๒๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันพุธที่ ๒๕ เดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม
ทุก ๆ ชาติทุก ๆ ศาสนาก็มีปัญหาอันเดียวกันคือความไม่สงบ ความไม่สงบคือความปรุงแต่ง ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงตรัสว่า "เตสัง วูปสโม สุโข" การมาสงบระงับสังขารคือความปรุงแต่งนี้ถึงเป็นความดับทุกข์อย่างยิ่ง
หลักการวิชาการ อุดมการณ์ แล้วก็อุดมธรรม ก็ได้แก่ความสงบได้แก่ปัญญา ได้แก่ปัญญาได้แก่ความสงบ ธรรมนูญถึงเป็นความสงบกับปัญญา เป็นปัญญากับความสงบ
พวกเราหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายต้องรู้ต้องเข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็จะไปของมันเรื่อย เหมือนธรรมกถึกกับวินัยธร ไม่เข้าใจในพระศาสนา ไม่เข้าใจในเรื่องความสงบกับปัญญา ปัญญามันก็ปรุงของมันไปเรื่อย เพราะมันเป็นปัญญาเป็นเหตุเป็นผลเป็นวิทยาศาสตร์ ความสงบกับปัญญาเราถึงเอามาใช้ไปเป็นคู่กันไป เพื่อมันจะได้เข้าสู่ทางสายกลาง เพื่อจะได้เอาความสงบให้มีปัญญา มีปัญญาก็ต้องให้มีความสงบ
สติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ ถึงเป็นหลักการสำคัญของชีวิต เราจะไม่ได้วิ่งตามความหลง เราจะไม่ได้วิ่งตามความปรุงแต่ง เราจะไม่ได้วิ่งตามผัสสะ ตามอายตนะ ตามธาตุ ตามขันธ์ เรารู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจมันจะไปของมันไม่จบ เหมือนกับธรรมกถึกกับวินัยธรทะเลาะกัน
เราทั้งหลายน่ะถึงพากันมารู้มาเข้าใจ พากันมาเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม เจริญให้มาก ปฏิบัติติดต่อให้มาก มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเอาความสงบกับปัญญามาใช้มาติดต่อต่อเนื่องไม่ทะลุ ไม่ขาด ไม่ด่าง ไม่พร้อย เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ
เราคิดดูดี ๆ นะ คิดดูดี ๆ ด้วยปัญญา เราจะเอาความปรุงแต่งนำชีวิตมันไม่จบหรอก เราทั้งหลายต้องมาจบที่ความสงบนี้แหละ จบที่ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงเรื่องอริยสัจสี่ เรื่องวัฏฏสงสาร เรื่องสังสารวัฏ
เราทั้งหลายเน้นที่ตัวเรามาที่ตัวเรา ให้คิดอย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาภูมิพลอดุลยเดช คิดอย่างไรล่ะ คิดให้มันสงบ คิดให้เกิดปัญญา เราอยากได้มากมันก็ไม่ได้มาก เราคิดไปก็เป็นทุกข์เปล่า ๆ เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยหรอกมันเป็นทุกข์เปล่า ๆ
เราต้องรู้จักความสงบรู้จักปัญญา เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความพอดี เราจะไปเป็นทุกข์เปล่า ๆ ไปเป็นทุกข์ทำไม
เราเกิดมาเพื่อมารู้แจ้งทั้งทางวัตถุรู้แจ้งทั้งทางจิตใจไปพร้อม ๆ กันด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะได้มองเห็นประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจ ชีวิตนี้ก็ย่อมพังทลายเหมือนตึก สตง.ของเมืองไทยนี้แหละ
เอาความปรุงแต่งนำชีวิต ชีวิตก็ย่อมพังทลาย ต้องรู้เข้าใจ เพราะทุกอย่างนี้ก็ทำหน้าที่ของเค้า เป็นใหญ่ของเค้า
เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้เอาความสงบมาใช้ เราจะได้เข้าถึงความสงบระงับสังขารทั้งหลายเป็นสุขอย่างยิ่ง
เราอย่าให้ความปรุงแต่งมันครองใจของเรา
เราอย่าให้รูปทั้งหลายครอบครองใจของเรา
เราอย่าให้เสียงทั้งหลายครอบครองใจของเรา
เราอย่าให้กลิ่นทั้งหลายครอบครองใจของเรา
เราอย่าให้รสทั้งหลายมันครอบครองใจของเรา
เราอย่าให้มันผัสสะที่มากระทบครอบครองใจของเรา
อย่าให้ใจของเรามันปรุงแต่งไม่หยุด
เราต้องรู้เข้าใจเรื่องวัฏฏสงสารเรื่องสังสารวัฏ การเจริญสติสัมปชัญญะนี้เป็นการปฏิบัติดีที่สุดนะ
เราทั้งหลายพากันรู้เข้าใจ พากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเราจะได้หยุดอายตนะทั้งภายนอกภายใน ที่เป็นอายตนะ ๑๒ น่ะ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็เป็นสังสารวัฏ มันจะเวียนไปเวียนมา
เราคิดดูดี ๆ นะ คิดอย่างไรก็แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะความคิดความปรุงแต่งมันแก้ปัญหาไม่ได้ มันมีแต่เรื่องมีแต่ปัญหา
เราทั้งหลายต้องจบลงที่เราเองนะ ความจบนี้ก็คือความสงบนะ การมาสงบระงับสังขารทั้งหลายถึงเป็นความดับทุกข์อย่างยิ่ง
พระธรรมพระวินัย พระธรรมก็หมายถึงธรรมชาติ ธรรมชาติมันก็เป็นใหญ่ของธรรมชาติ ให้รู้เข้าใจ ที่มีความเกิดความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากมีได้มีเสียอันนี้เป็นธรรมชาติ ธรรมชาติที่เป็นสังสารวัฏเวียนว่ายตายเกิด
เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้สงบด้วยสติปัฏฐาน มีความสุขกับศีลกับธรรม อย่ามีความสุขกับความหลง อย่ามีความสุขกับการปรุงแต่ง เดี๋ยวมันจะแต่งมันจะเติมของมันไปเรื่อย ๆ
ความปรุงแต่งนี้มันเป็นสภาวธรรมที่ไม่หยุดน่ะ เพราะความปรุงแต่งมันเป็นเหตุเป็นผล มันมีเหตุมีผลมาก เหมือนพระวินัยกับธรรมกถึกมีเหตุมีผลมาก พระนิพพานถึงอยู่นอกเหตุเหนือผลน่ะ พระนิพพานนี้คือหยุดความปรุงแต่งด้วยความรู้ความเข้าใจ
ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ ๆ ๒๐ พรรษาแรก สอนแต่เรื่องอริยสัจสี่ สอนเรื่องอริยมรรคมีองค์แปดด้วยความรู้ความเข้าใจ ยังไม่ได้บัญญัติพระธรรมพระวินัยสิกขาบทเล็ก สิกขาบทกลาง สิกขาบทใหญ่ สอนให้รู้ให้เข้าใจเรื่องวัฏฏสงสาร
เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เจริญสติคือความสงบ ควบคุมให้อยู่กับความพอเพียงเพียงพอ อยู่กับความพอดี เพื่ออบรมบ่มอินทรีย์ สังวรในปาฏิโมกข์สังวร สังวรอินทรีย์ในตาหูจมูกลิ้นกายใจ สังวรในอาชีพ สังวรในสติสัมปชัญญะหยุดวัฏฏสงสาร หยุดปรุงแต่งน่ะ
เราทั้งหลายพากันมานันที่ตัวเรา เน้นที่ชีวิตของเรา ที่เราทุกคนให้รู้เข้าใจ อายุขัยของเราน่ะมัน ๑ ศตวรรษ คือร้อยปี เราทำดี ๆ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา ชีวิตของเรานั้นย่อมอยู่ได้มากกว่า ๑ ศตวรรษ คือร้อยปีนะ เพราะเรามีแต่ความสงบ มีแต่ปัญญา มีแต่ปัญญามีความสงบ ก้าวไปด้วยพระธรรมพระวินัย ด้วยความสงบ ด้วยปัญญา ตั้งอยู่ในความสงบ ไม่ประมาท เห็นภัยในวัฏฏสงสาร
การประพฤติการปฏิบัตินี้ธรรมนูญหรือว่าธรรมะถึงไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ไม่มีลับหลังและต่อหน้า เน้นที่ใจที่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ในแง่มุมของชีวิตเพื่อเป็นมรรคเป็นอริยมรรค เพื่อให้เป็นความสงบเป็นปัญญา เพื่ออบรมบ่มอินทรีย์ กันไปให้ติดต่อต่อเนื่อง
เราทุกคนได้ทรัพยากรที่ประเสริฐ ให้รู้ให้เข้าใจ ต้องรู้จักสาระและสิ่งที่ไม่เป็นสาระ สิ่งที่เป็นสาระเป็นแก่นเป็นสารคือความรู้ความเข้าใจเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เราทั้งหลายจะไม่ได้เสียเวลา เราทั้งหลายจะได้รู้เข้าใจ จะได้ปล่อยได้วางด้วยความรู้ความเข้าใจ จะได้เข้าใจในเรื่องความว่าง ในสิ่งที่มีอยู่
ความรู้ความเข้าใจในเรื่องพระศาสนามันเป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ มันเป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ว่างจากไม่มีน่ะ รูปก็มีอยู่อย่างนี้แหละ เสียงก็มีอยู่อย่างนี้แหละ กลิ่นรสก็มีอยู่อย่างนี้แหละ หนาวร้อนสุขทุกข์มันก็มีอยู่อย่างนี้แหละ เมื่อเรารู้เข้าใจเราจะได้หยุดด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้เอาความหลงนำชีวิต เราจะไม่ได้ตรึกนึกคิดในกามในพยาบาท
"เตสัง วูปสโม สุโข" การมาสงบระงับสังขารทั้งหลายอยู่เหนือเหตุเหนือผล เพราะรู้เข้าใจด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ รู้เข้าใจเรื่องความปรุงแต่ง หยุดความปรุงแต่ง
ทุกคนทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้แหละ เราอย่าไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย
เราต้องจับหลักให้ได้ จับหลักให้ดี ๆ เอาพระธรรมพระวินัยเอาอินทรีย์สังวร ปาฏิโมกข์สังวร อาชีวปาริสุทธิสังวร สังวรในการตรึกในกามตรึกในพยาบาท อย่าให้ความปรุงแต่งนี้มันนำชีวิต ต้องเอาความสงบ เอาปัญญา เพื่อให้ศีลสมาธิปัญญามันติดต่อต่อเนื่องเป็นธรรมเป็นสภาวธรรม เพื่อจะได้หยุดตัวหยุดตนด้วยการสงบระงับสังขารทั้งหลายเป็นความดับทุกข์อย่างยิ่ง เราต้องรู้เข้าใจ
อานาปานสติน่ะ มนุษย์เราส่วนใหญ่เอามาใช้เป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรมได้
การเจริญอานาปานสติ เอาไปเป็นความสงบเอาไปเป็นปัญญาได้ เพราะว่าเรา เกิดขึ้นมามีธาตุทั้ง ๔ มีขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ พากันเจริญอานาปานสติได้
การเจริญอานาปานสติต้องมีกับเราทุก ๆ อิริยาบถ ไม่มีเฉพาะเวลานั่งสมาธินะ ต้องมีทุก ๆ อิริยาบถเพื่อให้เกิดความสงบเกิดปัญญา เกิดปัญญาเกิดความสงบ เพื่อเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม
หายใจเข้าก็มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมชัดเจน ลมเข้าก็มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมชัดเจน หายใจเข้ายาว ๆ ลึก ๆ ช้า ๆ ให้อิ่มน่ะ เพื่อเอาลมไปเลี้ยงสรีระร่างกาย เมื่อไปเลี้ยงร่างกาย แล้วก็หายใจออก ปล่อยของเสีย เอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป เราทั้งหลายจะได้มีความสงบมีปัญญา ถ้าเราฟุ้งซ่านมาก เราอาจจะกลั้นลมหายใจ เพื่อเป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม เราทำอย่างนี้แหละ ใจของเรามันจะขาดมันจะตายเราค่อยหายใจ เราทำอย่างนี้แหละหลาย ๆ ครั้งมันก็สงบได้ นี้ใช้เป็นหลักการได้
