความสุขจากความหลง ศัพท์ในทางพระศาสนาถึงใช้คำศัพท์ว่าการทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ เพราะไม่มีอะไรที่จะมาปรุงแต่งความเป็นประภัสสรได้

 

ความแก่มันก็เป็นประภัสสรอยู่อย่างนั้น ใครจะไปแก้ไขความแก่ได้                   

ความเจ็บมันก็เป็นประภัสสรอยู่อย่างนั้น ใครจะไปแก้ไขความเจ็บได้

ความตายมันก็เป็นประภัสสรอยู่อย่างนั้น ใครจะไปแก้ไขความตายได้

ความพลัดพรากมันก็ต้องพลัดพรากตลอดกาลตลอดเวลาอยู่แล้ว ใครจะไปแก้ไขได้

 

การประพฤติการปฏิบัติให้ทุกคนเข้าใจ แล้วก็พากันมาตั้งใจตั้งเจตนา พากันมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ความไม่มีทุกข์

 

เมื่อตอนพระยสะที่ยังไม่ได้บวช เป็นคนรวยเป็นเศรษฐีเป็นมหาเศรษฐี เป็นคนรวยมันก็ต้องมีทุกข์สิ เพราะมันมีตัวมีตน เพราะความรวยนั้นเป็นตัวเป็นตน ความรวยนั้นแหละมันเป็นความไม่สงบ ความรวยนั้นแหละเป็นความปรุงแต่งจึงได้เดินไปบ่นไป บ่นในใจยังไม่พอ บ่นทางวาจาน่ะ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตรัสว่า ยสะ...ที่นี่ไม่วุ่นวายไม่ขัดข้องที่นี่สงบ

 

เราเป็นคนรวยน่ะมันก็เป็นตัวเป็นตนมันก็ไม่สงบ

 

เบื้องต้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสอนให้เสียสละ สอนให้ทาน ให้ทานวัฏฏสงสารที่ท่องเที่ยวมานานหลายล้านปีก็ช่างหัวมัน

 

ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลที่ ๙ ของเมืองไทยท่านได้พูดจากความถูกต้องพูดจากใจจากพระนิพพานว่า อะไรก็ช่างหัวเผือกอะไรก็ช่างหัวมัน เพราะอันนี้มันเป็นธรรมชาติเป็นประภัสสร

 

เราอยากให้มันตามใจมันไม่ได้ตามใจหรอก เพราะสิ่งนี้คือธรรมคือสภาวธรรมที่เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป เราจะไม่ต้องวุ่นวาย เราจะได้มีความสงบมีปัญญา พัฒนาใจพัฒนาวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กันเพื่อเป็นทางสายกลาง

 

เราทั้งหลายจะไม่ได้วุ่นวายเหมือนพระยสะ พระยสะนี้เป็นประวัติศาสตร์ครั้งพุทธกาล

 

เราทั้งหลายน่ะให้เข้าใจนะ เราทั้งหลายไม่ใช่คนรักตัวเองหรอก เป็นคนหลงตัวเอง ไม่ใช่คนรักลูกรักหลาน เป็นคนหลงลูกหลงหลาน

 

เราคิดดูดี ๆ นะ ถ้ารักตัวเองทำไมถึงทำร้ายตัวเอง เราคิดที่เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เอารูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณเอาธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ เอาอายตนะ ๑๒ มาเป็นตัวเรา อันนี้มันไม่ใช่รักตัวเองมันหลงมันกำลังหลง หลงประเด็น ไม่รู้ไม่เข้าใจ ไม่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ

 

เราจะหยุดความหลงได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะหยุดได้ด้วยอุปกรณ์ของการหยุด

 

ให้เข้าใจนะ...

เรื่องศีลนี้คือเรื่องเสียสละ เรื่องหยุด

เรื่องสมาธินี้คือเรื่องเสียสละ เรื่องหยุด

เรื่องปัญญานี้คือเรื่องเสียสละ เรื่องหยุด

หยุดนี้คือความสงบ ความสงบกับความเคารพคืออันเดียวกัน

 

เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็ไม่สงบ เพราะเราไม่มีความเคารพไม่มีความคารวะ เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันไม่สงบ ตัวตนน่ะมันคือความฟุ้งซ่าน ตัวตนนั้นแหละ คือความรำคาญ ตัวตนนั้นแหละคือความกระวนกระวาย

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ จะได้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทุกคนพากันมาเน้นที่ตัวเรานี้แหละ อย่าเอาความสุขจากความหลง เพราะความหลงนั้นมันก็คือความหลง มันไม่ใช่ความดับทุกข์ ความหลงนั้นมันเป็นนิวรณ์ เป็นนิวรณ์ทั้ง ๕ ก็คือความหลง ความหลงเป็นอคติทั้ง ๔ มันมีความลำเอียง มันเอียงไปเอียงมามันตรงเหรอ เอียงไปเอียงมามันก็ไม่ตรงสิ มันก็ไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญา มันต้องตรงไปตรงมา เป็นความพอดีเป็นความเพียงพอเป็นความพอเพียง

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราถึงจะจับหลักจับประเด็นให้ได้น่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีอยู่ให้รู้เข้าใจ เราจะได้เข้าถึงความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ เพราะเรามีตารูปก็ต้องมีอยู่ เรามีหูเสียงก็มีอยู่ เรามีจมูกกลิ่นมันก็มีอยู่ เรามีลิ้นรสมันก็มีอยู่ เรามีกายก็ต้องมีสัมผัส เรามีใจก็มีเรื่องจิตเรื่องใจมีอารมณ์