ภาพรวม ๆ หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายใช้การเจริญอานาปานสติได้ด้วยการพิจารณาร่างกาย พิจารณาชิ้นส่วนของร่างกาย ให้แยกมาเป็นชิ้นเป็นส่วนของร่างกาย แยกเป็นชิ้นเป็นส่วนที่มีอาการ ๓๒ นี้
ผู้ที่มาบวชในพระศาสนาก่อนจะห่มผ้ากาสาวพัสตร์ พระอุปัชฌาย์ก็ได้บอกพระกรรมฐาน บอกให้รู้ว่า ให้พิจารณาร่างกายทุกชิ้นส่วนนะ ให้แยกมาเป็นชิ้นเป็นส่วนเลย แยกออกมาเป็นชิ้นเป็นชิ้นเลย ทำอย่างนี้แหละ เพื่อจะได้รู้ว่าทุกอย่างน่ะมันคือเหตุคือปัจจัย ไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน
เราทำบ่อย ๆ พิจารณาบ่อย ๆ ทำติดต่อต่อเนื่องกัน มันจะได้ปล่อยวางด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยปัญญา ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน มันคือธรรมคือสภาวธรรม มันมาประกอบกันเข้ามารวมกันเข้า มาเป็นธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ มาเป็นอายตนะภายนอกภายในรวมกันเป็น ๑๒
เราทำบ่อย ๆ พิจารณาบ่อย ๆ ทำอันนี้เป็นงานหลัก อย่าไปทำไม่กี่ครั้งแล้วก็หยุดไป วันหนึ่งคืนหนึ่ง ๒๔ ชั่วโมง เราพยายามทำให้ได้หลาย ๆ รอบนะ
ส่วนใหญ่เราทุกคนก็ไม่อยากพิจารณาอาการ ๓๒ นะ
เราต้องรู้เข้าใจเรื่องความสงบเรื่องปัญญา เราต้องพิจารณา ต้องทำบ่อย ๆ เจริญบ่อย ๆ นี้ก็จะเกิดความสงบเกิดปัญญา เพราะปัญญานั้นมันเป็นความรู้ความเข้าใจมันไม่ใช่ความจำ ศีลสมาธิปัญญาต้องติดต่อต่อเนื่องกัน ต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่ติดต่อต่อเนื่องกันมันจะไม่ได้ ต้องติดต่อต่อเนื่องกัน ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยการประพฤติการปฏิบัติ
ผู้ที่มาบวช ต้องพิจารณาพระกรรมฐาน พระกรรมฐานพิจารณาร่างกาย สรีระร่างกาย พิจารณาอาการ ๓๒ นี้แหละ มันไม่อยากพิจารณา ท่านจึงมีคำบอกว่า ชาคริยานุโยค ที่ประกอบด้วยความเพียร เพื่อให้เอาความสงบกับปัญญามาติดต่อต่อเนื่อง เราปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง การปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องมันเป็นการสงบระงับสังขารทั้งหลาย มันเป็นการหยุดความปรุงแต่ง
นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายต้องเอาความสงบกับปัญญา ปฏิบัติควบคู่กันไป ไม่เอาความปรุงแต่งนำชีวิต หยุดด้วยความรู้ความเข้าใจ หยุดด้วยพระธรรมพระวินัย ไม่ต้องมีต่อหน้าและลับหลัง เอาทรัพยากรที่ประเสริฐที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี้มาประพฤติมาปฏิบัติด้วยการไม่อาศัยใคร
รู้เข้าใจพากันมาให้ทานเสียสละ เราทั้งหลายต้องเสียสละ เสียสละในการเวียนว่ายตายเกิด ถึงพวกเราทั้งหลายมีการเวียนว่ายตายเกิดหลายร้อยหลายพัน หลายหมื่นหลายแสนหลายล้านชาติเราก็ต้องเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละมันก็ไปของมันเรื่อย ปรุงไปเรื่อย แต่งไปเรื่อย เราต้องเข้าถึงธรรมถึงปัจจุบันธรรม
การมาเข้าถึงก็หมายถึงยกเลิกสัญชาตญาณ ยกเลิกความรู้สึก คำว่ายกเลิกก็คือความสงบ คำว่าเลิกก็คือความเคารพ คำว่าเลิกก็คือซื่อสัตย์สุจริต ผู้ปฏิบัติธรรมถึงคือผู้ที่สุจริต ไม่มีต่อหน้าและลับหลัง
เราทั้งหลายต้องมองดูในแง่มุมของประวัติศาสตร์ ที่ธรรมถนึกกับวินัยธรทะเลาะกัน มันไม่ได้จบด้วยบุคคลอื่น มันต้องจบที่เรารู้เข้าใจ เราทำอย่างไรอย่างไร มันก็ไม่จบ เพราะเราเอาความปรุงแต่งนำชีวิตมันจะจบได้อย่างไร เพราะความปรุงแต่งนั้นมันคือความไม่เต็มไม่อิ่มไม่พอ มันไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญา
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เพราะธรรมชาติที่แท้จริงไม่มีเค้าไม่มีเรา ไม่มีแก่ไม่มีเฒ่าไม่มีเจ็บไม่มีตาย ที่มันเป็นเขาเป็นเราเป็นวัฏฏสงสารน่ะ
เราไม่รู้ไม่เข้าใจเอาธรรมเอาสภาวธรรมมาเป็นเราเอาความปรุงแต่งมาเป็นเรามันจะจบได้อย่างไร
เราคิดดูดี ๆ นะคิดจนหัวระเบิดเป็นผุยผงมันจะแก้ปัญหาได้อย่างไร เพราะมันแก้ปัญหาไม่ได้ มันต้องแก้ด้วยความสงบรู้เข้าใจด้วยปัญญา ด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา
เราทั้งหลายเน้นมาที่ตัวเรา การประพฤติการปฏิบัติถึงเน้นมาที่ตัวเรา
ที่พระอาจารย์ชา สุภัทโท ท่านบอกลูกศิษย์ของหาท่านว่า ผมนี้รู้เข้าใจในพระธรรมพระวินัยในเรื่องวัฏฏสงสาร ปฏิบัติตัวเอง สอนตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์นะ ด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา ผมบอกสอนท่านทั้งหลายเพียง ๕ เปอร์เซ็นต์เท่านั้นนะ ทำอย่างนี้ถึงพอไปได้
เราทั้งหลายต้องพากันมาเน้นที่ตัวเรา อย่าไปเน้นที่คนอื่น ผู้นำก็คือตัวเรานี้แหละ นำด้วยความรู้ความเข้าใจ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ มันก็ไม่มีความทุกข์อยู่แล้ว ต้องรู้เข้าใจ
เพราะตัวตนนั้นน่ะ องค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้าท่านตรัสบอกพวกเราทั้งหลายว่า มันมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มี มันหาเรื่องหาราวให้ตัวเองเป็นทุกข์ หาเรื่องหาราวให้คนอื่นเป็นทุกข์ ให้รู้เข้าใจการมาสงบระงับสังขารทั้งหลาย ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมพระวินัยด้วยข้อวัตรปฏิบัติ พากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ไม่มีใครปฏิบัติให้เราได้ ให้รู้ให้เข้าใจ
เราทั้งหลายคิดว่าการเรียนการศึกษามันจะแก้ปัญหาได้ การเรียนการศึกษาน่ะ ต้องคู่กับการประพฤติการปฏิบัติมันถึงแก้ปัญหาได้ รู้เข้าใจ เราจะได้สงบด้วยสติด้วยสมาธิด้วยปัญญา เราจะได้มารู้ว่าการระงับสังขารทั้งหลายเป็นความดับทุกข์ อย่างยิ่ง
เราทั้งหลายพากันมาเน้นที่ตัวเรา เรามีความสุขในการเรียนหนังสือ มีความสุขในการเรียนหนังสือมันก็ต้องมีปัญญามันก็ต้องมีความสงบ มีความสงบมีปัญญา มันจะเป็นความพอเพียงเพียงพอเป็นความดี มีความสุขในการทำงาน เรามีความสุข ในการทำงานมันก็ได้ทั้งงานทั้งจิตใจ
อริยมรรคมีองค์ ๘ รู้เข้าใจ เราพากันมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจอย่างนี้ ไม่มีใครเอาความปรุงแต่งเป็นความดับทุกข์ได้ มันต้องเอาความรู้ความเข้าใจในเรื่องพระธรรมพระวินัย เอาพระธรรมพระวินัยเป็นสติปัฏฐานเป็นกรรมฐาน กรรมนี้รู้มั๊ย กรรมทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมันอยู่ที่ปัจจุบัน
ปัจจุบันเราต้องรู้เข้าใจ ปัจจุบันมันเป็นวาระสำคัญในการประพฤติการปฏิบัตินะ
เราทั้งหลายต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงธรรมเข้าถึงปัจจุบันธรรม หยุดวัฏฏสงสาร หยุดความปรุงแต่งด้วยความรู้ความเข้าใจ อบรมบ่มอินทรีย์ให้ติดต่อต่อเนื่องด้วยความรู้ความเข้าใจ เข้าถึงความถูกต้องเข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบันนี้เดี๋ยวนี้
ปัจจุบันเราต้องรู้เข้าใจ ว่านี้มันคือไฟต์ในการประพฤติการปฏิบัติ ไฟต์ในการชิงแชมป์ระหว่างหยุดวัฏฏสงสารกับระหว่างการเวียนว่ายตายเกิด ให้เรารู้เข้าใจ เราไม่รู้ไม่เข้าใจ ไปเอาความหลงเอาความปรุงแต่งนำชีวิตได้อย่างไร เพราะมันไม่ได้มันเป็นไปไม่ได้
เราทั้งหลายต้องมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
เราเป็นประชาชนก็นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ๖-๘ ชั่วโมง ประชาชนนี้ก็ได้แก่ฆราวาสผู้ครองบ้านครองเมืองที่ไม่ได้เป็นนักบวช พากันนอนพักผ่อน ๖-๘ ชั่วโมง ให้มีความสุขในการนอนการพักผ่อน อันนี้คือการปฏิบัติธรรม ประชาชนต้องนอนพักผ่อน ๖-๘ ชั่วโมงนะ
ผู้ที่อยู่ต่างจังหวัดอยู่ชนบทอาจจะนอน ๕-๖ ชั่วโมงก็เพียงพอเพราะอากาศดี ค่าพีเอ็มของอากาศดี แต่ผู้ที่อยู่กรุงเทพฯอยู่เมืองหลวงพากันนอนพักผ่อนให้ธาตุให้ขันธ์มันสมบูรณ์ต้องไม่ต่ำกว่า ๖ ชั่วโมงนะ ถึงจะพัฒนาวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ มีแอร์คอนดิชั่นมีเครื่องฟอกอากาศมันก็ต้องนอนให้เพียงพอ ถึงจะทำงานกะกลางคืนกะกลางวันก็ต้องนอนพักผ่อนให้เพียงพอ อย่าพากันคอร์รัปชั่นเวลานอน เห็นอะไรก็อร่อยก็แซบก็ลำก็นัวก็หรอยไปหมด เล่นโทรศัพท์เล่นคอมพิวเตอร์เล่นไลน์ดูยูทูปอะไรต่าง ๆ นี้ไม่ได้นะ ต้องนอน ๖-๘ ชั่วโมงน่ะ
การนอนการพักผ่อนการอออกกำลังกายนี้ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรม มันเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเอาความรู้สึกนำชีวิตไม่ได้ เอาความชอบความไม่ชอบนำชีวิตไม่ได้
เราทั้งหลายต้องมีความสงบมีปัญญา เพราะเราทุกคนไม่มีใครเหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม กรรมมันมีจริงเพียงแต่มันไม่สุกงอม ให้รู้เข้าใจ
การปฏิบัติธรรมถึงไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ให้รู้เข้าใจมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา อย่าไปคิดว่าตัวตนนี้มันแน่นะ อย่าไปคิดว่าความปรุงแต่งนี้มันแน่นะ คิดว่าการเรียนการศึกษาการพัฒนาวิทยาศาสตร์ความร่ำรวยนี้มันแน่นะ อะไรมันก็ไม่แน่ ไม่มีอะไรอยู่เหนือกรรม เหนือกฎแห่งกรรม มันเหนือผลของกรรมไปได้