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้รู้จักข้อสอบแล้วตอบด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะได้หยุดความปรุงแต่งด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ

 

ทุกคนพากันตั้งอกตั้งใจพากันบำเพ็ญความดีบำเพ็ญบารมีน่ะ พากันมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ อย่าให้ความเคยชินมันมีกำลังมีพลัง ความเคยชินมันมีกำลังมีพลังเพราะมันได้ครองธาตุครองขันธ์ครองอายตนะของเรามาหลายล้านชาติหลายล้านปี ให้เข้าใจอย่างนี้นะ

 

ให้ทุกคนตั้งใจตั้งเจตนา หลักการปฏิบัติมันอยู่ที่ตั้งใจตั้งเจตนา ยกเลิกการเบียดเบียนทั้งหลายทั้งปวง ผู้ที่เบียดเบียนคนอื่นอยู่สัตว์อื่นอยู่ถึงไม่ใช่พระถึงไม่ใช่สมณะ มันเป็นผู้ไม่สงบ เป็นผู้วุ่นวาย ผู้อยากได้ของเค้าเอาของเค้า

 

เราคิดดูดี ๆ นะ พระพุทธเจ้าไม่เอาของใคร มีแต่เป็นผู้ให้เป็นผู้เสียสละ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้ธาตุให้ขันธ์ให้อายตนะให้ร่างกายได้คอนโทรลพักผ่อนวันละ ๔ ชั่วโมง ท่านให้ธาตุให้ขันธ์ให้อายตนะ

 

ท่านให้ผู้อื่นสัตว์อื่นให้ความรู้ความเข้าใจท่านเสียสละให้หมู่มวลมนุษย์เทพเทวาสรรพสัตว์ทั้งหลายวันละ ๒๐ ชั่วโมง ให้รู้เข้าใจ

 

เราอย่าไปเอาอะไรอย่าไปมีอะไร แล้วก็อย่าไม่มีไม่เป็นอะไร ถ้าเรามีเราเป็น เราไม่มีไม่เป็นมันก็ยังมีความทุกข์อยู่ มีความปรุงแต่งอยู่ มันก็ยังมีตัวมีตน       

              

ตัวตนนั้นแหละคือความไม่สงบ ตัวตนนั้นคือภพคือชาติคือชรามรณะเป็นความพลัดพราก ตัวตนนั้นคือเกษียณจากไป สิ่งที่จากไปนั้นแหละมันเอากลับคืนมาไม่ได้นะ เพราะมันจากไปแล้วเกษียณแล้ว

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงให้เราไม่ให้เอาความคิดที่ไปลิดรอนสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ให้อยู่กับสติคือความสงบอยู่กับสัมปชัญญะคือตัวปัญญารู้จักข้อสอบรู้จักข้อตอบ

 

เราอย่าไปคิดว่าถ้าเราไม่มีอะไรไม่เอาอะไรไม่เป็นอะไรเราจะมีความสุขได้อย่างไร

 

เราคิดดูดี ๆ นะ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพาน วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ท่านจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพาน ให้ดูตัวอย่าง ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพาน

 

รั้นเมื่อพระพุทธองค์ทรงประทานพระโอวาท ที่ทรงแสดงมาตลอด ๔๕ พรรษา ซึ่งสรุปรวมลงเป็นเรื่อง ความไม่ประมาท อย่างเดียวเท่านั้น ต่อจากนั้นก็ทรงเข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้วเข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว เข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว เข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว เข้าอากาสานัญจา- ยตนะ ออกจากอากาสานัญจายตนสมาบัติแล้ว เข้าวิญญาณัญจายตนะออกจากวิญญาณัญจายตนสมาบัติแล้ว เข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญายตนะสมาบัติแล้ว เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ (นิโรธสมาบัติ หมายถึง ดับสัญญา คือความจำได้ หมายรู้ และเวทนา คือการเสวยอารมณ์)         

 

 ท่านพระอานนท์สังเกตเห็นพระพุทธองค์ทรงเข้านิโรธสมาบัติไม่มีอัสสาสะปัสสาสะ (ลมหายใจเข้า-ออก) จึงถามพระอนุรุทธะว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้วหรือ ก็ได้รับคำตอบว่า ยังไม่เสด็จปรินิพพาน แต่ทรงเข้านิโรธสมาบัติอยู่ เหตุที่พระอนุรุทธะตอบเช่นนั้นเพราะท่านเข้าสมาบัตินั้น ๆ พร้อมกับพระศาสดาด้วยนั่นเอง ณ จุดนี้จึงทำให้รู้ว่า การทำกาละในระหว่างนิโรธสมาบัติไม่มี           

 

 ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงออกจากสัญญาเวทยตินิโรธสมาบัติแล้ว ก็ทรงย้อนถอยเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะอีก ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติแล้ว ก็เข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญายตนสมาบัติแล้วก็เข้าวิญญาณัญจายตนะ ออกจากวิญญาณัญจายตนสมาบัติแล้ว ก็เข้าอากาสานัญจายตนะ ออกจากอากาสานัญจายตนสมาบัติแล้ว ก็เข้าจตุตถฌาน  ออกจากจตุตถฌานแล้วก็เข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว ก็เข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว ก็เข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้ว ก็เข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว ก็เข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว ก็เข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว เสด็จดับขันธปรินิพพานในลำดับแห่งการพิจารณา องค์จตุตถฌานนั้น

 