เราคิดดูดี ๆ สิ ไม่มีใครไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายไม่พลัดพรากเลย ทุกอย่างน่ะถึงเป็นเรื่องอดีตเป็นเรื่องเกษียณทั้งนั้น มันเอากลับคืนมาไม่ได้ เราต้องรู้เข้าใจ
พากันนอนพากันพักผ่อนให้เพียงพอ
หลักการของมนุษย์ต้องเอาธรรมนำชีวิต วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นการทำงานกับการปฏิบัติธรรมนะ การทำงานกับการปฏิบัติธรรมสองอย่างนี้ต้องให้มันไปพร้อม ๆ กัน ให้รู้เข้าใจ ให้มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ให้เข้าใจอย่างนี้
วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันยกเลิกการทำงานภายนอก มาเน้นเรื่องจิตเรื่องใจ เอาแต่เรื่องธรรม มาพิจารณาร่างกายเข้าสู่พระไตรลักษณ์ พิจารณารูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณเข้าสู่พระไตรลักษณ์ มาพัฒนาใจ เค้าทำกันมาแล้วหลายร้อยหลายพันปีมาแล้วนะหลักการนี้
หลักการสมัยโบราณเค้าก็เอาวันพระ วันพระคือวันยกเลิกภาระทั้งหลายทั้งปวงอยู่กับการประพฤติการปฏิบัติธรรม เอาวันพระ ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ วันพระ ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำเดือนหนึ่ง ๓๐ วันก็มีวันหยุดอยู่ ๘ วัน
ให้เรารู้เข้าใจ จะเป็นสมัยเก่าสมัยใหม่ก็ใช้หลักการเดียวกัน ทุกชาติทุกศาสนาก็ใช้หลักการเดียวกัน ใช้สิ่งเดียวกัน มันใช้อาหารทางกาย อาหารทางวาจา อาหาร ทางกิริยามารยาท อาหารของใจใช้สิ่งเดียวกัน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสามัญลักษณะ มันเสมอกัน มันเป็นธรรมชาติเป็นประภัสสร เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้เอาธาตุเอาขันธ์เอาอายตนะที่มีอายุขัยอยู่ได้ร่วม ๆ ร้อยปีหรือศตวรรษหนึ่งมาประพฤติมาปฏิบัติ
เราทั้งหลายต้องรู้เรื่องการประพฤติการปฏิบัติของตัวเอง ต้องมีความสงบมีปัญญา ต้องหยุดระงับสังขารทั้งหลายหยุดความปรุงแต่ง มันจะเป็นความดับทุกข์ ต้องรู้เข้าใจ เราจะได้เอาความสงบเอาปัญญานำชีวิต
เน้นมาที่ตัวเราทุก ๆ คน ไม่ต้องอาศัยใครทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ เพราะอายุของเรามันใหญ่โตเพียงพอ อายุได้ ๗ ขวบแล้ว เราต้องอาศัยการประพฤติการปฏิบัติของตัวเราเอง ไม่ต้องอาศัยพ่ออาศัยแม่ อาศัยข้าราชการนักการเมืองไม่ต้องอาศัยพ่อค้าประชาชน
เราต้องพึ่งพาอาศัยตัวเองด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยการประพฤติการปฏิบัติ ของเราเอง ตนแลเป็นที่พึ่งของตน เป็นผู้สง่างามด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยการประพฤติการปฏิบัติของเราเอง
มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม มีศีลสมาธิปัญญา เป็นผู้สง่างามด้วยความรู้ ความเข้าใจจะได้เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความสงบเข้าถึงปัญญา เข้าถึงปัญญาเข้าถึงความสงบ การสงบระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจ
เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามผัสสะไปตามสิ่งแวดล้อมชีวิตของเราจะเป็นชีวิตที่สุคะโต มีความดีคู่กับปัญญา มีปัญญาคู่กับความดีด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมพระวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มีแต่ความสุขมีแต่ความดับทุกข์ด้วยความรู้ความเข้าใจ การสงบระงับสังขารทั้งหลายเป็นสุขอย่างยิ่ง เข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบันไม่ต้องรอชาติหน้า เข้าถึงในชาติปัจจุบันนี้
ให้พากันเข้าใจใหม่ อย่าไปเข้าใจเหมือนแต่ก่อนที่ได้ฟังพระท่านเทศน์ว่า นิพพานปัจจะโย โหตุ ท่านเทศน์บอกว่าการบำเพ็ญกุศลเพื่อมรรคผลพระนิพพานเบื้องหน้าโน้นเทอญ มันไกลเหลือเกิน ปัจจุบันไม่ได้พระนิพพาน อนาคตมันจะได้อย่างไร พระนิพพานอยู่ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ ไม่เอาปัจจุบัน ไม่มีความสงบไม่มีปัญญา หลงไปเรื่อย
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเราตรัสรู้ด้วยพระธรมพระวินัย การมาสงบระงับสังขารทั้งหลายถึงเป็นความดับทุกข์อย่างยิ่ง ที่ท่านตรัสรู้ท่านเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความเต็มๆ ๆ ๆ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำตรัสรู้ก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ แสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตรแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ได้บอกกล่าวกับประชาชนมหาชนว่าอีกสามเดือนข้างหน้าพระตถาคตเจ้าจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพาน แล้วนะก็วันเพ็ญ ๑๕ พระพุทธเจ้า เสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ
ความรู้ความเข้าใจ ทำไมถึงมีแต่วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เพราะมันเป็นความเต็ม ๆ ๆ เป็นความพอพียงเพียงพอ เป็นความพอดี เป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นปัญญา เป็นความสงบ มันหยุดความปรุงแต่ง หยุดความรู้ความเข้าใจในเรื่องอายตนะภายใน ก็ ๖ ภายนอกก็ ๖ ด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นการตรัสรู้รู้แจ้งวิทยาศาสตร์ รู้แจ้งเรื่องจิตเรื่องใจ มันเป็นวันเพ็ญเดือน ๖ น่ะ ๖ ก็หมายถึงอายตนะภายในก็ ๖ ภายนอกก็ ๖ รวมกันเป็น ๑๒ ถ้าเรารู้เข้าใจ มันเป็นอายตนะ ๑๒ มันจบลงด้วยรู้เข้าใจ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม จบด้วยศีลด้วยสมาธิปัญญา มันหยุดความปรุงแต่งด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา
ให้เราทั้งหลายรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้เข้าใจมันก็จะพังทลายนะ ชีวิตของเราก็จะพังทลายเหมือนตึกสตง.ของเมืองไทยของประเทศไทยนี้แหละ
ตึก สตง.อยู่ที่กรุงเทพมหานคร ตึก ๓๐ กว่าชั้น ตึก สตง.ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาความหลงนำชีวิตเอาทุจริตนำชีวิต ชีวิตมันเลยพังทลาย ชีวิตมันพังทลายนะ ตึกสตง.มันพังทลายด้วยนิติบุคคลตัวตนพังทลายด้วยทุจริตมันจะไปแก้ไขตั้งแต่ภายนอกมันจะไปพัฒนาตั้งแต่วิทยาศาสตร์จะไปเอาความสุขบนความหลง ชีวิตเลยพังทลายนะ
เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งน่ะ เราคิดดูดีๆ นะ ตึกใหญ่กว่าสูงกว่าตึก สตง.ตั้งหลายสิบตึกที่กรุงเทพมหานครที่ปริมณฑล เค้าไม่พังทลายเหมือนตึกสตง. เพราะพอที่จะรับน้ำหนักได้ ไม่ใช่ไม่โกงกินคอร์รัปชั่นนะ แต่เค้าโกงกินคอร์รัปชั่นน้อยพอที่จะรับแผ่นดินไหวจากมัณฑะเลย์ประเทศพม่า ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ประเทศพม่าห่างไกลกันตั้งนับพันกิโล
นี้ให้เรามองเห็นในแง่มุมความไม่ถูกต้องน่ะ ชีวิตที่เอาความไม่ถูกต้องนำชีวิตมันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้แหละ
เราทั้งหลายถึงต้องเป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เห็นภัยในวัฏฏสงสาร รู้จักความคิดรู้จักอารมณ์เหมือนท่านพระอาจารย์ลี ธัมมธโร วัดอโศการาม สมุทรปราการ ท่านรู้จักความคิดการปรุงแต่งของตัวเอง ท่านรู้จักว่าความปรุงแต่งนี้มันคือวัฏฏสงสารนะ ท่านรู้จักความปรุงแต่ง เพราะความปรุงแต่งมันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ชีวิตนี้ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง. เพราะมันไม่ถูกต้อง มันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง. นี้แหละ
ตึก สตง.ที่อยู่กรุงเทพมหานครอยู่เมืองหลวงอยู่เมืองกรุง เป็นศูนย์รวมของประเทศ เหมือนสมองเป็นศูนย์รวมของร่างกาย เหมือนหัวใจเป็นศูนย์รวมของสรีระร่างกาย
สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินที่บริหารประเทศ บริหารแผ่นดินไม่เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เอาแต่ความรู้เอาแต่วิทยาศาสตร์เอาแต่ตัวเอาแต่ตน ไปแก้แต่สิ่งภายนอก ไม่ได้แก้ตัวเองไปพร้อม ๆ กัน
การพัฒนาวิทยาศาสตร์มันต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันมันถึงถูกต้องนะ พัฒนาทั้งภายนอกภายในด้วยความรู้ความเข้าใจให้ครบวงจร อริยมรรคองค์แปดถึงเป็นความรู้ความเข้าใจ เพื่อการประพฤติการปฏิบัติมันจะได้สมบูรณ์ สมบูรณ์ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพด้วยความถูกต้อง
มันต้องรู้ธรรมรู้ปัจจุบันธรรม รู้ธรรมธรรมนูญน่ะ ถ้าเราไปจัดการแต่สิ่งภายนอก เราไม่ได้จัดการตัวเองมันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้นะ
การบริหารตัวเองบริหารบุคคลอื่น มันต้องรู้เข้าใจแล้วมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์
ถ้าเรามีปิติมีสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติมันก็ไม่มีความทุกข์อยู่แล้ว ด้วยความรู้ความเข้าใจ
เราต้องรู้จักการประพฤติการปฏิบัติ ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพ เราต้องเน้นมาที่ตัวเราในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อทำหน้าที่ของตัวเองให้มันสมบูรณ์ เราทั้งหลายจะไม่ได้พังทลายเหมือนตึก สตง.
ถ้าใครมีตัวมีตนบุคคลนั้นคือทุจริตนะ เราทั้งหลายจะได้รู้ว่าทุจริตนั้นคือตัวตนน่ะ ใครเอาตัวตนนำชีวิตบุคคลนั้นคือบุคคลที่ทุจริต เราต้องรู้จักธรรมรู้จักธรรมนูญ ปัญหาต่าง ๆ นั้นมันอยู่ที่ทุจริตนะ
การที่จะบริหารตัวเองบริหารบุคคลอื่นต้องยกเลิกทุจริต ถึงจะเป็นนักบริหารตัวเองนักบริหารคนอื่นด้วยการรู้เข้าใจในการบริหารในการปฏิบัติ
ตำแหน่งที่เค้าแต่งให้เราเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นตำแหน่งที่ให้เรามาเสียสละ มารับผิดชอบโฟกัสในการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ใช่ตำแหน่งที่ให้พวกเราทั้งหลายมาทุจริตนะ
ให้ถือว่ามันเป็นตำแหน่งที่ทรงเกียรติมีเกียรติมีศักดิ์ศรี เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันจะมีเกียรติมีศักดิ์ศรีได้อย่างไร ถึงพวกเราทั้งหลายจะพากันใส่สูทผูกเนคไทห้อยเหรียญตรา เป็นผู้ทรงเกียรติมันก็ไม่เป็นผู้ทรงเกียรตินะ มันเป็นผู้ทรงความหลงต่างหาก ทรงความโง่ความหลงงมงายต่างหากล่ะ
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเราจะเข้าถึงบริสุทธิคุณ เข้าถึงธรรมนูญเข้าถึงรัฐธรรมนูญไม่ได้ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันเป็นอบายมุขอบายภูมินะ มันตกอยู่ในภพภูมิของ ๓๑ ภพภูมิ
ในภพภูมิของวัฏฏสงสารนี้มีอยู่ ๓๑ ภพภูมิ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็จะอยู่ในระนาบของ ๓๑ ภพภูมินี้แหละ
เค้าถึงมีศัพท์ว่าคน คนนี้หมายถึงตัวถึงตน หมายถึง ๓๑ ภพภูมินี้แหละ ภพภูมิที่เวียนว่ายตายเกิดมีทั้งหมด ๓๑ ภพภูมิ
เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้ประพฤติปฏิบัติ เราจะไม่ได้ย่ำต๊อกกับความหลงที่มีศัพท์ว่า “คน” คนนี้ความหมายหมายถึงความไม่รู้ไม่เข้าใจ ความไม่รู้ไม่เข้าใจนั้น มันจะวกวนอยู่ที่เก่า มันจะเป็นผู้ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา สัมผัสกับอะไรก็ไปกับสิ่งนั้น ๆ อยู่ในภพภูมินั้น ๆ
เรารู้เราเข้าใจเราจะได้หยุดภพภูมินั้น ๆ ด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ด้วยความรู้ด้วยความเข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเค้าเรียกว่ามันหลง มันวกวนในความหลงอย่างนั้น จิตใจวกวน อย่างนั้นมันจะไปไหนไม่ได้ มันจะเป็นได้แต่เพียงคนเป็นได้แต่เพียงความหลง หัวใจของบุคคลนั้นมันจะอยู่ในระนาบแห่งความหลงหรือว่าหัวใจบ่อนคาสิโน เอาตัวตนเป็นที่ตั้งคือหัวใจบ่อนคาสิโน หัวใจบ่อนทำลายความถูกต้อง หัวใจบ่อนความหลง
ให้เรารู้เข้าใจ เราจะได้เห็นภัยในความไม่ถูกต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสารด้วยปัญญาบริสุทธิคุณ ด้วยเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ พอใจยินดีมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิตหัวใจของเราทั้งหลายจะได้หยุดอบายมุขอบายภูมิ
เราทั้งหลายถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราทั้งหลายจะพากันคิดว่า ความสุขทั้งหลายได้มาจากสิ่งที่อำนวยความสุขความสะดวกความสบายด้วยการพัฒนาวิทยาศาสตร์ อันนี้จริงอันนี้ถูกต้อง ความสุขทั้งหลายมันอยู่พัฒนาหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์
เราทั้งหลายต้องมีสัมมาทิฐิเราต้องมีความรู้ความเข้าใจพัฒนาวิทยาศาสตร์ก็ต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน ถ้าเราพัฒนาวิทยาศาสตร์มันก็ยังเป็นนิติบุคคลตัวตนอยู่
เราต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันด้วยความรู้ความเข้าใจเราทั้งหลายน่ะ ถึงเป็นการพัฒนาครบวงจรด้วยความรู้ความเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจก็จะเอาความหลงนำชีวิตเอาวิทยาศาสตร์นำชีวิต
เราต้องเอาทั้งวิทยาศาสตร์เอาทั้งจิตใจไปพร้อม ๆ กันนะ
เราอย่าไปคิดว่าประเทศสิงคโปร์นั้นน่ะประเทศเล็ก ๆ เท่าอำเภอหนึ่งของเมืองไทยก็ไม่ได้ เค้าพัฒนาหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์เป็นหนึ่งของเอเชียเพราะเค้าตั้งบ่อนคาสิโน มาเก๊าส่วนหนึ่งของประเทศจีนเค้าก็รวยเพราะเค้าพัฒนาตามหลักเหตุตามหลักวิทยาศาสตร์