 เกี่ยวกับการเข้าฌานสมาบัติก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพานนั้น พระพุทธองค์ทรงเริ่มจากการเข้าฌาน ๔ ต่อด้วยสมาบัติ ๔ ครั้นแล้ว ทรงย้อนถอยจากสมาบัติ ๔ เรื่อยลงมายังฌาน ๔ จนกระทั่งถึงปฐมฌาน แล้วเริ่มเข้าทุติยฌานไปตามลำดับจนถึงจตุตถฌาน เป็นที่สุด

 

 การเข้าฌานสมาบัติของพระพุทธองค์ ในลักษณะอนุโลมและปฏิโลมเช่นนี้ นอกจากจะแสดงให้เห็นว่า พระหทัยของพระองค์เบิกบานดี ไม่หดหู่ ไม่กระสับกระส่าย ตามอำนาจของเวทนาแล้วยังทรงแสดงให้เห็นว่า ทรงมีความเคารพในธรรมเป็นอย่างยิ่ง สมดังที่ทรงมีพระดำริตั้งแต่แรกตรัสรู้ว่าพระองค์ควรจะสักการะ เคารพอาศัยธรรมที่พระองค์ตรัสรู้

 

 ธรรมและวินัยที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลายหลังจากเราล่วงลับไป ก็จะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย

 

พระธรรมพระวินัยนี้ให้รู้เข้าใจเป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เป็นพรหมจรรย์เป็นอุปกรณ์ เป็นกรรมกรที่มาหยุดกรรม หยุดผลของกรรม

 

ให้เรารู้ให้เราเข้าใจในเรื่องความเป็นพระ พระนี้ถึงเป็นปัญญาบริสุทธิคุณ พระนี้ถึงเป็นสมาธิบริสุทธิคุณ พระถึงเป็นศีลบริสุทธิคุณ มีแต่คุณไม่มีโทษ มีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา เพราะนี้ถึงเป็นผู้ไม่มีทุกข์ คือผู้สิ้นทุกข์ การมาสงบระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจ ถึงเป็นความดับทุกข์เป็นอย่างยิ่ง

 

เราทั้งหลายน่ะทุกคนเน้นมาที่ตัวเรานี้แหละ ตั้งใจตั้งเจตนา เรามีโอกาสมีเวลา อายุขัยของเราอยู่ได้ชั่วหนึ่งศตวรรษคือร้อยปี เราทำดี ๆ มีปิติมีความสุขเอกัคคตา เราอยู่ได้มากกว่านั้นอีก

 

เราจะเอาความหลง ความแซบ ความลำ ความนัว ความหรอยนำชีวิตได้อย่างไรเพราะอันนั้นคือความไม่สงบ มันคือภพคือชาติ คือชราคือมรณะ นั้นคือความซึมเศร้า มันเหวี่ยงไปเหวี่ยงมามันก็เป็นโรคไบโพล่า ไบโพล่าคือความเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา ตามผัสสะที่กระทบ ตามผัสสะทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ มันเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา

 

เราต้องรู้ต้องเข้าใจเราจะไม่ได้เหวี่ยงไปเหวี่ยงมา เราต้องรู้จักพระนิพพานว่าพระนิพพานนั้นต้องว่างจากสิ่งที่มีอยู่  ถ้าว่างจากสิ่งที่ไม่มีมันไม่ใช่พระนิพพาน มันเป็นเพียงสมาธิเป็นเพียงสมาบัติ

 

สมาธิกับปัญญาต้องเอามาใช้ให้มันเสมอกันมันจะได้หยุดความปรุงแต่ง พระนิพพานไม่มีความปรุงแต่งมันเป็นความสงบมันจะเป็นความเพียงพอ เป็นความพอดี

 

ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงการปรินิพพานให้ดู สุดท้ายก็ไม่นิพพานสมาธิในสมาบัติ เพราะหยุดภพหยุดชาติหยุดความปรุงแต่งแล้ว

 

เรามารู้มาเข้าใจ เราทุกคนจะได้ทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ของเราทุกคน

 

ชีวิตของเราถึงก้าวไปด้วยความพอดีความพอเพียงเพียงพอ

 

ให้พากันสร้างบารมี ทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นบารมีเบื้องต้นด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ เป็นปัญญาท่ามกลางคือสมาธิ ความตั้งมั่นไม่ตามสิ่งแวดล้อม ยกเลิกเรื่องอดีตหมด ยกเลิกเรื่องอนาคต ปัจจุบันก็มีความว่างจากตัวตน มีแต่ธรรมมีแต่ปัจจุบันธรรม ยกเลิกนิวรณ์ทั้ง ๕ ยกเลิกอคติทั้ง ๔ เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ มันจะเป็นบารมีเบื้องต้นท่ามกลางที่สุด มันจะหยุดความปรุงแต่ง

 

ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านแสดงการปรินิพพานให้ดูให้รู้ให้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เห็นมั๊ยรู้มั๊ย มันพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้แหละ ความไม่รู้ไม่เข้าใจมันพังทลายเหมือนตึก สตง. มันไหวเหมือนแผ่นดินไหว ไหวตามตาเห็นรูป หูฟังเสียงจมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้สัมผัส กายสัมผัสกับความปรุงแต่ง

 

เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ เพราะสิ่งนั้นมันเป็นอวิชชาเป็นความหลง มันทำให้เราเวียนว่ายตายเกิด

 

การประพฤติการปฏิบัติถึงเป็นวาระสำคัญของการประพฤติการปฏิบัติปัจจุบันนี้เรื่องผัสสะที่กระทบน่ะ ถึงเป็นวาระแห่งชาติ ให้รู้จักการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทั้งหลาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเมตตาทรงตรัสบอกพวกเราทั้งหลายว่า อย่าให้ประมาท อย่าให้เพลิดเพลิน ต้องรู้จักหลักการรู้อุดมการณ์ อุดมธรรมในการประพฤติการปฏิบัติ เธอทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด ให้มีปิติ ให้มีความสุข ให้มีเอกัคคตาให้เป็นหนึ่งเดียวในการประพฤติการปฏิบัติ อย่าไปประมาท เพราะความประมาทน้อยก็ผิดพลาดน้อย ประมาทปานกลางก็ผิดพลาดปานกลาง ประมาทมากก็ผิดพลาดมาก เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ความประมาทถือว่าเป็นเรื่องใหญ่เป็นเรื่องเสียสละเป็นเรื่องพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้แหละ

 

เราต้องรู้เข้าใจว่าวัฏฏสงสารนี้ไม่มีที่หยุดไม่มีที่สิ้นมันเป็น cycle of life หมุนรอบตัวเองเหมือนดวงอาทิตย์เหมือนดวงจันทร์หมุนรอบตัวเอง

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะหยุดได้ด้วยความรู้ความเข้าใจสัมมาทิฏฐิ  เราจะหยุดได้ด้วยศีลสมาธิปัญญาที่เป็นอุปกรณ์นำชีวิต

 

ที่หลังจาก ๒๐ พรรษาแห่งการตรัสรู้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบัญญัติพระธรรมพระวินัยไว้แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ เพื่อเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ให้รู้เข้าใจ

 

พระธรรมพระวินัยเป็นคุณเป็นประโยชน์ เพื่อให้เราหยุดวัฏฏสงสารเพื่อให้เราหยุดกรรมหยุดเวรหยุดภัย เราทั้งต้องตั้งอกตั้งใจในการประพฤติการปฏิบัติมีปิติไปเลย มีสุขไปเลย มีเอกัคคตาไปเลยในการประพฤติการปฏิบัติ ไม่มีอะไรจะมีความสุขไปกว่าการเอาธรรมนำชีวิต

 

วาระต่างๆ  ทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมันทำได้ทีละอย่าง กายมันก็ทำได้ ทีละอย่าง วาจามันก็ทำได้ทีละอย่าง กิริยามารยาทมันก็ทำได้ทีละอย่าง อาชีพมันก็ ทำได้ทีละ

 

อย่างเราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญ อดีตมันก็มารวมกันที่ปัจจุบันนี้แหละอนาคตที่จะก้าวไปมันก็มารวมกันที่ปัจจุบันนี้แหละ เราต้องเข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบันไม่ต้องรอตายเสียก่อนนนะ ปัจจุบันไม่ได้พระนิพพานอนาคตจะได้ได้อย่างไร เพราะอนาคตมันต้องอยู่ที่ปัจจุบัน

 

เราคิดดูดี ๆ สิ ผู้ที่ได้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพก็เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบันน่ะ ผู้ที่เป็นพระโสดาบันก็เข้าสู่พระธรรมเข้าสู่พระวินัยมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน ไม่มีความทุกข์อะไร เพราะพระธรรมพระวินัยมีแต่ความดับทุกข์ไม่มีทุกข์อะไร

 

เราต้องเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะไปทุกข์ทำไม

 

เราต้องรู้เข้าใจในโลกนี้ถึงมันจะแซบจะลำจะนัวจะหรอยจะอร่อยก็ช่างหัวมัน เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้ผ่านไปด้วยความรู้เข้าใจ เพราะเรามีโอกาสพิเศษในการประพฤติการปฏิบัติ

 

การประพฤติการปฏิบัติมันจะอยู่ในปัจจุบันถึงถือว่ามันเป็นไฟต์ ไฟต์แห่งการประพฤติการปฏิบัติ มันเป็นการชิงแชมป์โลก ชิงแชมป์ธรรมนะ เพื่อเอาธรรมเอาธรรมนูญนำชีวิต ยกเลิกตัวตนยกเลิกสิ่งเสพติด เพราะเรามันติด เพราะตัวตนนี้คือสิ่งเสพติด เรากำลังบริโภคสิ่งเสพติด ทุกคนรู้ทุกคนเข้าใจมั๊ย มันติดน่ะ

 

ต้องรู้ต้องเข้าให้มีสติสัมปชัญญะนะ เพราะตัวตนมันคือบุคคลไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะมันจะเป็นตัวเป็นตนได้อย่างไร     

               

มีทั้งความสงบมีปัญญาก้าวไปด้วยศีลด้วยปัญญามันจะหยุดสิ่งเสพติด หยุดบริโภคสิ่งเสพติดด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ เมื่อสติสัมปชัญญะมันสมบูรณ์ด้วยการเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ

 

เป็นมนุษย์รวยไม่หลง เป็นเทวดามีทิพย์วิมานไม่หลง เป็นพรหมที่ได้รับความสงบที่เป็นสมถะไม่หลงน่ะ ความหลงนั้นคือความปรุงแต่ง

 

ให้รู้เข้าใจที่สำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นผู้หญิงผู้ชายเป็นคนแก่คนเฒ่าคนชราเป็นผู้มั่งมีศรีสุข เป็นผู้ดีกว่าเค้า เก่งกว่าเค้า มีเพาเวอร์กว่าเค้า ไม่มีใครสู้เราได้ หรือว่าอยู่ในระดับการประพฤติการปฏิบัติเสมอกับเขา ทั้งปฏิบัติใหม่สู้เขาไม่ได้ไม่มีความรู้สึกว่าเขาว่าเรา ให้รู้เข้าใจ ถ้ามีเขามีเราก็ไม่มีความสงบหรอก เพราะมีความปรุงแต่ง

 

เราทั้งหลายต้องเข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ยังไม่ตาย อย่าไปคิดว่าพระนิพพานอยู่ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ

รักษาศีลเพื่อพระนิพพานอยู่เบื้องหน้าโน้นเทอญ

ทำสมาธิเพื่อพระนิพพานอยู่เบื้องหน้าโน้นเทอญ

เจริญปัญญาอยู่เบื้องหน้าโนเนเทอญ

อยู่ไกล ๆ โน้น อยู่ไกล ๆ มากเลย นี้มันไม่ใช่มันไม่ถูกต้อง

 

มันต้องอยู่ที่ปัจจุบันที่ปัจจุบันธรรม ไม่ใช่ปัจจุบันเพื่อเป็นตัวเป็นตน ต้องรู้เข้าใจ อย่าให้เอาพระนิพพานอยู่เบื้องหน้าโน้นเทอญ คำว่าเบื้องหน้าโน้นเทอญคือมันไปไม่ถึงซักที มันไม่ใช่ธรรมไม่ใช่ปัจจุบันธรรมมันเป็นตัวเป็นตนเป็นความปรุงแต่ง

 

คำว่าเทอญ (เทิน) กับแบกมันคืออันเดียวกัน มันเทินที่อยู่เทินบนศรีษะ ที่บ่าแบกหลังหามนี้

 

คือมันแบกของหนัก แบกความหลงพาไป แบกธาตุแบกขันธ์แบกอายตนะ แบกความหลงพาไป ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเรารู้จักเสียแล้ว เจ้าจะทำบ้านทำเรือนไม่ได้อีกต่อไป ด้วยความรู้ความเข้าใจนี้จะไม่มีคำว่าเบื้องหน้าโน้นเทอญ จะไม่ได้แบกอวิชชาไม่ได้แบกความหลงพาไป

 

จะไม่เอาพระนิพพานอยู่เบื้องหน้าโน้นเทอญ เอาที่ธรรมที่ปัจจุบันธรรม พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องเป็นพระธรรมพระวินัย ไม่ใช่เป็นตัวเป็นตน ถ้าเป็นตัวเป็นตนก็ไม่ใช่พระธรรมพระวินัยเพราะมันเป็นตัวเป็นตน มันจะเป็นพระธรรมพระวินัยได้อย่างไร

 

เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติด้วยความถูกต้องด้วยกรรมด้วยกฎของกรรมมันก็เป็นผลของกรรม เราต้องรู้จักว่ากรรมนี้เป็นพื้นฐาน เป็นกรรมฐานน่ะ

 

เรามีพระนิพพานเป็นพื้นฐานที่เป็นบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาทใจ เป็นบริสุทธิคุณเป็นพื้นฐาน เป็นความตั้งใจตั้งเจตนา รู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้

 

กรรมที่เป็นพระนิพพานให้รู้ให้เข้าใจนะ ถ้าเราไม่รู้เข้าใจเรามันก็ไปของมันเรื่อย

 

เหมือนประเทศไทยของเรานี้แหละ โครงการยกเลิกเหล้ายกเลิกเบียร์ ยกเลิกสิ่งเสพติดยาเสพติดที่มันเป็นอบายมุขแห่งชีวิต ที่มันเป็นอบายภูมิแห่งชีวิต

 

เกือบร้อยปีของโครงการพากันประพฤติปฏิบัติด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ ตั้งอยู่ในความประมาท เอาความหลงนำชีวิตเอาความประมาทนำชีวิตมันก็ปฏิบัติไม่ได้ มันก็ยิ่งมากกว่าเก่า ไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาความหลงนำชีวิต ความหลงก็เลยยิ่งใหญ่ใหญ่ยิ่ง

 

มันก็แก้ปัญหาไม่ได้ มันยิ่งมากทวีคูณ มันก็ไปของมันเรื่อย มากยิ่งกว่าเก่าทวีคูณยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก

 

อย่างหมวกกันน็อคอย่างนี้ ตั้งแต่มีจักรยานยนต์เข้ามาเมืองไทย มีจักรยานยนต์ มีความสะดวกสบายมันก็ต้องมีหมวกกันน็อคอย่างนี้ ก็พากันทำไม่ได้ เพราะเราตั้งอยู่ในความเพลิดเพลิน ความหลง ความประมาท คิดว่าไม่เป็นไร ๆ ๆ ๆ

 

ไม่เป็นไรมันก็ไปของมันเรื่อย เอาความไม่ถูกต้องนำชีวิตเอาความหลงนำชีวิตมันก็ไปของมันอย่างนี้ เพราะมันทำลายของมันในตัวเหมือนลูกระเบิดนี้แหละ ลูกระเบิดมันก็ระเบิดตัวของตัวลูกระเบิดเอง ความไม่ถูกต้องมันก็ระเบิดตัวของมันเองไปในตัว ชีวิตมันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง. ชีวิตมันก็ยิ่งติดยิ่งหลงไปเรื่อย

 

เราอย่าเข้าใจว่ามันยากมันทำไม่ได้ รู้มั๊ย เอาตัวตนเป็นที่ตั้งน่ะมันย่อมไม่ได้แน่นอน มันย่อมพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้แหละ

 

ตึก สตง.อยู่ที่กรุงเทพมหานคร ตึก ๓๐ กว่าชั้น ตึก สตง.ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาความหลงนำชีวิตเอาทุจริตนำชีวิต ชีวิตมันเลยพังทลาย ชีวิตมันพังทลายนะ ตึกสตง.มันพังทลายด้วยนิติบุคคลตัวตนพังทลายด้วยทุจริตมันจะไปแก้ไขตั้งแต่ภายนอกมันจะไปพัฒนาตั้งแต่วิทยาศาสตร์จะไปเอาความสุขบนความหลง ชีวิตเลยพังทลายนะ

 

เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งน่ะ เราคิดดูดีๆ นะ ตึกใหญ่กว่าสูงกว่าตึก สตง.ตั้งหลายสิบตึกที่กรุงเทพมหานครที่ปริมณฑล เค้าไม่พังทลายเหมือนตึกสตง. เพราะพอที่จะรับน้ำหนักได้ ไม่ใช่ไม่โกงกินคอร์รัปชั่นนะ แต่เค้าโกงกินคอร์รัปชั่นน้อยพอที่จะรับแผ่นดินไหวจากมัณฑะเลย์ประเทศพม่า ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ประเทศพม่าห่างไกลกันตั้งนับพันกิโล

 

นี้ให้เรามองเห็นในแง่มุมความไม่ถูกต้องน่ะ ชีวิตที่เอาความไม่ถูกต้องนำชีวิตมันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้แหละ

 

เราทั้งหลายถึงต้องเป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เห็นภัยในวัฏฏสงสาร รู้จักความคิดรู้จักอารมณ์เหมือนท่านพระอาจารย์ลี ธัมมธโร วัดอโศการาม สมุทรปราการ ท่านรู้จักความคิดการปรุงแต่งของตัวเอง ท่านรู้จักว่าความปรุงแต่งนี้มันคือวัฏฏสงสารนะ ท่านรู้จักความปรุงแต่ง เพราะความปรุงแต่งมันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง

 

เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ชีวิตนี้ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง. เพราะมันไม่ถูกต้อง มันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง. นี้แหละ

 

 

ตึก สตง.อยู่ที่กรุงเทพมหานคร ตึก ๓๐ กว่าชั้น ตึก สตง.ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาความหลงนำชีวิตเอาทุจริตนำชีวิต ชีวิตมันเลยพังทลาย ชีวิตมันพังทลายนะ ตึกสตง.มันพังทลายด้วยนิติบุคคลตัวตนพังทลายด้วยทุจริตมันจะไปแก้ไขตั้งแต่ภายนอกมันจะไปพัฒนาตั้งแต่วิทยาศาสตร์จะไปเอาความสุขบนความหลง ชีวิตเลยพังทลายนะ

 

เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งน่ะ เราคิดดูดีๆ นะ ตึกใหญ่กว่าสูงกว่าตึก สตง.ตั้งหลายสิบตึกที่กรุงเทพมหานครที่ปริมณฑล เค้าไม่พังทลายเหมือนตึกสตง. เพราะพอที่จะรับน้ำหนักได้ ไม่ใช่ไม่โกงกินคอร์รัปชั่นนะ แต่เค้าโกงกินคอร์รัปชั่นน้อยพอที่จะรับแผ่นดินไหวจากมัณฑะเลย์ประเทศพม่า ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ประเทศพม่าห่างไกลกันตั้งนับพันกิโล

 

นี้ให้เรามองเห็นในแง่มุมความไม่ถูกต้องน่ะ ชีวิตที่เอาความไม่ถูกต้องนำชีวิตมันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้แหละ

 

เราทั้งหลายถึงต้องเป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เห็นภัยในวัฏฏสงสาร รู้จักความคิดรู้จักอารมณ์เหมือนท่านพระอาจารย์ลี ธัมมธโร วัดอโศการาม สมุทรปราการ ท่านรู้จักความคิดการปรุงแต่งของตัวเอง ท่านรู้จักว่าความปรุงแต่งนี้มันคือวัฏฏสงสารนะ ท่านรู้จักความปรุงแต่ง เพราะความปรุงแต่งมันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง

 

เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ชีวิตนี้ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง. เพราะมันไม่ถูกต้อง มันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง. นี้แหละ

 

ตึก สตง.ที่อยู่กรุงเทพมหานครอยู่เมืองหลวงอยู่เมืองกรุง เป็นศูนย์รวมของประเทศ เหมือนสมองเป็นศูนย์รวมของร่างกาย เหมือนหัวใจเป็นศูนย์รวมของสรีระร่างกาย

 

สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินที่บริหารประเทศ บริหารแผ่นดินไม่เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เอาแต่ความรู้เอาแต่วิทยาศาสตร์เอาแต่ตัวเอาแต่ตน ไปแก้แต่สิ่งภายนอก ไม่ได้แก้ตัวเองไปพร้อม ๆ กัน

 

การพัฒนาวิทยาศาสตร์มันต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันมันถึงถูกต้องนะ พัฒนาทั้งภายนอกภายในด้วยความรู้ความเข้าใจให้ครบวงจร อริยมรรคองค์แปดถึงเป็นความรู้ความเข้าใจ เพื่อการประพฤติการปฏิบัติมันจะได้สมบูรณ์ สมบูรณ์ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพด้วยความถูกต้อง

 

มันต้องรู้ธรรมรู้ปัจจุบันธรรม รู้ธรรมธรรมนูญน่ะ ถ้าเราไปจัดการแต่สิ่งภายนอก เราไม่ได้จัดการตัวเองมันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้นะ

 

การบริหารตัวเองบริหารบุคคลอื่น มันต้องรู้เข้าใจแล้วมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์

 

ถ้าเรามีปิติมีสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติมันก็ไม่มีความทุกข์อยู่แล้ว ด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

เราต้องรู้จักการประพฤติการปฏิบัติ ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพ เราต้องเน้นมาที่ตัวเราในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อทำหน้าที่ของตัวเองให้มันสมบูรณ์ เราทั้งหลายจะไม่ได้พังทลายเหมือนตึก สตง.

 

ถ้าใครมีตัวมีตนบุคคลนั้นคือทุจริตนะ เราทั้งหลายจะได้รู้ว่าทุจริตนั้นคือตัวตนน่ะ ใครเอาตัวตนนำชีวิตบุคคลนั้นคือบุคคลที่ทุจริต เราต้องรู้จักธรรมรู้จักธรรมนูญ ปัญหาต่าง ๆ นั้นมันอยู่ที่ทุจริตนะ

 

การที่จะบริหารตัวเองบริหารบุคคลอื่นต้องยกเลิกทุจริต ถึงจะเป็นนักบริหารตัวเองนักบริหารคนอื่นด้วยการรู้เข้าใจในการบริหารในการปฏิบัติ

 

ตำแหน่งที่เค้าแต่งให้เราเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นตำแหน่งที่ให้เรามาเสียสละ  มารับผิดชอบโฟกัสในการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ใช่ตำแหน่งที่ให้พวกเราทั้งหลายมาทุจริตนะ

 

ให้ถือว่ามันเป็นตำแหน่งที่ทรงเกียรติมีเกียรติมีศักดิ์ศรี เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันจะมีเกียรติมีศักดิ์ศรีได้อย่างไร ถึงพวกเราทั้งหลายจะพากันใส่สูทผูกเนคไทห้อยเหรียญตรา เป็นผู้ทรงเกียรติมันก็ไม่เป็นผู้ทรงเกียรตินะ มันเป็นผู้ทรงความหลงต่างหาก ทรงความโง่ความหลงงมงายต่างหากล่ะ

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเราจะเข้าถึงบริสุทธิคุณ เข้าถึงธรรมนูญเข้าถึงรัฐธรรมนูญไม่ได้ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันเป็นอบายมุขอบายภูมินะ มันตกอยู่ในภพภูมิของ ๓๑ ภพภูมิ

 

ในภพภูมิของวัฏฏสงสารนี้มีอยู่ ๓๑ ภพภูมิ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็จะอยู่ในระนาบของ ๓๑ ภพภูมินี้แหละ

 

เค้าถึงมีศัพท์ว่าคน คนนี้หมายถึงตัวถึงตน หมายถึง ๓๑ ภพภูมินี้แหละ ภพภูมิที่เวียนว่ายตายเกิดมีทั้งหมด ๓๑ ภพภูมิ

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้ประพฤติปฏิบัติ เราจะไม่ได้ย่ำต๊อกกับความหลงที่มีศัพท์ว่า “คน” คนนี้ความหมายหมายถึงความไม่รู้ไม่เข้าใจ ความไม่รู้ไม่เข้าใจนั้น มันจะวกวนอยู่ที่เก่า มันจะเป็นผู้ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา สัมผัสกับอะไรก็ไปกับสิ่งนั้น ๆ อยู่ในภพภูมินั้น ๆ

 

เรารู้เราเข้าใจเราจะได้หยุดภพภูมินั้น ๆ ด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ด้วยความรู้ด้วยความเข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเค้าเรียกว่ามันหลง มันวกวนในความหลงอย่างนั้น จิตใจวกวน   อย่างนั้นมันจะไปไหนไม่ได้ มันจะเป็นได้แต่เพียงคนเป็นได้แต่เพียงความหลง หัวใจของบุคคลนั้นมันจะอยู่ในระนาบแห่งความหลงหรือว่าหัวใจบ่อนคาสิโน เอาตัวตนเป็นที่ตั้งคือหัวใจบ่อนคาสิโน หัวใจบ่อนทำลายความถูกต้อง หัวใจบ่อนความหลง

 

ให้เรารู้เข้าใจ เราจะได้เห็นภัยในความไม่ถูกต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสารด้วยปัญญาบริสุทธิคุณ ด้วยเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ พอใจยินดีมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิตหัวใจของเราทั้งหลายจะได้หยุดอบายมุขอบายภูมิ

 

เราทั้งหลายถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราทั้งหลายจะพากันคิดว่า ความสุขทั้งหลายได้มาจากสิ่งที่อำนวยความสุขความสะดวกความสบายด้วยการพัฒนาวิทยาศาสตร์ อันนี้จริงอันนี้ถูกต้อง ความสุขทั้งหลายมันอยู่พัฒนาหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์

 

เราทั้งหลายต้องมีสัมมาทิฐิเราต้องมีความรู้ความเข้าใจพัฒนาวิทยาศาสตร์ก็ต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน ถ้าเราพัฒนาวิทยาศาสตร์มันก็ยังเป็นนิติบุคคลตัวตนอยู่

 

เราต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันด้วยความรู้ความเข้าใจเราทั้งหลายน่ะ ถึงเป็นการพัฒนาครบวงจรด้วยความรู้ความเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจก็จะเอาความหลงนำชีวิตเอาวิทยาศาสตร์นำชีวิต

 

เราต้องเอาทั้งวิทยาศาสตร์เอาทั้งจิตใจไปพร้อม ๆ กันนะ

 

เราอย่าไปคิดว่าประเทศสิงคโปร์นั้นน่ะประเทศเล็ก ๆ เท่าอำเภอหนึ่งของเมืองไทยก็ไม่ได้ เค้าพัฒนาหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์เป็นหนึ่งของเอเชียเพราะเค้าตั้งบ่อนคาสิโน มาเก๊าส่วนหนึ่งของประเทศจีนเค้าก็รวยเพราะเค้าพัฒนาตามหลักเหตุตามหลักวิทยาศาสตร์

 

พวกเราทั้งหลายเมื่อมีปัญญาแล้วต้องรอบคอบนะ มีปัญญาแล้วต้องรอบคอบ อย่าลืมว่าชีวิตของเรามันเป็นรายรับรายจ่ายนะ เราไปจับหางงูเดี๋ยวงูมันจะมากัดเรา  งูพิษมันจะมากัดเรานะ การที่เราเอาหลักการอุดมการณ์มันดีแล้วถูกต้องแล้ว เราต้องมีหลักการมีอุดมการณ์แล้วก็มีอุดมธรรมนะ หลักการอุดมการณ์มันดีแล้วถูกต้องหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์น่ะ แต่ต้องไม่ทิ้งอุดมธรรมนะ

 

เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเอาความรู้สึกที่เอาตัวเป็นที่ตั้งมันเป็นหลักการเป็นอุดมการณ์แล้วอุดมด้วยความหลงนะ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราเอาทั้งหลักการอุดมการณ์แล้วก็ยกเลิกอุดมหลงนะ

 

ให้เอาอุดมธรรมให้เอาธรรมเอาธรรมนูญมันถึงจะสมบูรณ์เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี เราอยากได้มากมันก็ไม่มาก เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อย เราต้องรู้จักความพอดีเข้าสู่ความสมดุลทั้งรายรับรายจ่าย

 

เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี การประสูติของพระพุทธเจ้าถึงเป็นวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ตรัสรู้ก็เป็นวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ

 

เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้รู้หลักการรู้อุดมการณ์แล้วก็อุดมธรรม เราอยู่ที่ไหนก็พากันปฏิบัติได้ เมื่อเรามีลมปราณ มีอายตนะภายใน ๖ ภายนอก ๖ มีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้

 

ให้รู้เข้าใจมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

อย่าไปคิดด้วยอวิชชาความหลงเอาแต่หลักการอุดมการณ์เอาแต่วิทยาศาสตร์น่ะ ถ้าเรารวย รวยความหลงมันไม่ดีนะ รวยความโง่หลงงมงายเรียกว่ารวยไสยศาสตร์มันไม่ดีนะ ไม่ใช่ความดีมันไม่ใช่บารมีไม่ใช่ปัญญาบริสุทธิคุณนะ มันเป็นความหลงนะ

 

ให้เรารู้เข้าใจ อย่าไปคิดว่าทำไมเราโง่ไปตั้งหลายปี ประเทศสิงคโปร์ประเทศ เค้าเล็กนิดเดียวเค้าตั้งบ่อนคาสิโนเค้ารวยกัน ประเทศมาเก๊าก็เหมือนกันเค้ารวยกัน

 

ประเทศสิงคโปร์เค้ามีหลักเหตุผลมีหลักวิทยาศาสตร์น่ะ เค้าคิดว่าประเทศสิงคโปร์มันเล็กนิดเดียว จะทำเกษตรกรรมก็ไม่ได้ จะทำอุตสาหกรรมก็ไม่ได้ ถ้าเราตั้งบ่อนคาสิโนด้วยหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์ก็รวยได้ เพราะคนในนี้โลกนี้มันคนมีความไม่ฉลาด เอาความหลงนำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิตมันมีมากถ้าเราตั้งบ่อนคาสิโน เราสามารถรวยได้ทางวัตถุ ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์เค้าถึงพากันตั้งบ่อนคาสิโน จะเรียกบ่อนคาสิโนก็ได้หรือเรียกบ่อนแห่งความหลงก็ได้ มันคืออันเดียวกัน

 

ให้เรารู้เข้าใจ ประเทศไทยเราแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลเราต้องรู้เข้าใจว่า เราทั้งหลายอย่ายินดีในการเอาความหลงนำชีวิต อย่าไปยินดีในการเอาบ่อนคาสิโน นำชีวิตนะ

 

พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ศาสดาทุกศาสนาเค้ามายกเลิกบ่อนคาสิโน มายกเลิกอบายมุขอบายภูมิ ให้เรารู้เข้าใจ ถ้าเรารู้เข้าใจ ทุกอย่างน่ะไม่มีปัญหา ปัญหาอยู่ที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจนะ

 

 

เราทั้งหลายให้เข้าใจนะ ชีวิตของเราเป็นชีวิตที่ประเสริฐ มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเรามาเอาความหลงนำชีวิต ถึงเราจะมีชีวิตอยู่เป็นร้อย ๆ ปีหรือหลายร้อยหลายพันหลายหมื่นหลายแสนหลายล้านปีมันจะมีประโยชน์อะไร

 

หลวงปู่มั่นท่านถึงให้คติธรรมว่า ทุกท่านทุกคนอย่าพากันประมาทนะ เราเป็นมนุษย์เป็นผู้ที่ประเสริฐ ต้องเอาธรรมนำชีวิต เพราะอายุขัยของเราอยู่ได้ส่วนใหญ่ไม่เกินร้อยปีร้อยกว่าปีนะ

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น

การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฏฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะ

 

-------------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันจันทร์ที่ ๒๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

 

Visitors: 98,212