พวกเราทั้งหลายเมื่อมีปัญญาแล้วต้องรอบคอบนะ มีปัญญาแล้วต้องรอบคอบ อย่าลืมว่าชีวิตของเรามันเป็นรายรับรายจ่ายนะ เราไปจับหางงูเดี๋ยวงูมันจะมากัดเรา งูพิษมันจะมากัดเรานะ การที่เราเอาหลักการอุดมการณ์มันดีแล้วถูกต้องแล้ว เราต้องมีหลักการมีอุดมการณ์แล้วก็มีอุดมธรรมนะ หลักการอุดมการณ์มันดีแล้วถูกต้องหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์น่ะ แต่ต้องไม่ทิ้งอุดมธรรมนะ
เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเอาความรู้สึกที่เอาตัวเป็นที่ตั้งมันเป็นหลักการเป็นอุดมการณ์แล้วอุดมด้วยความหลงนะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราเอาทั้งหลักการอุดมการณ์แล้วก็ยกเลิกอุดมหลงนะ
ให้เอาอุดมธรรมให้เอาธรรมเอาธรรมนูญมันถึงจะสมบูรณ์เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี เราอยากได้มากมันก็ไม่มาก เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อย เราต้องรู้จักความพอดีเข้าสู่ความสมดุลทั้งรายรับรายจ่าย
เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี การประสูติของพระพุทธเจ้าถึงเป็นวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ตรัสรู้ก็เป็นวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ
เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้รู้หลักการรู้อุดมการณ์แล้วก็อุดมธรรม เราอยู่ที่ไหนก็พากันปฏิบัติได้ เมื่อเรามีลมปราณ มีอายตนะภายใน ๖ ภายนอก ๖ มีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้
ให้รู้เข้าใจมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
อย่าไปคิดด้วยอวิชชาความหลงเอาแต่หลักการอุดมการณ์เอาแต่วิทยาศาสตร์น่ะ ถ้าเรารวย รวยความหลงมันไม่ดีนะ รวยความโง่หลงงมงายเรียกว่ารวยไสยศาสตร์มันไม่ดีนะ ไม่ใช่ความดีมันไม่ใช่บารมีไม่ใช่ปัญญาบริสุทธิคุณนะ มันเป็นความหลงนะ
ให้เรารู้เข้าใจ อย่าไปคิดว่าทำไมเราโง่ไปตั้งหลายปี ประเทศสิงคโปร์ประเทศ เค้าเล็กนิดเดียวเค้าตั้งบ่อนคาสิโนเค้ารวยกัน ประเทศมาเก๊าก็เหมือนกันเค้ารวยกัน
ประเทศสิงคโปร์เค้ามีหลักเหตุผลมีหลักวิทยาศาสตร์น่ะ เค้าคิดว่าประเทศสิงคโปร์มันเล็กนิดเดียว จะทำเกษตรกรรมก็ไม่ได้ จะทำอุตสาหกรรมก็ไม่ได้ ถ้าเราตั้งบ่อนคาสิโนด้วยหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์ก็รวยได้ เพราะคนในนี้โลกนี้มันคนมีความไม่ฉลาด เอาความหลงนำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิตมันมีมากถ้าเราตั้งบ่อนคาสิโน เราสามารถรวยได้ทางวัตถุ ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์เค้าถึงพากันตั้งบ่อนคาสิโน จะเรียกบ่อนคาสิโนก็ได้หรือเรียกบ่อนแห่งความหลงก็ได้ มันคืออันเดียวกัน
ให้เรารู้เข้าใจ ประเทศไทยเราแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลเราต้องรู้เข้าใจว่า เราทั้งหลายอย่ายินดีในการเอาความหลงนำชีวิต อย่าไปยินดีในการเอาบ่อนคาสิโน นำชีวิตนะ
พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ศาสดาทุกศาสนาเค้ามายกเลิกบ่อนคาสิโน มายกเลิกอบายมุขอบายภูมิ ให้เรารู้เข้าใจ ถ้าเรารู้เข้าใจ ทุกอย่างน่ะไม่มีปัญหา ปัญหาอยู่ที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจนะ
เราทั้งหลายให้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัยเรื่องวัฏฏสงสารเรื่องมันไม่หยุดเราต้องรู้ความถูกต้อง ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ จะได้พากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เอาโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ก่อนท่านจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานท่านได้ตรัสไว้ว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
----------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันพุธที่ ๒๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา